Friday, 27 June 2025
TheStatesTimes

ฝูงลิง 43 ตัว หลุดจากห้องแล็บวิจัย แนะประชาชนปิดประตู-หน้าต่างป้องกัน

(8 พ.ย.67) ชาวบ้านในเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในรัฐเซาท์แคโรไลนา ประเทศสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับความหวาดกลัว หลังมีการประกาศเตือนให้หลีกเลี่ยงฝูงลิงที่อาจติดเชื้อโรค ภายหลังลิงจำนวนประมาณ 40 ตัวหลบหนีออกมาจากศูนย์วิจัยแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ใกล้เคียง

รายงานข่าวระบุว่า ลิงกลุ่มนี้หลุดออกมาจากศูนย์วิจัยวานรอัลฟา เจเนซิส ในเมืองเยมาสซี ซึ่งห่างจากเมืองชาร์ลสตันไปทางตะวันตกเฉียงใต้ราว 100 กิโลเมตร เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันพุธที่ 6 พฤศจิกายน

“มีการจัดวางกับดักไว้ทั่วพื้นที่ และในขณะนี้กรมตำรวจเมืองเยมาสซีกำลังใช้กล้องตรวจจับความร้อนในการตามหาฝูงลิงเหล่านั้น” ตำรวจระบุในคืนวันพุธ พร้อมเตือนว่า “ขอแนะนำให้ชาวบ้านปิดประตูและหน้าต่างอย่างแน่นหนา เพื่อป้องกันไม่ให้ลิงเหล่านี้เข้ามาในบ้าน”

ศูนย์วิจัยอัลฟา เจเนซิส ใช้สถานที่ในเมืองเยมาสซีเป็นที่เลี้ยงลิงสำหรับการวิจัยและทดลองทางการแพทย์ โดยในเว็บไซต์ของบริษัทระบุว่าพวกเขาให้บริการด้านการวิจัยทางชีวภาพและการเพาะพันธุ์ลิง ซึ่งลิงเหล่านี้จะถูกนำไปใช้ในการทดลองทางคลินิกสำหรับการศึกษาเกี่ยวกับโรคต่าง ๆ

ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่าลิงที่หลบหนีเมื่อวันพุธเป็นลิงที่อยู่ในขั้นตอนการทดลองหรือมีเชื้อโรคอยู่ภายในตัวหรือไม่ เจ้าหน้าที่จึงได้รับคำสั่งให้ปฏิบัติด้วยความระมัดระวังอย่างสูงสุดในการจัดการกับลิงที่หลบหนี และประชาชนทั่วไปได้รับคำเตือนว่า หากพบเห็นลิงเหล่านี้ ขออย่าได้เข้าใกล้หรือสัมผัส และให้รีบแจ้งตำรวจทันที

ทั้งตำรวจและศูนย์วิจัยอัลฟา เจเนซิส ยังไม่ได้ระบุถึงสายพันธุ์ของลิงที่หลบหนี แต่ที่ผ่านมา บริษัทมักทำงานกับลิงวอก ลิงมาคาก และลิงคาปูชิน

เหตุการณ์นี้นับเป็นการหลบหนีครั้งที่สองของฝูงลิงจากศูนย์วิจัยอัลฟา เจเนซิสในรอบกว่า 10 ปี โดยก่อนหน้านี้ในปี 2016 ลิงราว 19 ตัวหายออกไปนานประมาณ 6 ชั่วโมงก่อนที่ทั้งหมดจะถูกนำกลับมา

นายกจีนเสนอชาติลุ่มน้ำโขง เร่งลงนามการค้าเสรีจีน-อาเซียน

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เมื่อวานนี้ (7 พ.ย.67) หลี่เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน ได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) ครั้งที่ 8 โดยเรียกร้องให้ 6 ประเทศสมาชิกยกระดับความร่วมมือให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น หลังจากที่ได้ร่วมมือกันมายาวนานกว่า 30 ปี

การประชุมนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 6-7 พฤศจิกายน ที่นครคุนหมิง มณฑลยูนนาน ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน โดยมีผู้นำจากกัมพูชา จีน ลาว เมียนมา ไทย เวียดนาม รวมถึงประธานธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB) เข้าร่วมด้วย

โครงการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงได้เริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 1992 เพื่อส่งเสริมการเติบโตของการค้า การลงทุน และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระดับภูมิภาคให้มีความเชื่อมโยงมากขึ้น 

หลี่เฉียงกล่าวว่า โครงการนี้ได้กลายเป็นเวทีสำคัญในการหารือความร่วมมือเพื่อพัฒนาภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง และเน้นว่าจีนและประเทศสมาชิกควรทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด ใช้ประโยชน์จากความได้เปรียบทางเศรษฐกิจร่วมกัน พร้อมดำเนินความร่วมมือเชิงปฏิบัติในหลายด้านอย่างลึกซึ้ง ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายและการเปลี่ยนแปลง

หลี่เฉียงได้เสนอให้ประเทศสมาชิกขยายการเปิดกว้างทางเศรษฐกิจและสร้างตลาดขนาดใหญ่ที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งเสนอให้พัฒนาหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางคุณภาพสูง ดำเนินความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) และเร่งการลงนามพิธีสารฉบับปรับปรุงของเขตการค้าเสรีจีน-อาเซียน

เขายังเรียกร้องให้มีการพัฒนาแบบขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม โดยส่งเสริมการพัฒนาเครือข่ายไฟฟ้าระดับภูมิภาค การร่วมมือในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่พลังงานใหม่ ยานยนต์ และโซลาร์เซลล์ รวมทั้งขยายความร่วมมือในพลังงานสะอาด การผลิตอัจฉริยะ คลังข้อมูลขนาดใหญ่ และเมืองอัจฉริยะ

