Friday, 27 June 2025
TheStatesTimes

แม่ทัพภาคที่ 4 ให้การต้อนรับคณะ ส.ว. จาก 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เข้าพบแสดงความยินดี และร่วมหารือแก้ไขปัญหา ผลักดันการพัฒนาคุณภาพชีวิตพี่น้องประชาชนอย่างยั่งยืน

เมื่อวานนี้ (8 พ.ย.67) เวลา 14.00 น. ณ ห้องรับรอง กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ตำบลเขาตูม อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี พลโท ไพศาล  หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 พร้อมคณะฯ ให้การต้อนรับสมาชิกวุฒิสภาจาก 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้และคณะที่ปรึกษากรรมาธิการทหาร นำโดย นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล สมาชิกวุฒิสภา / นายกสมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้ พร้อมด้วยสมาชิกวุฒิสภาจาก 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้แก่ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส สงขลา และสตูล เข้าพบ พลโท ไพศาล หนูสังข์ เพื่อร่วมแสดงความยินดี ในการเข้ารับตำแหน่งและปฏิบัติหน้าที่ แม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 และร่วมพูดคุยหารือแนวทางการแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเน้นการใช้การศึกษาเป็นฐานในการพัฒนาคุณภาพชีวิต รวมไปถึงการสร้างความเข้าใจแก่พี่น้องประชาชนในพื้นที่ เพื่อสร้างสันติสุขอย่างยั่งยืนในพื้นที่ต่อไป

โอกาสนี้ พลโท ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ได้กล่าวขอบคุณ นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล สมาชิกวุฒิสภา / นายกสมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้ และคณะฯ ที่ได้เดินทางมาร่วมแสดงความยินดี โดยตนรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ให้การต้อนรับคณะ แต่ขณะเดียวกัน ตนต้องคิดให้มากขึ้นและทำให้มากขึ้น ให้สมกับที่ทุกท่านได้มาร่วมแสดงความยินดี และรู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ที่ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งและปฏิบัติหน้าที่ แม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 สำหรับการแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น จากประสบการณ์การทำงานในพื้นที่มาอย่างยาวนาน ทำให้เข้าใจและพร้อมที่จะแก้ไขปัญหา โดยใช้กระบวนการสร้างการรับรู้ 2 P คือ Perception (การรับรู้) และ Process (กระบวนการ) เพื่อสร้างความเข้าใจให้กับพี่น้องประชาชน ภาคประชาสังคม รวมไปถึงทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นฐานนำไปสู่การสร้างสันติสุขในพื้นที่

นอกจากนี้ คณะสมาชิกวุฒิสภาจาก 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และคณะที่ปรึกษากรรมาธิการทหาร ยังได้ร่วมหารือและเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ โดยเน้นการส่งเสริมการศึกษาให้กับเยาวชนกลุ่มเปราะบาง ทั้งในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานและหลักสูตรเร่งรัด เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างคนดีสู่สังคมในอนาคต รวมทั้งเน้นการพูดคุยพบปะพัฒนาสัมพันธ์กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือและความเข้าใจอันดี ซึ่งจะช่วยให้การแก้ไขปัญหาด้านความมั่นคงในพื้นที่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป

เปิดเส้นทางรัก ‘ทนายตั้ม - ปทิตตา’ รักกันมา 25 ปี สมัยจีบกัน คุยข้ามวัน 2 ทุ่ม ถึง ตี 2 ก่อนได้ครองคู่

(9 พ.ย. 67) ย้อนเรื่องราวเส้นทางความรัก 25 ปี ของ ทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด กับ ภรรยาคนสวย คุณเดือน ปทิตตา เบี้ยบังเกิด ในรายการ 'ที่รัก เสือสิงห์ กระทิงแซ่บ' กับชื่อตอน เปิดคดีรัก 25 ปี เป็นเมียทนายต้องอดทน!! ทำคดีมามากมาย แต่ ทนายตั้ม ษิทรา กลับแพ้ให้คดีของ เดือน ปทิตตา ภรรยาคนสวยสุดแซ่บนี่เอง แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ ภรรยาคนนี้ต้องสู้และอดทนแค่ไหน?

ทนายตั้มเล่าว่า รักกันมา 25 ปี ช่วงแรกไม่ค่อยเปิดเผยเรื่องครอบครัวให้ใครรู้เลย แต่ช่วงหลัง ๆ พอทนายตั้มเริ่มมี FC มากขึ้น คุณเดือนเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ ก็เลยต้องแสดงตัวว่า ทนายตั้มมีครอบครัวแล้วนะ

“เจอกันครั้งแรกในงานประกวดนางนพมาศ ตั้งใจจะไปจีบเพื่อนของคุณเดือน แต่เพื่อนเขามีแฟนแล้ว ก็เลยเบนเข็มไปจีบเขาแทน โดยโทรไปหาเขาหลายวันติดต่อกัน จนคุณเดือนเริ่มรู้สึกแปลกๆ เพราะเริ่มไม่ได้ถามเรื่องเพื่อนแล้ว แต่ถามเรื่องคุณเดือนอย่างเดียวเลย จนฝ่ายคุณเดือนต้องถามว่า ‘พี่ตั้มคิดอะไรกับหนูหรือเปล่า’ จะได้ทำตัวถูก ก็เลยบอกว่า คุยกันตั้งแต่ 2 ทุ่ม ถึง ตี 2 ยังไม่รู้ตัวอีกเหรอ” ทนายตั้มย้อนเล่า

แต่ก็ไม่ง่ายขนาดนั้น เพราะคุณเดือนเป็นลูกหลานบ้านนายตำรวจใหญ่ของจังหวัด จะเข้าไปจีบก็เหมือนเข้าถ้ำเสือ จนต้องเข้าทางคุณย่าแทน มาถึงช่วงที่หัวเลี้ยวหัวต่อ กำลังจะจบ ม.6 ที่บ้านจะส่งไปเรียนเมืองนอก แต่ทนายตั้มเชื่อว่าถ้าคุณเดือนไปเมืองนอกจะต้องเลิกกันแน่นอน ก็เลยตัดสินใจ ไปที่บ้านเข้าไปขอลูกสาวเขาเลย ตอนนั้นคุณเดือนเพิ่งจบ ม.6 ตัวเองก็เพิ่งเรียนมหาวิทยาลัยปี 2

คุณเดือนบอกว่า ช่วงที่คบกับทนายตั้มแรกๆ ลำบากมาก ทนายตั้มเรียน ม.ราม ได้เงินวันละ 200 บาท บางวันได้ 50 บาท ลงเรือ เดินเท้า ทุกอย่างผ่านมาด้วยกันหมดแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้ เรามั่นใจว่าคิดไม่ผิดจริง ๆ ที่เลือกเขาเป็นคู่ชีวิต เรารู้ว่าเขาทำงานเสี่ยง ๆ เพื่อครอบครัวทุกอย่าง

คุณเดือนยังถูกถามคำถามในรายการว่า จริงหรือไม่ที่ เป็นเมียทนายตั้มต้องอดทน เพราะ ทนายตั้ม HOT เกินต้าน จนเมียหัวจะปวด ซึ่งคุณเดือนบอกว่า สำหรับสามีคนนี้ ช่วงแรก ๆ ต้องเช็กทุกอย่าง เพราะเขาชอบตีเนียน บอกว่าคุยเรื่องงาน พอทนายตั้มหลับ ก็จะต้องเอามือถือมาเช็ก เช้ามาถ้าหน้านิ่วคิ้วขมวด แปลว่าเจออะไรแปลก ๆ แน่นอนแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการแชตคุยที่ไม่เหมือนลูกความกับทนายคุยกัน เช่น “กินข้าวหรือยังคะ” อะไรแบบนี้

