Thursday, 26 June 2025
TheStatesTimes

ซูเบียนโตจับมือปูติน ฝึกซ้อมรบร่วมทางทะเลครั้งแรก

(4 พ.ย.67) กองทัพเรืออินโดนีเซียและรัสเซียได้ร่วมซ้อมรบทางทะเลครั้งแรก ซึ่งสะท้อนถึงความพยายามของประธานาธิบดีคนใหม่ของอินโดนีเซีย นายปราโบโว ซูเบียนโต ในการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ การซ้อมรบนี้กินเวลานาน 5 วัน โดยจัดขึ้นที่ฐานทัพเรือในเมืองซูราบายาและบริเวณทะเลชวา

ในสัปดาห์ที่ผ่านมา กองทัพเรืออินโดนีเซียได้แถลงว่า รัสเซียส่งเรือลาดตระเวน 3 ลำ เรือบรรทุกขนาดกลาง เฮลิคอปเตอร์ทหาร และเรือลากจูงมาร่วมการซ้อมรบในอินโดนีเซีย ภาพจากสื่อท้องถิ่นแสดงให้เห็นเรือรัสเซียเดินทางถึงท่าเรือและได้รับการต้อนรับจากวงดุริยางค์ของรัสเซียก่อนเริ่มการฝึกซ้อม

อินโดนีเซียซึ่งเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังคงดำเนินนโยบายต่างประเทศที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด โดยเลือกที่จะเป็นกลางทั้งในเรื่องสงครามยูเครนและความตึงเครียดระหว่างสหรัฐและจีน

นายซูเบียนโตได้แสดงเจตจำนงในการเพิ่มบทบาทของอินโดนีเซียบนเวทีโลก โดยในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เขาได้เดินทางไปเยือนรัสเซียเพื่อเจรจากับประธานาธิบดีวลาดีมีร์ ปูติน

นักวิเคราะห์มองว่าการซ้อมรบร่วมทางทะเลครั้งนี้เป็นสัญญาณถึงการเปลี่ยนแปลงทิศทางนโยบายต่างประเทศของอินโดนีเซียภายใต้การนำของซูเบียนโต ซึ่งมุ่งส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างอินโดนีเซียกับประเทศมหาอำนาจ

เกียรติยศแห่งความสำเร็จ! PTT คว้า 2 รางวัลใหญ่ในงาน SET Awards 2024 ตอกย้ำความมุ่งมั่นสู่อนาคตที่ยั่งยืน และก้าวล้ำไปอีกขั้นของนวัตกรรม

(4 พ.ย. 67) รางวัลเกียรติยศแห่งความสำเร็จด้านความยั่งยืน (Sustainability Awards of Honor)
4 ปีต่อเนื่อง (ปี 2021 – 2024)

รางวัลเกียรติยศแห่งความสำเร็จด้านนวัตกรรม (SET Awards of Honor)
-ปี 2021 จากผลงานการพัฒนานวัตกรรม วัสดุปิดแผลไบโอเซลลูโลสคอมพอสิต Innaqua
-ปี 2022 จากผลงานนวัตกรรม PTT EV Charger and Charging Platform 
-ปี 2023 จากผลงานตัวเร่งปฏิกิริยา PTT SCR
-ปี 2023 จากผลงานนวัตกรรม เครื่องแลกเปลี่ยนความร้อนไมโครสเกล หรือ PTT MicroHX

CLICK ON CLEAR
สำหรับรางวัล SET Awards จัดขึ้นโดย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อยกย่องบริษัทจดทะเบียนที่มีความโดดเด่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในภาพรวมโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล ถือเป็นอีกหนึ่งรางวัลอันทรงเกียรติของตลาดทุนไทย

'เคมี่ บาเดน็อช' วัย 44 ปี สาวผิวดำคนแรก ผงาดหัวหน้าพรรคอนุรักษ์นิยม

เมื่อวันที่ (2 พ.ย.67) ที่ผ่านมาพรรคอนุรักษ์นิยมอังกฤษได้หัวหน้าพรรคคนใหม่แล้ว ที่ชื่อว่า เคมี่ บาเดน็อช นักการเมืองสาวดาวรุ่งผิวดำวัยเพียง 44 ปี หลังจากที่ริชี ซูนัค อดีตหัวหน้าพรรคและนายกรัฐมนตรีอังกฤษ ได้ลาออกไปเนื่องจากความพ่ายแพ้ยับเยินจากการเลือกตั้งใหญ่ครั้งล่าสุดในอังกฤษ

โดย เคมี่ บาเลน็อช เฉือนเอาชนะ โรเบิร์ต แจนริค คู่แข่งได้ด้วยคะแนนเสียง 56% จากการลงคะแนนเสียงจากสมาชิกพรรคอนุรักษ์ทั่วประเทศกว่า 95,000 เสียง ทำให้เธอกลายเป็นหัวหน้าพรรคหญิงผิวสีคนแรกในประวัติศาสตร์พรรคอนุรักษ์นิยม ที่เคยมีผู้หญิงมาแล้วถึง 4 คน นอกจากนี้ยังเป็นนักการเมืองหญิงผิวดำคนแรกที่เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองขนาดใหญ่ในทวีปยุโรป

สำหรับประวัติของ เคมี่ บาเลน็อช เป็นชาวอังกฤษเชื้อสายไนจีเรีย มีคุณพ่อ คุณแม่เป็นคุณหมอทั้งคู่ เธอเกิดที่เมืองวิมเบอดัน ในกรุงลอนดอน ในปี 1980 ในครอบครัวมีพี่น้องด้วยกัน 3 คน หลังจากที่เธอเกิดได้ไม่นาน พ่อ และ แม่ก็พาครอบครัวย้ายกลับไปอยู่ไนจีเรีย ก่อนที่จะย้ายไปตั้งรกรากทำงานในสหรัฐอเมริกาในเวลาต่อมา

เคมี่ เดินทางหวนกลับมาอังกฤษอีกครั้งตอนที่อายุได้ 16 ปี เพื่อเรียนต่อมหาวิทยาลัย Sussex โดยเลือกเรียนในสาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์จนถึงระดับปริญญาโท โดยระหว่างที่เรียน เธอทำงานพิเศษที่ร้าน Mc Donald's ไปด้วยเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว 

