Friday, 27 June 2025
TheStatesTimes

'น้าหงา' เขียนถึงพฤติกรรม ‘ฝรั่งนักล่าอาณานิคม’ รุกราน - ปล้นชิงเอาสิ่งมีค่า ฝากความยุ่งยากถึงทุกวันนี้

เมื่อวันที่ (5 พ.ย.67) ‘น้าหงา สุรชัย จันทิมาธร’ ศิลปินแห่งชาติ โพสต์ข้อความว่า คิด ๆเขียน ๆ ไปงั้นแหละครับ ในยุคล่าอาณานิคมที่คนส่วนหนึ่งที่เรียกตัวเองว่าคนอารยะ พวกเขาอยู่ในความคิดที่ว่าต้องถือครองโลกเก่า ๆ ใบนี้ไว้ในอุ้งมือ ด้วยพละกำลังศัสตราวุธที่เหนือกว่า จึงเกิดการยึดครองแผ่กระจายไปทั่วทุกทวีปของโลก ไม่เว้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แบบประเทศเราและเพื่อนบ้านแวดล้อมเพราะเนื่องมาจากอุดมสมบูรณ์ เขียวชอุ่มไปด้วยทรัพยากรทางธรรมชาติ นิสัยใจคอของผู้มีอำนาจเหล่านี้มักจะภูมิอกภูมิใจตนเองในนาม 'ผู้พิชิต' หรือนักล่า ล่าทาส ล่าสัตว์ล่าคน ปล้นชิงเอาสิ่งมีค่าแร่ธาตุต่าง ๆ นานา

ทรัพยากรธรรมชาติมากมายมหาศาลจึงถูกพิชิตอย่างราบคาบในนามนักทำลายที่มีนามว่ามนุษย์ผู้เจริญกว่ากระทำต่อผู้ที่เจริญน้อยกว่า ซึ่งความจริงที่ถูกต้องที่สุดก็คือเจ้าของบ้าน เจ้าของถิ่นที่อยู่อาศัยทำมาหากินมาจนชั่วลูกชั่วหลานนั่นเอง ยกตัวอย่างคร่าว ๆ ก็จะมีให้เห็นเป็นต้นว่าอเมริกาเหนือ~ใต้ก็จะกลุ่มชนอินเดียนหรือที่เราเรียกว่าอินเดียนแดง ทวีปแอฟริกามีคนพื้นเมืองผิวดำ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมีกลุ่มพม่าไทยลาวเวียดเขมรและชนกลุ่มย่อยมากมายหลายหลาก คนที่มาทำแผนที่แบ่งเขตแดนแถบนี้ก็เป็นผู้มีอารยะชาวฝรั่งเศสมากำหนดประเทศใหม่กลายเป็นแผนที่ที่ใช้อยู่จนปัจจุบัน และไทยกลายเป็นประเทศไม่เป็นเมืองขึ้นของใคร ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วเราเสียแผ่นดินหรือราชอาณาจักรไปไม่ใช่น้อยหลายแขวงหลายเมือง แม้กระทั่งแม่น้ำโขงมวลแก่งหมู่เกาะก็หาใช่ของเราไม่

ภาพนี้ก็เป็นเพียงตัวอย่างการพิชิตต้นไม้ซึ่งอาจจะเป็นต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นเพียงสมมุติฐานเท่านั้น มันเกิดขึ้นตั้งแต่ปีค.ศ.18 ต้น ๆ ที่ทวีปอเมริกาเหนือหรือที่ใดที่หนึ่งก็จำไม่แจ่มชัด เพียงเป็นเรื่องอุทาหรณ์สอนใจว่าการเป็นผู้พิชิตของวีรบุรุษในอดีตอาจเป็นค่านิยมที่ผิดพลาด มีผลกระทบต่อโลกใบนี้อย่างที่พวกเขาไม่ได้คาดการณ์และมองไม่เห็นมาก่อน

สำหรับพวกเขาในตอนนั้น มันเท่ สำหรับเราในตอนนี้ ไม่น่าเลย

'พิชัย' ลุยเซี่ยงไฮ้ ถกภาคเอกชนไทยในจีน 16 บริษัท เร่งแก้อุปสรรคการค้า จับคู่นักลงทุนไทย-จีน ย้ำ สถานการณ์การลงทุนในไทยวันนี้ดีต่อเนื่อง!

(6 พ.ย. 67) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว ภายหลังหารือกับบริษัทไทยในจีน และคณะภาคเอกชนจากไทย(คณะหอการค้าไทยในจีน) จำนวน 16 บริษัท อาทิ อาหาร ขนมขบเคี้ยว น้ำตาล แป้งมัน พลาสติก ธนาคาร รังนก สุขภาพและความงาม เป็นต้น ร่วมกับผู้บริหารระดับสูงกระทรวงพาณิชย์ กงสุลใหญ่ ณ นครเซี่ยงไฮ้ ทูตพาณิชย์ และทูตเกษตร ณ สถานกงสุลใหญ่ นครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อแก้ปัญหาอุปสรรคการค้าให้กับผู้ประกอบการ ในช่วงระหว่างเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อเข้าร่วมงาน China International Import Expo - CIIE ครั้งที่ 7 ซึ่งเป็นงานมหกรรมแสดงสินค้านานาชาติประจำปีของจีน โดยงาน CIIE ครั้งนี้ประเทศไทยนำผู้ประกอบการ 80 รายเข้าร่วม มาจากกระทรวงพาณิชย์ 20 ราย ซึ่งสินค้าไทยเป็นที่ชื่นชอบในจีน ช่วยสร้างโอกาสในการทำรายได้เข้าประเทศ 