ด้านการเชื่อมต่อโครงสร้างพื้นฐาน หลี่เฉียงได้เสนอให้มีการเชื่อมโยงถนน ทางรถไฟ ท่าเรือ รวมถึงด้านนโยบายและกฎระเบียบ เพื่อเร่งการบูรณาการทางเศรษฐกิจของภูมิภาค ทั้งนี้ จีนจะออก 'วีซ่าล้านช้าง-แม่น้ำโขง' ให้กับประเทศสมาชิกทั้ง 5 ประเทศ และออกวีซ่าเข้าประเทศแบบหลายครั้ง ระยะ 5 ปี ให้กับนักธุรกิจที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์

เขายังได้เน้นถึงความสำคัญของการส่งเสริมความร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ (UN) ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย และธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย 

ผู้นำต่างชาติที่เข้าร่วมการประชุมต่างชื่นชมบทบาทสำคัญของจีนในการผลักดันความร่วมมือในภูมิภาคนี้ และยืนยันที่จะเพิ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การค้า การเกษตร การเชื่อมต่อเศรษฐกิจดิจิทัล การพัฒนาสีเขียว การดูแลสุขภาพ การท่องเที่ยว วัฒนธรรม และด้านอื่น ๆ เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนและครอบคลุม

พร้อมดูแลดุจครอบครัว! ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ และตำรวจทางหลวง นำขบวนเปิดทางกว่า 450 กิโลเมตร ส่งทารกอายุ 14 วัน และเด็กน้อย 3 ขวบป่วยวิกฤตถึงโรงพยาบาลได้อย่างรวดเร็วใน 4 ชั่วโมง

วันนี้ (8 พ.ย.67) พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร.) ในฐานะผู้อำนวยการคณะทำงานขับเคลื่อนงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ตนพร้อมด้วย พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะรองผู้อำนวยการคณะทำงานขับเคลื่อนงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ขับเคลื่อนตามนโยบายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. ที่มุ่งให้ความสำคัญในการอำนวยความสะดวกการจราจรให้แก่พี่น้องประชาชน พร้อมป้องกันและลดอุบัติเหตุบนท้องถนน ซึ่งได้กำชับเน้นย้ำให้ทุกหน่วยนำไปขับเคลื่อนให้มีผลปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม และล่าสุดขอชื่นชมตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ กองบังคับการตำรวจจราจร และตำรวจทางหลวง อำนวยความสะดวกการจราจร เร่งนำส่งเด็กมีอาการป่วยวิกฤต 2 เคส จากจังหวัดขอนแก่นส่งโรงพยาบาลได้อย่างรวดเร็ว โดยได้รับความร่วมมืออย่างดีจากประชาชน รวมถึงตำรวจทางหลวง ตำรวจจราจรท้องที่ และเจ้าหน้าที่การทางพิเศษแห่งประเทศไทย จึงสามารถนำส่งผู้ป่วยได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย

โดยเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2567 เวลาประมาณ 08.27 น. ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ ได้รับการประสานงานจากโรงพยาบาลขอนแก่น ว่ามีผู้ป่วยเป็นเด็กทารกแรกเกิดอายุ 14 วัน มีภาวะหลอดเลือดใหญ่หัวใจสลับขั้ว ทางเดินหายใจตีบแคบ ใช้เครื่องช่วยหายใจ ต้องส่งเข้ารับการรักษาต่อที่สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี (โรงพยาบาลเด็ก) เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร เมื่อได้รับแจ้ง เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ ได้เข้าสนับสนุนบริเวณ อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา เปิดทางนำส่งผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลได้อย่างรวดเร็ว

ต่อมาวันที่ 7 พฤศจิกายน 2567 เวลาประมาณ 06.00 น. ได้รับการประสานงานจากโรงพยาบาลขอนแก่น ว่าต้องการตำรวจนำขบวนเปิดเส้นทางเพื่อส่งตัวเด็กหญิง อายุ 3 ปี 4 เดือน ป่วยปอดติดเชื้อขั้นรุนแรง ไปยังโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กรุงเทพมหานคร ตำรวจทางหลวงจึงได้นำเปิดเส้นทาง จนถึง อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริได้เข้าสมทบ นำขบวนเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว และนำส่งผู้ป่วยได้อย่างปลอดภัย ซึ่งเคสนี้เนื่องจากเป็นกรณีที่มีความจำเป็นต้องใช้เวลาในการเดินทางให้น้อยที่สุด จึงต้องขอกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยเปิดเส้นทางเร่งด่วน เพื่อนำผู้ป่วยวิกฤตส่งรักษาต่อยังแพทย์เฉพาะทางโดยเร็วที่สุด เนื่องด้วยระยะทางไกลกว่า 450 กิโลเมตร หากไม่มีรถนำ รถพยาบาลจะสามารถวิ่งได้ด้วยความเร็วที่ไม่มากนัก ไม่สามารถทำเวลาได้เต็มที่และอาจจะเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุขณะเดินทาง พล.ต.ท.ประจวบฯ จึงได้สั่งการให้ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ ตำรวจทางหลวง และตำรวจท้องที่เข้าช่วยเหลืออำนวยความสะดวกนำขบวนเปิดเส้นทางโดยทันที เมื่อได้รับการอำนวยความสะดวกจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำให้ใช้เวลาเพียง 4 ชั่วโมงเท่านั้นในการเดินทาง และถึงที่หมายอย่างปลอดภัย