หลังจากเรียนจบ เธอทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ด้าน IT ที่บริษัท Logica และเรียนต่อด้านกฎหมาย แบบภาคพิเศษที่สถาบัน University of London วิทยาเขต Birkbeck จนจบปริญญาตรีอีกใบได้สำเร็จ ก่อนจะมาเอาดีในเส้นทางการเมือง ได้เป็น สส. สังกัดพรรคอนุรักษ์มาตั้งแต่ปี 2017 และวันนี้ เธอได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งหัวหน้าพรรคอนุรักษ์ ที่จะทำหน้าที่เป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาอีกด้วย 

อาจจะกล่าวได้ว่า เคมี บาเลน็อช ถือเป็นนักการเมือง ที่ไต่เต้าจากชนชั้นกลางอย่างแท้จริง อีกทั้งยังเป็นตัวแทนของกลุ่มคนผิวสี ผู้อพยพ กลุ่มสิทธิสตรี และกลุ่มชนชั้นกลางได้อย่างชัดเจนยิ่งกว่าหัวหน้าพรรคแรงงาน อย่าง เคียร์ สตาร์เมอร์ ผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษคนปัจจุบันเสียอีก

แหล่งข่าวภายในพรรคแรงงานเปิดเผยว่า มีการวิพากษ์ วิจารณ์กันอย่างร้อนแรงภายในห้องแชทของสมาชิกพรรคแรงงานใน Whatsapp ว่า การที่พรรคอนุรักษ์ได้เลือก เคมี่ บาเลน็อช เป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่นั้น ทำให้พรรคแรงงานเหมือนถูกตบหน้า ทั้ง ๆ ที่ติดป้ายว่าเป็น 'พรรคแรงงาน' แท้ ๆ แต่กลับมีตัวแทนคนผิวสีมาร่วมในคณะรัฐบาลน้อยมาก และเริ่มมีกระแสด้านลบที่มองว่าพรรคแรงงานไม่ได้ให้ความสำคัญกับตัวแทนของกลุ่มคนผิวสี ชาวเอเชีย หรือแม้แต่ชนกลุ่มน้อยในสังคมต่าง ๆ อย่างที่เคยพูดไว้

แต่เมื่อมองมายังฝั่งพรรคอนุรักษ์ที่เป็นคู่แข่งที่มักถูกโจมตีว่าเป็นพรรคของชนชั้นสูง แต่กลับมีหัวหน้าพรรคเป็นผู้หญิงมาแล้วถึง 4 คน และยังเคยเลือกคนเชื้อสายอินเดีย และ คนเชื้อสายอาฟริกันเป็นผู้นำพรรคมาแล้ว

จากการเลือกตั้งในปี 2024 ที่ผ่านมา พรรคแรงงานสามารถคว้าชัยชนะได้อย่างถล่มทลาย กวาดที่ได้ไปได้ถึง 411 ที่นั่ง ในจำนวนนั้นมี สส. ที่มีเชื้อสายชนกลุ่มน้อยอยู่ถึง 89 คน แต่ทว่ากลับมีเพียง เดวิด ลามมี ที่เป็น สส.ผิวดำคนเดียวของพรรคที่ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศในรัฐบาลของเคียร์ สตาร์เมอร์

'พิชัย' เจรจา 'รัฐมนตรียูเออี' พร้อมคณะนักธุรกิจ ชวนลงทุน Data Center-ประกาศความพร้อมเป็นแหล่งความมั่นคงทางอาหาร พร้อมเร่งสรุปผลเจรจา CEPA ไทย - ยูเออี

'นายพิชัย นริพทะพันธุ์' รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในโอกาสที่ ดร.ธานี บิน อาเหม็ด อัล เซยูดี รัฐมนตรีแห่งรัฐประจำกระทรวงเศรษฐกิจ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) รับผิดชอบด้านการค้าต่างประเทศ นำคณะนักธุรกิจ UAE ที่มีศักยภาพสูงในการลงทุนเดินทางเยือนไทย เพื่อเชิญชวนมาลงทุนในประเทศ ทั้งด้านเทคโนโลยีและอาหาร สร้างเศรษฐกิจให้เติบโตไปด้วยกัน

โดยนายพิชัยได้หารือกับ ดร.ธานีฯ และคณะนักธุรกิจ ในหลายเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเชิญชวนฝ่าย UAE เข้ามาลงทุนจัดตั้ง Data Center ในไทย ซึ่ง UAE ก็มองเห็นถึงศักยภาพของไทยในด้านเทคโนโลยีดิจิทัล และปัญญาประดิษฐ์ อีกทั้งไทยยังมีระบบนิเวศด้านเทคโนโลยีที่ดีมาก อาทิ ระบบสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐานที่มีความพร้อมสูง โดยเฉพาะไฟฟ้าและน้ำที่มีความเสถียรและมีปริมาณเพียงพอ เครือข่ายอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง 5G ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจด้านเทคโนโลยีในระดับที่ดี และทำเลที่ตั้งซึ่งเป็นศูนย์กลางของอาเซียน UAE จึงสนใจเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมดังกล่าวตลอดห่วงโซ่ธุรกิจเช่น การพัฒนาซอฟท์แวร์ และการบริการ เพื่อต่อยอดให้ไทยเป็น 'Hub' ของภูมิภาค โดยขอให้รัฐบาลไทยช่วยสนับสนุน ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะสนับสนุนฝ่าย UAE และจะช่วยแนะนำผู้ร่วมทุนที่น่าเชื่อถือให้ UAE นอกจากนี้ UAE ยังมองหานักลงทุนเข้าไปช่วยพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานใน UAEเพื่อเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนระยะยาว

นายพิชัยฯ เสริมว่า ด้วยความพร้อมด้านการผลิต และแปรรูปสินค้าเกษตรและอาหารของไทยที่ส่งเสริมให้ไทยเป็นผู้ส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารรายใหญ่ของโลก อาทิ ข้าว ไก่ และปลาทูน่ากระป๋อง ตนจึงได้เสนอไทยเป็นแหล่งสนับสนุนความมั่นคงทางอาหารให้ UAE และเพื่อต่อยอดความร่วมมือที่ยั่งยืนที่สองฝ่ายจะได้ประโยชน์ร่วมกันตนจึงได้เชิญชวน UAE เข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร ขณะเดียวกัน UAE ก็มีความสนใจที่จะร่วมมือกับไทยเป็นอย่างยิ่ง โดยเห็นว่า ความเชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการน้ำ และการจัดการขยะของ UAE จะช่วยส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมและสิ่งแวดล้อมของไทย ทั้งนี้ UAE ได้เชิญชวนให้ไทยส่งออกสินค้าดังกล่าวมายัง UAE เพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นที่ต้องการของตลาด UAE อีกทั้ง ยังเสนอให้ไทยใช้ UAE ที่มีความพร้อมด้านโลจิสติกส์ เป็นจุดกระจายสินค้าไปยังภูมิภาคใกล้เคียง อาทิ แอฟริกา และยุโรปด้วย โดยตนได้มอบหมายให้กรมการค้าต่างประเทศหารือกับบริษัทของ UAE ในรายละเอียดต่อไป

นายพิชัยฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า UAE มีความต้องการแรงงานคุณภาพจากไทย รวมทั้งวิศวกรจำนวนมาก เพื่อเข้าไปช่วยพัฒนาเศรษฐกิจของ UAEโดยกระทรวงพาณิชย์ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะช่วยสนับสนุนประเด็นดังกล่าว นอกจากนี้ ตนได้พูดคุยกับ ดร. ธานีฯ เกี่ยวกับแนวทางการสรุปผลการเจรจา FTA ระหว่างไทยกับ UAE หรือที่เรียกว่า CEPA ซึ่งเราเห็นตรงกัน ที่จะผลักดันให้การเจรจาฯ สรุปผลได้โดยเร็วที่สุด เพื่อให้เกิดประโยชน์ในวงกว้างต่อภาคธุรกิจของสองฝ่ายต่อไป 

‘นพดล’ วอนหยุดปั่นกระแสไทยเสีย ‘เกาะกูด’ ย้ำชัด เกาะเป็นของไทย อย่าใช้ความเท็จโจมตีดั่งกรณีเขาพระวิหาร

‘นพดล’ วอนหยุดปั่นกระแสไทยเสียเกาะกูด หยุดใช้ความเท็จโจมตีอย่างที่ตนเคยถูกใส่ร้ายเรื่องเขาพระวิหาร แต่พอศาลยกฟ้องกลับเงียบหายไปหมด

เมื่อวันที่ (3 พ.ย.67) นายนพดล ปัทมะ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงการปั่นกระแสว่าไทยจะเสียเกาะกูด และเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิก เอ็มโอยู 44 รวมทั้งพาดพิงตนให้คนเข้าใจผิดเรื่องเขาพระวิหารแบบแผ่นเสียงตกร่องว่า ตนขอใช้สิทธิถูกพาดพิง คนที่เป็นห่วงโดยสุจริตก็มี และบางคนเป็นคนที่เคยร่วมจุดกระแสคลั่งชาติในปี 2551 โดยใช้ความเท็จใส่ร้ายว่าตนซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในขณะนั้น ทำให้ไทยเสียปราสาทพระวิหารให้กัมพูชา ทั้ง ๆ ที่ไทยยกปราสาทพระวิหารให้กัมพูชาตามคำตัดสินศาลโลกไปแล้วตั้งแต่ปี 2505 ต่อมาในปี 2551 กัมพูชาเอา 1.ตัวปราสาทและ 2.พื้นที่ทับซ้อนไปขอขึ้นทะเบียนมรดกโลก แต่รัฐบาลและตนเจรจาจนกัมพูชายอมตัดพื้นที่ทับซ้อนออก และยอมขึ้นทะเบียนมรดกโลกเฉพาะตัวปราสาทซึ่งเป็นของเขามาเกือบ 50 ปีแล้ว แต่ตนถูกโจมตีใส่ร้ายเท็จว่าขายชาติและไปฟ้องเอาผิดตน ซึ่งต่อมาในปี 2558 ศาลฎีกาก็ได้พิพากษายกฟ้องตน และในคำพิพากษาก็ได้ระบุว่าสิ่งที่ตนทำถูกต้องและประเทศจะได้ประโยชน์จากการกระทำของตน ข้อเท็จจริงคือตนไม่ได้ขายชาติ แต่คือคนที่ปกป้องชาติ แต่คนบางกลุ่มยังไม่สำนึกว่าการจุดกระแสคลั่งชาติเรื่องเขาพระวิหารในปี 2551 ทำให้มีการปะทะตามแนวชายแดน มีทหารเสียชีวิต และทำให้ในปี 2554 กัมพูชากลับไปศาลโลกอีกครั้งหนึ่ง เพื่อยื่นตีความคำพิพากษาศาลโลกปี 2505 ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเสื่อมทรามลงในเวลานั้น ถามว่าคนเหล่านี้จะรับผิดชอบอย่างไร

นายนพดล กล่าวว่า ส่วนประเด็นที่เรียกร้องให้ไทยยกเลิกเอ็มโอยู 44 นั้น คำถามคือถ้ามันจะทำให้ไทยเสียหายจริง นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีต่างประเทศที่ไปลงนามเอ็มโอยู 44 จะไปเซ็นได้อย่างไร นอกจากนั้นมีการบิดเบือนข้อเท็จจริงและกฎหมาย 3 เรื่องใหญ่ที่ต้องตอบคือ 1.การกล่าวหาว่าเอ็มโอยู 44 จะทำให้เสียเกาะกูดนั้นก็ไม่จริง เกาะกูดเป็นของไทยตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ไม่มีใครสามารถยกเกาะกูดให้กัมพูชาได้ เกาะกูดเป็นอำเภอหนึ่งของไทยและไปเที่ยวได้ตลอด 2.กล่าวหาว่าเอ็มโอยู 44 ไปยอมรับเส้นเขตไหล่ทวีปที่กัมพูชาประกาศ และจะทำให้ไทยเสียสิทธิทางทะเล ก็ไม่เป็นความจริงอีก เนื่องจากเนื้อหาของเอ็มโอยู  44 ไม่ได้ยอมรับเส้นที่กัมพูชาลากแต่อย่างใด เพราะถ้ายอมรับ แล้ว เราจะไปเจรจากันทำไม โดยเฉพาะที่ต้องเน้นคือเนื้อหาในข้อ 5 ของเอ็มโอยู 44 ที่ระบุไว้ชัดเจนว่าตราบใดที่ยังไม่มีข้อตกลงเรื่องการแบ่งเขตพื้นที่ทางทะเล ให้ถือว่า เอ็มโอยู 44 และการเจรจาตาม เอ็มโอยู 44 จะไม่มีผลกระทบต่อการอ้างสิทธิ์ทางทะเลของทั้งไทยและกัมพูชา  