ทนายตั้มก็ตอบว่า จริง ๆ เป็นเรื่องงาน เป็นบรรดา FC ที่เขาติดตามเรา บางคนส่งอาหาร ส่งของมาให้กินที่สำนักงานเลยก็มี

นบข.ไฟเขียวมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก ปี 67/68 ดันราคาสินเชื่อข้าวหอมมะลิ

นบข.ไฟเขียว 3 มาตรการช่วยเหลือชาวนา ที่ได้จากการหารือร่วมกับเกษตรกร โรงสี และผู้ส่งออก เชื่อราคาข้าวปีนี้ไม่ลดลง และทบทวนโครงการปุ๋ยคนละครึ่งให้เกิดการยกระดับกระบวนการผลิตและสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าเกษตร

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) เมื่อวันที่ 8 พ.ย.2567 ว่า ที่ประขุมนบข.ไฟเขียวมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือกปีการผลิต 2567/68 รวม 3 มาตรการ  ประกอบด้วย (1) สินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี เป้าหมาย 3 ล้านตัน วงเงิน 8,362.76 ล้านบาท โดยช่วยค่าฝาก 1,500 บาท/ตัน 

ในกรณีเข้าร่วมกับสหกรณ์ สหกรณ์รับ 1,000 บาท/ตัน เกษตรกรรับ 500 บาท/ตัน เก็บข้าวไว้ในยุ้งฉาง 1–5 เดือน เริ่มตั้งแต่ ครม. มีมติ - 28 ก.พ.2568 และเกษตรกรสามารถนำข้าวไปขอสินเชื่อจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โดยข้าวหอมมะลิตันละ 12,500 บาท ปรับเพิ่มจากปีก่อนที่ตันละ 12,000 บาท (+500 บาท/ตัน) ข้าวหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 11,000 ล้านบาท ปรับเพิ่มจากปีก่อนที่ตันละ 10,500 บาท (+500 บาท/ตัน) ข้าวหอมปทุมธานี ตันละ 10,000 บาท ข้าวเจ้า ตันละ 9,000 บาท และข้าวเหนียว ตันละ 10,000 บาท หากข้าวราคาขึ้น เกษตรกรสามารถไปไถ่ถอนออกมา 

เพื่อนำมาจำหน่ายได้ (2) สินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร เป้าหมาย 1.5 ล้านตัน ปรับเพิ่มจากปีก่อนที่เป้าหมาย 1 ล้านตัน  (+0.5 ล้านตัน) วงเงิน 656.25 ล้านบาท โดยสหกรณ์จ่ายดอกเบี้ย 1% รัฐช่วยดอกเบี้ย 3.5% ระยะเวลา 15 เดือน ระยะเวลาการจ่ายสินเชื่อตั้งแต่ ครม. มีมติ -30 ก.ย.2568 และ (3) ชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการเก็บสต๊อก เป้าหมาย 4 ล้านตัน วงเงิน 585 ล้านบาท โดยรัฐช่วยดอกเบี้ย 3% เก็บสต๊อก 2–6 เดือน ระยะเวลารับซื้อตั้งแต่ ครม. มีมติ - 31 มี.ค.2568 

นายพิชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ที่ประชุมยังได้มีการพิจารณาทบทวนโครงการปุ๋ยคนละครึ่ง เนื่องจากการดำเนินการที่ผ่านมา พบว่า ยังมีข้อจำกัดและข้อพิจารณาเกี่ยวกับขั้นตอนและแนวทางการปฏิบัติ จึงได้มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นำกลับไปทบทวนหลักเกณฑ์และวิธีการให้มีความเหมาะสม รัดกุม และสอดคล้องกับหลักการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 พ.ย.66 โดยให้คงมาตรการหรือโครงการในลักษณะที่เป็นการสนับสนุนการเพิ่มระดับผลิตภาพ (Productivity) ของภาคการเกษตร ผ่านการพัฒนาปรับปรุงคุณภาพดิน การพัฒนาแหล่งน้ำ และสนับสนุนปัจจัยการผลิต เพื่อยกระดับกระบวนการผลิตและคุณภาพผลผลิตทางการเกษตร และให้นำเสนอ นบข. อีกครั้ง

นอกจากนั้น ในการพัฒนาการผลิตข้าวให้มีความยั่งยืนในระยะยาว ได้มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บริหารจัดการข้าวให้มีความสมดุลกันระหว่างอุปสงค์และอุปทาน คำนึงถึงความเพียงพอในการบริโภคภายในประเทศ และที่สำคัญต้องทำให้ชาวนามีความแข้มแข็งสามารถพึ่งพาตนเองได้ มีรายได้และความเป็นอยู่ที่ดี โดยรัฐบาลจะเดินหน้าส่งเสริมและสนับสนุนด้านตลาดและการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้มากยิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าการเกษตร

รมว.แรงงาน 'พิพัฒน์' เป็นประธานพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทานกระทรวงแรงงาน ประจำปี 2567 ณ วัดชัยมงคล พระอารามหลวง จ.สงขลา 

(9 พ.ย.67) เวลา 10.00 น. นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทานของกระทรวงแรงงาน ประจำปี 2567 ในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้ากระกฐินให้กระทรวงแรงงาน ตามที่ขอพระราชทานเพื่อน้อมนำไปถวายพระสงฆ์จำพรรษากาลถ้วนไตรมาส ณ วัดชัยมงคล พระอารามหลวง ตำบลบ่อยาง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลาเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อีกทั้งเป็นการสนองสถาบันพระมหากษัตริย์ในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาและพระอารามหลวง พร้อมสืบสานขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของไทย

ในการนี้มี นายสิรภพ ดวงสอดศรี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน นายจิรวัตร์ มณีโชติ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา นายวิทยา จันทน์เสนะ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงแรงงาน หัวหน้าส่วนราชการสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดสงขลาและจังหวัดใกล้เคียง หัวหน้าส่วนราชการในจังหวัดสงขลา ภาคเอกชน และพุทธศาสนิกชนชาวจังหวัดสงขลา เข้าร่วมพิธีโดยพร้อมเพรียงกัน ทั้งนี้ ผู้มีจิตกุศลร่วมถวายจตุปัจจัย ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาและบูรณะพระอาราม ทำบุญกฐินพระราชทานของกระทรวงแรงงาน ประจำปี 2567 รวมเป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 2,583,812 บาท นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ยังได้มอบทุนการศึกษาให้กับผู้อำนวยการโรงเรียนในอุปถัมภ์ จำนวน 2 ทุนๆ ละ 10,000 บาท จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ โรงเรียนพระปริยัติธรรมวัดชัยมงคล และโรงเรียนชัยมงคลวิทย์ รวมเป็นเงินจำนวน 20,000 บาท 