ทั้งนี้ พล.ต.ท.ประจวบฯ และ พล.ต.ท.กรไชยฯ ได้ชมเชยการปฏิบัติหน้าที่ของทีมตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ ตำรวจทางหลวง รวมถึงตำรวจท้องที่ทุกนาย ที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างมืออาชีพ มีทักษะคล่องแคล่ว สามารถให้ความช่วยเหลือ เป็นที่พึ่งของประชาชน และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติพร้อมช่วยเหลือ ดูแล และอยู่เคียงข้างประชาชนเสมอ ไม่ว่าจะเหตุด่วน เหตุร้าย เหตุฉุกเฉิน ขอให้นึกถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ เราพร้อมดูแลทุกท่านดุจสมาชิกในครอบครัว 

ด้าน พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร./หัวหน้าคณะทำงานฝ่ายเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจร คณะทำงานขับเคลื่อนงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประชาสัมพันธ์ว่า หากพี่น้องประชาชนพบเห็นหรือประสบเหตุ สามารถแจ้ง ขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทันทีตลอด 24 ชั่วโมง ทางช่องทาง
- โทร. 191 จราจรทุก สน./สภ. ทั่วประเทศ 
- โทร. 1197 สายด่วนตำรวจจราจร ในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล 
- โทร. 1193 ตำรวจทางหลวงทั่วประเทศ 
- โทร. 1599 สายด่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ผบ.ทร. นายกสมาคมสามสมอ ประชุมคณะกรรมการสมาคม ปีงป.68

เมื่อวานนี้ (7 พ.ย.67) พลเรือเอกจิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ นายกสมาคมสามสมอสมาคม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสามสมอสมาคม เพื่อพิจารณาแผนการดำเนินการ และประมาณการรายได้ ค่าใช้จ่าย สามสมอสมาคมประจำปี งบประมาณ 68 ก่อนการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2567 ณ ห้องนารายณ์ทรงสุบรรณ  อาคาร 5 พระราชวังเดิม กทม.

ถึงคิว Audi ปลดคนงาน ในเยอรมนี 15% กระทบ 4,500 ตำแหน่ง

(8 พ.ย.67) รอยเตอร์รายงานว่า อาวดี้ (Audi) ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติเยอรมัน กำลังวางแผนลดจำนวนพนักงานในระยะกลาง โดยจะเน้นลดตำแหน่งงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับการผลิต ซึ่งหลายพันตำแหน่งอาจได้รับผลกระทบ

ตามรายงานของ Manager Magazin การลดพนักงานครั้งนี้จะมุ่งไปที่ตำแหน่งงานทางอ้อม เช่น ฝ่ายพัฒนา ซึ่งมีตำแหน่งงานกว่า 2,000 ตำแหน่ง รายงานระบุว่าบริษัทมีเป้าหมายลดพนักงานในเยอรมนีลง 15% ซึ่งส่งผลกระทบต่องานราว 4,500 ตำแหน่ง

อาวดี้ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Volkswagen ได้ยืนยันข้อมูลนี้กับรอยเตอร์ โดยระบุว่าคณะกรรมการบริหารอยู่ระหว่างการเจรจากับตัวแทนคนงาน แต่ไม่ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับจำนวนตำแหน่งที่อาจได้รับผลกระทบ

ในไตรมาสที่ 3 อาวดี้พบว่ากำไรลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากต้นทุนที่สูงขึ้น อันเป็นผลจากการปิดโรงงานในกรุงบรัสเซลส์

เกอร์นอด ดอลล์เนอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปิดเผยว่า สาเหตุที่บริษัทต้องเตรียมปลดพนักงานในเยอรมนีถึง 15% มาจากผลการดำเนินงานที่น่าผิดหวังในไตรมาสที่ 3 โดยเฉพาะผลกำไรสุทธิที่ลดลงอย่างมาก เนื่องจากต้นทุนการดำเนินงานที่สูงและค่าใช้จ่ายจากการปิดโรงงานอาวดี้ในเบลเยียมที่ผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า นอกจากนี้ ความล่าช้าในการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่จำเป็นในรถอีวี ส่งผลให้การเปิดตัวรถอีวีรุ่นคิว 6 อี-ตรอน ล่าช้าไปกว่า 2 ปี

หุ้น MASTER ฤกษ์ดีย้ายเทรด SET 28 ต.ค. นี้ ปักธงโรงพยาบาลศัลยกรรมความงามชั้นนำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

บมจ. มาสเตอร์ สไตล์ หรือ MASTER ฤกษ์ดีย้ายเข้ากระดานเทรด SET วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม 2567นี้ หวังขยายฐานนักลงทุนให้เพิ่มสูงขึ้น ดึงสถาบัน-กองทุนใน-ตปท. เข้าถือหุ้นสร้างความเชื่อมั่น ปักธงจะเป็นโรงพยาบาลศัลยกรรมความงามชั้นนำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในฐานะ Regional Company ด้าน 2 แม่ทัพใหญ่ นำโดย 'นพ.ระวีวัฒน์ มาศฉมาดล' ประธานกรรมการบริหาร และ 'ลภัสรดา เลิศภานุโรจ' ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แย้มธุรกิจด้านความงามเติบโตต่อเนื่อง ตอกย้ำผ่านผลการดำเนินงานเติบโตสม่ำเสมอ สวยฉ่ำด้วยพื้นฐานแกร่ง – วางเป้าหมายรายได้ปี 67 โต 20% จากปีก่อน

นายแพทย์ระวีวัฒน์ มาศฉมาดล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท มาสเตอร์ สไตล์ จำกัด (มหาชน) หรือ MASTER ผู้ประกอบกิจการโรงพยาบาลมาสเตอร์พีช Specialty Hospital ผู้นำอุตสาหกรรมด้านความงามของประเทศไทยและเอเชีย กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ประกาศให้หุ้น MASTER ย้ายจากตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ SET เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยจะเริ่มซื้อขายในกระดาน SET ตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม 2567 เป็นต้นไป ซึ่ง MASTER มีวัตถุประสงค์ เพื่อขยายฐานนักลงทุนให้เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะนักลงทุนสถาบัน นักลงทุนรายย่อย และกองทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ

“รู้สึกยินดีที่ได้เห็น MASTER เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยวันนี้ (28 ตุลาคม 2567) ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของเราที่นำหุ้น MASTER ย้ายเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ SET ซึ่งบทพิสูจน์ความสำเร็จตั้งแต่ ที่ MASTER เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในช่วงระยะเวลาปีกว่าที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นภาพของการเติบโตทางธุรกิจอย่างสม่ำเสมอ ด้วยแผนกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ ทั้ง Organic และ Inorganic ด้วยกลยุทธ์แบบ Merger and Partnership (M&P) ที่เป็นส่วนเข้ามาช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นในตลาดและ MASTER มีเป้าหมายที่จะเติบโตอย่างยั่งยืนคู่ตลาดหุ้นไทย” นายแพทย์ระวีวัฒน์ กล่าว

นางสาวลภัสรดา เลิศภานุโรจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาสเตอร์ สไตล์ จำกัด (มหาชน) หรือ MASTER กล่าวว่า บริษัทฯ วางแผนที่จะเป็นโรงพยาบาลศัลยกรรมความงามชั้นนำของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในฐานะ Regional Company โดยการย้ายเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหรือ SET ถือเป็นการเปิดโอกาสให้นักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศที่สนใจเข้ามาลงทุนมากขึ้น หลังมองเห็นศักยภาพในการเติบโตของธุรกิจ

MASTER มีมุมมองในเชิงบวกต่อการเติบโตของผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2567 ที่เป็นไปตามอัตราการเติบโตของหัตถการจะยังคงอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ประกอบกับเห็นยอดการใช้จ่ายต่อบิลของลูกค้าต่างชาติที่ปรับตัวสูงขึ้นอีก 10-15% สอดคล้องกับการบริหารจัดการในด้านต้นทุนค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพ และกลับไปยังระดับเดิม เข้ามาช่วยสนับสนุนด้านการเติบโตของ MASTER ให้ดียิ่งขึ้น ทำให้คาดว่าผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังของปี 2567เติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยเริ่มเข้าสู่ช่วง High season จะมีลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างมากทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะในต่างประเทศที่มีฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นจากอินโดนีเซีย เมียนมาร์ กัมพูชา และลาว ที่วางเป้าหมายสัดส่วนลูกค้าต่างประเทศอยู่ที่ 25-30% ผ่านการขยายตลาด และสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรในระดับภูมิภาค

สำหรับในปีนี้บริษัทฯ วางเป้าหมายรายได้เติบโต 20%จากปีก่อน โดยเน้นเติบโตทั้ง Organic และ Inorganic ด้วยกลยุทธ์แบบ Merger and Partnership (M&P) จากการเข้าไปถือหุ้นในบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางและเป็นกิจการระดับแนวหน้าในแต่ละภูมิภาค โดยใช้จุดแข็งทางด้านระบบและการจัดการ ผนึกกำลังสร้างโอกาสการเติบโตร่วมกัน ภายใต้กลยุทธ์ Cross Boder-Cross Selling และ Cross Synergy ซึ่งถูกออกแบบให้เสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวและรองรับการเติบโตของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ

MASTER เชื่อมั่นว่า การเติบโตอย่างมั่นคง ต้องมาพร้อมการพัฒนาและปรับตัวให้ทันต่อความต้องการของตลาด การใช้เทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ๆ และการรักษาคุณภาพบริการที่เยี่ยมยอด จะทำให้เราเติบโตด้วยกันอย่างยั่งยืน

เลือกให้ดี เลือกมาตรฐานโรงพยาบาล รายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.masterpiecehospital.com / line : @MTP.hospital / FB : Masterpiece Hospital / IG : Masterpiece_hospital

ไทย เบอร์ 2 ในอาเซียน เงินเดือนสูงสุดเฉลี่ย100,000 ต่อเดือน เป็นรองแค่เพียงสิงคโปร์

(8 พ.ย.67) สิงคโปร์ครองแชมป์ประเทศเงินเดือนสูงสุดในอาเซียน ไทยอันดับ 2 เริ่มต้นที่ 20,000 บาทสูงสุดเฉลี่ย 100,000 บาท จากการสำรวจโดยเว็บไซต์ TEMPO.CO ในจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย โดยอ้างอิงข้อมูลจาก Time Doctor เผยให้เห็นอันดับเงินเดือนเฉลี่ยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) โดยพบว่าสิงคโปร์เป็นประเทศที่มีเงินเดือนเฉลี่ยสูงสุด ขณะที่ไทยครองอันดับ 2

อันดับที่ 1 ตกเป็นของสิงคโปร์ ด้วยเงินเดือนเฉลี่ยประมาณ 6,332 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสะท้อนถึงค่าครองชีพและเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาค เงินเดือนเริ่มต้นในประเทศนี้อยู่ในระดับสูงสุดของอาเซียน

อันดับที่ 2 คือประเทศไทย ที่เป็นหนึ่งในจุดหมายสำคัญของแรงงานในอาเซียน โดยเงินเดือนเฉลี่ยสำหรับพนักงานเริ่มต้นอยู่ที่ 20,000-25,000 บาทต่อเดือน ขณะที่ตำแหน่งระดับกลางถึงสูงอาจได้รับเงินเดือนสูงสุดถึง 100,000 บาทต่อเดือน