นายนพดล กล่าวต่อว่า และ 3.ส่วนที่กล่าวหาว่ารัฐบาลนี้มุ่งแต่จะเจรจากับกัมพูชา เพื่อขุดน้ำมันและแก๊สในพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนก่อน โดยไม่สนใจพื้นที่ทางทะเลนั้น ก็เป็นข้อกล่าวหาที่ไร้มูลความจริง เนื่องจากไม่สามารถทำได้ตามกรอบเอ็มโอยู 44 เพราะ ก) การเจรจาแบ่งพื้นที่ทางทะเล และ ข) การเจรจาพื้นที่พัฒนาร่วมหรือ JDA ต้องทำคู่ผูกติดกันไป แยกจากกันไม่ได้ (indivisible package) ตามที่ระบุในข้อ 2 ของ เอ็มโอยู 44

“ผมสงสัยว่ารัฐบาลที่ผ่านมาก็เจรจาโดยใช้เอ็มโอยู 44 ไม่เห็นมีการประท้วง ผมเห็นว่าพี่น้องคนไทยควรได้รับทราบข้อเท็จจริง ไม่ใช่การให้ความเห็นที่ไม่ถูกต้อง คนที่แสดงความห่วงใยโดยสุจริต รัฐบาลคงพร้อมรับฟัง ส่วนคนที่บิดเบือนใส่ร้ายก็ขอยุติได้แล้ว บางคนเคยร่วมจุดกระแสคลั่งชาติเรื่องเขาพระวิหาร ยังไม่สำนึกรับผิดชอบต่อความเสียหายที่ทำขึ้น ผมเคยถูกใส่ร้ายเรื่องเขาพระวิหาร ทำลายผม ครอบครัวผม แต่พอศาลฎีกาท่านยกฟ้องตนและคำพิพากษาระบุว่าสิ่งที่ผมทำถูกต้องและประเทศจะได้ประโยชน์จากสิ่งที่ตนทำ กลับเงียบหายไปหมด” นายนพดล กล่าว

สมุทรปราการ-แน่นปึก!! “อำนวย บุญริ้ว” แชมป์เก่า ยื่นใบสมัครเลือกตั้งนายกท้องถิ่น ประชาชนจำนวนมากส่งเสียงเชียร์ให้กำลังใจ

(4 พ.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าช่วงเช้าของวันนี้ ประชาชนจำนวนกว่า 100 คน ได้เดินทางมาให้กำลังใจและมอบดอกไม้พร้อมทั้งส่งเสียงเชียร์นายอำนวย บุญริ้ว อดีตนายกเทศมนตรีเมืองแพรกษาใหม่ ที่เดินทางมายื่นใบสมัครรับเลือกตั้ง ณ ห้องประชุมศรีสุนันท์ สำนักงานเทศบาลเมืองแพรกษาใหม่ ต.แพรกษาใหม่ อ.เมือง สมุทรปราการ ซึ่งในวันนี้ได้มีการเปิดรับสมัครรับเลือกตั้งนายกท้องถิ่นของตำบลแพรกษาใหม่เป็นวันแรก โดยนายอำนวย บุญริ้ว อดีตนายกเทศมนตรีเมืองแพรกษาใหม่ ในฐานะแชมป์เก่าได้เดินทางมายื่นใบสมัครรับเลือกตั้งนายกเทศมนตรีเมืองแพรกษาใหม่

โดยมี นายอนุรักษ์ ผ่องโอสถ ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเทศบาลเมืองแพรกษาใหม่ พร้อมด้วย นายสมชาติ ตันตระกูล ประธานกรรมการการเลือกตั้งประจำเทศบาลเมืองแพรกษาใหม่ นายสุรพงษ์ คงโรจน์ กรรมการการเลือกตั้งประจำเทศบาลเมืองแพรกษาใหม่ ตลอดจนคณะเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองดูแลความเรียบร้อยและอำนวยความสะดวกแก่ผู้สมัครรับเลือกตั้ง

ซึ่งการลงสมัครรับเลือกตั้งในวันนี้นั้น นายอำนวย บุญริ้ว อดีตนายกเทศมนตรีเมืองแพรกษาใหม่ จับฉลากได้หมายเลข 1 และในส่วนทางด้าน ร.ต.อ.สุมิตร ไทยเกิด ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งได้หมายเลข 2 โดยในวันนี้ทางด้านนายอำนวย บุญริ้ว แชมป์เก่ามีสีหน้าที่ยิ้มแย้มและคาดว่าหลังจากนี้ นายอำนวย บุญริ้ว อดีตนายกเทศมนตรีเมืองแพรกษาใหม่

จะเตรียมตัวลงพื้นที่หาเสียงไปพบปะพูดคุยกับพี่น้องประชาชนตามชุมชนต่างๆในเขตพื้นที่ และขอคะแนนเสียงเพื่อป้องกันแชมป์เพื่อที่จะกลับมาปฎิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองแพรกษาใหม่พร้อมทั้งขับเคลื่อนการพัฒนาตำบลแพรกษาใหม่ต่อไป และการเปิดรับสมัครรับเลือกตั้งตั้งแต่วันที่ 4-8 พฤศจิกายน 2567

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

ย้อนประวัติ Subway แซนด์วิชแบรนด์ดัง ชื่อนี้ได้มาเพราะหน้าตาคล้ายเรือดำน้ำครั้งหนึ่งเคยมีสาขาโตแซงหน้า McDonald's

กลายเป็นประเด็นร้อนแรงในกลุ่มธุรกิจอาหารบริการด้านหรือ QSR เมื่อแบรนด์ดังระดับโลกอย่าง ซับเวย์ (Subway) ได้ออกมาเตือนลูกค้าในประเทศไทยที่เข้าไปใช้บริการร้านอาหารแล้วเจอกับมาตรฐานสินค้าและบริการที่ผิดเพี้ยนไป 