สำหรับวัดชัยมงคล พระอารามหลวง ตำบลบ่อยาง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา เป็นพระอารามหลวงชั้นตรีชนิดสามัญ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ตั้งวัดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2320 วัดมีพระบรมธาตุที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เคารพบูชาของชาวจังหวัดสงขลา ซึ่งสร้างเมื่อใดไม่ทราบชัด เดิมวัดมีชื่อว่า วัดโคกเสม็ด เพราะตั้งอยู่บนเนินทรายที่มีต้นเสม็ดอยู่จำนวนมาก ในสมัยพระอาจารย์ศรีเป็นเจ้าอาวาส วัดชัยมงคลมีความเจริญรุ่งเรืองมาก และสมัยที่พระมหาแฉล้ม เขมปญฺโญ เป็นเจ้าอาวาส ได้ทำเรื่องเสนอคณะสงฆ์และบ้านเมืองเพื่อขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตสถาปนาวัดขึ้นเป็นพระอารามหลวง จนยกฐานะเป็นพระอารามหลวงเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2528

ทั้งนี้ กฐินพระราชทาน เป็นกฐินที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานผ้าของหลวงแก่ผู้กราบบังคมทูล ขอพระราชทานเพื่อไปถวายยังวัดหลวงต่างๆ นอกจากวัดสำคัญที่ทรงกำหนดไว้ว่าจะเสด็จพระราชดำเนินด้วยพระองค์เอง หรือจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์ หรือองคมนตรี หรือผู้ที่ทรงเห็นสมควรเป็นผู้แทนพระองค์ไปถวาย จึงเปิดโอกาสให้กระทรวง ทบวง กรมต่างๆ ตลอดจนคณะบุคคลหรือบุคลากรที่สมควรรับพระราชทานผ้ากฐินไปถวายได้ โดยกระทรวงแรงงานได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี เนื่องจากเป็นประเพณีที่พุทธศาสนิกชน ได้ยึดถือปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นเวลาช้านาน เพื่อเป็นการอุปถัมภ์พระสงฆ์ที่จำพรรษาครบถ้วนไตรมาสให้ได้รับอานิสงส์ตามพระวินัย และเป็นทุนในการบูรณปฏิสังขรณ์พระอาราม โดยเป็นการรวมพลังแห่งความสามัคคี ทั้งทางกาย วาจา และจิตใจในการสร้างบุญกุศลสร้างความสุขของการอยู่ร่วมกันในสังคม รวมทั้งเป็นการจรรโลงและส่งเสริมพระพุทธศาสนาให้มั่นคงดำรงอยู่เจริญวัฒนาสถาพรสืบไป

‘อัครเดช’ ชู!! ‘เอกนัฏ’ มีวิสัยทัศน์ สนับสนุน ผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศ ผลักดัน!! ให้ไทย เป็นฐาน ‘อุตสาหกรรมรถ EV’ มีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง

(9 พ.ย. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า 

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ทาง GAC AION ได้จัดงาน AION Sourcing Day มีผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศได้รับคัดเลือกให้เจรจาธุรกิจเป็นรายบริษัทกับ GAC AION จำนวน 74 บริษัท คาดจะก่อให้เกิดมูลค่าซื้อขายชิ้นส่วนในประเทศ 2,250 ล้านบาท

ทั้งนี้ ความสำเร็จดังกล่าว เกิดขึ้นจาก GAC AION ได้ตัดสินใจสร้างฐานการผลิตแห่งแรกนอกประเทศจีนที่ประเทศไทย ด้วยมูลค่าเงินลงทุนกว่า 5,600 ล้านบาท เพื่อผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV) กำลังการผลิต 20,000 คันต่อปี และยังมีแผนจะขยายการลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง

นายอัครเดช กล่าวต่อว่า การลงทุนของ GAC AION ในครั้งนี้ยังได้มีการใช้ชิ้นส่วนรถยนต์จากผู้ผลิตในประเทศไทยมากกว่าที่ BOI กำหนดไว้ที่ 40% จึงเป็นความสำเร็จอย่างยิ่งของการเติบโตแบบยั่งยืนในอุตสาหกรรมรถยนต์ EV ของประเทศ

ความสำเร็จในครั้งนี้เกิดขึ้นจากวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนของนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม โดยก่อนหน้านี้คณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรมได้เชิญนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่ง เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ  ร่วมพบปะและหารือกับผู้บริหารระดับสูงของ GAC AION 

ในคราวนั้นนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ได้ขอให้ทาง GAC AION สนับสนุนการใช้ชิ้นส่วนยานยนต์จากผู้ผลิตในประเทศให้มากกว่าที่ทาง BOI กำหนดที่ 40% เพื่อส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(SME) รวมถึงผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ในประเทศไทย อีกทั้งพิจารณาให้ผู้ผลิตของไทยเป็นคู่ค้าที่สำคัญของทาง GAC AION และเพิ่มศักยภาพในการผลิตผ่านการถ่ายโอนองค์ความรู้และเทคโนโลยีในการผลิต จนนำมาสู่ความร่วมมือตามที่ได้มีการจัดงานAion Sourcing Day ไปเมื่อเร็ว ๆ นี้

เมื่อนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มีการนัดหารือกับผู้บริหารของบริษัท GAC AION พร้อมด้วย นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม และนายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อผลักดันโครงการดังกล่าว ส่งเสริมให้โครงการดังกล่าวเป็นโครงการต้นแบบสำหรับนักลงทุนหรือผู้ผลิตรถยนต์ EV ที่จะใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตในการส่งเสริมการใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศจากผู้ประกอบการของคนไทยหรือผู้ประกอบการ SME ไทย

สำหรับแนวทางดังกล่าวจะเห็นว่า เป็นเรื่องที่นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ก่อนรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และเมื่อได้รับตำแหน่งดังกล่าวแล้ว จึงได้ส่งเสริมแนวนโยบายดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง 

นายอัครเดช กล่าวต่ออีกว่า ในเดือนธันวาคมที่จะถึง ทาง GAC AION ได้เชิญนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมไปเยือนมณฑลกวางตุ้ง สาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อพบผู้นำระดับสูงของมณฑลเพื่อสานต่อความร่วมมือทั้งในด้านการค้าและการลงทุนในอุตสาหกรรมอื่น ๆ อีกด้วย

รองโฆษกรัฐบาล เผย!! ต้องดูแล นทท. ให้ดี หลัง ‘Agoda’ ยกให้เป็นที่หนึ่ง ด้าน ‘ททท.’ เดินหน้าจัด ‘อีเว้นท์กระตุ้นการท่องเที่ยว’ รับไฮซีซั่นปลายปี

(9 พ.ย. 67) นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นิตยสารด้านการท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมในสหรัฐอเมริกาอย่าง Travel + Leisure ได้จัดอันดับให้ประเทศไทยให้เป็นจุดหมายแห่งการท่องเที่ยวแห่งปี 2568 จากเสน่ห์ Soft power ที่โดดเด่นของไทยทั้งด้านวัฒนธรรม อาหาร การผสานความเป็นไทยเข้ากับความทันสมัยได้อย่างลงตัว ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นจุดหมายที่ต้องห้ามพลาดสำหรับนักท่องเที่ยวในปีหน้า ขณะที่แต่ละภูมิภาคของไทยมีอัตลักษณ์ที่งดงาม น่าหลงใหลและน่าค้นหา โดยเฉพาะเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ ที่มีความโดดเด่นในฐานะเมืองแห่งวัฒนธรรม มีร้านอาหารชั้นเลิศ และชุมชน LGBTQ+  
(2025 Destination of the Year) (https://www.travelandleisure.com/thailand-destination-of-the-year-2025-8726182

