Thursday, 26 June 2025
TheStatesTimes

‘โฆษกกระทรวงดีอี’ เปิดข้อมูลศูนย์ AOC 1441 เตือนภัยประชาชน  ‘5 เคส’ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ข่มขู่-หลอกลวง ติดตั้งแอปดูดเงิน เหยื่อเสียหายกว่า 5 ล้านบาท

(4 พ.ย. 67) นางสาววงศ์อะเคื้อ บุญศล โฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ฝ่ายการเมือง เปิดเผยว่า ในช่วงวันที่ 28 ตุลาคม – 3 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมาศูนย์ AOC 1441 (Anti Online Scam Operation Center) ได้มีรายงานเคสตัวอย่างอาชญากรรมออนไลน์ที่ประชาชนได้รับผลกระทบจากการถูกหลอกลวง จำนวน 5 เคส ประกอบด้วย คดีที่ 1 คดีข่มขู่ทางโทรศัพท์ให้เกิดความกลัวแล้วหลอกให้โอนเงิน (Call Center) มูลค่าความเสียหาย 1,480,741 บาท โดยผู้เสียหายได้รับการติดต่อจากมิจฉาชีพผ่านทางโทรศัพท์ อ้างตนเป็นเจ้าหน้าที่เครือข่าย โทรศัพท์AIS แจ้งว่าผู้เสียหายได้ทำการเปิดหมายเลขโทรศัพท์ผิดกฎหมาย และโอนสายไปให้สนทนากับเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้ว โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งว่าหมายเลขโทรศัพท์มือถือ และบัญชีธนาคารของผู้เสียหายถูกใช้ในการฟอกเงินคดียาเสพติดในพื้นที่ชายแดน จากนั้นขอตรวจสอบเส้นทางการเงินในบัญชี หากไม่ให้ความร่วมมือจะมีความผิดตามกฎหมาย ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินไป ภายหลังการโอนเสร็จไม่สามารถติดต่อได้อีก ผู้เสียหายเชื่อว่าตนเองถูกมิจฉาชีพหลอก

คดีที่ 2 คดีหลอกลวงให้โอนเงินเพื่อรับรางวัล หรือวัตถุประสงค์อื่นๆ  มูลค่าความเสียหาย 1,989,574 บาท ผู้เสียหายได้รับข้อความ SMS จากมิจฉาชีพผ่านช่องทางโทรศัพท์แจ้งว่าพัสดุของท่านจัดส่งไม่สำเร็จ เนื่องจากเกิดความเสียหายขึ้น และจะโอนเงินค่าสินค้าคืนให้ Flash Express ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงกดลิงก์ไปจากนั้นเพิ่มเพื่อนทาง Line อัตโนมัติ มิจฉาชีพอ้างตนเป็นเจ้าหน้าที่ Flash Express ให้ดำเนินการทำตามขั้นตอนต่าง ๆ ที่เจ้าหน้าที่แนะนำจนเสร็จสิ้นขั้นตอน ต่อมาภายหลังได้รับข้อความ SMS จากธนาคารแจ้งว่ายอดเงินในบัญชีได้ถูกโอนออกไปจนหมด

คดีที่ 3 คดีหลอกลวงให้กู้เงิน มูลค่าความเสียหาย 826,663 บาท ผู้เสียหายพบโฆษณาสินเชื่อกู้เงินง่ายผ่านช่องทาง Facebook ผู้เสียหายสนใจจึงทักไปสอบถามรายละเอียด จากนั้นได้เพิ่มเพื่อนทาง Line มิจฉาชีพให้กรอกข้อมูลและแจ้งว่าให้โอนเงิน เพื่อเป็นค่าประกันสินเชื่อ ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินไป แต่ไม่สามารถถอนเงินกู้ออกมาได้ มิจฉาชีพแจ้งว่าผู้เสียหายกรอกข้อมูลส่วนตัวผิดพลาดระบบจึงทำการล็อกรายการไว้ให้โอนเงิน เพื่อขอรหัสแก้ไข ผู้เสียหายจึงโอนเงินไปให้อีกครั้ง จากนั้นไม่สามารถติดต่อได้อีก ผู้เสียหายเชื่อว่าตนเองถูกมิจฉาชีพหลอก

คดีที่ 4 คดีหลอกลวงให้ลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ มูลค่าความเสียหาย 453,599 บาท ทั้งนี้้ผู้เสียหายได้รับการติดต่อจากมิจฉาชีพผ่านทาง Facebook ชักชวนลงทุนเทรดหุ้น ผู้เสียหายสนใจจึงโอนเงินลงทุนแล้วทำการเทรดมาเรื่อย ๆ ต่อมา ผู้เสียหายต้องการถอนเงินแต่ไม่สามารถถอนได้ มิจฉาชีพแจ้งว่าต้องเสียค่าภาษีและค่าธรรมเนียมก่อน ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินไปให้ หลังจากโอนเงินเสร็จก็ยังไม่สามารถถอนเงินได้อีก มิจฉาชีพแจ้งว่าระบบขัดข้องมีปัญหาให้รอก่อน ภายหลังผู้เสียหายได้รับข้อมูลจากเพื่อนว่าเป็นขบวนการมิจฉาชีพ

และคดีที่ 5  คดีหลอกลวงให้รักแล้วโอนเงิน (Romance Scam) มูลค่าความเสียหาย 310,000 บาท โดยผู้เสียหายได้รับการติดต่อจากมิจฉาชีพผ่านช่องทาง Facebook ใช้โพรไฟล์เป็นหญิงสาว หน้าตาดีและได้เพิ่มเพื่อนทาง Line จากนั้น VDO Call สนทนากัน ฝ่ายหญิงอ้างว่าพักอาศัยอยู่ต่างประเทศมักใช้คำพูดอ่อนหวานกับตนและแจ้งว่าได้ส่งของขวัญเป็นสร้อยทองข้อมือ ของผู้ชายที่มีมูลค่าหลายล้านบาทมาให้ แต่ต้องโอนค่าภาษีค่าธรรมเนียมและค่าขนส่งไปให้ฝ่ายหญิง ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนไปให้หลายครั้ง จากนั้นตนเริ่มสงสัยจึงขอ VDO Call เพื่อดู สร้อยทองข้อมือที่จะส่งมาให้ ปรากฏว่าฝ่ายหญิงไม่สามารถติดต่อได้อีก ผู้เสียหายเชื่อว่าตนเองถูกมิจฉาชีพหลอก

สำหรับมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้ง 5 คดี รวม 5,060,577 บาท

ทั้งนี้ผลการดำเนินงานของ ศูนย์ AOC 1441 ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 ถึง วันที่ 25 ตุลาคม 2567 มีตัวเลขสถิติผลการดำเนินงานดังนี้ 1. สายโทรเข้า 1441 จำนวน 1,179,500 สาย / เฉลี่ยต่อวัน 3,214 สาย , 2. ระงับบัญชีธนาคาร จำนวน 365,404 บัญชี / เฉลี่ยต่อวัน 1,128 บัญชี , 3. ระงับบัญชีตามประเภทคดีสูงสุด 5 ประเภท ได้แก่ (1) หลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการ 108,237 บัญชี คิดเป็นร้อยละ 29.62 (2) หลอกลวงหารายได้พิเศษ 89,692 บัญชี คิดเป็นร้อยละ 24.55 (3) หลอกลวงลงทุน 56,177 บัญชี คิดเป็นร้อยละ 15.37 (4) หลอกลวงให้โอนเงินเพื่อรับรางวัล 30,151 บัญชี คิดเป็นร้อยละ 8.25 (5) หลอกลวงให้กู้เงิน 28,598 บัญชี คิดเป็นร้อยละ 7.83 (และคดีอื่นๆ 52,549 บัญชี คิดเป็นร้อยละ 14.38)