โดยทาง GOLUCK บริษัทย่อยในเครือ PTG ซึ่งเป็นผู้ถือสิทธิ์แฟรนไชส์ออกมาระบุว่า เนื่องจากตอนนี้เราได้รับข้อร้องเรียนเรื่องคุณภาพอาหาร , วัตถุดิบขาด, กระดาษห่อ ไม่มีพิมพ์ลาย Subway , กระดาษห่อลาย Subway สีเลอะติดอาหาร ขนมปังไม่ใช่ของ Subway และ อื่น ๆ เข้ามาเป็นจำนวนมาก จากการตรวจสอบพบว่าลูกค้าไปใช้บริการจากร้าน Subway ที่ถูกยกเลิกสิทธิ์ Franchise ไปตั้งแต่วันที่ 26 กค. 2567 ไปแล้ว เช่น Food generation สาขา CP ทาวเวอร์ สีลม , ปตท บางแสน ,ปตท สุขสวัสดิ์, เชลล์ ลาดพร้าว, ทองหล่อ, เชลล์ ท่าพระ, คาลเท็กซ์ ประชานุกูล, ดิ อัพ พระราม 3, บางจาก ราชพฤกษ์ และ อื่นๆ ร้าน SUBWAY สาขาต่างๆ ระบุแฟรนไชส์ที่ได้รับอนุญาตชัดเจน 'GOLUCK' ทั้งนี้ สำหรับร้านซับเวย์ที่สิ้นสุดการเป็นแฟรนไชส์มีทั้งสิ้น 105 สาขา

สำหรับประวัติของร้าน Subway เริ่มต้นในปี 1965 เมื่อ Fred DeLuca นักศึกษาอายุ 17 ปี และ Dr. Peter Buck เพื่อนของครอบครัวซึ่งเป็นนักฟิสิกส์นิวเคลียร์ ได้เปิดร้าน Pete's Drive-In: Super Submarines สาขาแรกในเมืองบริดจ์พอร์ต รัฐคอนเนตทิคัต DeLuca โดยมีจุดประสงค์เพื่อช่วยจ่ายค่าเล่าเรียนในมหาวิทยาลัยของทางครอบครัว

เหตุที่ใช้ชื่อว่า Super Submarines เนื่องจากลักษณะของแซนด์วิชที่รูปทรงคล้ายกับเรือดำน้ำจึงนำมาเป็นชื่อดังกล่าว มาจากรูปร่างของขนมปังที่มีความกลม ยาว และเมื่อนำไปประกอบกับไส้ต่าง ๆ ด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้ดูเหมือนเข้าไปใหญ่ ความโดดเด่นในเรื่องของแซนด์วิชและสลัดของแบรนด์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นมาง่าย ๆ แต่เป็นเพราะว่าพวกเขาเริ่มต้นด้วยการขายทั้งแซนด์วิชและสลัดผัก ทำให้กลายเป็นร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดที่มีความเชี่ยวชาญในการทำแซนด์วิชและสลัดเป็นที่สุด ซึ่งหนึ่งในสิ่งที่ทำให้ พวกเขาเป็นผู้นำในด้านการทำแซนด์วิชและสลัดก็คือความมุ่งมั่นตั้งใจทำตามสโลแกนที่ตั้งไว้ นั่นคือ 'Eat Fresh' ด้วยการคัดเลือกวัตถุดิบที่ดี สดใหม่และมีคุณภาพมาใช้ในการประกอบอาหารทุกวัน

ปี 1968 ทั้งสองตัดสินใจเปลี่ยนชื่อมาเป็น Subway จากนั้นในปี 1974 DeLuca และ Buck ได้ขยายกิจการด้วยการเปิดอีก 16 สาขาแฟรนไชส์ในรัฐคอนเนตทิคัต แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เนื่องจากไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้คือเปิดร้าน 32 สาขาได้ทันเวลา

ในปี 1978 Subway เปิดสาขาแรกบนชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐด้วยการเปิดทำการสาขาแรกในเมืองเฟรสโน รัฐแคลิฟอร์เนีย นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาบริษัทก็ได้รับเสียงต้อนรับในแง่บวกและขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง จนในปี 1981 subwayได้ขยายธุรกิจเข้าสู่การทำแฟรนไชส์และในปี 1984 Subwayได้เริ่มต้นเข้าสู่ตลาดต่างประเทศ

ช่วงทศวรรษ 1990 ถือได้ว่าเป็นยุครุ่งเรืองของSubway โดยจำนวนสาขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากประมาณ 5,000 สาขาเป็น 13,200 แห่งในปี 1998 ต่อมาในปี 2002 Subwayได้กลายเป็นเครือข่ายร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

ปี 2004 Subway เริ่มเปิดร้านในห้างสรรพสินค้า Walmart ในปี 2015 เว็บไซต์ entrepreneur ได้จัดอันดับให้แบรนด์ Subway เป็นหนึ่งในแฟรนไชส์ที่เติบโตเร็วที่สุดของปี กลายเป็นเครือร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีร้านอาหาร 33,749 ร้านทั่วโลก ซึ่งมากกว่า McDonald's ถึง 1,012 ร้าน

กระทั่งปี 2017 Subway ปิดสาขาไปมากกว่า 800 สาขาในสหรัฐอเมริกา ในเดือนเมษายน 2018 บริษัทได้ประกาศว่าจะปิดสาขาเพิ่มอีกประมาณ 500 สาขาในปีนั้น ตามรายงานของ Abha Bhattarai จากThe Washington Post สืบเนื่องจากต้นทุนของสินค้าที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้ต้องมีการปรับราคา ทำให้ผลกำไรและผลประกอบการลดลงต่อเนื่องสามปี และจำนวนผู้มาใช้บริการร้าน Subway ลดลงร้อยละ 25 ตั้งแต่ปี 2012 นอกจากนี้ผู้รับสิทธิ์บริหารแฟรนไชส์ยังระบุว่าโปรโมชั่นพิเศษของบริษัทแม่มีส่วนทำให้กำไรการขายหน้าร้านลดลงอีก

ในปี 2019 John Chidsey เข้าร่วม Subway ในตำแหน่ง CEO ถือเป็นผู้บริหารคนแรกของบริษัทซึ่งไม่ใช่สมาชิกในครอบครัวผู้ก่อตั้ง เขาเน้นที่การปรับปรุงสถานที่ร้านค้าในสหรัฐอเมริกา ตลอดจนบุกตลาดแถบเอเชียมากขึ้น สังเกตได้จากบรรดาซีรีส์เกาหลีที่จะมีการโฆษณาแฝงร้าน Subway อยู่หลายเรื่อง 

ปี2023 ครอบครัวBuck และ Deluca ประกาศว่าจะขายหุ้นของบริษัทให้กับบริษัทนักลงทุน ซึ่งมีนักลงทุนหลายรายให้ความสนใจ กระทั่ง 24 สิงหาคม Subway ประกาศว่าบริษัทลงทุนเอกชน Roark Capital ตัดสินใจเข้าซื้อกิจการของ Subway ในราคา 9.6 พันล้านดอลลาร์