นายพิชัย กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์มีหน้าที่ต้องส่งเสริมผู้ประกอบการไทยที่อยู่ในต่างประเทศให้มีการเจริญเติบโตและพัฒนามากยิ่งขึ้น เราอยากเห็น 80% ของงานกระทรวงพาณิชย์ คือการส่งเสริมให้เกิดการค้าการลงทุนมากๆ ส่วน 20% แค่คุมสิ่งที่จำเป็นไม่ให้มีปัญหาเท่านั้น วันนี้ได้คุยกับผู้ประกอบการไทย ทำให้ได้ข้อมูลเยอะ ได้ทราบว่าเราส่งออกรังนกมาจีนถึง 60,000 กว่าล้านบาท ถ้ามีการแก้ปัญหาข้อกฎหมายบางอันได้ จะสามารถส่งออกได้มากถึง 100,000 ล้านบาท และเรื่องแบงค์ของไทย เช่น ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงเทพ ที่ได้มาตั้งสำนักงานที่จีนมานาน ระบุว่า มีนักลงทุนจีนที่สนใจจะมาลงทุนเมืองไทย อยากให้ช่วย Matching จับคู่ธุรกิจกับนักลงทุนไทย เพื่อให้มีการลงทุนจากจีนมากยิ่งขึ้นให้ประเทศไทยได้ประโยชน์ โดยเฉพาะธุรกิจไฮเทค วันนี้เราจะต้องพัฒนาไปทางด้านไฮเทค โดยเมื่อวานนี้ตนได้เดินทางไปที่บริษัทหัวเว่ย มีการเปิดศูนย์พัฒนาใหม่มูลค่ากว่า 80,000 ล้านบาท มีพนักงานมาอบรมถึง 30,000 คน และจะเปิดโอกาสให้คนไทยมาอบรมเทคโนโลยีสมัยใหม่ ให้ได้เรียนรู้เรื่องเทคโนโลยีต่าง ๆ วันนี้โลกเปลี่ยนต้องแข่งด้วยความฉลาด ทำอย่างไรให้คนของเราฉลาดเพียงพอ เป็นเรื่องที่สำคัญที่เราอยากเห็นให้เกิดขึ้น ต้องช่วยกันสนับสนุน

นายพิชัยกล่าวต่อว่า วันนี้ประเทศไทยกลับเข้าสู่เวทีโลกอย่างเด่นชัด ได้รับการติดต่อมาโดยตลอดว่า จะมีนักลงทุนแห่กันเข้ามา ทั้งการลงทุนในเรื่อง PCB Data Center และ Food Security ที่ไทยอยากเสนอตัวเป็นคลังอาหารของโลก   เช่น ในเดือน พ.ย. นักลงทุนนักธุรกิจรายใหญ่จากอเมริกาแห่เข้ามาพบที่กระทรวงพาณิชย์ และเราเตรียมให้การต้อนรับ ให้มีการลงทุนมากขึ้น และสำหรับจีนก็จะมีการลงทุนเพิ่มขึ้นอีกเยอะ

“วันนี้สถานการณ์การลงทุนในประเทศไทยต้องบอกว่า ประเทศไทยโชคดีที่ประเทศจีนก็รักเรา สหรัฐอเมริกาก็รักเรา รัสเซียก็รักเรา อินเดียก็รักเราประเทศใหญ่ๆในโลกรักเราหมด เราจะเป็นตัวกลางในการทำให้การค้าการลงทุนเข้ามา กระทรวงพาณิชย์ได้รับการติดต่อจากประเทศต่างๆที่จะเข้ามาลงทุนและทำการค้ากับไทยเยอะมาก เราเห็นเราเห็นแนวโน้มเศรษฐกิจของไทยดีมาก"  นายพิชัยกล่าว 

โดยเมื่อวานนี้ตนได้มีโอกาสเจอกับนายหลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งท่านมีความสัมพันธ์ที่ดีกับไทย และนายหวัง เหวินเทา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์จีน ท่านบอกว่าปีหน้าไทย-จีน จะครบรอบความสัมพันธ์ 50 ปี อยากให้มีความร่วมมือระหว่างกันให้มากขึ้น ซึ่งเศรษฐกิจจีนมีการขยายตัวเรื่อยๆ อีกไม่นานคงมีเศรษฐกิจเป็นอันดับหนึ่งของโลกขึ้นอยู่กับเวลาว่าจะเมื่อไหร่เท่านั้นเอง ไทยเองเราก็ต้องมีนโยบายที่ดีในการร่วมมือกับจีน

ซึ่งที่ประชุมฯ ได้เปิดโอกาสให้ภาคเอกชนที่ทำธุรกิจในจีน ร่วมแลกเปลี่ยนความเห็น ทั้งสถานการณ์การค้าในปัจจุบันของแต่ละบริษัท การค้าไทย-จีน โอกาสในการดำเนินธุรกิจ ปัญหาอุปสรรคทางการค้าในปัจจุบัน แนวทางการแก้ไขและผลักดันสินค้าและบริการไทย ที่เอกชนต้องการให้กระทรวงพาณิชย์ช่วยผลักดัน และเสริมความร่วมมือในอนาคต โดยกระทรวงพาณิชย์ยืนยันที่จะให้การสนับสนุนภาคเอกชนอย่างเต็มที่ ในฐานะทัพหน้าในการขยายการค้า โดยพร้อมที่จะช่วยพัฒนาผู้ประกอบการในด้านต่างๆ

ข้อมูลจากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ระบุว่า ปัจจุบันจีนเป็นคู่ค้าอันดับ 1 มีมูลค่าการค้าระหว่างกันที่สูงที่สุดกับไทยเป็นเวลาติดต่อกันถึง 12 ปี ตั้งแต่ปี 2556 จนถึงปัจจุบัน โดยในปี 2566 มีมูลค่าการค้า 3.65 ล้านล้านบาทลดลง 0.19% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยช่วง 9 เดือน ปี 2567 (ม.ค.-ก.ย.) การค้าไทยและจีนมีมูลค่ารวม 3 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.38% สินค้าส่งออกหลักของไทยไปจีน  5 อันดับแรก ได้แก่ 1.ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง 2.ผลิตภัณฑ์ยาง 3.เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ 4.เม็ดพลาสติก 5.ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และสินค้านำเข้าหลักของไทยจากจีน ได้แก่ 1.เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ 2.เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ 3.เคมีภัณฑ์ 4.เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน 5.เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ

โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะเลือกตั้ง โกยคะแนนแตะ 270 ผงาดปธน.คนที่ 47

(6 พ.ย. 67) นายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 45 กำลังจะกลายเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนต่อไปถัดจากนายโจ ไบเดน โดยผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการระบุว่า นายทรัมป์จากรีพับลิกันชนะเลือกตั้งด้วยคะแนน Electoral College 266 เสียง มีชัยเหนือนางกมลา แฮร์ริส คู่แข่งจากพรรคเดโมแครตที่ได้คะแนน 194

แม้ว่าผลการประกาศคะแนนรัฐสวิสสเตตทั้ง 7 รัฐจะยังไม่ครบ แต่ก็มีโอกาสสูงที่ทรัมป์จะคว้าชัย หลังพรรครีพับลิกันยึดครองรัฐที่เป็นสมรภูมิรบอย่างเพนซิลเวเนีย นอร์ทแคโรไลนา และจอร์เจีย และครองตำแหน่งนำในอีก 4 รัฐ ซึ่งทำให้นางแฮร์ริสโอกาสริบหรี่จะตีคะแนนขึ้นนำได้