อันดับที่ 3 ได้แก่ บรูไน ดารุสซาลาม ซึ่งแม้จะมีประชากรน้อย แต่มีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ โดยเงินเดือนเฉลี่ยสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 3,230 ดอลลาร์บรูไน หรือประมาณ 83,000 บาท

ในอันดับที่ 4 เป็นของมาเลเซีย โดยเงินเดือนเฉลี่ยสูงสุดอยู่ที่ 6,610 ริงกิต หรือประมาณ 52,000 บาทต่อเดือน ส่วนอันดับที่ 5 คือฟิลิปปินส์ ตามด้วยอินโดนีเซีย เวียดนาม สปป.ลาว กัมพูชา และเมียนมา โดยเมียนมามีเงินเดือนต่ำที่สุดในอาเซียนที่ 311,000 จ๊าต หรือประมาณ 5,100 บาท

'รองนายกฯประเสริฐ' เปิดงาน Thailand Space Week 2024 ชี้เป็นเวทีที่ใหญ่ที่สุดของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เชื่อมโยงเครือข่ายด้านเทคโนโลยีอวกาศจากทั่วโลก สร้างโอกาสทางธุรกิจและการใช้ประโยชน์ให้กับไทยและภูมิภาคอาเซียน

(8 พ.ย.67) สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมหรือ อว. จับมือหน่วยงานพันธมิตรอย่าง Cabinet office of Japan, ISPACE, การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย, บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน), ECURS, SIEMENS, THAICOM และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศ อีกกว่า 70 บริษัท จัดงาน Thailand Space Week 2024 อย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งได้มีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการไปแล้ว

วันที่ 7 พฤศจิกายน 2567 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานเปิดงาน Thailand Space Week 2024 ซึ่งจัดโดยสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จับมือหน่วยงานพันธมิตรอย่าง Cabinet office of Japan, ISPACE, การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย, บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน), ECURS, SIEMENS, THAICOM และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศ อีกกว่า 70 บริษัท จัดขึ้น

โดยนายประเสริฐ กล่าวว่า ประเทศไทยตั้งใจจัดงาน Thailand Space Week 2024 ในครั้งนี้อย่างยิ่งใหญ่ พร้อมเปิดบ้านต้อนรับผู้เข้าร่วมงานจากทั่วทุกมุมโลก ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีและธุรกิจด้านอวกาศของประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน ซึ่งจะนำมาสู่การขับเคลื่อนทางวิทยาศาสตร์ เศรษฐกิจ สังคมและเทคโนโลยีในอนาคต โดยเทคโนโลยีอวกาศจะแทรกซึมอยู่ในเกือบทุกส่วนของการดำเนินชีวิตในปัจจุบันและยังมีบทบาทสำคัญในการยกระดับเศรษฐกิจไทยให้เป็น New S Curve สำหรับการจัดงาน Thailand Space Week ในครั้งนี้จะเป็นการยกระดับการใช้เทคโนโลยีของภาคเอกชนในอุตสาหกรรมอวกาศ

นายประเสริฐ กล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐบาลไทยมุ่งมั่นในการสนับสนุนและพัฒนานวัตกรรมในด้านอวกาศอย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนที่จะเร่งการพัฒนาดาวเทียมเพื่อตอบโจทย์การใช้งานในประเด็นสำคัญต่างๆของประเทศ ส่งเสริมการเติบโตธุรกิจด้านอวกาศทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานใหม่ ๆ เช่น Spaceport และความร่วมมือกับธุรกิจระหว่างประเทศ เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืน ไม่เพียงแค่นั้นรัฐบาลยังส่งเสริมให้เยาวชนได้เกิดการเรียนรู้และมีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมอวกาศ ผ่านการเรียนการสอนและกิจกรรมต่างๆ การสร้างความตระหนักและความสามารถด้านอวกาศนั้นมีความสำคัญอย่างมากในการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมอวกาศในอนาคตต่อไป

ด้าน ดร.ปกรณ์ อาภาพันธุ์ ผู้อำนวยการ GISTDA กล่าวว่า งาน Thailand Space Week 2024 ครั้งนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 3 แล้ว ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐมนตรีฯกระทรวง อว. ที่ต้องการขับเคลื่อนนโยบายด้านวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมของประเทศ ให้เกิดความร่วมมือและการใช้ประโยชน์สำหรับประเทศไทยมากที่สุด งานนี้ถือเป็นเวทีระดับนานาชาติที่สำคัญที่สุดในด้านเทคโนโลยีอวกาศและธุรกิจในประเทศไทย คาดว่าตลอดการจัดงาน 3 วันจะมีผู้เข้าร่วมมากกว่า 3,000 คนจาก 34 ประเทศทั่วโลก บริษัทเข้าร่วมงานมากกว่า 70 บริษัท บูธนิทรรศการมากกว่า 100 บูธ 

ซึ่งแนวทางการจัดงานของปีนี้เราเน้นเรื่อง 'Converging Technologies, Connecting People' ซึ่งสะท้อนถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอวกาศที่มีมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต้องนำมาหลอมรวมกับเทคโนโลยีอื่นๆ (Technology Convergence) ที่จะนำมาสู่เครื่องมือ ข้อมูล และการจัดการที่จะเกิดประโยชน์สูงสุดกับมนุษย์และการดำเนินธุรกิจ โดยการจัดงานครั้งนี้ผู้ร่วมงานนอกจากจะมีโอกาสอัพเดทข้อมูลที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีและกิจการอวกาศจากนานาประเทศแล้วยังเป็นการเปิดโอกาสให้รู้จักและสร้างเครือข่ายทางความรู้และธุรกิจกับผู้ใช้งานที่เกี่ยวข้องอีกด้วย 