มีนาคม 2024 Subway ได้ลงนามข้อตกลง 10 ปีกับ PepsiCo ซึ่งเริ่มในวันที่ 1 มกราคม 2025 ส่งผลให้บริษัทเปลี่ยนมาใช้เครื่องดื่มของกลุ่ม PepsiCo แทนที่ The Coca-Cola Company โดยก่อนหน้านั้น Subway เคยร่วมมือให้บริการเครื่องดื่มจาก Coca-Cola มาตั้งแต่ปี 2003 ก่อนจะเปลี่ยนสู่ PepsiCo

ทับทิม-ไพลิน เฉิดฉายกลางเซี่ยงไฮ้ คนจีนเเห่ชมสินค้าไทยงานโชว์นานาชาติ (CIIE)

(4 พ.ย. 67) (ซินหัว) ชุน ไพลินดีเลิศ วัย 49 ปี ผู้ค้าอัญมณี และประธานสมาคมนักธุรกิจยุคใหม่ไทย-จีน ย้ายมาไทยตั้งแต่ยังเด็กและก่อตั้งบริษัท ไทยแลนด์ หย่งไท่ จิวเวลรี จำกัด (Thailand Yongtai Jewelry) ตอนอายุ 18 ปี ซึ่งนำสู่การมีส่วนร่วมในแวดวงธุรกิจการค้าอัญมณี โดยหนึ่งในภาพคุ้นตาสำหรับชุนคือการได้เห็นเหล่าผู้ชื่นชอบอัญมณีจากทั่วทุกมุมโลกมาเยี่ยมชมศูนย์การค้าอัญมณีในกรุงเทพฯ เมืองหลวงของไทยที่มีชื่อเสียงในฐานะศูนย์กลางการแปรรูปทับทิมและไพลินระดับโลก

ชุนกำลังจะนำสินค้าร่วมจัดแสดงที่งานมหกรรมสินค้านำเข้านานาชาติจีน (CIIE) ครั้งที่ 7 ที่เตรียมจัดในนครเซี่ยงไฮ้ทางตะวันออกของจีน เขาเข้าร่วมงานทุกครั้งมาตั้งแต่ปี 2018 โดยปีนี้นับเป็นการเข้าร่วมงานครั้งที่ 7 แล้ว โดยชุนให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซินหัวว่าครั้งนี้ตนจะนำเครื่องประดับเกือบ 1,000 ชิ้น รวมทั้งทับทิมและไพลินมากกว่า 100 ชิ้นมาจัดแสดง

ชุนเคยคว้ารางวัลหลายรายการจากงานมหกรรมฯ ซึ่งแสดงถึงการเปลี่ยนผ่านจากฐานะผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่เข้าร่วมสู่ผู้ประกอบการที่ร่วมจัดแสดงอย่างเป็นประจำ ชุนเชื่อว่าเสน่ห์ของงานมหกรรมนี้อยู่ที่ความอัศจรรย์ใจในทุกๆ ปี และผลประโยชน์ที่ได้รับในแต่ละครั้ง พร้อมเล่าย้อนถึงประสบการณ์การเข้าร่วมครั้งแรกในปี 2018 ซึ่งเขาได้รับคำสั่งซื้อตามที่ตั้งเป้าไว้และสร้างสายสัมพันธ์อันดีที่มีค่า

ชุนเผยว่างานมหกรรมฯ เอื้อประโยชน์มากมาย ทั้งการได้เรียนรู้สิ่งใหม่และได้ขยับขยาย "กลุ่มมิตรสหาย" ผ่านแพลตฟอร์มนี้ การเข้าร่วมตลอดหลายปีทำให้ชุนเข้าใจความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปและแนวโน้มล่าสุดของผู้บริโภคชาวจีนดียิ่งขึ้น ซึ่งลูกค้าและพันธมิตรที่ได้จากงานมหกรรมฯ มีส่วนสนับสนุนการขยายธุรกิจของเขา

ขณะเดียวกัน ชุนบอกเล่าถึงประสบการณ์น่าจดจำจากงานมหกรรมฯ ปี 2021 ซึ่งเป็นช่วงการระบาดใหญ่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) โดยแม้ต้องเผชิญหน้ากับสารพัดความท้าทาย ทว่าชุนสามารถเข้าร่วมในฐานะผู้จัดแสดงอัญมณีจากต่างประเทศเพียงรายเดียวในงานมหกรรมปีนั้น

งานมหกรรมฯ ถือเป็นแพลตฟอร์มขนาดใหญ่สำหรับการเชื่อมต่อระดับโลก และชุนเชื่อว่าการที่จีนเป็นเจ้าภาพจัดงานนี้อย่างต่อเนื่องนั้นถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญท่ามกลางการค้าระหว่างประเทศที่ตึงตัวขึ้นในปัจจุบัน เนื่องจากงานมหกรรมฯ ได้สร้างโอกาสใหม่ให้กับนานาประเทศ อาทิ ไทย ในการเข้าสู่ตลาดจีน ส่งผลให้ตลาดจีนอันกว้างขวางเป็นโอกาสที่ดีเยี่ยมสำหรับโลก

ตั้งแต่เข้าร่วมงานมหกรรมฯ ครั้งแรกจนถึงครั้งที่เจ็ด บูธของชุนขยายพื้นที่จากเดิม 36 เป็น 72 ตารางเมตร ขนาดบูธที่เพิ่มขึ้นสองเท่าสะท้อนถึงธุรกิจของชุนที่เติบโต รวมทั้งมนต์เสน่ห์และอิทธิพลที่เพิ่มมากขึ้นของงานมหกรรมฯ โดยตลอดหลายปีที่ผ่านมาชุนได้เห็นถึงพัฒนาการของงานมหกรรมฯ พร้อมทั้งสนับสนุนให้บริษัทอื่นๆ ของไทยเข้าร่วมงานนี้ด้วย

นับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2020 ชุนดำรงตำแหน่งประธานสมาคมฯ และยังเป็นรองเลขาธิการหอการค้าไทย-จีน โดยเขาทุ่มเททำงานเพื่อส่งเสริมการเชื่อมโยงและความร่วมมือระหว่างบริษัทไทยและจีน