นายทรัมป์ได้ขึ้นเวทีที่ศูนย์ประชุมเมืองปาล์มบีช รัฐฟลอริด้า ประกาศชัยชนะเหนือพรรคแดโมแครต ซึ่งถือเป็นการกลับมาอย่างน่าทึ่งทางการเมือง 4 ปีหลังจากที่เขาออกจากทำเนียบขาว

ทรัมป์ได้รับเสียงเชียร์จากผู้สนับสนุนในงานเลี้ยงฉลองการเลือกตั้งที่ Palm Beach Convention Center ในฟลอริดา โดยมีครอบครัวและ JD Vance เพื่อนร่วมทีมของเขาขึ้นเวทีร่วมด้วย

ทรัมป์กล่าวที่ Palm Beach County Convention Center ว่า "ผมกลับมาแล้ว ... อเมริกาได้มอบอำนาจที่ไม่เคยมีมาก่อนและทรงพลังให้กับเรา"

'เชียงราย' สืบสวน ตม.เชียงรายขยายผลจับกุมกลุ่มขบวนการขนคนจีนผิดกฏหมาย

(6 พ.ย. 67) เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสืบเนื่องจากกลุ่มขบวนการนาย สุรเดช เตคุ้ม และพวกมีพฤติการณ์รับคนต่างด้าวสัญชาติจีนจากชายแดนไทย-ลาว ฝั่งอำเภอเชียงแสนจังหวัดเชียงรายโดยมีการนำคนต่างด้าวมาพักเอาไว้ที่โรงแรมในอำเภอเมืองเชียงรายเพื่อรอกลุ่มขบวนการมารับตัวต่อไปยังชายแดนไทย-เมียนมาฝั่งจังหวัดตากเป็นประจำโดยแบ่งหน้าที่กันทำงานต่อมาเมื่อวันที่21สิงหาคม2567ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงรายได้ร่วมกับตำรวจตระเวนชายแดนที่327และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้จับกุมบุคคลสัญชาติไทยนาย สุรเดช เตคุ้ม อายุ31ปีกับพวกรวม3คนพร้อมยึดรถยนต์กระบะของกลางจำนวน2คันโดยการร่วมกันช่วยเหลือซ่อนเร้นหรือช่วยด้วยประการใดๆเพื่อให้คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยผิดกฏหมายนำส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอพานดำเนินคดีและหลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงรายได้ทำการสืบสวนขยายผลผู้ร่วมกระทำความผิดหรือมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับคดีจนรวบรวมพยานหลักฐานจึงขอศาลอนุมัติออกหมายจับบุคคลที่เกี่ยวข้องโดยมีนาย ทิวากร ศรีสรวล เป็นบุคคลที่มีส่วนให้การช่วยเหลือบุคคลต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายโดยทำหน้าที่ในการจัดหาสถานที่พักจองห้องพักโรงแรมในตัวเมืองเชียงรายซึ่งเป็นสถานที่พักกลุ่มผู้ต้องหาคนต่างด้าวสัญชาติจีนทั้ง9คนไปพักคอยก่อนที่จะพาเดินทางต่อไปยังพื้นที่จังหวัดลำปางนั้นหลังจากนั้นเมื่อวันที่5พฤศจิกายน2567ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงรายได้ร่วมกันทำการสืบสวนติดตามผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดเชียงรายพบว่าผู้ต้องหามีที่พักอาศัยอยู่บ้านเลขที่296/142หมู่9ตำบลเวียงอำเภอเมืองจังหวัดเชียงรายเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้แจ้งให้ผู้บังคับบัญชาทราบและผู้บังคับบัญชาได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่สืบสวนปราบปรามตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงรายเฝ้าสังเกตการณ์และสืบสวนติดตามผู้ต้องหาอย่างต่อเนื่องต่อมาได้ตรวจพบผู้ต้องหาตามหมายจับได้ขับรถยนต์เก๋งมิตซูบิชิรุ่นมิราจสีส้มหมายเลข กษ6425เชียงรายออกจากบ้านพักอาศัยอยู่เจ้าหน้าที่จึงได้ติดตามมาถึงริมถนนสายบายพาส-สนามบินท่าอากาศยามแม่ฟ้าหลวงบ้านดู่ได้พบบุคคลมีลักษณะและตำหนิรูปพรรณตรงตามบุคคลตามหมายจับคือนาย ทิวากรขับรถคันดังกล่าวจริงจากนั้นเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อขอทำการตรวจสอบพบว่าผู้ต้องหาเป็นบุคคลคนเดียวกันกับที่ศาลจังหวัดเชียงรายออกหมายจับจึงได้ควบคุมตัวนำส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอพานดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

สันติ วงศ์สุนันท์/หัวหน้าศูนย์ข่าวอำเภอแม่สายจังหวัดเชียงราย/รายงาน

ผบ.กร.ระบุ สถานการณ์เกาะกูดมีหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ ในพิธีเปิดการฝึกกองเรือยุทธการ ประจำปี 68 

(6 พ.ย.67) กองเรือยุทธการ กองทัพเรือ ได้จัดพิธีเปิดการฝึกองค์บุคคลและยุทธวิธี กองเรือ กองบิน และหน่วยสงครามพิเศษทางเรือ ประจำปี 2568 โดยมี พลเรือเอก ณัฏฐพล เดี่ยววานิช ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ เป็นประธานในพิธีเปิดการฝึกฯ ณ ท่าเรือแหลมเทียน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

พลเรือเอก ณัฏฐพล เดี่ยววานิช ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ (ผบ.กร.) เปิดเผยว่า กองเรือยุทธการเป็นหน่วยกำลังรบหลักของกองทัพเรือ ที่จะต้องมีความพร้อมในการจัดเตรียมกำลังสำหรับการปฏิบัติภารกิจต่าง ๆ สำหรับการฝึกองค์บุคคลและยุทธวิธีกองเรือฯ โดยกำหนดห้วงการฝึกระหว่างเดือน พฤศจิกายน 67 - มกราคม 68 ซึ่งเป็นไปตามภารกิจของกองทัพเรือ ด้านการเตรียมกำลังและป้องกันราชอาณาจักร รักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล และช่วยเหลือประชาชน ตามนโยบายผู้บัญชาการทหารเรือ

โดยมีวัตถุประสงค์การฝึก เพื่อให้มีความพร้อมในการปกป้องอธิปไตยทางทะเล และการช่วยเหลือประชาชน ทั้งนี้หน่วยที่รับการฝึกจะต้องมีความพร้อมในการปฏิบัติภารกิจในสถานการณ์ที่สมจริง ให้สอดคล้องกับแนวทางการใช้กำลังของกองทัพเรือ รวมถึงจะต้องมีความพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่ Combat Staff ของกองเรือเฉพาะกิจปฏิบัติการระยะไกล และกำหนดให้การฝึกต้องผ่านมาตรฐานในระดับ Safe To Sail และBasic Tactic 