“จากเคสตัวอย่างจะเห็นได้ว่า มิจฉาชีพ หรือ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ใช้วิธีการหลอกลวงผู้เสียหาย ด้วยการอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ ขณะที่บางเคสเป็นการหลอกลวงให้มีการกู้เงิน รวมทั้งหลอกลวงให้ลงทุนในธุรกิจ ด้วยวิธีการติดต่อโทร หรือผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียอย่าง facebook และ Line ก่อนที่จะหลอกลวงให้มีการติดตั้งแอปพลิเคชันดูดเงิน ทั้งนี้ขอย้ำว่า กรณีการข่มขู่ผู้เสียหายว่ามีการกระทำผิดในอาชญากรรมออนไลน์ ขอให้ผู้เสียหายตรวจสอบข้อมูลจากศูนย์ AOC 1441 เพื่อความแน่ใจ ก่อนที่จะมีการการดำเนินการใดๆ เพื่อความปลอดภัย ด้านกรณีการลงทุนในธุรกิจที่ไม่มีการรับรองโดยหน่วยงานที่มีความน่าเชื่อถือ เป็นการเสี่ยงต่อการถูกหลอกลวง ขณะเดียวกันกรณีที่อ้างมีการแอบอ้างให้บริการสินเชื่อ ควรพิจารณาอย่างรอบคอบถึงความน่าเชื่อถือของบริษัทที่ให้บริการ รวมทั้งการให้รางวัล หรือโอนเงินบำนาญ หรือการทำธุรกรรมของเจ้าหน้าที่รัฐนั้น ควรตรวจสอบจากหน่วยงานนั้นๆ โดยตรง และควรตระหนักเป็นอันดับแรกว่าการติดต่อโดยตรงจากเจ้าหน้าที่รัฐถึงประชาชน เป็นการติดต่อที่น่าสงสัย ดังนั้นขอให้สอบถามรายละเอียดให้แน่ชัดก่อนให้ข้อมูลส่วนบุคคล และทำการเพิ่มเพื่อนหรือดำเนินการใดๆในโซเชียลมีเดีย นอกจากนี้ควรตรวจสอบการลงทุนในธุรกิจต่างๆ อย่างรอบคอบ และติดต่อสอบถามไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสอบถามรายละเอียดให้แน่ชัด หรือติดต่อผ่านทางสายด่วน AOC 1441 เพื่อยืนยันตรวจสอบข้อเท็จจริง” โฆษกกระทรวงดีอี กล่าว

นางสาววงศ์อะเคื้อ กล่าวว่า ขอให้ประชาชนยึดหลัก 4 ไม่ คือ 1. ไม่กดลิงก์ 2.ไม่เชื่อ 3.ไม่รีบ และ 4.ไม่โอน ก่อนที่จะทำธุรกรรมใดๆ อย่ากดเข้าลิงก์เว็บไซต์ หรือดาวน์โหลด และอัปโหลดแพลตฟอร์ม ที่มีการส่งต่อจากช่องทางที่ไม่แน่ใจ โดย กระทรวง ดีอี ได้เร่งดำเนินการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ทุกรูปแบบร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการเผยแพร่ให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันภัยอาชญากรรมออนไลน์ ผ่านศูนย์ AOC 1441 เพื่อแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกับประชาชนอย่างต่อเนื่อง และหากประชาชนโดนหลอกออนไลน์ โทรแจ้งดำเนินการ ระงับ อายัดบัญชี AOC 1441 จ้งเบาะแส ข่าวปลอม และอาชญากรรมออนไลน์ทุกรูปแบบ โทรสายด่วน 1111 (24 ชั่วโมง) หรือ Line ID : @antifakenewscenter และ เว็บไซต์ www.antifakenewscenter.com  

ขอนแก่น-"ธปท. สภอ."แจง! โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ ยังเป็นแรงส่งสำคัญ

(4 พ.ย. 67) โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 10,000 บาท มีผู้ได้รับสิทธิอยู่ในภาคอีสานมากที่สุด ทำให้เห็นการซื้อสินค้าในชีวิตประจำวันของเดือน ก.ย. เพิ่มขึ้นกว่าภาคอื่น

เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2567 ที่ ห้องปัญญาวิจิตร ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ธปท. สภอ.) ดร.ทรงธรรม ปิ่นโต ผู้อำนวยการอาวุโส ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ธปท. สภอ.) เปิดแถลงข่าวเศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ไตรมาส 3 ปี 2567  สรุปสาระสำคัญ ดังนี้ เศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ไตรมาส 3 ปี 2567 ยังมีปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ไม่แตกต่างจากไตรมาสก่อน ตามกำลังซื้อที่เปราะบาง สะท้อนจากยอดขายยานยนต์ และอสังหาริมทรัพย์ที่หดตัวต่อเนื่อง  อย่างไรก็ดีการใช้จ่ายภาครัฐช่วยสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจในเดือนกันยายนให้ปรับดีขึ้น

โดยการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณส่งผลดีต่อเศรษฐกิจที่เกี่ยวเนื่อง อีกทั้งโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 10,000 บาท มีผู้ได้รับสิทธิอยู่ในภาคอีสานมากที่สุด ทำให้เห็นการซื้อสินค้าในชีวิตประจำวันของเดือน ก.ย. เพิ่มขึ้นกว่าภาคอื่น มองไปไตรมาส 4 ปี 2567 เศรษฐกิจอีสานยังคงมีแรงส่งต่อเนื่อง จากการเบิกจ่ายของภาครัฐ และโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ ที่ยังเป็นแรงส่งสำคัญ ประกอบกับผลจากการปรับลดดอกเบี้ยจะช่วยบรรเทาภาระหนี้ และสนับสนุนการดำเนินธุรกิจได้บ้าง ส่งผลดีทันทีต่อลูกหนี้ 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ สินเชื่อเกษตร สินเชื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อธุรกิจ จึงปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจภาคอีสานปี 2567  จากที่คาดว่าจะทรงตัวเป็นขยายตัวเล็กน้อย และในปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวจาก  1)งบประมาณภาครัฐปีงบประมาณ 68 ที่จัดสรรได้เพิ่มขึ้นจากปีก่อน และงบผูกพันจากปีงบประมาณ 67 ที่เบิกจ่ายได้ต่อเนื่อง  2)ผลผลิตเกษตรที่เพิ่มขึ้น จากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย และ  3)มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ

อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยเสี่ยง ที่อาจกระทบประมาณการเศรษฐกิจอีสานปี 2568 เช่น การฟื้นตัวของกำลังซื้อโดยเฉพาะสินค้าคงทนและอสังหาริมทรัพย์ และมาตรการส่งออกข้าวของอินเดียที่จะกระทบราคาข้าวขาวอีสานในฤดูกาลเพาะปลูกหน้า เป็นต้น

รพ.อาภากรเกียรติวงศ์ฯ นำ จนท.ตรวจสารเสพติดทหารใหม่ 2,911 นาย เพื่อค้นหาผู้เสพยาเสพติดเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษา

(4 พ.ย. 67) พลเรือตรี ชาตรี เปี่ยมศิริ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ มอบหมายให้ นาวาเอกหญิง อัจฉรี สิกขมาน ผู้อำนวยการกองสุขภาพจิต และ คณะเข้าดำเนินการตรวจปัสสาวะหาสารเสพติด ยาบ้า ยาไอซ์ กัญชา เฮโรอีน มอร์ฟีน ในทหารใหม่กองประจำการ ผลัดที่ 3/67 จำนวน2,911 นาย เพื่อค้นหา ผู้เสพ ผู้ติดยาเสพติด เข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษา ณ ศูนย์ฝึกทหารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี โดยมี นาวาเอก มงคล อุปถัมภ์ รองผู้บังคับการศูนย์ฝึกททารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ ให้การต้อนรับ และนำคณะเข้าดำเนินการตรวจปัสสาวะหาสารเสพติด ในครั้งนี้

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี รายงาน 0909535645

ลุ้น ‘นิพนธ์-นายกฯชาย’ จะเลือก ‘เก่า หรือ ใหม่’ ยืนอยู่ฝั่งไหนในศึกชิง ‘นายกฯอบจ.สงขลา’

(5 พ.ย. 67) น่าสนใจเมื่อ ‘สุพิศ พิทักษ์ธรรม’ อดีตอธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ประกาศเจตนารมณ์ ‘ทดแทนแผ่นดินเกิด เดินตามรอย ‘ป๋า-พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์’ อดีตนายกรัฐมนตรี อดีตประธานองคมนตรี รัฐบุรุษอาวุโสผู้ล่วงลับ

สุพิศ ยังโพสต์เฟซบุ๊ก ระบุข้อความ ‘ พร้อม’ ชีวิตนี้เพื่อสงขลา หรือแม้แต่ ‘ผู้ประสานสิบทิศ สุพิศ พิทักษ์ธรรม ชีวิตนี้พร้อมเพื่อสงขลา

ประโยคเหล่านี้เป็นการสะท้อนเจตนารมณ์ ในการใช้ชีวิตหลังจากนี้ไป คือการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา ที่ปัจจุบันมี ‘ไพเจน มากสุวรรณ์’ นั่งบริหารอยู่ และจะหมดวาระในวันที่ 19 ธันวาคม 2567 นี้ และจะมีการเลือกตั้งใหม่ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2568สุพิศยังกล่าวอ้างถึงผู้หลักผู้ใหญ่สองคนว่าให้การสนับสนุน คือ นิพนธ์ บุญญามณี อดีตนายกฯอบจ.สงขลา อดีตรัฐมนตรีช่วยมหาดไทย และนายกฯชาย-เดชอิศม์ ขาวทอง อดีตนายกฯอบจ.สงขลา รัฐมนตรีช่วยสาธารณสุข ก็ไม่แน่ใจว่า สองคนที่สุพิศกล่าวอ้างถึง ได้มีการคุยกันในรายละเอียดแล้วมากน้อยแค่ไหน เพราะยังมีรายละเอียดของการสนับสนุนอีกมาก และที่น่าจะเป็นประเด็น คือการจัดทีมคนลงสมัคร ส.อบจ.ในอนาคตด้วย ซึ่งแน่นอนว่า ทั้งนิพนธ์ และนายกฯชาย จะต้องส่งคนของตัวเองไปสมัครเป็น ส.อบจ.ด้วย สุพิศเองก็ต้องมีคนของตัวเองลงสมัครด้วย บวกรวมกับส.อบจ.เก่า น่าจะเกิดปัญหาความซ้ำซ้อนกันในพื้นที่

การได้ถ่ายรูปร่วมกันในวันชิงชนะเลิศฟุตบอลคิงคัพ อาจจะไม่ใช่สัญญาณ 100% ว่าให้การสนับสนุน เพียงแต่สถานการณ์บังคับ ต้องได้ยินจากปากของทั้งสองท่าน หรือได้เห็นพฤติกรรมของการช่วยเหลือ จึงจะเชื่อได้ว่า สนับสนุนจริง การได้พบปะกินข้าวกันในวันเสาร์-อาทิตย์ ที่บ้านเขารูปช้าง ถือเป็นเรื่องปกติที่นิพนธ์เปิดรับผู้สนับสนุนทุกอาทิตย์อยู่แล้ว

ยังเชื่อไม่ได้ 100% ว่า นิพนธ์ นายกฯชาย จะให้การสนับสนุนสุพิศ จนกว่าจะได้เห็นอะไรที่ชัดกว่านี้ สำหรับนิพนธ์ ผมเชื่อว่า ‘เลือดข้นกว่าน้ำ’ ด้วยเลือด ‘น้ำเงินขาว’ จากรั้วมหาวชิราวุธเช่นเดียวกับ ‘ไพเจน’ ใจของนิพนธ์จึงน่าจะอยู่กับไพเจนมากกว่า ส่วนเรื่องความหมองใจกันน่าจะเป็นเรื่องเล็กที่เคลียร์ใจกันได้ คุยกันได้ ผิดก็ขอโทษกันไป ปัญหาชาติบ้านเมืองสำคัญกว่า 

ส่วนนายกฯชายเดิมใจอยู่กับไพเจนอยู่แล้ว เขานัดเจอกันบ่อย แต่ด้วยแรงดูดที่หนักหน่วงทำให้ใจของนายกฯชายไขว้เขวไปบ้าง แต่ถึงวันหนึ่งเมื่อทุกอย่างตกผลึก เชื่อว่า ยังมีเวลาให้เปลี่ยนใจได้ อนาคตกับที่ยืนสำคัญกว่า

กล่าวสำหรับสุพิศการกล่าวว่าจะเดินตามรอยป๋า ไม่ได้เป็นผลดีต่อเขามากนัก เพราะป๋า มีภาพลักษณ์ที่ดี มีคุณธรรม จริยธรรมที่สูงส่ง นอกจาก ‘เกิดมาต้องทดแทนบุญคุณแผ่นดิน’ แล้ว ป๋า ยังเป็นคนที่ซื่อสัตย์ สุจริต เป็นที่ประจักษ์ ไม่มีข้อกล่าวหา ร้องเรียนตลอด 8 ปี ของการเป็นนายกรัฐมนตรี

อีกแค่เดือนกว่าๆ นายกฯไพเจนจะหมดวาระแล้ว และอีกไม่กี่วันก็จะได้รู้ข้อเท็จจริงว่า นิพนธ์-นายกฯชาย ช่วยใครกันแน่ หรืออาจจะวางเฉยในสถานการณ์ได้เสียก็เป็นได้

ททท. ผุด E – Guidebook กระตุ้นคน Gen S ท่องเที่ยวด้วยรถไฟ ประเดิมเส้นทางฮิต ‘กรุงเทพฯ – เพชรบุรี – หัวหิน – ประจวบฯ’

(5 พ.ย. 67) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดตัว E-Guide Book #MyRailJourney ส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยวด้วยรถไฟ เชิญชวนนักท่องเที่ยวออกแบบประสบการณ์เดินทางเองเพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการเดินทางท่องเที่ยวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ประเดิมด้วยแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมในเส้นทาง กรุงเทพมหานคร – เพชรบุรี และ หัวหิน ประจวบคีรีขันธ์ พร้อมจับมือกับ เคทีซี  รวมถึงพันธมิตรระดับโลกอย่าง Netflix และ Airbnb ร่วมปักธงการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ส่งมอบประสบการณ์ท่องเที่ยวที่มีความหมาย เจาะกลุ่มนักท่องเที่ยว GenS ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ณ เคทีซี ทัช กรุงเทพมหานคร 