ชุนระบุว่างานมหกรรมฯ ให้ความสำคัญกับการสนับสนุนกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) มากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากผู้ประกอบการเหล่านี้อาจพบเจอความท้าทายในการเข้าร่วมงานมหกรรมการค้าขนาดใหญ่รูปแบบนี้ เพราะหลายรายไม่คุ้นเคยกับงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ ดังนั้นนอกเหนือจากนโยบายพิเศษที่ผู้จัดงานจัดให้แล้ว หอการค้าฯ ยังเสนอบริการต่างๆ อาทิ บริการแปลภาษา เพื่อช่วยให้ผู้จัดแสดงสินค้าใช้ประโยชน์จากโอกาสอย่างเต็มที่

ชุนเสริมว่าหอการค้าฯ ได้จัดการให้บริษัทไทยนับสิบแห่งเข้าร่วมงานมหกรรมในครั้งนี้ โดยเน้นที่กลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในภาคอาหารและการแพทย์เป็นหลัก พร้อมให้คำมั่นว่าจะให้บริการที่ยอดเยี่ยมแก่ผู้เข้าร่วมทุกคน และหวังว่าผู้เข้าร่วมงานจะประสบความสำเร็จมากขึ้นผ่านงานมหกรรมนี

แฟ้มภาพซินหัว : ทับทิมที่สำนักงานของชุน ไพลินดีเลิศ ผู้ค้าอัญมณีและผู้จัดแสดงในงานมหกรรมสินค้านำเข้านานาชาติจีน ที่กรุงเทพฯ วันที่ 23 ต.ค. 2024

ผลโพลชี้ชัด!! ‘พีระพันธุ์’ คะแนนนิยมพุ่งอย่างต่อเนื่อง หลังดันนโยบาย ‘รื้อ ลด ปลด สร้าง’ พลังงานไทยเป็นรูปธรรม

จากผลสำรวจความคิดเห็นสวนดุสิตโพล ‘ดัชนีการเมืองไทย เดือนตุลาคม 2567’ ซึ่งสะท้อนถึงความพึงพอใจของประชาชนต่อการทำงานของรัฐบาลที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในด้านมาตรการช่วยเหลือเยียวยาอุทกภัย ฟื้นฟูเศรษฐกิจ ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ รวมไปถึงอุบัติเหตุรถบัสนักเรียนไฟไหม้ ซึ่งทางรัฐบาล ได้เร่งทำงานและแก้ปัญหาช่วยเหลือพี่น้องประชาชนอย่างรวดเร็ว 

ในขณะที่รัฐมนตรีในรัฐบาลชุดนี้ที่มีความโดดเด่นในสายตาประชาชน พบว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยังมาเป็นอันดับ 1 ตามมาด้วย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย อันดับ 2 และ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ อันดับ 3

แต่เป็นที่น่าสนใจว่า นายพีระพันธุ์ มีคะแนนนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากเดือนกันยายนที่ผ่านมา ซึ่งมีคะแนนอยู่ที่ 18.36% ขึ้นมาเป็น 20.79% ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงประชาชนให้การยอมรับและเห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจในการทำงานของนายพีระพันธุ์ ที่ได้เดินหน้าปฏิรูปพลังงานของประเทศไทยทั้งระบบอย่างเป็นรูปธรรม ตามแนว ตามแนวทาง 'รื้อ ลด ปลด สร้าง'

โดยตลอดระยะเวลากว่า 1 ปีในการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายพีระพันธุ์ ได้เสนอให้มีการตรึงราคาพลังงานก๊าซหุงต้ม ค่าไฟฟ้า เพื่อลดค่าครองชีพช่วยเหลือพี่น้องประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง

ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีการร่างกฎหมายเพื่อวางกรอบในการปฏิรูปโครงสร้างพลังงานทั้งระบบ เพื่อเร่งแก้ไขปัญหาและวางกรอบป้องกันสถานการณ์วิกฤตพลังงานในอนาคต โดยก่อนหน้านี้ ได้ออกประกาศให้ผู้ค้าน้ำมัน ต้องแจ้งต้นทุนนำเข้าส่งออกราคาน้ำมันให้ภาครัฐ ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 50 ปี เพื่อนำไปกำหนดราคาที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย

นอกจากนี้ ยังมีร่างกฎหมายเตรียมเข้าสู่สภาฯ อีกหลายฉบับ อาทิ กฎหมายด้านพลังงานฉบับใหม่ ซึ่งจะสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ไม่ใช่การอ้างอิงราคาในต่างประเทศ จะทำให้ราคาพลังงานถูกลง ทั้งน้ำมันและก๊าซหุงต้ม โดยกำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันสามารถปรับเปลี่ยนราคาได้เพียงเดือนละครั้งเท่านั้น ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างการตรวจรายละเอียดจากผู้เชี่ยวชาญทั้งด้านกฎหมายและพลังงาน และคาดว่าการตรวจสอบร่างกฎหมายจะเสร็จสิ้นสมบูรณ์ได้ภายในปีนี้ พร้อม ๆ กับกฎหมายกำกับดูแลการติดตั้งระบบไฟฟ้าโซลาร์ (Solar Rooftop) เพื่อผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ใช้งานภายในบ้าน ซึ่งจะช่วยลดขั้นตอนการขออนุญาตติดตั้ง และจะช่วยให้ประชาชนไม่ต้องกังวลกับค่าไฟแพงอีกต่อไป

รวมถึง ร่างกฎหมายจัดตั้งระบบสำรองน้ำมันแห่งชาติ หรือ Strategic Petroleum Reserve (SPR) ที่จะมาดูแลปัญหาราคาน้ำมันแทนกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พร้อมทั้งสร้างเสถียรภาพด้านราคาน้ำมัน รวมไปถึงก๊าซธรรมชาติด้วย โดยต่อไปการกำหนดราคาน้ำมันในประเทศจะเป็นเรื่องของภาครัฐกับผู้ประกอบกิจการค้าน้ำมัน ไม่ต้องผันผวนรายวันตามราคาขึ้นลงของตลาดโลก ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการตรวจพิจารณาและคาดว่าจะแล้วเสร็จได้ภายในปี 2567 นี้เช่นกัน 

แน่นอนว่า ความนิยมในตัวนายพีระพันธุ์ ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น เป็นบทพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนถึงการยอมรับในผลงานและความมุ่งมั่นทุ่มเททำงานอย่างหนัก และที่สำคัญไม่มีความหวั่นเกรงต่อกลุ่มทุนพลังงาน ซึ่งถือเป็นกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่ในประเทศไทยแต่อย่างใด ขอเพียงนโยบายและโครงการที่จะทำนั้นเป็นการทำเพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชนและประเทศชาติ รวมถึงการวางโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน เพื่อความเป็นธรรมและมั่นคงอย่างยั่งยืนเท่านั้น