ซึ่งปีนี้เราได้รับเกียรติจากเอกอัคราชทูตและนักการทูตมากกว่า 10 ประเทศ  มาร่วมงาน นอกจากนี้ยังมีผู้นำและผู้บริหารระดับสูงจากองค์กรด้านอวกาศจากหลายประเทศทั้งในเอเซียและภูมิภาคอื่นๆ อาทิ CNSA ประเทศจีน, KARI สาธารณรัฐเกาหลีใต้, OSTIN ประเทศสิงคโปร์, EU , MYSA จากประเทศมาเลเซีย, QZSS ประเทศญี่ปุ่น และ PHILSA ประเทศฟิลิปปินส์ มาร่วมแสดงวิสัยทัศน์และมุมมองภายในงานด้วย 

สำหรับจุดเด่นของงาน Thailand Space Week 2024  มีหลายกิจกรรม โดยเฉพาะในส่วนของ Plenary Stage จะมี Session ที่น่าสนใจ อาทิ Space Leaders Forum, Unveiling Asean Space Ecosystems, การใช้เทคโนโลยีอวกาศรับมือกับความท้าทายที่สำคัญของโลกในปัจจุบัน, Financing the Future กับโอกาสในอุตสาหกรรมอวกาศ หรือจะมาร่วมส่องอนาคตเทคโนโลยีอวกาศ ไปกับ นางฟ้าไอที คุณเฟื่องลดา กับ Trend ในอีก 10 ข้างหน้า ทั้งหมดล้วนแล้วแต่แสดงให้เห็นถึงบทบาทของประเทศไทยที่พร้อมเป็นศูนย์กลางด้านการพัฒนาและขับเคลื่อนภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีอวกาศเพื่อสร้างโอกาสและประโยชน์ให้กับภูมิภาค

ประเทศไทยมุ่งหวังที่จะสร้างโอกาสและขยายความร่วมมือ ทั้งด้านองค์ความรู้ ธุรกิจ และการลงทุนในระดับนานาชาติ โดยประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางในการเชื่อมโยงของภูมิภาค ซึ่งมุ่งหวังจะให้เกิดการยกระดับและเปิดโอกาสให้กับ Space related Industry ของไทยกับพันธมิตรจากนานาประเทศ อันจะนำมาสู่การเพิ่มรายได้ใหม่ๆให้กับภาคเศรษฐกิจของไทย เพื่อก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลางของประเทศ

‘จุลพันธ์‘ เปิดงานมหกรรมการเงินเชียงใหม่ ย้ำแนวคิด ‘เศรษฐกิจดิจิทัล‘ หวังเป็นฮับการเงินแห่งอาเซียน เผย ‘คลัง-ธทป.’ จับมือสร้างกลไก ’ธนาคารไร้สาขา’ เอื้อ SMEs เข้าถึงแหล่งทุน มั่นใจมาตรการช่วยเหลือน้ำท่วม-แอ่วเหนือคนละครึ่ง ฟื้น ศก.ภาคเหนือ

(8 พ.ย.67) ที่เชียงใหม่ ฮอลล์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา เชียงใหม่ แอร์พอร์ต นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานในพิธีเปิดงานมหกรรมการเงินเชียงใหม่ ครั้งที่ 19 (MONEY EXPO 2024 CHAINGMAI) ภายใต้แนวคิด Digital Finance for All การเงินดิจิทัลเพื่อทุกคน โดยมีนายวีรพงศ์ ฤทธิ์รอด รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ นายไพโรจน์ โล่ห์สุนทร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสันติ วิริยะรังสฤษฎ์ ประธานจัดงานมหกรรมการเงิน MONEY EXPO และนายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย พร้อมด้วยผู้บริหารสถาบันการเงิน

นายจุลพันธ์กล่าวว่า ตนรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับเชิญให้มาเป็นประธานในงานนี้ ซึ่งถือว่าเป็นประเด็นสำคัญอย่างยิ่งต่อประเทศไทย ที่กำลังก้าวเข้าสู่ยุคการเงินดิจิทัลและยังเป็นก้าวย่างที่มีความหมายสำหรับภาคการเงินไทยในแง่ของการริเริ่มสนับสนุนให้ประชาชนทุกระดับ ตลอดจนธุรกิจ SMEs สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินและการลงทุนได้อย่างเท่าเทียมกันทั่วประเทศ 

นายจุลพันธ์กล่าวต่อว่า งานมหกรรมการเงินเชียงใหม่ นับว่าเป็นงานมหกรรมที่เปิดโอกาสให้ประชาชนในภาคเหนือสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างกว้างขวาง โดยผลลัพธ์จากการจัดงานที่ผ่านมาทั้งหมด 18 ครั้ง มีจำนวนผู้เข้าร่วมงานสูงถึง 1,120,000 คน เกิดมูลค่าธุรกรรมรวมทั้งสิ้นถึง 215,930 ล้านบาท และครั้งล่าสุดในปีที่ผ่านมานั้น พบว่ามีผู้เข้าร่วมงานกว่า 35,000 คน และมูลค่าธุรกรรมทั้งสิ้นกว่า 8,050 ล้านบาท ซึ่งตัวเลขเหล่านี้ชี้ให้เห็นความสำเร็จและความสำคัญของโครงการได้เป็นอย่างดี 

นายจุลพันธ์ยังกล่าวถึงนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจและการเงินดิจิทัลในภาพรวมของรัฐบาลภายใต้การนำของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีว่า รัฐบาลมีนโยบายและวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในระบบการเงิน เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางด้านการเงินของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้ได้ ดังนั้นรัฐบาลจึงเร่งเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงบริการทางการเงินให้กับประชาชนในอัตราที่เหมาะสม