ขณะที่แพลตฟอร์มดิจิทัลด้านการท่องเที่ยวระดับโลก ‘อโกด้า’ (Agoda) ได้จัดอันดับให้ กรุงเทพฯ เป็นอันดับที่ 1 ของ 10 จุดหมายปลายทางที่ได้รับการจองเที่ยวบินมากที่สุด และเป็นอันดับ 2 ของ 10 จุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมสูงสุด และประเทศไทย เป็นประเทศที่ได้รับการจองมากที่สุดอันดับ 2 ของโลก แสดงถึงศักยภาพและจุดแข็งของแหล่งท่องเที่ยวไทย ที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวมาสัมผัสกับประสบการณ์กิจกรรมการท่องเที่ยวที่น่าสนใจ รวมถึงการตะลุยชิมอาหารรสเลิศในกรุงเทพฯ  และสามารถเที่ยว ชิล ริมหาด บนเกาะกว่า 1,430 แห่งซึ่งการท่องเที่ยวไทยตอบโจทย์ในทุกรูปแบบ 

นางสาวศศิกานต์ กล่าวต่อไปว่า รัฐบาลได้กำชับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ให้มีความพร้อมในการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศไว้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี 2567 (พฤศจิกายน-ธันวาคม) ที่ถือเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (High season) รวมถึงมาตรการต่างๆ ของรัฐบาลที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางสู่ไทย ทั้งมาตรการ Ease of traveling การยกเว้นบัตร ตม.6 รวมถึงการกระตุ้นและส่งเสริมให้สายการบินเพิ่มจำนวนเที่ยวบินมากยิ่งขึ้น

การจัดอันดับ เป็นเครื่องยืนยันถึงศักยภาพและความสำเร็จของไทยในการเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่หลากหลาย ทั้งในด้านธรรมชาติ กิจกรรม และวัฒนธรรม นายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ได้มีนโยบายส่งเสริมภาคการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเปิดงาน Thailand Winter Festivals ชวนคนไทยและชาวต่างชาติ เที่ยวเมืองไทยเพื่อสร้างรายได้ กระตุ้นเม็ดเงินทางเศรษฐกิจให้กลับคืนสู่ประชาชนต่อไป รองโฆษกรัฐบาล กล่าวทิ้งท้าย

ทำความเข้าใจ ‘YPTA’ ของ ‘Airasia’ เยาวชนที่เดินทางโดยลำพัง เปิดแนวทางป้องกัน เพื่อไม่ให้ผิดพลาด ถึงจุดหมายดังใจ

(9 พ.ย. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘Happ Study Abroad’ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ  ผู้โดยสารเยาวชนที่เดินทางลำพัง โดยมีใจความว่า ...

ทำความเข้าใจ YPTA ของ Airasia

1. YPTA หมายถึง ผู้โดยสารเยาวชนที่เดินทางลำพัง
2. เยาวชนในที่นี้ คือ อายุ 12-16 ปี
3. รายละเอียดต่าง ๆ ตามใน https://support.airasia.com/.../Are-children-allowed-to... 
4. เอกสารสละสิทธิ์การเรียกร้องเพื่อรับรอง YPTA ที่เป็นเอกสารภายในของสายการบิน แต่ละสายการบินอาจมีแบบฟอร์มและวิธีปฏิบัติแตกต่างกัน เจ้าหน้าที่เช็กอินมีหน้าที่แจ้งให้ผู้ปกครองลงนามเอกสารนี้ 
5. YPTA ต้องมาแสดงตัวเช็กอินพร้อมผู้ปกครองที่เคาน์เตอร์เท่านั้น

* เหตุการณ์สายการบินปฏิเสธไม่ให้น้องเล็กและเพื่อนขึ้นเครื่องจาก Dmk -Jai เมื่อ 3 พ.ย.67 ที่ผ่านมา โดยให้เหตุผลว่าเพราะผู้ปกครองไม่ได้เซ็นเอกสารสละสิทธิ์การเรียกร้องเพื่อรับรอง YPTA ณ เคาน์เตอร์เช็กอิน 

* ผู้ปกครองแย้งกลับว่า เจ้าหน้าที่เช็กอินไม่ได้ยื่นเอกสารใดๆมาให้เซ็น ในเมื่อเจ้าหน้าที่ไม่แจ้ง ไม่ยื่นเอกสารให้ลงนาม ผู้ปกครองจะทราบได้อย่างไร 

* รายละเอียดผู้โดยสารตรงตามพาสปอร์ต เจ้าหน้าที่เช็กอินเห็นอยู่แล้ว เพราะมีหน้าที่ต้องตรวจทาน และเด็ก ๆ ก็ยืนแสดงตัวอยู่หน้าเคาน์เตอร์ตลอดเวลา ดูหน้าก็รู้ว่าเป็นเด็กทั้งคู่ แต่ก็ไม่ได้ถามไถ่ ทักท้วงใด ๆ และทำการออกบัตรโดยสาร พร้อมโหลดสัมภาระให้เรียบร้อย 

* การที่เจ้าหน้าที่อีกคนอ้างภายหลังว่าผู้ปกครองจองตั๋วโดยใส่วันเดือนปีเกิดไม่ตรงตามพาสปอร์ตนั้นไม่เป็นความจริง เด็กทั้งสองอายุเกิน 12 ปีแล้ว ใน website สามารถจองตั๋วได้เลย โดยเลือกตั๋วผู้ใหญ่ (อายุ 12 ปีขึ้นไป)

* หนังสือให้ความยินยอมที่พ่อแม่ทำมาจากอำเภอหรือเขต ใช้ยื่นให้กับเจ้าหน้าที่ ตม. (สายการบินไม่ได้ขอดูเอกสารนี้)

แนวทางป้องกันสำหรับผู้ปกครอง
1. จองตั๋วทาง website หรือ app ของสายการบินโดยตรง เพื่อความสะดวกในการติดต่อ หากเกิดความผิดพลาดใด ๆ
2. เตรียมหนังสือให้ความยินยอมฉบับจริง หรือโหลดเก็บไว้ในโทรศัพท์ เพื่อแสดงต่อเจ้าหน้าที่ตม.
3. ขณะเช็กอินให้ผู้ปกครองถามเจ้าหน้าที่ ขอเซ็นเอกสารของสายการบินทุกครั้ง
4. รอที่สนามบินจนกว่าเครื่องจะออก และโทร.ติดต่อเด็กเพื่ออัปเดตสถานะเป็นระยะ

‘พระยาประดิพัทธภูบาล’ ข้าราชการผู้ภักดี พระยายืนชิงช้าคนสุดท้าย ผู้ริเริ่มสารพันในสยาม

"พวกเกล้ากระหม่อมเป็นจีน ได้พระเจ้าแผ่นดินในพระราชวงศ์จักรีชุบเลี้ยง พระราชทานนามสกุล สุขสบายกันอยู่ในประเทศไทย ก็จะขอตอบแทนพระคุณในครั้งนี้ มันจะฆ่า ก็ไม่เสียดายชีวิต” 

