Thursday, 19 June 2025
TheStatesTimes

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน 2567 : วัดใหญ่ วัดเล็ก เราควรทำบุญวัดไหน?

จากช่องติ๊กต็อก @dhamma_tv ได้เผยแพร่คำสอนเรื่อง ‘วัดใหญ่ วัดเล็ก เราควรทำบุญวัดไหน?’ จากรายการ ‘ธรรมะทำไม’ โดย ‘พระครูศรีปริยัติวิสุทธิ์ (หลวงพ่อโกวิท)’ รองเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา เจ้าอาวาสวัดด่านใน

🔔คำถาม: คนจำนวนหนึ่งเชื่อว่าการทำบุญในวัดใหญ่ จะได้บุญเยอะ แต่ก็มีคนอีกจำนวนหนึ่งออกมาค้าน และบอกว่า ทำบุญกับวัดป่า วัดเล็ก ๆ ได้บุญมากกว่า แท้จริงแล้วเรื่องนี้มีคำตอบอย่างไร?

พระครูศรีปริยัติวิสุทธิ์ (หลวงพ่อโกวิท): พระพุทธเจ้าทรงให้หลักในการให้ไว้ดังนี้ (1) วัตถุทานดี: สิ่งที่จะให้ต้องมีคุณภาพและสะอาด ไม่จำเป็นต้องมีราคาแพง แต่ต้องมีคุณค่า (2) เจตนาความตั้งใจ: ต้องมีเจตนาที่ดีในการให้ เช่น ตั้งใจเพื่ออนุเคราะห์หรือบูชา (3) ผู้รับ: ผู้ที่ได้รับต้องใช้สิ่งที่ได้รับไปในทางที่ดี ไม่ทิ้งหรือทำให้เสียหาย

ดังนั้นจะเป็นวัดใหญ่ วัดใหม่ วัดเก่า วัดป่า วัดบ้าน หรือวัดแบบใดก็ได้ทั้งนั้น 

แต่หากเจตนาไม่บริสุทธิ์ ของที่ทำก็ไม่ดี เมื่อผู้รับรับของไปแล้วก็ใช้แบบสุรุ่ยสุร่าย ก็เกิดความเสียหายทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นวัดแบบใด

ดังนั้น เมื่อใดที่มีคนมาบอกบุญเรา แล้วเราพินิจ พิจารณา ใคร่ครวญก่อน เป็นสิ่งที่ถูกต้องและควรทำ ไม่ใช่เรื่องบาป ยิ่งทุกวันนี้มีเครื่องมือในการสืบค้นอยู่แล้ว เราก็สามารถรู้ถึงบรรยากาศของที่นั่นด้วยว่าสะอาดสะอ้านมั้ยมีกิจกรรมอะไรบ้างที่เอื้อต่อชุมชน

‘เพจดัง’ แฉ!! ‘ขรก.หนุ่ม’ รับงานร้องเพลงกลางคืน ตื่นทำงานเช้าไม่ไหว เซ็นชื่อย้อนหลัง-รับเงินเดือน-โบนัสปกติ ‘ชาวเน็ต’ จี้ตรวจสอบโดยด่วน

(19 ก.ย. 67) เฟซบุ๊ก ‘ปฏิบัติการหมาเฝ้าบ้าน’ ได้เผยแพร่เรื่องราวของ ‘ข้าราชการหนุ่ม’ รายหนึ่งรับจ๊อบ ‘ร้องเพลงตามร้านอาหารช่วงดึก’ แต่ไม่เคยตื่นมาทำงานราชการช่วงกลางวัน แต่รับเงินเดือน โบนัสแบบฉ่ำ ๆ ทั้งนี้ ทางเพจได้ระบุข้อความว่า…