กต. ยัน ‘เกาะกูด’ ของคนไทย ป้อง MOU44 ไม่จำเป็ฯต้องยกเลิก พร้อมเเจงยิบ 5 ประเด็นร้อน

(4 พ.ย. 67) กระทรวงการต่างประเทศ ได้จัดการบรรยายสรุปสถานการณ์เรื่อง เรื่องพื้นที่อ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน (Overlapping ClaimsArea: OCA) ระหว่างไทย-กัมพูชา โดยนายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ นางสุพรรณวษา โชติกญาณ ถัง อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย เพื่อคลี่คลายข้อสงสัยของสาธารณะ

อธิบดีกรมสนธิสัญญาฯ อธิบายประเภทของเขตทางทะเลและกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง โดยเน้นอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ปี ค.ศ. 1982 และชี้แจงที่มาของพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล (OCA) ระหว่างไทย-กัมพูชา ขนาดประมาณ 26,000 ตร.กม. เกิดจากการประกาศเขตไหล่ทวีปในอ่าวไทยของทั้งสองประเทศ โดยทั้งสองฝ่ายได้ทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างรัฐบาลไทยและกัมพูชาเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2544 เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาการอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน

อธิบดีกรมสนธิสัญญาฯ ชี้แจงว่า MOU 2544 นี้เป็นข้อตกลงที่กำหนดกรอบและกลไกการเจรจาร่วมกัน ไม่ได้หมายถึงการยอมรับการอ้างสิทธิของอีกฝ่าย โดยทั้งสองประเทศต้องดำเนินการเจรจาต่อไป MOU 2544 กำหนดให้เจรจาทั้งเรื่องการแบ่งเขตทางทะเลและการพัฒนาพื้นที่ร่วมกัน โดยใช้หลักกฎหมายระหว่างประเทศและประโยชน์ร่วมกัน กลไกหลักคือ คณะกรรมการร่วมด้านเทคนิค (JTC) ประกอบด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ด้านความมั่นคง กฎหมาย และพลังงาน ซึ่งได้มีการประชุมไปแล้วในปี 2544 และ 2545 นอกจากนี้ยังมีคณะอนุกรรมการร่วมด้านเทคนิค (Sub-JTC) และคณะทำงานร่วมเกี่ยวกับการกำหนดเขตทางทะเลและการพัฒนาร่วม

แนวทางในการแก้ปัญหา OCA ที่ทั้งไทยและกัมพูชาเห็นพ้องต้องกัน มีดังนี้ (1) ข้อตกลงต้องได้รับการยอมรับจากประชาชนทั้งสองประเทศ (2) ต้องนำเรื่องให้รัฐสภาของทั้งสองประเทศพิจารณาอนุมัติ และ (3) ข้อตกลงต้องสอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

ปัจจุบัน กระทรวงการต่างประเทศอยู่ระหว่างการเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาแต่งตั้งคณะกรรมการ JTC ฝ่ายไทย และเมื่อทั้งสองฝ่ายแต่งตั้งคณะกรรมการ JTC แล้ว ไทยจะเสนอกรอบการเจรจาให้รัฐบาลเห็นชอบ จากนั้นจะทาบทามการเจรจากับฝ่ายกัมพูชาต่อไป รวมถึงการแต่งตั้งกลไกย่อยต่าง ๆ

กระทรวงการต่างประเทศยืนยันการเจรจาเรื่อง OCA บนพื้นฐานของกฎหมายไทยและกฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อผลประโยชน์ของชาติ เช่นเดียวกับที่เคยปฏิบัติกับประเทศอื่น

ในช่วงการตอบคำถามสื่อ อธิบดีกรมสนธิสัญญาฯ ได้ตอบคำถาม 5 ข้อดังนี้:

1. เกี่ยวกับคำถามที่ว่า MOU 2544 จะทำให้ไทยเสียเกาะกูดหรือไม่ อธิบดีชี้แจงว่า เกาะกูดเป็นของไทยตามสนธิสัญญากรุงสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 ซึ่งยืนยันสิทธิอธิปไตยเหนือเกาะกูดอย่างชัดเจน

2. MOU 2544 ขัดกับพระบรมราชโองการการประกาศเขตไหล่ทวีปหรือไม่ อธิบดีระบุว่า การดำเนินการตาม MOU 2544 สอดคล้องกับพระบรมราชโองการ โดยอิงตามอนุสัญญาเจนิวา ค.ศ. 1958 อย่างไรก็ตาม สิทธิเหนือทรัพยากรใต้ท้องทะเลขึ้นกับการเจรจากับประเทศเพื่อนบ้าน

3. MOU 2544 เป็นการยอมรับเส้นของกัมพูชาหรือไม่ อธิบดียืนยันว่าแต่ละฝ่ายมีสิทธิ์เคลมพื้นที่ของตนเองภายในประเทศ ไม่มีผลผูกพันระหว่างประเทศ MOU ไม่ได้บังคับให้ยอมรับเส้นของกัมพูชา

4. การยกเลิก MOU 2544 ในช่วงรัฐบาลอภิสิทธิ์ มาจากการเจรจาชายแดนที่ไม่คืบหน้าในช่วงความตึงเครียดปี 2552 แต่ในปี 2557 กระทรวงเห็นว่า MOU 2544 มีข้อดีมากกว่าข้อเสีย และทุกรัฐบาลที่เข้ามารับช่วงต่อยอมรับว่าเป็นแนวทางที่เหมาะสมในการสร้างความโปร่งใสในการเจรจา

5. เกี่ยวกับการสร้างเขื่อนของกัมพูชาในพื้นที่ OCA อธิบดีระบุว่าการสร้างเขื่อนนี้ถูกประท้วงถึงสามครั้ง ตั้งแต่ปี 2541 2544 และปี 2564 เนื่องจากการก่อสร้างบางส่วนรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ที่ไทยอ้างสิทธิ ซึ่งผลของการประท้วงทำให้หยุดการก่อสร้างของเอกชน "เราก็ต้องแสดงสิทธิเหนืออธิปไตย และเรื่องดังกล่าวอยู่ในการติดตามของกองทัพเรือ และสมช. อย่างใกล้ชิด" อธิบดีกรมสนธิสัญญาฯ กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top