ประโยคสำคัญจาก “มหาอำมาตย์ตรีพระยาประดิพัทธภูบาล” (คอยู่เหล ณ ระนอง) เมื่อครั้งที่ได้มาขอตามเสด็จฯ “สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต” หลังจากที่พระองค์ทรงได้รับการปล่อยตัวจากคณะราษฎร โดยมีเงื่อนไขว่าพระองค์ต้องเสด็จฯ ออกจากสยาม ซึ่ง ณ ขณะนั้นพระองค์ยังไม่ทรงทราบว่าจะเสด็จฯ ไป ณ ที่ใด พระยาประดิพัทธฯ จึงได้ทูลกับพระองค์ว่า "ขอตามเสด็จฯ  จะขอพาไปอยู่บ้านของตระกูล ณ ระนอง ที่ปีนัง” โดยกรมพระนครสวรรค์วรพินิต ทรงตอบว่า "ทางคณะราษฎรประกาศว่า ใครมาติดต่อสนิทสนมกับพวกตระกูลบริพัตร จะถูกจับกุม ไต่สวนปลดออกจากตำแหน่งราชการ เจ้าคุณอย่ามากับฉันเลย” 

พระยาประดิพัทธฯ เป็นข้าราชการอีก ๑ ท่านที่แสดงให้เห็นชัดถึงความจงรักภักดี ไม่มีความเกรงกลัวคณะราษฎร ด้วยการเข้าเยี่ยมทูลกระหม่อมบริพัตรฯ อย่างสม่ำเสมอระหว่างที่พระองค์ถูกจับเป็นองค์ประกันของคณะราษฎร จนเมื่อพระองค์ได้รับการปล่อยตัว ก็ทูลฯ เชิญกรมพระนครสวรรค์วรพินิต ไปพักอยู่บ้านของตระกูล ณ ระนอง ที่ปีนังจนได้ โดยพระองค์ไปประทับอยู่ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ก่อนที่จะย้ายไปประทับอยู่ที่บันดุง ประเทศอินโดนีเซียในเวลาต่อมา นอกจากเข้าเฝ้าฯ และทูลเชิญเสด็จฯ กรมพระนครสวรรค์วรพินิตแล้วนั้น พระยาประดิพัทธฯ ยังเดินทางไปเข้าเฝ้า ฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพที่วัง หลังจากทราบข่าวว่าคณะราษฎรปล่อยตัวออกมา ทั้งยังไปเข้าเฝ้าฯ เจ้านายอีกหลายต่อหลายพระองค์ 

“มหาอำมาตย์ตรีพระยาประดิพัทธภูบาล” (คอยู่เหล ณ ระนอง) เป็นบุตรของ “พระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี” (คอซิมก๊อง ณ ระนอง) ผู้ว่าราชการเมืองระนอง และสมุหเทศาภิบาลมณฑลชุมพร เป็นหลานของ “พระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี” (คอซู้เจียง ณ ระนอง) ชาวจีนฮกเกี้ยนที่อพยพเข้ามาในประเทศไทยเมื่อปลายรัชกาลที่ ๓ ต้นสกุล ณ ระนอง “พระยาประดิพัทธภูบาล” เกิดที่เกาะปีนัง ได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็กในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ตั้งแต่ยังเด็ก จนเมื่อโตขึ้นพอจะสามารถศึกษาต่อ จึงได้กราบถวายบังคมลาไปศึกษาวิชากฎหมายที่ประเทศอังกฤษ โดยท่านเป็นคนไทยคนที่ ๒ ที่ได้เป็นเนติบัณฑิตอังกฤษ ก่อนจะกลับมารับราชการสนองพระเดชพระคุณล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕ โดยเริ่มจากเป็นล่ามกิตติมศักดิ์ประจำสถานทูตลอนดอน ก่อนจะกลับมารับราชการในกระทรวงต่างประเทศ ทำหน้าที่สำคัญในฐานะผู้อำนวยการงานเสด็จฯ เยี่ยมเกาะลังกา จากนั้นได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตามเสด็จฯ ไปยังยุโรปด้วยเป็นพิเศษในที่ “หลวงสุนทรโกษา” ได้ติดตามเสด็จพระพุทธเจ้าหลวง และพระบรมวงศานุวงศ์ ในราชการต่างประเทศเกือบทั่วโลก สามารถใช้ภาษาได้หลากหลายทั้ง ภาษาอังกฤษ มลายู และภาษาจีน 

ด้วยความรู้ด้านภาษา ทั้งยังจบเนติบัณฑิตจากอังกฤษ ทำให้เมื่อครั้งเกิดกรณีพิพาทระหว่างไทยกับฝรั่งเศสปี พ.ศ. ๒๔๓๖ ในคดี “พระยอดเมืองขวาง” จึงได้รับการแต่งตั้งเป็นอัยการ เพื่อร่วมว่าความในฐานะทนายแผ่นดิน  

ในรัชสมัยของ “พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว” รัชกาลที่ ๖ “พระยาประดิพัทธฯ ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งกงสุลใหญ่ประจำสิงคโปร์ ปีนัง สหพันธรัฐมลายา ซึ่งท่านเป็นคนไทยคนแรกที่ได้ปฏิบัติหน้าที่นี้ ซ่งท่านก็ได้รับหน้าที่ทั้งยังประสานงานทั่วทิศ ทั้งในส่วนของรัฐต่าง ๆ ทั้งกลันตัน ตรังกานู ที่เคยอยู่ในอาณัติของสยาม นอกจากดูแลความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแล้ว ท่านยังเชื่อมต่อการค้าขาย ก่อให้เกิดเศรษฐกิจอันดีต่อภาคใต้ของสยามเรื่อยมา 

ต่อมาในรัชสมัย ของ“พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว” รัชกาลที่ ๗ เมื่อท่านได้กลับมารับราชการในสยาม ท่านได้รับเกียรติให้เป็น “พระยายืนชิงช้า” ในพระราชพิธีตรียัมปวายในปี พ.ศ.๒๔๗๔ ซึ่งเป็นพระยายืนชิงช้าคนสุดท้ายแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เหตุเพราะรัชกาลที่ ๗ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ยกเลิกพระราชประเพณีนี้ เพราะในขณะนั้นสภาพบ้านเมืองประสบกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ และการจัดพิธีนี้ในแต่ละครั้งก็ต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก ซึ่งประเทศจำเป็นต้องประหยัดงบประมาณแผ่นดิน จึงทรงเห็นสมควรให้ยกเลิกพระราชพิธีตรียัมปวาย "โล้ชิงช้า" ตั้งแต่นั้น ตราบจนปัจจุบัน 

นอกจากเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับพระราชวงศ์แล้ว ชื่อของ “มหาอำมาตย์ตรีพระยาประดิพัทธภูบาล” (คอยู่เหล ณ ระนอง) ยังปรากฏไปอีกหลายแห่ง สืบเนื่องจากคุณงามความดีที่ท่านได้กระทำไว้ ซึ่งผมขอยกมาเล่าให้อ่านกันเพลิน ๆ โดยสังเขปดังนี้ 