นายจุลพันธ์กล่าวต่อว่า ในระยะที่ผ่านมานั้น อุตสาหกรรมการเงินของไทยแข็งแกร่งขึ้นจากการฟื้นตัวของภาคการผลิตและการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม การพึ่งพาเศรษฐกิจในประเทศเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอต่อการยกระดับโครงสร้างอุตสาหกรรมการเงิน ดังนั้น จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดึงเอาอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่มีมูลค่าสูงขึ้นเข้ามาในประเทศ ผ่านการผลักดันนวัตกรรมใหม่ๆ ให้กับระบบการเงิน คือ การส่งเสริมให้เกิดธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Bank) หรือการค้ำประกันสินเชื่อที่จะสร้างความทั่วถึงด้านการเงินให้กับคนไทย บนความเชื่อมั่นว่ายิ่งคนไทยเข้าถึงระบบการเงินได้สะดวกมากขึ้นเท่าไหร่ก็จะยิ่งนำไปสู่การลงทุน การสร้างงานและการยกระดับคุณภาพชีวิตที่สูงขึ้นมากเท่านั้น

นายจุลพันธ์กล่าวย้ำว่า แนวคิดดังกล่าวยังสอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงการคลังที่ร่วมกันออกใบอนุญาตธนาคารไร้สาขาร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย โดยเน้นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นประชาชนและธุรกิจ SMEs ที่เพิ่งเริ่มประกอบธุรกิจและยังไม่เคยได้รับสินเชื่อจากสถาบันการเงิน ซึ่งปัจจุบันยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาผู้ขออนุญาตประกอบธุรกิจธนาคารไร้สาขาและคาดว่าผู้ที่ได้รับอนุญาตจะสามารถเปิดให้บริการได้ในไตรมาส 2 ของปี 2568 

นอกจากนี้ นายจุลพันธ์ยังกล่าวถึงนโยบายของกระทรวงการคลังที่กำหนดให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจ (Specialized Financial Institutions: SFIs) มีบทบาทสำคัญในการเติมเต็มช่องว่างทางการเงิน ผ่านหลักการสำคัญ 3 ประการ ได้แก่

ประการแรกคือ หลักการ Financial for all ที่มุ่งเน้นให้ SFIs ขยายโอกาสการเข้าถึงบริการทางการเงินให้ครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่ม เพื่อให้ประชาชนมีแหล่งเงินทุนไปใช้พัฒนาคุณภาพชีวิต ประการที่สองคือ หลักการ Literacy for all ที่มุ่งเน้นให้ SFIs ยกระดับศักยภาพของลูกหนี้ โดยการเพิ่มพูนองค์ความรู้ทางการเงิน ความรู้ในการประกอบธุรกิจ และความรู้ด้านดิจิทัล 

ประการที่สามคือ หลักการ Responsibility for all ที่มุ่งเน้นให้ SFIs ดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อลูกค้าและผู้มีส่วนที่เกี่ยวข้อง ยึดหลักการธนาคารเพื่อความยั่งยืน รวมถึงการส่งเสริมให้ยกระดับการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อการวิเคราะห์ความเสี่ยงและความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่แข็งแกร่งผ่านนโยบายของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่ได้ออกใบอนุญาตให้มีการซื้อขายโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน (Investment Token) โดยผู้ถือโทเคนดังกล่าวจะได้รับผลตอบแทนในรูปแบบต่างๆ ตามที่ผู้ออกหน่วยลงทุนกำหนด

นายจุลพันธ์ได้กล่าวถึงมาตรการของภาครัฐที่ได้ช่วยเหลือประชาชนในระหว่างการเกิดอุทกภัยในช่วงที่ผ่านมาด้วยว่า รัฐบาลและธนาคารของรัฐได้มีมาตรการลดดอกเบี้ยเงินกู้ ขยายเวลาชำระหนี้ พักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย รวมถึงการปรับโครงสร้างหนี้ การให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ รวมถึงการพัฒนาศักยภาพเพื่อฟื้นฟูลูกหนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)

สำหรับมาตรการของ ธ.ก.ส. นั้น นายจุลพันธ์เน้นย้ำว่า มาตรการพักชำระหนี้สำหรับเกษตรกรในพื้นที่ที่ประกาศเป็นเขตประสบภัยสามารถแจ้งความประสงค์ในการขอเลื่อนระยะเวลาชำระหนี้สุงสุดไม่เกิน 1 ปี โดยไม่คิดดอกเบี้ยปรับ รวมถึงมีมาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้สำหรับลูกหนี้เกษตรกรที่มีหนี้ค้างชำระ (NPL) โดยขยายระยะเวลาชำระหนี้ได้ถึง 20 ปี และยกเว้นดอกเบี้ยปรับ

นอกจากนี้ ยังมีโครงการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน ปี 2567/68 เพื่อเสริมสภาพคล่องเกษตรกรในด้านค่าใช้จ่ายทั่วไป เช่น ค่าอุปโภคและบริโภคที่จำเป็น วงเงินต่อรายไม่เกิน 50,000 บาท ที่อัตราดอกเบี้ย MRR (6.875%) ระยะเวลากู้ไม่เกิน 3 ปีปลอดชำระดอกเบี้ยใน 6 เดือนแรก

ทั้งนี้ นายจุลพันธ์ยังได้กล่าวถึงโครงการแอ่วเหนือคนละครึ่งที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวในภาคเหนือ โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว มอบสิทธิ์ส่วนลด 50% รวมมูลค่าไม่เกิน 400 บาท จำนวน 10,000 สิทธิ์ ให้แก่นักท่องเที่ยว ซึ่งคาดว่าสามารถสร้างรายได้ให้กับภาคเหนือได้ไม่น้อยกว่า 44.34 ล้านบาท 