ส่วนการฝึกในปีนี้ จะมีการฝึกตามสภาวะแวดล้อมที่ต่างกัน ทั้งสงครามรัสเซีย ยูเครน รวมถึงยุทธศาสตร์ บลูดราก้อนของจีน หรือด้านอินโดแปซิฟิก และจะเห็นการใช้กำลังในเรื่องของสงครามอิสราเอลที่เกิดขึ้นที่ตะวันออกกลาง ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหลานี้ ทางกองเรือยุทธการ จะนำมาศึกษาและนำเทคโนโลยีต่าง ๆ มาพัฒนาการฝึก การฝึกจะเป็นการฝึกแบบเก่าไม่ได้ พร้อมกับจะมีการประเมินผลและแจงแผนการฝึกไปยังกองทัพเรือ ในการพัฒนากำลังรบทางเรืออย่างไร ต่อไป

นอกจากนี้ ยังมีการฝึกเตรียมความพร้อมในการช่วยเหลือประชาชนที่เกิดภัยพิบัติ โดยมุ่งเน้นการเตรียมการล่วงหน้าทั้งด้านกำลังพล ยุทโธปกรณ์ แนวทางปฏิบัติ เพื่อให้สามารถดำเนินการช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ 

ทั้งนี้ กองเรือยุทธการ ได้ให้ความสำคัญในการฝึกองค์บุคคลและยุทธวิธีฯ และการเสริมสร้างกำลังพลให้มีความเป็นทหารอาชีพ เพื่อให้กองเรือยุทธการเป็น "หน่วยกำลังรบหลักของกองทัพเรือ ที่ประชาชนเชื่อมั่นและภาคภูมิใจ" โดยได้มีการนำนโยบายของ ผบ.ทร. ที่ได้กำหนดให้เป็นปีแห่งความปลอดภัยของกองทัพเรือ หรือ 'NAVY-SAFETY 2025' 

พลเรือเอก ณัฏฐพล  กล่าวเสริมอีกว่า ทั้งนี้ได้มีการนำนโยบายด้านความปลอดภัยของ ผบ.ทร. ที่ได้กำหนดให้เป็นปีแห่งความปลอดภัยของกองทัพเรือ หรือ 'NAVY-SAFETY 2025' ถ้ากำลังรบหลักไม่ปลอดภัย ถือเป็นเรื่องใหญ่ของกองทัพเรือ บทเรียนที่ได้รับมา จะมีการนำมาเป็นบทเรียนในเรื่องของ SAFETY ในความปลอดภัยของบุคคล ในความปลอดภัยของเรือ และอากาศยานต่าง ๆ โดยจะมีการนำบทเรือมาวิเคราะห์ ศึกษา และนำมาปฏิบัติต่อไป 

ส่วนในเรื่องสถานการณ์เกาะกูดนั้น ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้กล่าวไว้แล้วในส่วนกำลังทางเรือนั้นมีหน้าที่ ตามรัฐธรรมนูญ ส่วนกองเรือยุทธการ มีหน้าที่เตรียมกำลังทั้งองค์บุคคล และองค์ยุทธวิธี ให้มีความพร้อม อยู่ตลอดเวลา

‘ไต้หวัน’ ขอเข้าร่วมกิจกรรม ‘ตำรวจสากล’ เล็งประสานข้อมูลอุดช่องโหว่อาชญากรรมข้ามชาติ

(6 พ.ย. 67) ไต้หวันเรียกร้องขอมีส่วนร่วมในองค์การตำรวจอาชญากรรมระหว่างประเทศ หรือตำรวจสากล (INTERPOL) เพื่อร่วมรับมืออาชญากรรมใหม่ ทั้งการฉ้อโกงหลอกลวงทางดิจิทัล, การโจมตีทางไซเบอร์, การค้ายาเสพติด, อาชญากรรมข้ามชาติและการก่อการร้าย

นายจางจวิ้นฝู ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเปประจำประเทศไทย ได้เผยแพร่บทความเรื่อง 'จับมือกับไต้หวัน ร่วมกันสร้างโลกที่ปลอดภัย ให้ไต้หวันได้ร่วมกิจกรรมของอินเตอร์โพล' เนื้อหาสำคัญระบุว่า

การประชุมองค์การตำรวจอาชญากรรมระหว่างประเทศ (International Criminal Police Organization, INTERPOL) หรืออินเตอร์โพล ประจำปี 2024 กำลังจะจัดขึ้นในต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 2 แห่งธรรมนูญของอินเตอร์โพล ตามวัตถุประสงค์ขององค์การตำรวจสากล เพื่อเป็นหลักประกันและผลักดันความร่วมมือเกื้อกูลระหว่างหน่วยงานตำรวจทั่วโลกอย่างกว้างขวางที่สุด หลายปีมานี้ เนื่องด้วยพัฒนาการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่รวดเร็ว แนวโน้มอาชญากรรมข้ามชาติข้ามพรมแดนที่สูงขึ้น การก่อคดีอาชญากรรมซึ่งกลายเป็นระบบแบ่งงานอย่างละเอียด เกิดการซ่อนเร้นแอบแฝงตัวตนและพัฒนาการของกระแสเงินเสมือน ทำให้ประชาชนทุกประเทศล้วนมีโอกาสตกเป็นผู้เสียหาย ฉะนั้น หัวข้อสำคัญของประชาคมโลกในขณะนี้คือ จะร่วมมือข้ามชาติแข็งขันมากขึ้นอย่างไร ยกระดับสมรรถนะการใช้กฎหมายอย่างไร จึงจะสามารถร่วมกันรักษาแนวป้องกันนี้ไว้ได้