ถนน “ประดิพัทธ์” ถนนที่มีความยาวประมาณ ๑.๘ กิโลเมตร เชื่อมต่อระหว่างถนนพหลโยธินตรงแยกสะพานควายไปยังถนนพระรามที่ ๖ ตรงแยกสะพานแดง เนื่องจากในสมัยรัชกาลที่ ๖ มีการขยายกิจการของกรมทหารและกิจการของราชการขึ้นเป็นอย่างมาก ทำให้กรมกองต่าง ๆ ต้องออกมาตั้งที่ทำการในบริเวณทุ่งสะพานควายและใกล้เคียง แต่ถนนที่จะเชื่อมต่อถนนหลักกับถนนหลักนั้นยังไม่สามารถทำได้เนื่องจากที่ดินบางผืนมีเจ้าของและต้องทำการซื้อเพื่อเวนคืน เมื่อการณ์เป็นดังนี้ “พระยาประดิพัทธฯ” จึงได้มอบที่ดินส่วนตัวเป็นประเดิมเพื่อให้ใช้ตัดถนนเชื่อมต่อดังกล่าวให้เป็นสาธารณประโยชน์ ทางการจึงให้เกียรติโดยนำชื่อของท่านมาตั้งเป็นชื่อถนน เดิมถนนเส้นนี้ชื่อ “ถนนพระยาประดิพัทธ์” แต่กาลเวลาทำให้กร่อนไปเหลือแค่ราชทินนามของท่าน (แต่ในปี พ.ศ.๒๔๗๕ พื้นที่ถนนเส้นนี้กลับกลายเป็นที่รวมกำลังพลของคณะก่อการไปเสียฉิบ) 

นอกจากถนน “ประดิพัทธ์” แล้ว พระยาประดิพัทธฯ ได้มอบที่ดินจำนวน ๒๗ ไร่ ๒ งาน ๘ วา  เป็นโฉนดที่ดินที่ ๕๘๓๖ สาระบาญเล่มที่ ๕๙  น่าที่ ๓๖ ตั้งอยู่ในตำบลคลองเตย  อำเภอพระโขนง  จังหวัดพระประแดงนครเขื่อนขันธ์ ให้เป็นสาธารณประโยชน์ในช่วงปลายรัชสมัยของรัชกาลที่ ๖ ที่ได้ตัดเป็นถนน “สุนทรโกษา” เดิมถนนเส้นนี้มีชื่อเต็ม ๆ ว่าถนน “หลวงสุนทรโกษา” ซึ่งราชทินนามของท่านเมื่อแรกรับราชการ ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของกรมศุลกากรในปัจจุบัน 

ที่ดินผืนนี้ในบริเวณใกล้กันยังได้ตัดเป็นทางเชื่อมแยก ที่เรียกกันว่าห้าแยก “ณ ระนอง” และถนน ณ ระนอง ซึ่งมีที่มาจากนามสกุลของท่าน โดยทั้งห้าแยกและถนนนี้อยู่ในพื้นที่คลองเตยเชื่อมต่อระหว่างถนนรัชดาภิเษก ถนนพระรามที่ ๓ ถนนสุนทรโกษา และถนน ณ ระนอง 

ที่สำคัญที่ดินผืนนี้ปัจจุบันนอกจากถนนที่ตัดผ่านและแยกดังกล่าวแล้วยังเป็นที่ตั้งของ “โรงเรียนพระหฤทัยคอนแวนต์” อีกด้วย 

“สวนสนประดิพัทธ์” ชื่อชายหาดแห่งนี้อาจจะไม่ได้เกี่ยวกับท่านโดยตรง เนื่องจากเป็นชื่อที่มาจาก “พันธุ์ต้นสน” ที่ท่านได้นำเข้ามาปลูกซึ่ง “สนประดิพัทธ์” นี้ เป็นสนใน “วงศ์สนทะเล” อันมีถิ่นกำเนิดในเกาะชวาและหมู่เกาะซุนดาน้อย ประเทศอินโดนีเซีย เหตุที่นำมาปลูกนั้นนอกจากความสวยงามแล้ว “ราก” ของสนพันธุ์นี้ เป็นปมคล้ายกับพืชตระกูลถั่ว ซึ่งช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้กับดิน โดยการตรึงไนโตรเจนเช่นเดียวกับพืชตระกูลถั่ว อีกทั้งยังพบว่ามีเส้นใยขนาดเล็กมากมายภายในปม และจุลินทรีย์เจริญเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมที่มีออกซิเจนตํ่าทำให้สามารถปลูกอื่น ๆ แซมได้ โดยมีสนปกคลุมในฐานะพืชยืนต้น ลดการพังทลายของดินและดินถล่ม ไม่แปลกที่ตลอดหาดในอำเภอหัวหินจะมีทิวสนประดิพัทธ์ปลูกตลอดแนวของชายหาด ก็เพื่อป้องกันการพังทลายของดินนั่นเอง

นอกจาก “สนประดิพัทธ์” แล้ว “พระยาประดิพัทธภูบาล” ยังเป็นผู้นำ “ปาล์มน้ำมัน” อีกหนึ่งพืชเศรษฐกิจสำคัญของประเทศไทยเข้ามาริเริ่มปลูกขึ้นในที่สถานีทดลองยางคอหงส์ จังหวัดสงขลา และที่สถานีกสิกรรมพลิ้ว จังหวัดจันทบุรี โดยแรกเริ่มนั้นนำมาปลูกในฐานะพืชประดับเพื่อความสวยงาม จนกระทั่งประเทศใกล้เคียงอย่างมาเลเซียมีการปลูกปาล์มเป็นพืชเศรษฐกิจอย่างได้ผล ทางไทยจึงได้เริ่มศึกษาอย่างจริงจัง และเห็นว่าทางภาคใต้มีภูมิอากาศคล้ายคลึงกับทางมาเลเซีย ประกอบกับต้นปาล์มน้ำมันที่นำเข้ามาก่อนหน้าเจริญเติบโตดี จึงได้มีการส่งเสริมปลูกเป็นพืชเศรษฐกิจอย่างจริงจังในปี พ.ศ. ๒๕๑๑ โดยเริ่มที่นิคมสร้างตนเองพัฒนาภาคใต้ จังหวัดสตูล พื้นที่ประมาณ 20,000 ไร่ เป็นที่แรก 

มีข้อสังเกตว่าตระกูล “ณ ระนอง” ของท่าน “มหาอำมาตย์ตรีพระยาประดิพัทธภูบาล” (คอยู่เหล ณ ระนอง) นับเป็นตระกูลนักบุกเบิก ริเริ่ม ตัวจริง โดยเฉพาะการเพื่อต่อยอดด้านเศรษฐกิจ เช่น เป็นผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมแร่ดีบุก ตระกูลแรกในประเทศไทย เป็นผู้ริเริ่มนำ “ยางพารา” มาปลูกในสยาม ฯลฯ ด้วยอาจจะเป็นเพราะตระกูลนี้มีความตั้งใจ มีความขยันหมั่นเพียรเป็นที่ตั้ง จึงทำให้การงานรุ่งเรืองขึ้นได้อย่างเด่นชัดแม่จะเริ่มต้นตระกูลจากการเป็น “กรรมกร” ก่อนจะผันตัวมาเป็นพ่อค้าก็ตาม อีกทั้งยังเป็นตระกูลที่มีความสำนึกในบุญคุณแผ่นดิน มีความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์เป็นอย่างยิ่ง จึงทำให้มีแต่ความเจริญอยู่ในตระกูลมาอย่างยาวนาน เฉกเช่นกับการแสดงถึงความจงรักภักดีของ “พระยาประดิพัทธภูบาล” ที่ไม่เกรงกลัวภัยใด ๆ จากคณะราษฎร ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับตนหรือคนในตระกูลก็ตาม ซึ่งตรงนี้สามารถยืนยันได้ด้วยบันทึกของ “พระองค์เจ้าอินทุรัตนาบริพัตร” พระธิดาของทูลกระหม่อมบริพัตรฯ ในเหตุทูลฯ เชิญเสด็จบ้าน ณ ระนอง ที่ปีนัง โดยทรงนิพนธ์ไว้ว่า

“สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต” ได้ทรงมีพระดำรัสต่อพระยาประดิพัทธฯ ว่า “เจ้าคุณมากับเรา แต่พวกลูกหลานในตระกูล ณ ระนอง ยังอยู่ในเมืองไทยกัน เขาจะลำบาก ถูกกลั่นแกล้ง” 

“พระยาประดิพัทธภูบาล” ท่านตอบว่า "ใต้ฝ่าพระบาทไม่ต้องเป็นห่วง เกล้ากระหม่อมก่อนจะมานี่ ได้เรียกพวกคนในตระกูล ณ ระนอง มาประชุมบอกแล้วว่าจะตามเสด็จฯ  แล้วถ้าเขาจะมาแกล้งก็ทนรับ เขาจะมาฆ่าก็ยอมตายกัน ตอบแทนผู้มีพระคุณ" 

“พระยาประดิพัทธภูบาล” ถึงแก้อนิจกรรมในสมัยรัชกาลที่ ๙ ด้วยอายุสิริรวม ๙๖ ปี ขอกราบคารวะท่านสักหนึ่งคำรบ นี่ละครับ !!! ข้าราชการผู้ภักดีจากตระกูล ณ ระนอง

เปิดประวัติ ว่าที่ประธานาธิบดี ‘Donald Trump’ ชีวิตส่วนตัว!! ในมุมที่ไม่มีใครเคยรู้

(9 พ.ย. 67) 10 ข้อเท็จจริงที่ใครอาจจะไม่รู้เกี่ยวกับว่าที่ประธานาธิบดี Donald Trump

1. ชื่อเล่นวัยเด็ก : ในวัยเด็ก โดนัลด์ ทรัมป์ มีชื่อเล่นว่า ‘ดอนนี่; แม้ในปัจจุบันเขาจะไม่ค่อยถูกใครเรียกด้วยชื่อนี้แล้วก็ตาม 

2. ดาวบนฮอลลีวูดวอล์คออฟเฟม : บทบาทของเขาในรายการ The Apprentice และ Celebrity Apprentice ทำให้เขาเป็นที่รู้จักและทำให้ภาพลักษณ์ของเขาที่ดูเป็นนักธุรกิจที่เก่งกาจ จนทำให้ทรัมป์ได้รับดาวบนฮอลลีวูดวอล์คออฟเฟมในปี 2007 จากบทบาทในรายการ แต่ดาวของเขามักถูกทำลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี นอกจากนั้นแล้วทรัมป์เคยปรากฏตัวในภาพยนตร์และรายการทีวีหลายรายการในฐานะตัวเขาเอง การปรากฏตัวที่มีชื่อเสียงของเขารวมถึง Home Alone 2: Lost in New York, The Fresh Prince of Bel-Air, และ Sex and the City อีกด้วย

3. ทรัมป์และเกียรติยศในวงการมวยปล้ำ : ทรัมป์เคยปรากฏตัวใน WWE (เวิลด์เรสลิงเอนเตอร์เทนเมนต์) และขึ้นสังเวียนใน WrestleMania 23 ในปี 2007 เขา ‘ต่อสู้’ กับวินซ์ แม็กมาฮอน ซีอีโอของ WWE ในศึก ‘Battle of the Billionaires’ ซึ่งตัวแทนของทรัมป์เป็นผู้ชนะ ทำให้เขาโกนหัวแม็กมาฮอน

4. ความชอบในอาหารฟาสต์ฟู้ด : แม้จะมีความมั่งคั่ง แต่ทรัมป์กลับชอบรับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ด เช่น แมคโดนัลด์ เขาเคยบอกว่าเขาไว้ใจในอาหารเหล่านี้ เพราะมาตรฐานความสะอาดและความสม่ำเสมอของแบรนด์

5. ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ : ทรัมป์ไม่เคยดื่มแอลกอฮอล์เลยในชีวิต ซึ่งเป็นการให้เกียรติแก่เฟร็ด ทรัมป์ จูเนียร์ พี่ชายที่ต่อสู้กับการติดแอลกอฮอล์ก่อนที่จะเสียชีวิต

6. จบการศึกษาจากวอร์ตัน : ทรัมป์เรียนที่ Wharton School of Finance ที่มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย และจบการศึกษาในสาขาเศรษฐศาสตร์ โดยเขาย้ายไปที่นั่นหลังจากเรียนที่มหาวิทยาลัยฟอร์ดแฮมเป็นเวลา 2 ปี เพราะ Wharton เป็นที่รู้จักในด้านชื่อเสียงที่แข็งแกร่งในหลักสูตรธุรกิจและการเงิน

7. ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีมายาวนานที่สุด : ทรัมป์เคยคิดจะลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีตั้งแต่ทศวรรษ 1980 หลังจากที่ใช้เวลาหลายสิบปีในการคิดสุดท้ายเขาลงสมัครอย่างเป็นทางการในปี 2016 และได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 45 และทรัมป์เคยเปลี่ยนพรรคการเมืองหลายครั้ง เขาเคยเป็นสมาชิกพรรคเดโมแครตในช่วงต้นทศวรรษ 2000 เข้าร่วมพรรครีฟอร์มในปี 2000 แต่ถอนตัวออกไป และสุดท้ายเปลี่ยนมาอยู่กับพรรครีพับลิกันจนได้ลงสมัครและชนะการเลือกตั้งในปี 2016

8. ประธานาธิบดีคนแรกที่ไม่มีประสบการณ์ด้านการทหารหรือการเมือง : ทรัมป์ทำลายสถิติด้วยการเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในด้านทหารหรือการเมืองมาก่อน โดยพื้นฐานของเขาคือการเป็นนักธุรกิจและสื่อบันเทิง

9. ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งสองครั้ง : ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนแรกที่ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งสองครั้ง สภาผู้แทนราษฎรถอดถอนเขาครั้งแรกในปี 2019 และอีกครั้งในปี 2021 ทั้งสองครั้ง แต่วุฒิสภายกฟ้องเขา ทำให้เขาสามารถดำรงตำแหน่งได้จนครบวาระ

10. ความฝันในการเป็นเจ้าของทีมฟุตบอล : ทรัมป์เคยพยายามเป็นเจ้าของทีม NFL โดยเขาเคยลงทุนในลีก USFL (ยูไนเต็ดสเตทฟุตบอลลีก) และหวังจะรวมลีกกับ NFL แต่ลีกดังกล่าวล้มเหลวก่อนที่จะเกิดขึ้น

จับตา!! ‘Mou44 – คดีล้มล้างฯ - ศึกอบจ.อุดรฯ - ประธานบอร์ดแบงก์ชาติ’ แม้ ‘รัฐนาวาของอุ๊งอิ๊ง’ จะโคลงเคลง!! แต่ ‘ทักษิณ’ ยังชิลเดินหน้าปลุกแนวรบ

(9 พ.ย. 67) ไฮไลต์เหตุบ้านการเมืองที่เป็นแรงกระเพื่อมทางการเมืองขณะนี้มีมากเป็นสิบ ๆ กรณี  แต่จะโฉบจับเอามาขีดเส้นใต้สัก4กรณี  ชี้ทิศทางสถานการณ์สัปดาห์หน้า...