นางสาวเอิบลาภ ศรีภิรมย์ ผู้อำนวยการฝ่ายสินค้าการท่องเที่ยว ททท. กล่าวว่า ททท. ให้ความสำคัญต่อการนำเสนอประสบการณ์เดินทางที่มีคุณค่าและมุ่งเป้าหมายการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในทุกมิติ โดยเล็งเห็นว่า การเดินทางด้วยรถไฟนั้นเป็นอีกทางเลือกที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเพราะมีการปล่อยคาร์บอนน้อยกว่ารถยนต์หรือเครื่องบิน อีกทั้งการเดินทางท่องเที่ยวด้วยรถไฟนั้นอยู่คู่กับนักเดินทางชาวไทยมายาวนานกว่า 120 ปีถือเป็นการสร้างประสบการณ์ที่สนุกและมีเสน่ห์เฉพาะตัว จึงได้ร่วมมือกับพันธมิตรจัดทำ E- Guidebook #MyRailJourney เส้นทางเพชรบุรีและหัวหิน ประจวบคีรีขันธ์ ขึ้น เพื่อเป็นแรงบันดาลใจในการเดินทางท่องเที่ยวด้วยรถไฟ เปิดมุมมองใหม่ในการเดินทางที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม 

เจาะกลุ่มเป้าหมายนักท่องเที่ยว GenS (Generation Sustainability) นักท่องเที่ยวหัวใจยั่งยืนที่พร้อมใส่ใจสิ่งแวดล้อมไม่จำกัดช่วงวัย โดยมี E- Guidebook เป็นเสมือนไกด์นำเที่ยวคนสำคัญในการออกเดินทาง ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถออกแบบประสบการณ์ท่องเที่ยวที่มีความหมายด้วยตัวเอง นับตั้งแต่การเลือกตารางเวลารถ การคำนวณระยะเวลาในการเดินทาง การเลือกขบวนรถ การเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อทำกิจกรรมที่ชื่นชอบในระหว่างนั่งรถไฟ รวมทั้งวางแผนการท่องเที่ยวในจุดหมายปลายทางจนกระทั่งเดินทางกลับ ทั้งนี้ ททท.จึงอยากเชิญชวนให้ทุกท่านมาสัมผัสการเดินทางแบบ Slow Travel ที่งดงามและยั่งยืน เพื่อร่วมกันสร้างเทรนด์ใหม่เป็นทางเลือกให้การท่องเที่ยวของไทยไปพร้อมกัน 

ด้าน Mr. Ruben Hattari, Public Policy Director for Netflix in Southeast Asia กล่าวว่า Netflix ในฐานะผู้มอบความบันเทิงระดับโลก มีความยินดีที่จะแนะนำภาพยนตร์ ซีรี่ส์ และสารคดี ที่มีเนื้อหาส่งเสริมประสบการณ์การเดินทางที่ลึกซึ้งเพื่อให้นักเดินทางได้ชมระหว่างนั่งรถไฟ ซึ่งได้แนะนำไว้ใน E - Guidebook ฉบับนี้ และยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ชม Netflix เพื่อสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั่วโลก และหวังว่าคอนเทนต์ต่างๆ ที่คัดสรรมานำเสนอจะกระตุ้นความสนใจให้มีการออกเดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทย

ขณะที่ Ms. Mich Goh, Director of Public Policy for Asia Pacific at Airbnb กล่าวว่า นอกเหนือจากการเปิดบ้านและที่พักแล้ว Airbnb ให้ความสำคัญต่อการเป็น Host ที่ส่งมอบประสบการณ์ท่องเที่ยวที่เข้าถึงความเป็นท้องถิ่น โดยเล็งเห็นว่าการเดินทางท่องเที่ยวโดยรถไฟนั้นจะนำพานักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ๆ เข้าสู่พื้นที่ได้อย่างทั่วถึง Airbnb จึงมุ่งมั่นที่จะสร้างประสบการณ์ที่มีความหมายให้กับนักเดินทางที่เลือกใช้บริการ Host  และ Airbnb จะเป็นช่องทางสำคัญในการประชาสัมพันธ์ E-Guidebook รวมทั้งช่วยให้ข้อมูลและเรื่องราวในพื้นที่ และเป็นทูตวัฒนธรรมที่ช่วยแนะนำให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางท่องเที่ยว สำรวจมรดกท้องถิ่น อาหารพื้นเมือง และสถานที่ที่พิเศษต่างๆ ในเมือง ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อชุมชนท้องถิ่นโดยรอบ

นางสาวพัทธ์ธีรา อนันต์โชติพัชร ผู้บริหาร KTC World Travel Service และการตลาดหมวด
สายการบิน “เคทีซี” กล่าวว่า เคทีซีคำนึงถึงการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน และพร้อมนำเสนอผลิตภัณฑ์กรีนโปรดักส์ด้านการเดินทางท่องเที่ยวผ่านช่องทางเคทีซี เวิลด์ ทราเวล เซอร์วิส อาทิ บัตรรถไฟ บัตรรถราง รถเช่าไฟฟ้า (EV) และแพ็กเกจท่องเที่ยวชุมชน สำหรับ

การเดินทางท่องเที่ยวโดยรถไฟนั้น เชื่อมั่นว่านักเดินทางจะได้รับประสบการณ์พิเศษที่ไม่เหมือนใคร ทั้งประสบการณ์ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมท้องถิ่น ธรรมชาติและชุมชน รับคะแนนเพิ่ม 1,000 KTC FOREVER เมื่อจองตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป ขณะเดียวกันเคทีซีพร้อมสร้างความตระหนักรู้ให้กับนักท่องเที่ยวผ่านช่องทางประชาสัมพันธ์ต่างๆ ของเคทีซีเพื่อแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวชุมชน ร้านอาหารท้องถิ่น ร้านขายของฝาก ที่พักชุมชนให้สมาชิกได้เข้าถึงข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวได้สะดวกมากขึ้น

นอกจากนี้ ในการจัดกิจกรรมเปิดตัว E -Guidebook #MyRailJourney ผู้เข้าร่วมงานจะได้รับฟังแนวทางการพัฒนาโครงข่ายและการให้บริการของการรถไฟแห่งประเทศไทยโดย นางศุภมาศ ปลื้มกุศล หัวหน้ากองโฆษณาและส่งเสริมการท่องเที่ยว รฟท. พร้อมทั้งชมความงดงามเสน่ห์ของการเดินทางด้วยรถไฟผ่านนิทรรศการภาพถ่ายในหัวข้อ “ชีวิตที่สวยงาม” และ “การเฉลิมฉลองช่วงเวลาที่น่าจดจำ”ถ่ายภาพโดย ชาตรี สลีวงศ์ ช่างภาพสารคดีชื่อดัง ซึ่งถ่ายทอดจิตวิญญาณของการเดินทางด้วยรถไฟ ด้วยการบอกเล่าเรื่องราวของผู้คน ทิวทัศน์ และความอมตะของการเดินทาง ความมหัศจรรย์ในการชะลอจังหวะชีวิตและสัมผัสประสบการณ์ผ่านหน้าต่างรถไฟ  และ กฤษฎากร สุขมูล ช่างภาพผู้เชี่ยวชาญด้านภาพถ่ายอาหาร และนำเสนอความงดงามของรถไฟไทยไม่ใช่แค่ปลายทาง แต่เป็นการเดินทางที่เติมเต็มด้วยวัฒนธรรม ธรรมชาติ และการเชื่อมต่อของผู้คนในแต่ละจุดที่รถไฟหยุด นอกจากนี้ ผู้ร่วมงานจะได้สัมผัสประสบการณ์เดินทางจากอาหาร รังสรรค์โดย เชฟเบลล์ พิมพ์ทิพย์ เป้าศิลา เชฟชื่อดังจากรายการ Master Chef Thailand นำเสนอแนวคิดการเดินทางด้วยรถไฟคือการซึมซับทุกช่วงเวลา เหมือนกับการเพลิดเพลินกับอาหารจานพิเศษที่เชื่อมโยงกับการเดินทางได้อย่างลึกซึ้ง