อาชญากรรมข้ามชาติในลักษณะใหม่ต่างๆ เป็นดังที่อาเหม็ด นาเซอร์ อัล-ไรซี ประธานอินเตอร์โพลเคยแถลงในวันความร่วมมือตำรวจสากลเมื่อวันที่ 7 กันยายนปีนี้ว่า “การแบ่งปันข่าวกรอง กลยุทธ์และทรัพยากรอย่างเปิดเผย ช่วยให้เราพร้อมที่จะรับมือกับภัยคุกคามระดับโลก เช่น อาชญากรรมข้ามชาติ การค้ามนุษย์และการก่อการร้ายได้ดีขึ้น” ไต้หวันมีองค์กรตำรวจ หน่วยงานยุติธรรม การค้าการเงิน ระบบขนส่งทางอากาศและทางน้ำ ประกอบกับระบบการควบคุมการเข้าเมือง อันเป็นเอกเทศ และมีประสบการณ์ที่หลากหลายกับการร่วมมือปราบปรามการฉ้อโกงหลอกลวงทางดิจิทัลข้ามพรมแดน การค้ายาเสพติด การโจมตีทางไซเบอร์ การต่อต้านอาชญากรรมและการก่อการร้าย การปราบอาชญากรรมของไต้หวันเป็นที่ยอมรับของนานาประเทศ โลกปัจจุบันมีความปลอดภัยร่วมกันอย่างใกล้ชิด การจับมือกับไต้หวันของอินเตอร์โพลจะเป็นการเสริมสร้างความมั่นคงและปลอดภัยยิ่งขึ้นแก่ประชาคมโลก

ความปลอดภัยของไต้หวันมีชื่อเสียงระดับโลก กลไกสำคัญการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติขึ้นอยู่กับการแลกเปลี่ยนข้อมูลให้ทันเวลา

จากการสำรวจดัชนีทางเศรษฐกิจประจำปี 2024 (Business Climate Survey 2024 Report) ของหอการค้าสหรัฐอเมริการะบุว่า สมาชิกนักธุรกิจชาวอเมริกันมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่า “ความปลอดภัยของบุคคล” เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ดึงดูดให้ชาวต่างชาติมาพำนักถาวรและมาทำงานในไต้หวัน และตั้งแต่ปี ค.ศ.2017 เป็นต้นมา รายการนี้เป็นหัวข้อที่นักธุรกิจชาวต่างชาติพึงพอใจมากที่สุดตลอด 8 ปี 

นางซานดรา ออดเคิร์ก (Sandra Oudkirk) อดีตผู้อำนวยการ สถาบันอเมริกันในไต้หวัน (AIT) ก็เคยยกย่องว่า “ไต้หวันเป็นแหล่งพำนักอาศัยที่ปลอดภัยที่สุดของข้าพเจ้า” และจากข้อมูลของนัมเบโอ (Numbeo) ดัชนีความปลอดภัยของไต้หวันติดอันดับที่ 4 ของโลก รองจากประเทศอันดอร์รา สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และกาตาร์เท่านั้น ส่วนอัตราการเกิดอาชญากรรมจัดอยู่ 4 อันดับท้ายสุด จากรายงานของเอ็กซ์แพท อินไซเดอร์ (Expat Insider) ประจำปี ค.ศ. 2023 ที่ประกาศโดยอินเตอร์เนชั่น (InterNations) พบว่าในประเทศที่เหมาะกับการอยู่อาศัยทั่วโลก ดัชนีโดยรวมของไต้หวันติดอันดับ 5 คุณภาพชีวิตอันดับ 2 และความปลอดภัยอันดับที่ 8 การรักษาพยาบาลดูแลสุขภาพยิ่งสูงเป็นอันดับที่ 1

ทว่า แม้ไต้หวันจะมีสมรรถภาพสูงในการบังคับใช้กฎหมาย แต่ระหว่างการสืบสวนอาชญากรรมนอกจากความร่วมมือกับมิตรภาพซึ่งทรงความสำคัญอย่างยิ่งยวดแล้ว การได้รับหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกันอย่างทันเวลาก็เป็นกลไกสำคัญในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติเช่นกัน แต่ด้วยอุปสรรคที่ไม่สามารถเข้าร่วมเป็นสมาชิกอินเตอร์โพล ไต้หวันจึงได้แต่แสวงหาความร่วมมือกับนานาประเทศทางอ้อม และต้องเสียเวลาไม่น้อยกว่าจะได้ข้อมูลที่ต้องการ ซึ่งเมื่อได้มาก็อาจพลาดโอกาสหรือล่วงเลยเวลา สภาพที่เป็นอุปสรรคอันไม่น่าจะเป็นเช่นนี้มักทำให้อาชญากรข้ามชาติมีเวลากระทำความผิดมากกว่าเดิม และก่อให้เกิดความสูญเสียระดับโลกอย่างใหญ่หลวง

ตัวต่อจิ๊กซอว์การรักษาความปลอดภัยสากล ถ้าขาดไต้หวันจะไม่สมบูรณ์

ดังที่ประธานอัล-ไรซีกล่าวไว้ หัวข้อการประชุมความร่วมมือตำรวจสากลประจำปีนี้คือ “ความซื่อสัตย์ ความรับผิดชอบและการกำกับดูแลของตำรวจ” ซึ่งล้วนเป็นค่านิยมสำคัญของงานตำรวจและความปลอดภัยของโลก หลักการเหล่านี้เป็นรากฐานความมั่นใจของมหาชน และมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในการป้องกันอาชญากรรม พิทักษ์ผู้ด้อยโอกาสและผดุงไว้ซึ่งความยุติธรรมของไต้หวัน แน่นอนที่ความร่วมมือของตำรวจสากลคือพลังสำคัญที่สุด ไต้หวันตั้งอยู่ในตำแหน่งยุทธศาสตร์ที่มีเอกลักษณ์ มีความสามารถในการเชื่อมโยงและแบ่งปันข้อมูลกับนานาประเทศอย่างต่อเนื่อง และยินดีร่วมมือกับทุกประเทศในการธำรงสันติภาพ ความปลอดภัยและความเจริญรุ่งเรือง

ปัจจุบัน ไต้หวันได้รับสิทธิในการยกเว้นวีซ่าเข้าประเทศจากหนึ่งร้อยกว่าประเทศ จึงทำให้พาสปอร์ตของไต้หวันกลายเป็นหนึ่งในเป้าหมายการช่วงชิงของอาชญากรข้ามชาติ ขณะนี้ ทางการตำรวจไต้หวันได้ทลายแหล่งซื้อขายพาสปอร์ตไต้หวันของกลุ่มมิจฉาชีพในหลายประเทศ อาชญากรมักใช้พาสปอร์ตปลอมของไต้หวันในประเทศต่างๆ เพื่อหลบซ่อนหนีคดีหรือไม่ก็กระทำการไม่สุจริต เป็นภัยต่อความปลอดภัยของนานาประเทศและเกิดช่องโหว่ร้ายแรงต่อความปลอดภัยของโลก อย่างไรก็ตาม ไต้หวันสูญเสียสมาชิกภาพใน “องค์การตำรวจอาชญากรรมระหว่างประเทศ” นานถึง 40 ปีด้วยสาเหตุทางการเมือง จึงไม่อาจใช้ข้อมูล ระบบการติดต่อและข้อมูลอาชญากรจากคลังข้อมูลของอินเตอร์โพล และยิ่งไม่สามารถได้รับข้อมูลอาชญากรรมอย่างทันท่วงที หรือแม้แต่การแจ้งให้ทราบถึงคดีใหญ่ (เช่น การฉ้อโกง การค้ายาเสพติด เป็นต้น) หมายจับอาชญากร อีกทั้งไม่อาจนำเสนออาชญากรรมรูปแบบใหม่และประสบการณ์การสืบสวน ข้อมูลการปลอมแปลงพาสปอร์ตของไต้หวันตลอดจนข้อมูลสำคัญต่างๆ แก่ประเทศทั่วโลก ซึ่งยากที่จะสกัดการลุกลามของคดีอาชญากรรมด้วยการตัดไฟแต่ต้นลม