“ไม่เข้างานหลวง ติดร้องเพลงดึก ตื่นไม่ไหว…

“ข้าราชการ อบต.ศรีพราน อ่างทอง ตำแหน่งเจ้าหน้าที่ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย บรรจุทำงานที่นี่ประมาณ 10 ปี แต่ไม่เคยมาทำงาน มีอาชีพร้องเพลงร้านอาหารกลางคืน ตื่นไม่ไหว กลางวันต้องนอน ได้เงินเดือนปกติ โบนัสก็ได้ครบหมด…

“จะเข้า อบต. ก็ตอนนายกฯ สั่งให้หัวหน้าฝ่ายเรียกมาตักเตือนและเซ็นชื่อย้อนหลังเพื่อป้องกันการตรวจสอบ ขึ้นอยู่ว่าจะเรียกตอนไหน เวลาไม่แน่นอน มาบ้างไม่มาบ้าง พอเซ็นเสร็จก็หายไปเหมือนเดิม ไม่มีบทลงโทษอะไร ปล่อยเฉย…

“พ่อหนุ่มนักร้องกับวงของเขา กลางวันนอน กลางคืนร้องเพลง ไม่เข้าทำงานที่ อบต. ข้าราชการงานป้องกันฯ เงินเดือนเต็ม โบนัสได้ ครั้งหลังสุดนายกฯ เรียกให้เข้าไปเซ็นย้อนหลังเดือนสิงหา-กันยา ถึงตอนนี้ยังไม่เข้าไป อบต.ศรีพราน จ.อ่างทอง”

หลังจากนั้น ทางเพจได้อัปเดตเพิ่มว่า…

“เซ็นชื่อย้อนหลังครบแล้ว…ท่านมิกซ์ ร้องได้ กลองดี กีตาร์เป็น เล่นร้านเหล้ากลางคืน ตื่นทำราชการไม่ไหว วันนี้เข้าสำนักงานเซ็นชื่อย้อนหลังตั้งแต่เดือนสิงหาครบแล้ว ด้วยความเมตตาของนายก อบต….

“ข้าราชการ ตำแหน่งป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อบต.ศรีพราน อ่างทอง”

ทั้งนี้ โพสต์ดังกล่าวได้รับความสนใจจากชาวเน็ตเป็นจำนวนมาก พร้อมยังจี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบโดยด่วน ชี้ ถ้าผิดจริง สมควรไล่ออก

'สนามบินกระบี่' แจงสาวนอนบนสายพานลำเลียงกระเป๋าถ่ายอวดไอจี ยัน!! ยังไม่มีความผิด เพราะไม่ได้ทำทรัพย์สินทางราชการเสียหาย

(19 ก.ย. 67) จากกรณีโลกโซเชียลได้โพสต์คลิปวิดีโอ หญิงสาวรายหนึ่งนอนบนสายพานลำเลียงกระเป๋าเดินทางในสนามบิน พร้อมกับถ่ายคลิปลงไอจี และใส่เพลงประกอบ โดยระบุว่า "ขึ้นไปนอนแบบนี้ได้ด้วยเหรอคะ?? พอดีเห็นในไอจีค่ะ เป็นคนไทย" หลังมีการแชร์ต่อในสังคมโซเชียล ก็มีเสียงวิจารณ์กันอย่างกว้างขวางถึงความไม่เหมาะสม เพราะอาจเกิดอันตรายได้

ล่าสุด นายชาญยุทธ ศรีแก้ว รักษาการ ผอ.ท่าอากาศยานนานาชาติกระบี่ เปิดเผย ว่า กรณีดังกล่าวทราบเรื่องจากโซเชียลแล้ว ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการหาข้อมูลว่า เหตุเกิดเมื่อไร ส่วนจะมีความผิดหรือไม่นั้น อยู่ระหว่างการตรวจสอบ แต่เนื่องจากเหตุดังกล่าวไม่ได้ทำให้เกิดทรัพย์สินทางราชการเสียหาย ก็ไม่มีความผิด