ผู้ที่สนใจสามารถดาวน์โหลด E-Guide Book #MyRailJourney เพื่อเป็นข้อมูลแนะนำประสบการณ์เดินทางท่องเที่ยวด้วยรถไฟได้แล้วที่ https://tourismproduct.tourismthailand.org/2024/10/23/rail-journey/  หรือสอบถามข้อมูลท่องเที่ยวเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 1672 Travel Buddy

สส. โกงเกณฑ์ทหาร-ใช้ สด. 43 ปลอม อีกหนึ่งความมัวหมองของนักการเมืองไทย

(5 พ.ย. 67) คนไทยที่มีหัวใจเป็น “ลูกผู้ชายตัวจริง” ถ้าไม่ได้ผ่านการเรียน รด. ครบ 3 ปี เมื่อถึงเวลาก็ต้องไปเกณฑ์ทหารตามปกติเฉกเช่น “ผู้ชายไทย” ทั่วไป จึงจะถือว่าเป็นผู้ชายที่ไม่เอาเปรียบเพื่อนชายไทยด้วยกัน และยังได้ชื่อว่าเป็นคนไทยที่มีความกล้าหาญ มีความสุจริตใจ พร้อมที่จะปฏิบัติตนตามกฎกติกาของสังคม   

บางคนร่างเป็นชาย กายอยากเป็นหญิง แม้ร่างกายจะซ่อนความตุ้งติ้งไว้ภายใน แต่เมื่อมีหัวใจที่เข้มแข็งไม่แพ้ชายไทยแท้ ก็มีทั้งเลือกเรียน รด. ตอนชั้นมัธยมปลาย และมีทั้งรอไปเกณฑ์ทหารเสี่ยงจับใบดำใบแดง ก็ต้องยกย่องว่าเป็น “คนดีของสังคมไทย” ในแบบหนึ่ง

ส่วนผู้ชายไทย ที่ รด. ก็ไม่เรียน ขณะที่เพื่อน ๆ ต้องลงทุนแต่งชุด รด. อดทนถือหนังสือคู่มือนักศึกษาวิชาทหารเล่มหนาเกือบครึ่งฝ่ามือ โหนรถเมล์ไปฝึกสัปดาห์ละหนึ่งวันเป็นเวลายาวนานถึงสามปี และในตอนใกล้จบหลักสูตรก็ต้องไปฝึกภาคสนามที่ “เขาชนไก่” จังหวัด กาญจนบุรี อีกเจ็ดวันเต็ม ๆ แล้วพอถึงเวลาที่ตนเองต้องเข้ารับการเกณฑ์ทหาร ก็ยังหนี หรือโกงอีก นอกจากจะมีความผิดทางกฎหมาย ยังมองเห็นความผิดปกติในเรื่องของ “นิสัยใจคอ” สะท้อนออกมาอย่างเด่นชัดถึงการเป็นคนที่ชอบ “โกงเวลาชีวิตของคนอื่น” คนประเภทนี้ขาดความเสียสละ แล้งน้ำใจ ขาดความเคารพนับถือทั้งต่อตนเอง และสังคมส่วนรวม ถือเป็นคนที่ไม่น่าคบค้าสมาคม

ผู้ชายที่แค่การเกณฑ์ทหารยังหนี ยังโกง ไม่จำเป็นต้องมีอาชีพที่สูงส่งหรอก แค่มีอาชีพ “หาเช้ากินค่ำ” ก็ยังไม่พ้นข้อหาน่ารังเกียจไปได้ เพราะถือว่าเป็นผู้ชายที่มีพฤติกรรมที่เอาเปรียบสังคม 

แต่ถ้ามีอาชีพเป็นถึง “นักการเมือง” ได้กินเงินเดือนจากภาษีอันเหนื่อยยากของประชาชน แต่มาถูกขุดคุ้ยว่าเคยหนีการเกณฑ์ทหาร แถมยังโกหกสังคมด้วยการโชว์ใบ สด.43 ปลอมอีก ต้องถือว่าเป็นนักการเมืองในระดับ “ชั่วเรียกพี่” นอกจากสมควรต้องได้รับโทษทางกฎหมาย เงินเดือนที่ได้รับจากภาษีของประชาชนมาตลอดการเป็น ส.ส. สมควรต้องคืนหลวงให้ครบทุกบาททุกสตางค์ 

ถ้าไม่มีเงิน ก็ลองไปขอเรี่ยไรจาก “คน 14 ล้าน” ที่ยังหูหนวกตาบอดอยู่ หรือไม่ก็ไปปรึกษา “ทนายนักต้มตุ๋นสังคม” ที่กำลังเป็นข่าวดู ถามเขาว่าเมื่อถูกผู้คนจับได้ไล่ทันแล้วว่าเป็นคนที่ “ปลิ้นปล้อน” สถานการณ์แบบนี้ควรทำตัวอย่างไรดี 

เพราะถึงอยู่ ก็ไม่สู้ตายดีกว่า อยู่แบบหมา มันเสียชาติชาย

โสมร่างกม. ห้ามนักเรียนใช้สมาร์ทโฟน หวั่นทำเด็กเป็นซึมเศร้า-สมาธิสั้น

(5 พ.ย. 67) สำนักข่าว Koreanherald ของเกาหลีใต้รายงานว่า เกาหลีใต้กำลังพิจารณาห้ามใช้สมาร์ทโฟนในโรงเรียน สืบเนื่องจากพรรคพลังประชาชนซึ่งเป็นพรรครัฐบาลกำลังพิจารณาร่างกฎหมาย ซึ่งจะห้ามนักเรียนใช้สมาร์ทโฟนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ส่วนตัวในระหว่างชั้นเรียน

รายงานระบุว่า ร่างกฎหมายนี้มาจาก สส โช จุงฮุน และเพื่อนสมาชิกรัฐสภาอีก 10 คนจากพรรคเดียวกันกำลังผลักดันร่างกฎหมายห้ามใช้โทรศัพท์และอุปกรณ์อัจฉริยะอื่นๆ ในโรงเรียนทั่วประเทศ เพื่อปกป้องสุขภาพจิตของนักเรียน

สส โช ระบุว่า กฎหมายลักษณะนี้มีบังคับใช้ในหลายประเทศรวมทั้งสหรัฐฯ และฝรั่งเศส ในขณะที่การเสพติดโซเชียลมีเดียกลายเป็นปัญหาร้ายแรง เรื่องนี้เกิดขึ้นในเกาหลีใต้เช่นกัน โดยพบว่าเด็กอายุระหว่าง 3-9 ปี ร้อยละ 25 และเด็กอายุระหว่าง 10-19 ปีร้อยละ 40.1 เสพติดสมาร์ทโฟนมากเกินไป ดังนั้นเพื่อปกป้องสุขภาพจิตของพวกเขา เราจึงเสนอให้จำกัดการใช้สมาร์ทดีไวซ์ในโรงเรียน เว้นแต่จะได้รับอนุญาตเพื่อวัตถุประสงค์ทางการศึกษาที่เจาะจง หรือในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น