ไต้หวันยินดีร่วมมือกับมิตรประเทศในการปราบอาชญากรรมข้ามชาติ
ลิซา ไลน์ส (Lisa Lines) หญิงชาวออสเตรเลีย เป็นผู้ต้องหาคดียุยงให้คนรักใหม่ใช้ขวานสังหารอดีตสามีจนพิการเป็นอัมพาตเมื่อปี ค.ศ. 2017 หลังจากนั้นก็หนีมากบดานและทำงานในไต้หวัน แม้อินเตอร์โพลจะออกหมายจับแดงตั้งแต่เดือนกันยายน ค.ศ. 2022 พร้อมกับออกหมายเหลืองช่วยลูกน้อยของเธอที่ถูกระบุว่าสาบสูญ แต่เนื่องจากไต้หวันไม่ได้รับข้อมูลชิ้นนี้ จนกระทั่งเดือนตุลาคม ค.ศ. 2023 ทางการตำรวจออสเตรเลียจึงได้ร้องขอให้ไต้หวันช่วยสืบสวนคดีนี้ ตำรวจไต้หวันจึงรับทราบคดีดังกล่าว หลังสืบตามเบาะแส ทางการตำรวจไต้หวันพบว่า ลิซา ไลน์สได้พาบุตรสาวไปท่องเที่ยวสาธารณรัฐปาเลาและแจ้งให้ตำรวจออสเตรเลียทราบ ตำรวจปาเลาจึงได้จับกุมตัวที่นั่นและส่งผู้ร้ายข้ามแดนไปพิจารณาคดีพร้อมกับช่วยเหลือเด็กให้ได้กลับประเทศของตน

ในปี 2024 นี้เอง หน่วยงานคดีละเมิดลิขสิทธิ์ออนไลน์ของอินเตอร์โพล (INTERPOL Stop Internet Piracy, I-SOP) ได้ระบุในรายงานที่ใช้ชื่อว่า “โอลิมปิกปารีส 2024 : ภัยคุกคามแฝงการละเมิดลิขสิทธิ์ดิจิทัล” (Paris 2024 Olympic Games : Awareness for Potential Digital Piracy Services) ระบุว่า ไต้หวันเคยคลี่คลายคดีการถ่ายทอดกีฬาโอลิมปิกโดยใช้กล่องรับสัญญาณอย่างมิชอบ (Unblock Tech TV Box) และได้ขอให้ไต้หวันช่วยแบ่งปันประสบการณ์สืบสวนสอบสวน ขณะเดียวกันก็ขอให้แจ้งการสืบสวนเกี่ยวกับการละเมิดลิขสิทธิ์ด้วยวิธีนี้ที่อาจปรับใช้ในอนาคต เพื่อคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา

เพื่อเครือข่ายความปลอดภัยนานาชาติที่สมบูรณ์ โปรดสนับสนุนให้ไต้หวันได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมของอินเตอร์โพล

วันที่ 30 เมษายน ปีนี้ (2024) บอนนี่ แกลเซอร์ (Bonnie Glaser) ผู้อำนวยการฝ่ายแผนเอเชียกองทุนเยอรมันมาร์แชล (The German Marshall Fund of the United State) และฌาคส์ เดอ ลีส์ (Jacques deLisle) นักกฎหมาย ซึ่งต่างเป็นที่ปรึกษาระดับนโยบายของรัฐบาลวอชิงตันได้ให้ความเห็นข้อกฎหมายระบุว่า มติที่ 2758 ขององค์การสหประชาชาติ ไม่ควรตั้งอยู่บนฐานของ “จีนเดียว” ต่อจากนั้นในวันที่ 27 มิถุนายน สถาบันนโยบายทางยุทธศาสตร์แห่งออสเตรเลีย (Australian Strategic Policy Institute, ASPI) ได้ตีพิมพ์บทความของ ดร.จอห์น คอยน์ (John Coyne) ว่า “การกีดกันไต้หวันออกจากอินเตอร์โพลเป็นความสูญเสียของโลก” (Taiwan’s exclusion from Interpol is the world’s loss) บทความระบุว่า ไต้หวันมีความสามารถใหญ่หลวงด้านการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพต่อการปราบอาชญากรข้ามชาติ เช่น การค้ามนุษย์ ซึ่งแม้จะได้รับการสนับสนุนจากหลายประเทศ แต่ไต้หวันยังคงไม่มีโอกาสได้รับข้อมูลและระบบความร่วมมือจากอินเตอร์โพล เท่ากับจำกัดประสิทธิภาพที่ควรมี การให้ไต้หวันได้มีฐานะเป็นผู้สังเกตการณ์ของอินเตอร์โพลจะเพิ่มพูนความปลอดภัยของนานาประเทศ ผดุงความยุติธรรมและลดผลทางลบด้านการปราบอาชญากรรมของโลกที่เกิดจากปัจจัยทางการเมือง

ด้วยเหตุนี้ จึงขอเรียนเชิญทุกประเทศสนับสนุนไต้หวันให้ได้เข้าร่วมการประชุมใหญ่อินเตอร์โพลในฐานะผู้สังเกตการณ์ ให้ตำรวจไต้หวันได้มีส่วนร่วมในกิจกรรม การประชุม การฝึกอบรมและการแลกเปลี่ยนขององค์กร เพื่อสร้างการติดต่อกับสมาชิกต่างๆ ช่วยกันปิดช่องโหว่ด้านอาชญากรรมอันเกิดจากข้อมูลไม่ครบถ้วน ตำรวจไต้หวันจะยึดมั่นในการธำรงไว้ซึ่งความสงบเรียบร้อยของสังคม ลดความสูญเสียของชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน และจะร่วมมืออย่างเต็มที่กับนานาประเทศเพื่อปราบอาชญากรรมข้ามชาติ

8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2436 วันพระราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว กษัตริย์นักประชาธิปไตย ผู้สละราชบัลลังก์เพื่อประชาชน