1) กรณีตำแหน่งประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย..วัดใจกันว่าฝั่งการเมืองหรือกระทรวงการคลังจะเปลี่ยนตัวจาก โต้ง กิตติรัตน์ ณ ระนอง เป็นพงษ์ภาณุ  เศวตดรุณ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวฯอดีตลูกหม้อกระทรวงการคลัง หรือยอมเปิดทางให้กุลิศ สมบัติศิริ อดีตปลัดพลังงาน/ลูกหม้อกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นตัวเลือกฝั่งแบงก์ชาติ..

ร้อนปรอทแตกถ้ายืนยันดันโต้ง,ร้อนพอประมาณถ้าเลือกพงษ์ภาณุและร้อนอุ่น ๆ หากเลือกกุลิศ..

2) สัปดาห์ที่ผ่านมาคณะทำงานของอัยการสูงสุดสอบเพิ่มเติมผู้ร้อง (ทนายธีรยุทธ   สุวรรณเกสร) และผู้ถูกร้อง (ทักษิณ-เพื่อไทย) ซึ่งส่งอ.ชูศักดิ์ ศิรินิล ไปให้ถ้อยคำ ต้นสัปดาห์นี้อัยการจะส่งรายงานไปยังศาลรธน. ดูไทม์ไลน์แล้วพุธที่ 13 พ.ย. ศาลรธน.อาจจะยังพิจารณาไม่ทันว่าจะรับคำร้องที่นายธีรยุทธร้องไว้พิจารณาหรือไม่ แต่พุธที่ 20 และ 27 พ.ย.น่าจับตา..มีลุ้น

คดีหรือคำร้องที่พูดถึงนี้ไม่ใช่อะไรอื่น คือกรณีที่เรียกกันว่า ‘คดีล้มล้างฯภาค2’ ที่ไฮไลต์คำร้องอยู่ที่กรณีป่วยทิพย์ ชั้น 14 และกรณีการครอบครองครอบงำ ปรากฏว่าตอนอัยการเชิญไปให้ปากคำเพิ่มเติมเมื่อ 5 พ.ย.ทนายธีรยุทธขออธิบายความเพิ่มเติมว่า..กรณีการดำเนินการเรื่องพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา ของรัฐบาลแพทองธารขณะนี้นั้นอาจนำไปสู่การสูญเสียอธิปไตย เป็นการละเมิดพระบรมราชโองการเรื่องการกำหนดเส้นไหล่ทวีป ปี 2516...ฯลฯ..

ร้อนปรอทแตกพันเปอร์เซ็นต์ถ้าศาลรธน.รับไว้พิจารณา..!!

3) ว่ากันตามเนื้อผ้า..กรณีเกาะกูดและMOU2544 สัปดาห์ก่อนโน้นรัฐบาลทำท่าทำทางจะตั้งหลักได้ดีพอประมาณ เชิญระดับสูงของกระทรวงการต่างประเทศมาชี้แจง แต่ล่าสุดเมื่อ8พ.ย.ท่านนายกฯอิ๊งค์กับรองนายกฯอ้วน ออกมาช่วยกันตอบคำถาม..อาการน่าเป็นห่วงก็เกิดขึ้นอีกครั้ง โดยเฉพาะกรณีที่ท่านนายกฯบอกว่าเขมรยังขีดเส้นอ้อมเกาะกูดให้ไทยเลย..

ต้องหมายเหตุว่านาทีนี้..คนส่วนใหญ่เขาตาสว่างกันหมดแล้วว่า..คำว่า 'เกาะกูด' มิได้หมายถึงเฉพาะตัวเกาะ  แต่หมายถึงทะเลอาณาเขตรอบตัวเกาะ..

การชี้แจงของนายกฯ น่าจะทำให้การล่า 1 แสนรายชื่อให้ยกเลิกMOU2544เพื่อเซฟเกาะกูดและทะเลอาณาเขตของคณะนพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม และการขับเคลื่อนอย่างแข็งแรงของพรรคพปชร.ตลอดจนภาคประชาชนในสัปดาห์หน้า..สัปดาห์ต่อ ๆ ไปแข็งแกร่งมากขึ้นตามลำดับ..

มีพรายกระซิบว่า...รัฐบาลอาจจะแก้เกมผ่อนคลายสถานการณ์ด้วยการเชิญภาคส่วนต่าง ๆ มาล้อมวงคุย..รับฟังข้อมูล..ก็อาจจะช่วยได้บ้างตามสมควร..

4) แม้รัฐนาวาลูกสาวจะออกอาการโคลงเคลง ซึ่งเหตุปัจจัยส่วนหนึ่งมากผู้เป็นพ่อ..แต่ในยามนี้ผู้เป็นพ่ออย่างทักษิณ ชินวัตร ดูจะไม่ออกอาการอะไรมาก ยังชิล ๆ..มองการเมืองข้ามช็อตเดินหน้าปลุกแนวรบเพื่อไทย ให้” แดงทั้งแผ่นดิน”แบบโดนัลด์ ทรัมป์  ก็มิปาน..

วันที่ 13-14 พ.ย.ทักษิณในฐานะผู้ช่วยหาเสียง จะไปช่วยปราศรัยหาเสียงให้ ‘ศราวุธ  เพชรพนมทวน’ (เขยของอินทรีอีสาน-พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก) ผู้สมัครนายกอบจ.อุดรธานี 3 จุด..เฉพาะจุดสุดท้ายที่ทุ่งศรีเมืองกลางเมืองอุดร วางดัชนีชี้วัดเอาไว้ว่าต้องมีมวลมหาประชาชนชาวอุดรมาฟัง 2 หมื่นคน..

ว่ากันว่า ‘ทักษิณ’ เพิ่งปลาบปลื้มหัวใจพองโตจากขอนแก่นโมเดล เมื่อสัปดาห์ก่อนโน้นที่ วัฒนา ช่างเหลา นำมวลชนคนเสื้อแดงชูป้ายทักษิณ-อุ๊งอิ๊ง ล้มแชมป์เก่า6สมัยลงได้อย่างน่าอัศจรรย์..

รอบนี้เลือกนายกฯอบจ.อุดรฯพรรค 24 พ.ย.เพื่อไทยเจอศึกใหญ่เพราะพรรคส้มหมายมั่นจะเปลี่ยนอุดรฯเป็นเมืองหลวงคนเสื้อส้ม ปักธงนายกอบจ.ให้ได้เป็นผืนแรก..ถึงขั้นต้องจัดทัพหลวง ‘พิธา-ธนาธร’ออกรบเอง...ทักษิณมีหรือจะไม่รู้ว่าถ้าแพ้ที่สมรภูมินี้  จะชี้ช้ำยิ่งกว่าถูกศาลรธน.รับคดีล้มล้างฯไว้พิจารณาเป็นร้อยเท่า..

อีกทั้ง การโหมข่าวเลือกตั้งอบจ.อุดรฯยังช่วยเบนข่าวMOU2544 ที่กำลังขยี้นายกฯอิ๊งค์ได้อีกต่างหาก!!


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top