ความคืบหน้าดังกล่าวสอดคลองกับงานวิจัยจากหลายสถาบันทั้งในยุโรปและสหรัฐฯ ที่ออกมาระบุคล้ายกันว่า พฤติกรรมการใช้งานมือถือสมาร์ทโฟนมากเกินไป อาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อสุขภาพจิต และสุขภาวะทางการรู้คิดของเยาวชนได้ การเสพติดและสิ่งรบกวนสมาธิไม่ใช่ปัญหาเดียวเท่านั้นที่ทำให้เกิดความกังวล ในหลายกรณี พบว่านักเรียนยังใช้ฟังก์ชันของโทรศัพท์เพื่อบูลลี่หรือแสวงหาประโยชน์ทางเพศจากเพื่อนร่วมชั้นด้วย

อย่างไรก็ตาม งานวิจัยยังระบุเช่นกันว่า เกมและวิดีโอสั้นๆ ที่ช่วยกระตุ้นความคิดได้รับความนิยมในหมู่วัยรุ่น แต่ทำให้การติดสมาร์ทโฟนเพิ่มมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดภาวะซึมเศร้าและโรควิตกกังวล

ข้อมูลล่าสุดของ Health Insurance and Review Assessment Service สนับสนุนข้อเรียกร้องดังกล่าว เนื่องจากจำนวนการเข้าพบจิตเวชสำหรับผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีพุ่งสูงขึ้นถึง 65 เปอร์เซ็นต์ในช่วงสี่ปีที่ผ่านมา นักศึกษาประมาณ 250,000 คนเข้าโรงพยาบาลในช่วงครึ่งแรกของปีนี้เพียงปีเดียว คิดเป็น 80 เปอร์เซ็นต์ของการเข้าพบทั้งหมดในปีที่แล้ว

ทั้งนี้ ผลสำรวจโดย Macromill Embrain ที่เผยแพร่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พบว่าผู้ปกครองของนักเรียนร้อยละ 69 สนับสนุนแนวคิดการจำกัดการใช้โทรศัพท์ของนักเรียน มีเพียงร้อยละ 12.6 ที่คัดค้าน

Taiwan Excellence ยกทัพนวัตกรรมลํ้า โชว์งาน Taiwan Expo 2024 - เปิดตัว FU BEAR

เมื่อวันที่ (1 พ.ย. 67) ร่วมสัมผัสนวัตกรรมอันล้ำสมัยของไต้หวันได้ที่ “พาวิลเลียน Taiwan Excellence” ซึ่งเป็นไฮไลท์สำคัญของงาน Taiwan Expo 2024 ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 21 ถึง 23 พฤศจิกายน ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (ฮอลล์ 5, บูธหมายเลข 401) โดยภายในงานจะจัดแสดงสินค้าที่ได้รับรางวัลตราสัญลักษณ์ Taiwan Excellence มากถึง 58 รายการ รวมทั้งเปิดโอกาสสุดพิเศษให้เข้าเยี่ยมชมผลิตภัณฑ์ และสัมผัสกับอนาคต ของอุตสาหกรรมสุขภาพ ความยั่งยืน และเทคโนโลยีไปพร้อมกัน

ทั้งนี้ พาวิลเลียน Taiwan Excellence เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่างสำนักงานบริหารการค้าระหว่างประเทศ ของไต้หวัน (Taiwan’s International Trade Administration) และสภาส่งเสริมการค้า และการส่งออกไต้หวัน (TAITRA) ซึ่งในงานเป็นเวทีสำหรับจัดแสดงผลิตภัณฑ์ชั้นนำของไต้หวัน ที่ผ่านการคัดเลือกอย่างเข้มข้น ทั้งในแง่คุณภาพ การออกแบบ และนวัตกรรม การได้รับเกียรติคัดเลือกจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ของไต้หวัน ในการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ พร้อมทั้งตอกย้ำบทบาทสำคัญในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมระดับโลก    

นอกจากนี้ยังมีแขกรับเชิญสุดพิเศษในพาวิลเลียนนี้ คือ “FU BEAR” มาสคอตหมีดำจากไต้หวัน ซึ่งจะเปิดตัว อย่างเป็นทางการในประเทศไทยภายในงานนี้ โดย Fu Bear จะเป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างไทยและไต้หวัน สร้าง ความประทับใจให้กับผู้เข้าชมด้วยความน่ารักสดใส พร้อมสื่อถึงนวัตกรรมและความคิด สร้างสรรค์ ที่อยู่เบื้องหลัง ผลิตภัณฑ์ ของไต้หวัน

นวัตกรรมทั้งหมดที่จัดแสดงในพาวิลเลียนจะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ร่วมงานทุกท่าน ผ่านการเปิดตัวนวัตกรรม ล้ำสมัยจำนวนมาก ซึ่งครอบคลุมหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรมไม่ว่าจะเป็นโซลูชั่นเพื่อความยั่งยืน รวมทั้งเทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) ซึ่งจะถูกจัดแสดงทั้งในรูปแบบสามมิติ  อุปกรณ์สมาร์ตลีฟวิ่ง และอุปกรณ์อำนวยความสะดวก ภายในที่อยู่อาศัย ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อยกระดับชีวิตประจำวันของทุกคน

ผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นและน่าสนใจภายในพาวิลเลียนนี้ได้แก่ ฟิล์ม “Optiqb Qbarmour” สร้างประสบการณ์ การรับชมแบบสามมิติ ด้วยตาเปล่าจากอุปกรณ์ขนาดพกพา, “YZTEK e+Autoff Compact” อุปกรณ์ควบคุมการทำงาน เตาทำอาหารอัจฉริยะเพื่อความปลอดภัย และ “ible” เครื่องฟอกอากาศแบบสวมใส่ที่ช่วยฟอกอากาศบริสุทธิ์ได้ทุกที่ทุกเวลา มากไปกว่านั้นภายในงานยังมีนวัตกรรมที่โดดเด่นอีก

มากมายไม่ว่าจะเป็น “mbranfiltra” ตัวกรองน้ำแบบพกพาที่สามารถ ผลิตน้ำดื่มสะอาดได้ทุกที่, “Tokuyo” เก้าอี้นวดสุดหรู, “SAUBER Air FLAT™ Wall-mount Air Purifier” เครื่องฟอกอากาศ ติดผนัง พร้อมดีไซน์กรอบรูป และ “INNOLUX” หน้าต่างกรองแสงอัจฉริยะที่ช่วยประหยัดพลังงาน 

นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดง อุปกรณ์สำหรับนักปั่นจักรยานอย่าง “WiseChip” ที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ การปั่นจักรยานด้วยการติดตามข้อมูลแบบเรียลไทม์, “Transcend DrivePro Body 70” กล้องสวมตัวสำหรับการบันทึกภาพ คุณภาพสูง และ “BenQ W4000i” โปรเจคเตอร์เพื่อสร้างบรรยากาศคล้ายโรงภาพยนตร์ในบ้าน ที่ให้ภาพคมชัดระดับ 4K ทั้งหมด ที่กล่าวมาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของสินค้าจากไต้หวันที่จัดแสดงในพาวิลเลียนนี้เท่านั้น เพราะภายในงานยังมีนวัตกรรมที่ช่วยยกระดับ คุณภาพชีวิตประจำวันอีกมากมาย

ท้ายที่สุด พาวิลเลียน Taiwan Excellence ยินดีต้อนรับทุกท่าน ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้บริโภคที่ต้องการเดินชมนวัตกรรม สุดล้ำจากไต้หวัน หรือเป็นผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพราะภายในงานนี้มีสินค้าที่น่าสนใจสำหรับทุกท่าน แล้วมาพบปะ กับผู้ประกอบการจากไต้หวัน สัมผัสโปรดักต์ล้ำสมัย และเพลิดเพลินไปกับความน่ารักของมาสคอต FU BEAR โดยงานจัดขึ้น ตั้งแต่วันที่ 21 ถึง 23 พ.ย. 2567 เวลา 10.00 น. ถึง 18.00 น. งานนี้เข้าชมฟรีและเปิดให้ประชาชนทั่วไป