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระมหากษัตริย์สยาม รัชกาลที่ 7 แห่งราชวงศ์จักรี เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันพุธ แรม 14 ค่ำ เดือน 11 ปีมะเส็ง เวลา 12.25 น. หรือตรงกับวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2436 

โดยเป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 96 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระองค์ที่ 14 ในสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ขึ้นเสวยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์ เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468

โดยตลอดรัชสมัยพระองค์ปฏิบัติพระราชกรณียกิจที่สำคัญหลายด้าน เช่น ด้านการปกครอง โปรดให้ตั้งสภากรรมการองคมนตรี ทรงตรากฎหมายเพื่อควบคุมการค้าขายที่เป็นสาธารณูปโภคและการเงิน ระบบเทศบาล ด้านการศาสนา การศึกษา ประเพณีและวัฒนธรรมนั้น พระองค์โปรดให้สร้างหอพระสมุด ทรงปฏิรูปการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย 

นอกจากนี้ มีการปรับปรุงการศึกษาจนยกระดับมาตรฐานถึงปริญญาตรี ทรงตั้งราชบัณฑิตยสภา โปรดให้จัดพิมพ์พระไตรปิฎกฉบับพิมพ์อักษรไทยสมบูรณ์ ชื่อว่า “พระไตรปิฎกสยามรัฐ” เป็นต้น ความไม่พอพระราชหฤทัยและการเพลี่ยงพล้ำในการคัดค้านคณะราษฎรในหลายโอกาสนำไปสู่การสละราชสมบัติ และพระองค์ยังทรงถูกฟ้องคดียึดทรัพย์

สำหรับชีวิตส่วนพระองค์นั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวอภิเษกสมรสกับหม่อมเจ้ารำไพพรรณี สวัสดิวัตน์ (ต่อมาเฉลิมพระนามเป็นสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี) ไม่มีพระราชโอรสและพระราชธิดา แต่มีพระราชโอรสบุญธรรมคือพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจิรศักดิ์สุประภาต 

ทั้งนี้พระองค์ทรงสละราชสมบัติเมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2478 รวมดำรงสิริราชสมบัติ 9 ปี และเสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2484 สิริพระชนมพรรษา 47 พรรษา หลังสวรรคต พระองค์ได้รับการยกย่องจากองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2536 เนื่องในวโรกาสฉลองวันพระราชสมภพครบ 100 ปี พระองค์ทรงได้รับการยกย่องจากนักประวัติศาสตร์ว่าเป็น "กษัตริย์นักประชาธิปไตย" ผู้เผชิญหน้าการเปลี่ยนแปลงการปกครอง และยอมสละราชบัลลังก์ เพื่อให้คนกลุ่มใหม่ปกครองประเทศ เพราะไม่อยากสู้รบให้คนไทยต้องเสียเลือดเนื้อ

‘อนุสรณ์ อุณโณ’ นักวิชาการ มธ. คว้ารางวัลวิจัยดีเด่น จากผลงานวิจัย ‘ให้มันจบที่รุ่นเรา : ขบวนการเยาวชนไทยฯ’

(6 พ.ย. 67) รศ.ดร.อนุสรณ์ อุณโณ คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คว้ารางวัล ‘ผลงานวิจัยดีเด่น สาขาสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ. 2567’ จากผลงานวิจัย ‘ให้มันจบที่รุ่นเรา: ขบวนการเยาวชนไทยในบริบทสังคมและการเมืองร่วมสมัย’ เป็นงานวิจัยที่รวบรวมเส้นเรื่อง ปัจจัยการก่อตัว แนวทางการเคลื่อนไหว ฯลฯ เปรียบได้กับการบันทึกประวัติศาสตร์การเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่ในปี 2563 ที่ค่อนข้างละเอียดครอบคลุม โดยนักวิชาการ 5 คน ประกอบด้วย อนุสรณ์ อุณโณ, สามชาย ศรีสันต์, เสาวนีย์ ตรีรัตน์ อเลกซานเดอร์, อสมา มังกรชัย และ ชัยพงษ์ สำเนียง

ขณะที่ ผลงานวิจัยดังกล่าว ยังถูกนำมาปรับปรุงเป็นหนังสือ ในชื่อเดียวกัน คือ ‘ให้มันจบที่รุ่นเรา” : ขบวนการเยาวชนไทยในบริบทสังคมและการเมืองร่วมสมัย” โดยเป็นการศึกษาว่า “ขบวนการเยาวชนไทย” ในปัจจุบันก่อตัวขึ้นบนเงื่อนไขปัจจัยอะไร ผู้เข้าร่วมประกอบด้วยใคร มีมูลเหตุและแรงจูงใจอะไร ขณะเดียวกันก็ศึกษาว่าพวกเขาจัดรูปองค์กรการเคลื่อนไหวในลักษณะใด ในการสร้างเครือข่ายอย่างไร เสนอข้อเรียกร้องอะไร อาศัยกลวิธีใดในการเคลื่อนไหว และได้รับการตอบสนองอย่างไรทั้งจากรัฐและสังคม

นอกจากนั้น ‘ให้มันจบที่รุ่นเรา’ ยังเป็นประโยคบอกเล่าที่ในช่วงระยะเวลาหนึ่งของสังคม ของบ้านเมือง ได้ถูกบันทึกลงในประวัติศาสตร์ ถึงเรื่องราวและบริบททางการเมืองและสังคม อันเป็นแรงจูงใจในการชุมนุมเคลื่อนไหวของนักเรียน นิสิต นักศึกษาและเยาวชน ที่ขยายตัวอย่างกว้างขวาง นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 เป็นต้นมา โดยการใช้คำพูดนี้ในการประกาศรวมตัวกันเรียกร้องดังที่ปรากฎ “อย่าให้เรื่องราวเหล่านี้กลายเป็นเรื่องของลูกหลานเรา ที่ต้องมาเรียกร้องความยุติธรรมอย่างไม่จบสิ้น…ให้มันจบในรุ่นของพวกเรา…”

7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 ในหลวง ร. 9 เสด็จฯ ในพระราชพิธีถวายผ้าพระกฐิน โดยกระบวนพยุหยาตราชลมารค ณ วัดอรุณราชวรารามฯ

วันนี้ เมื่อ 28 ปีก่อน พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) เสด็จพระราชดำเนินในพระราชพิธีถวายผ้าพระกฐิน โดยกระบวนพยุหยาตราชลมารค ณ วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร ซึ่งเป็นหนึ่งในพระราชพิธีกาญจนาภิเษก พุทธศักราช 2539 ที่จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี นับเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของไทยที่ครองราชสมบัติเป็นระยะเวลายาวนานที่สุด

ขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ในสมัยรัชกาล ครั้งใหญ่ซึ่งเป็นที่จดจำ คือ การจัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารค (ใหญ่) เฉลิมฉลองในพระราชพิธีกาญจนาภิเษกในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี 

ซึ่งทรงครองราชย์นานกว่าพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ในอดีต โดยจัดขึ้นเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 อย่างยิ่งใหญ่ โดยในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้เสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน โดยขบวนพยุหยาตราชลมารค ณ วัดอรุณราชวราราม

ซึ่งขบวนพยุหยาตราทางชลมารคครั้งนี้ได้มีการจัดริ้วขบวนอย่างยิ่งใหญ่และสง่างาม อีกทั้งยังมีเรือพระราชพิธีลำใหม่ คือ เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9 ซึ่งกองทัพเรือและกรมศิลปากรร่วมกันสร้างขึ้นเพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวาย

โดยได้นำโขนหรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณที่สร้างในสมัยรัชกาลที่ 3 และรัชกาลที่ 4 มาเป็นแม่แบบ ซึ่งกองทัพเรือได้ดำเนินการสร้างในส่วนที่เป็นโครงสร้างของตัวเรือ พายและคัดฉาก ส่วนกรมศิลปากรดำเนินการในงานที่เกี่ยวกับศิลปกรรมของเรือทั้งหมด

โดยหัวเรือพระที่นั่ง จำหลักรูปพระวิษณุประทับยืนบนครุฑ ซึ่งได้แสดงรูปพระวิษณุและลักษณะอันโดดเด่นของพระองค์ เช่น พระวรกายคล้ำ ในพระกรทั้ง 4 ทรงถือจักร สังข์ คทา และตรีศูล ประทับบนครุฑยุดนาค หรือครุฑที่จับนาค 2 ตัวชูขึ้น

ตามคัมภีร์ปุราณะ ครุฑกับนาคเป็นศัตรูกัน แต่ทั้งสองก็รับใช้พระวิษณุ ครุฑ เจ้าแห่งนกทั้งหลาย เป็นสัญลักษณ์แห่งพลังของท้องฟ้า นาค เป็นสัญลักษณ์แห่งพลังของน้ำ เมื่อพระวิษณุอยู่เหนือครุฑและนาค ย่อมแสดงว่าพระองค์ทรงมีพลังในการพิทักษ์ปกป้องโลกทั้งมวล

ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) ได้มีการจัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500 จนกระทั่งปี พ.ศ. 2555 จำนวน 15 ครั้ง

และจัดขบวนเรือพระราชพิธี จำนวน 2 ครั้ง สำหรับขบวนพยุหยาตราทางชลมารคในสมัยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) ส่วนใหญ่จะเป็นการเสด็จไปทอดผ้าพระกฐิน ณ วัดอรุณราชวราราม

ส่วนการจัดขบวนเรือพระราชพิธี 2 ครั้ง ได้แก่ การจัดขบวนเรือพระราชพิธี เนื่องในการประชุมเอเปก 2003 (20 ตุลาคม พ.ศ. 2546)

และเนื่องในวโรกาสสมเด็จพระราชาธิบดีและสมเด็จพระราชินีต่างประเทศ ร่วมงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี (12 มิถุนายน พ.ศ. 2549) โดยการจัดขบวนเรือพระราชพิธี 2 ครั้งนี้ เป็นเพียงการสาธิตแห่ขบวนเรือซึ่งพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มิได้เสด็จในขบวนด้วย

สิ้นนักแสดงอาวุโส ‘คุณยายบรรเจิดศรี’ จากไปอย่างสงบในวัย 100 ปี

วงการบันเทิงสูญเสีย สุดอาลัย นักแสดงอาวุโส คุณยาย บรรเจิดศรี ยมาภัย ในวัย 100 ปี ดาราสาวโพสต์อาลัยคุณย่าสุดเศร้า

(6 พ.ย.67) วงการบันเทิงสูญเสียอดีตนักแสดงอาวุโส คุณยายบรรเจิดศรี ยมาภัย ในวัย 100 ปี โดยกำหนดการสวดอภิธรรม ณ ศาลา 10 วัดมกุฏกษัตริยารามราชวรวิหาร มีพิธีสวดอภิธรรม เวลา 18.30 น. วันที่ 7 พ.ย. – วันที่ 11 พ.ย.และวันที่ 12 พ.ย. มีพิธีฌาปนกิจ เวลา 17.00 น.

โดย แดนดาว ยมาภัย นักแสดงดังจาก ละคร พรหมลิขิต ซึ่งเป็นหลานของคุณย่าบรรเจิดศรี โพสต์อาลัย คุณย่าด้วยว่า “You are in my heart and you will always be in there forever หลับพักผ่อนให้สบายนะคะคุณย่า ไว้เราเจอกันใหม่นะ แค่นี้ก็คิดถึงแล้ว”

ประวัติ คุณยายบรรเจิดศรี ยมาภัย (2 มิถุนายน พ.ศ. 2467 – 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567) เข้าสู่วงการแสดงเมื่ออายุราว 50 ปี มีผลงานการแสดงละครเรื่องแรก ๆ อย่าง ปู่โสมเฝ้าทรัพย์ , เคหาสน์สีแดง ปี 32 ละคร คู่กรรม (รับบทยายอังศุมาลิน) ปี 33 ละคร หลงเงาจันทร์ และละคร ดาวพระศุกร์ นอกจากนี้ในปี 2537 ยังแสดงภาพยนตร์เรื่อง อำแดงเหมือนกับนายริด และทำให้ได้รับรางวัลชมรมวิจารณ์บันเทิง ครั้งที่ 5 ประจำปี 2537 ในสาขาผู้แสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม จากการแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้

คุณยายบรรเจิดศรี สมรสกับบุคคลนอกวงการ มีบุตร-ธิดา 2 คน คือ 1.อาจารย์ศัลยา สุขะนิวัตติ์ นักเขียนบทละครชื่อดัง และ 2.ดอน พฤกษ์พยุง นักแสดงชาวไทย

รวมทั้งยังเป็นคุณย่าของ แดนดาว พฤกษ์พยุง หรือใช้ชื่อในการแสดงในพรหมลิขิตว่า แดนดาว ยมาภัย โดย ยมาภัย เป็นสกุลก่อนสมรสของคุณยายบรรเจิดศรี และคุณยายบรรเจิดศรีเป็นญาติกับมนฤดี ยมาภัย อดีตนักแสดงชาวไทยด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top