นายจุลพันธ์กล่าวทิ้งท้ายว่า ตนมั่นใจว่านโยบายทางการเงินและมาตรการช่วยเหลือต่างๆ เหล่านี้จะสามารถบรรเทาความเดือดร้อนและเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับพี่น้องประชาชนได้เป็นอย่างดี ซึ่งจะนำไปสู่การฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศไทยให้กลับมาเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไปและรัฐบาลจะทุ่มเทอย่างเต็มที่ เพื่อสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลที่แข็งแกร่งให้กับประเทศและขับเคลื่อนประเทศไทยให้ขึ้นมาเป็นฮับการเงินแห่งภูมิภาคอาเซียนให้สำเร็จ

‘การบินไทย’ กำไรไตรมาส 3 พุ่งกว่า 700% หนุน 9 เดือนแรก โกยกำไรแตะ 1.5 หมื่นล้าน

(8 พ.ย.67) ‘การบินไทย’ ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2567 เผยมีรายได้รวม 4.5 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.8% ดันกำไรสุทธิ 1.24 หมื่นล้านบาท เติบโตพุ่ง 707% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หนุนกำไร 9 เดือนแรกแตะ 1.5 หมื่นล้านบาท

รายงานข่าวจากบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าในไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อยมีรายได้รวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) ทั้งสิ้น 45,828 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8,820 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีรายได้รวม 37,008 ล้านบาท หรือ 23.8% โดยมีผู้โดยสารรวมทั้งสิ้น 3.94 ล้านคน มีอัตราการบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) ปรับตัวลดลงจาก 77.3% ในงวดเดียวกันของปีก่อนเป็น 76.1%

บริษัทและบริษัทย่อยมีค่าใช้จ่ายรวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) 38,636 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อนซึ่งมีค่าใช้จ่าย 29,289 ล้านบาท ส่วนใหญ่เกิดจากค่าใช้จ่ายที่ผันแปรตามปริมาณการผลิตและปริมาณการขนส่งที่เพิ่มขึ้น เป็นค่าใช้จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง 13,550 ล้านบาท คิดเป็น 35.1% ของค่าใช้จ่ายรวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) โดยมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนต้นทุนทางการเงิน (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) 7,192 ล้านบาท ต่ำกว่าไตรมาส 3 ของปี 2566 ซึ่งมีกำไร 7,719 ล้านบาท

ทั้งนี้ มีต้นทุนทางการเงินซึ่งเป็นการรับรู้ตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 9 (TFRS 9) จำนวน 4,829 ล้านบาท และมีรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียวรวม 10,119 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากกำไรอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศสุทธิ ส่งผลให้บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 12,483 ล้านบาท ในขณะที่ปีก่อนกำไร 1,546 ล้านบาท

โดยมี EBITDA หลังหักเงินสดจ่ายหนี้สินตามเงื่อนไขสัญญาเช่าเครื่องบินรวมค่าเช่าเครื่องบินจากการใช้เครื่องบินที่เกิดขึ้นจริง (Power by the Hours) 6,655 ล้านบาท

สำหรับงวด 9 เดือนแรกของปี 2567 บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้รวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) ทั้งสิ้น 135,810 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีรายได้รวม 115,897 ล้านบาท คิดเป็น 17.2% ในขณะเดียวกันมีค่าใช้จ่ายรวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) 111,617 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อนซึ่งมีค่าใช้จ่ายรวม 86,567 ล้านบาท คิดเป็น 28.9%

และมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนต้นทุนทางการเงิน (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) 24,193 ล้านบาท ต่ำกว่างวดเดียวกันของปี 2566 ที่กำไร 29,330 ล้านบาท คิดเป็น 17.5% โดยบริษัทและบริษัทย่อยมีต้นทุนทางการเงินซึ่งเป็นการรับรู้ตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 9 (TFRS 9) จำนวน 14,233 ล้านบาท และมีรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียวสุทธิเป็นรายได้รวม 5,273 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากปรับปรุงรายได้บัตรโดยสารที่หมดอายุ กำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้ และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม พบว่ามีผลขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการบันทึกผลขาดทุนจากการด้อยค่าเครื่องบินแบบแอร์บัส A380-800 ส่งผลให้บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 15,221 ล้านบาท ในขณะที่ปีก่อนมีกำไร 16,342 ล้านบาท มี EBITDA หลังหักเงินสดจ่ายหนี้สินตามเงื่อนไขสัญญาเช่าเครื่องบินรวมค่าเช่าเครื่องบินจากการใช้เครื่องบินที่เกิดขึ้นจริง (Power by the Hours) 25,056 ล้านบาท

อนึ่ง ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 บริษัทและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวมจำนวน 263,743 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากวันที่ 31 ธันวาคม 2566 จำนวน 24,752 ล้านบาท หรือ 10.4% หนี้สินรวมจำนวน 291,684 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 จำนวน 9,551 ล้านบาท หรือ 3.4%

ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทและบริษัทย่อยติดลบจำนวน 27,941 ล้านบาท ติดลบลดลงจากวันที่ 31 ธันวาคม 2566 จำนวน 15,201 ล้านบาท และจากผลประกอบการที่เป็นบวก บริษัทมีเงินสด ตั๋วเงินฝาก เงินฝากประจำที่มีระยะเวลาที่ครบกำหนดชำระมากกว่า 3 เดือน แต่ไม่เกิน 1 ปี และหุ้นกู้ที่ครบกำหนดภายใน 1 ปี 82,587 ล้านบาท ณ วันที่ 30 กันยายน 2567

ทั้งนี้ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 บริษัทได้ชำระหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการไปแล้วรวมทั้งสิ้น 3,531 ล้านบาท


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top