สำหรับเจ้าของธุรกิจและผู้ประกอบการที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับพาวิลเลียน Taiwan Excellence และผลิตภัณฑ์ 'Best Made in Taiwan' สามารถเยี่ยมชมได้ที่ https://www.taiwanexcellence.org/en

ผู้ปกครองเดือด!! หลังเด็ก 2 คน ถูกปฏิเสธขึ้นเครื่องไปอินเดีย อ้างพ่อ-แม่ไม่เซ็นรับรอง ทั้งที่ตอนจองให้ซื้อตั๋ว ‘ผู้ใหญ่’

(5 พ.ย. 67) เพจเฟซบุ๊ก Happy Study Abroad โพสต์ข้อความเมื่อวันที่ 3 พ.ย.67 โดยระบุว่า รีวิวประสบการณ์เด็กถูกปฏิเสธไม่ให้ขึ้นเครื่อง Airasia

น้องเล็กเดินทางกับเพื่อนผู้หญิงอีกคน จากดอนเมืองไปชัยปุระ (Dmk-Jai) ด้วยสายการบิน Airasia ไฟล์ท FD 130เด็กทั้งสองได้เช็กอินเวลาประมาณ 17.30 น. โดยพ่อแม่ยืนรอจัดการให้จนเรียบร้อย (ตามตั๋วเครื่องออก 19.30 น.) เด็ก ๆ ได้รับ boarding pass แจ้งเวลาเรียกขึ้นเครื่อง 18.50 น.

จากนั้น พ่อแม่ส่งเด็ก 2 คนเข้าไปด้านในเวลา 18.14 น. ขณะที่เด็กๆ ถึงหน้า gate เวลา 18.35 น. น้องเล็กโทร.มาหาแม่เวลา 19.39 น. เพื่อขอบัตรประชาชนแม่ให้เจ้าหน้าที่ โดยเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้บอกเด็กว่าขอไปทำไม

เวลา 20.20 น. น้องเล็กโทร.มาบอกแม่ว่าไม่ได้ไปแล้ว เจ้าหน้าที่ไม่ให้ขึ้นเครื่อง ให้แม่มารับกลับ ซึ่งแม่ได้ขอคุยกับเจ้าหน้าที่ เขาถามว่าแม่มาแสดงตัว และได้เซ็นเอกสารตอนเช็กอินไหม แม่บอกว่ามาแสดงตัว แต่เจ้าหน้าที่เคาน์เตอร์ไม่ได้ให้เซ็นเอกสารใดๆ 

เจ้าหน้าที่คนนั้นแจ้งว่าเด็กทั้ง 2 คนถูกปฏิเสธการขึ้นเครื่อง เพราะไม่มีเอกสารอนุญาตจากผู้ปกครอง เขาแจ้งว่าเป็นความผิดของเจ้าหน้าที่เช็กอิน สายการบินจะรับผิดชอบโดยการหาตั๋วใหม่ให้แทน ให้ผู้ปกครองมารับเด็กกลับไป

โดยทางแม่แจ้งเจ้าหน้าที่คนเดิมขอตั๋วเร็วที่สุด เพราะโรงเรียนเปิดเทอมแล้ว เจ้าหน้าที่บอกว่าจะติดต่อกลับมา

จากนั้น เวลา 20.35 น. เจ้าหน้าที่พาเด็ก ๆ ออกมาส่งให้กับพ่อแม่ที่อาคารผู้โดยสารขาออก ชั้น 3 ต่อมาเวลา 21.21 น. แม่โทร.กลับไปหาเจ้าหน้าที่ที่เดินออกมาส่งเด็ก เพื่อขอทราบสาเหตุโดยละเอียด และขอให้รับผิดชอบความเสียหายอื่นๆที่ตามมา 

เจ้าหน้าที่ตอบกลับว่าสายการบินทำได้เพียงรับผิดชอบตั๋วของเด็ก ๆ เท่านั้น และจะได้เดินทางในวันที่ 5 พ.ย. นี้แทน

ทั้งนี้ ทางเจ้าของโพสต์ได้ข้อสังเกตว่า

1. เจ้าหน้าที่เช็กอินไม่ได้ให้ผู้ปกครองเซ็นเอกสารใดๆเลย (ตอนมาจากอินเดีย เจ้าหน้าที่เช็คอินก็ไม่ได้ให้ผู้ปกครองเซ็นเช่นกัน) พวกเราเลยไม่ได้เอะใจ คิดว่าสายการบินเปลี่ยนวิธีการแล้ว ทั้ง ๆ ที่ผ่านมาตลอดหลายปีที่เคยไปส่งลูกๆที่สนามบิน เจ้าหน้าที่ก็ส่งเอกสารให้กรอกเสมอ โดยไม่ต้องร้องขอ

2. เด็กๆ ผ่านเจ้าหน้าที่ ตม.ไปได้อย่างเรียบร้อย

3. เด็กๆไปรอหน้าเกทล่วงหน้าประมาณ 1 ชม. ก่อนเวลาเครื่องออก ขณะต่อแถวตรวจ boarding pass เจ้าหน้าที่ตรวจบัตรโดยสารถามอายุ น้องเล็กตอบ 13 และ 12 ปี เจ้าหน้าที่บอกให้รอก่อน ไม่ให้ขึ้นเครื่อง แต่ก็ไม่ได้แจ้งเด็กๆว่าเกิดปัญหาอะไร เด็ก ๆ ทั้งคู่มีโทรศัพท์ หากเจ้าหน้าที่ขอให้โทรหาพ่อแม่เพื่อมาเซ็นเอกสาร ณ เวลานั้น เรื่องจะไม่บานปลายเพราะพ่อแม่ยังรออยู่ที่สนามบิน 

4. เจ้าหน้าที่ขอพาสปอร์ต หรือบัตรประชาชนของแม่เพียงคนเดียว ส่วนผู้ปกครองเพื่อนของน้องเล็กไม่ได้รับแจ้งขอเอกสารใดๆ

5. เจ้าหน้าที่ได้รับบัตรประชาชนของแม่ไป แต่ไม่ได้แจ้งสาเหตุใดๆ เวลาผ่านไป 20 นาที แม่จึงได้รับแจ้งจากน้องเล็กว่าไม่ได้ขึ้นเครื่อง ทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้ทำอะไรผิด แต่เหตุการณ์นี่สร้างปัญหาตามมาให้พวกเราอย่างมาก

6. เราซื้อตั๋วไป-กลับจาก Jai - Dmk และน้ำหนักคนละ 30 กิโลกรัมกับสายการบินโดยตรง กรอกวันเดือนปีเกิดของเด็กๆถูกต้อง แต่เจ้าหน้าที่คนเดิมอ้างว่าเรากรอกวันเดือนปีเกิดเด็กไม่ตรงตามจริงทำให้ไม่รู้ว่าเป็น Young Passengers ประเด็นนี้แม่ปฏิเสธกลับไปว่าไม่จริง เพราะเราจองตั๋วเองทุกครั้ง กรอกรายละเอียดตามพาสปอร์ต เด็กทั้งสองอายุมากกว่า 12 ปี ระบบให้จองได้ในช่องจำนวนผู้เดินทางผู้ใหญ่

ผลจากเหตุการณ์นี้
1. เด็กอายุ 12 และ 13 ปี ถูกปฏิเสธไม่ให้ขึ้นเครื่องพร้อมสัมภาระคนละ 30 กิโลกรัม หากผู้ปกครองกลับต่างจังหวัดแล้ว มารับเด็กๆกลับบ้านไม่ได้ จะทำอย่างไร

2. เด็กๆไม่ชอบใจที่กลับไปไม่ทันวันเปิดเรียน เพราะเป็นภาระให้ต้องตามงาน

3. เสียเวลาเดินทางไปกลับจากบ้านไปสนามบินดอนเมืองหลายรอบ

4. กระทบการงานของผู้ปกครองอย่างมาก

5. เพิ่มภาระค่าใช้จ่ายให้ผู้ปกครอง ที่ต้องทิ้งตั๋วเก่า มาซื้อตั๋วใหม่เพื่อกลับต่างจังหวัด มีค่าใช้จ่ายในการอยู่ กทม.ต่ออีก 2 วัน เพื่อรอส่งลูกเดินทางกลับไปอินเดีย

6. เสียเวลาของคนรอรับที่อินเดีย พวกเราต้องแจ้งโรงเรียนว่าไม่ได้เดินทางตามกำหนด และขอให้โรงเรียนมารับใหม่อีกครั้ง

*** ผลกระทบเหล่านี้ควรได้รับการชดเชยจากสายการบิน

ข้อมูลสำคัญ
1. เด็กอายุ12-16 ปี สายการบินถือเป็น Young Passengers ต้องมีผู้ปกครองมาเซ็นเอกสารที่เคาน์เตอร์เช็กอินทุกครั้ง และควรทำหนังสืออนุญาตให้เด็กเดินทางคนเดียวเพื่อแสดงต่อเจ้าหน้าที่ ตม. 

2. แม่สอบถามช่องทางร้องเรียนจากเจ้าหน้าที่ Airasia ทั้งที่ Terminal 1 และ 2 ทุกคนตอบเหมือนกันว่ามีช่องทางเดียวคือ website Airasia เรื่องจะถึงหลังบ้านโดยตรง แม่ดำเนินการไปแล้ว ได้รับหมายเลขร้องเรียนมา และต้องรอติดตามสถานะคำร้องเรียนต่อไป

โดยเจ้าของโพสต์ ยังระบุด้วยว่า ใครมีช่องทางร้องเรียน Airasia นอกเหนือจาก website รบกวนช่วยเม้นท์บอกต่อด้วย เนื่องจากรู้สึกเหมือนเด็ก ๆ ถูกรับกรรมจากระบบการทำงานแย่ ๆ ของสายการบิน

ขายออกจากพอร์ต 11 ล้านล้านบาท สะท้อนแบรนด์มือถือวิกฤต-ไร้เทคโนโลยีใหม่

(5 พ.ย. 67) สัญญาณเตือนวิกฤตแบรนด์ Apple หรือแค่ปรับกลยุทธ์การลงทุน เมื่อบริษัท  Berkshire Hathaway ของเจ้าพ่อการลงทุนวอร์เรน บัฟเฟตต์ ประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 พบว่าหนึ่งในความเคลื่อนไหวสำคัญคือการเทขายหุ้นล็อตใหญ่รวมแล้วเป็นจำนวนกว่า 60% ของพอร์ตตลอดปี 2024 

โดยวอร์เรน บัฟเฟตต์ ทยอยขายหุ้น Apple อย่างต่อเนื่อง โดยลดหุ้นแอปเปิ้ลในพอร์ตลงอีก 25% ในไตรมาส 3 หลังจากที่เคยหั่นลดลง 50% ในไตรมาส 2 ซึ่งวอร์เรนเคยกล่าวเมื่อเดือนพฤษภาคมระหว่างการประชุมผู้ถือหุ้นว่า การขายหุ้นแอปเปิ้ลไตรมาสแรกเพราะเหตุผลด้านภาษี และเบิร์กเชียร์จะยังคงลงทุนหุ้นแอปเปิลในสัดส่วนใหญ่อยู่ต่อไป โดยหุ้นแอปเปิลมีมูลค่าเพิ่มขึ้น 10.6% ระหว่างไตรมาส 3

ในไตรมาสที่สาม Berkshire Hathaway ยังคงดำเนินกลยุทธ์ลดการถือครองหลักทรัพย์อย่างต่อเนื่อง โดยมีการขายหุ้นแอปเปิ้ลจำนวนมาก ส่งผลให้บริษัท Berkshire Hathaway มีกระแสเงินสดจากการขายหุ้นเพิ่มขึ้นอีก 325,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเกือบราว 11 ล้านล้านบาท

การถือครองหุ้นแอปเปิ้ลของบัฟเฟตต์ สิ้นไตรมาส 3 มีมูลค่า  มีมูลค่า 69,900 ล้านดอลลาร์ (ราว 2.3 ล้านล้านบาท) ลดลงราว 60% เทียบกับมูลค่า 174,300 ล้านดอลลาร์ (ราว 5.8 ล้านล้านบาท) เมื่อสิ้นปี 2023 ซึ่งนับตั้งแต่เดือนพฤศภาคมที่ผ่านมา บัฟเฟตต์ไม่ได้ระบุเหตุผลเพิ่มเติมของการเทขายหุ้นแอปเปิ้ลในไตรมาสสองและไตรมาสสาม แม้ว่า Berkshire จะเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของแอปเปิ้ลก็ตาม 

จำนวนหุ้นแอปเปิลที่ Berkshire ถืออยู่ล่าสุดมีประมาณ 300 ล้านหุ้น ลดลงจากตัวเลขไตรมาสก่อนหน้านี้ที่ 400 ล้านหุ้น และลดลงจากเมื่อต้นปีที่ 915 ล้านหุ้น โดยมูลค่าหุ้นแอปเปิลที่บริษัทมีตอนนี้ประมาณ 7 หมื่นล้านดอลลาร์

การตัดสินใจของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่ขายหุ้น Apple และสะสมเงินสดมหาศาล สร้างความประหลาดใจ และเป็นที่จับตามองของนักลงทุนทั่วโลก แม้ผลประกอบการโดยรวมของ Berkshire Hathaway จะยังแข็งแกร่ง แต่การลดลงของกำไรจากการดำเนินงาน บวกกับการเทขายหุ้น Apple ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการลงทุน เน้นคุณค่า ในระยะยาว ทำให้หลายคนตั้งคำถามถึงวิสัยทัศน์ และกลยุทธ์ของบัฟเฟตต์ในครั้งนี้

การวิเคราะห์สถานการณ์ อาจตีความได้ว่า บัฟเฟตต์กำลังมองเห็น ความเสี่ยง บางอย่าง ที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดทุนในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจถดถอย เงินเฟ้อ หรือความผันผวนจากปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ การกลับมาถือครองเงินสดอาจะเป็นการรับมือวิกฤตอะไรบางอย่างที่เขาเตรียมฉวยจังหวะลงทุนในเวลาที่เหมาะสม

ขณะเดียวกันนักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า การเทขายหุ้นแอปเปิ้ลอาจสะท้อนว่าผลกระกอบการของแบรนด์มือถือที่ไม่สดใสเท่าที่ควร แม้จะมีการเปิดตัวมือถือไอโฟนรุ่นใหม่ เนื่องจากไม่ได้มีเทคโนโลยีอะไรที่จูงใจผู้ใช้งานมากเท่าที่ควร ขณะที่นักวิเคราะห์บางรายก็มองว่า Berkshire Hathaway อาจเตรียมการสำหรับเปลี่ยนผ่านผู้บริหารไปสู่ผู้นำคนใหม่ อย่างเกร็ก เอเบล ก็เป็นไปได้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top