แต่เป็นเรื่องของความไม่เหมาะสม และใช้งานอุปกรณ์ผิดประเภทมากกว่า ซึ่งทางสนามบินจะทำป้ายประชาสัมพันธ์ให้เด่นชัดมากขึ้น และจัดเจ้าหน้าที่ร่วมกับทางสายการบินต่าง ๆ คอยดูแลไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นอีก

นายชาญยุทธ กล่าวอีกว่า สำหรับสายพานลำเลียงกระเป๋านั้นออกแบบมาไม่ให้มีช่องว่าง และรับน้ำหนักได้ในปริมาณมาก ซึ่งการจะเกิดอันตรายนั้นคงเป็นไปได้น้อย แต่การใช้งานสร้างขึ้นมาสำหรับสิ่งของเท่านั้น ไม่ควรที่คนจะขึ้นไปนั่งหรือนอน ซึ่งอาจจะเกิดอันตราย หากไปชนเข้ากับส่วนโค้งหรือพลัดตก จึงฝากเตือนผู้ใช้บริการทุกคนห้ามทำลักษณะนี้อีก

ทึ่ง!! 'ไวรัลหมูเด้ง' เพิ่มมูลค่า 'เศรษฐกิจ-การท่องเที่ยวไทย' ยอดเข้าชมสวนสัตว์พุ่ง สื่อระดับโลกสนใจ แบรนด์ใหญ่ๆ ร่วมไทอิน

นาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก 'หมูเด้ง' ฮิปโปฯ แคระจากสวนสัตว์เปิดเขาเขียว จ.ชลบุรี ยิ่งในโลกที่การสื่อสารและการตลาดผ่านโซเชียลมีเดียมีอิทธิพลอย่างมาก 'หมูเด้ง' จึงได้กลายเป็นหนึ่งในกรณีศึกษาที่น่าสนใจในการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจผ่านไวรัลคอนเทนต์ 

ความโด่งดังของหมูเด้งไม่เพียงส่งผลให้เกิดกระแสการท่องเที่ยวอย่างมหาศาลในท้องถิ่น แต่ยังช่วยสร้างโอกาสให้กับธุรกิจท้องถิ่นแถมยังส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจในหลากหลายรูปแบบ

ปรากฏการณ์หมูเด้งนี้ได้นำไปเราสู่...

1. การเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยว กระแสไวรัลของหมูเด้งดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมากมายให้เข้าชมสวนสัตว์ เปิดโอกาสให้สวนสัตว์เขาเขียวสามารถเพิ่มรายได้จากค่าบัตรเข้าชม โดยจำนวนนักท่องเที่ยวในช่วงวันธรรมดาเพิ่มขึ้นเป็น 3,000-4,000 คนจากปกติที่มีเพียง 800-1,200 คนต่อวัน การเติบโตนี้ยังต่อยอดไปถึงการส่งเสริมธุรกิจท้องถิ่นรอบ ๆ สวนสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ที่พัก และของที่ระลึก

2. การขยายโอกาสทางการตลาด นอกจากการเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยว หมูเด้งยังเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์คอนเทนต์ใหม่ ๆ เช่น การผลิตแฟนอาร์ต และเครื่องสำอางที่ได้รับแรงบันดาลใจจากผิวพรรณของหมูเด้ง แบรนด์เครื่องสำอางใหญ่ ๆ เช่น SEPHORA ยังออกคอนเทนต์โฆษณาที่นำเสนอเทรนด์การแต่งหน้าแบบ 'แก้มอมชมพู' จากหมูเด้ง ทำให้การตลาดสามารถขยายตัวไปสู่หลายภาคส่วนอย่างที่ไม่คาดคิดมาก่อน รวมถึงมีการผลิตสินค้าที่ระลึกน้องหมูเด้งมาเพื่อตอบรับกระแสความนิยมที่มีในตัวน้องทั้งกางเกงหมูเด้ง เสื้อหมูเด้ง เป็นต้น

3. การดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ หมูเด้งไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ความนิยมในประเทศไทย แต่ยังได้รับความสนใจจากสื่อต่างประเทศ เช่น TIME และ CNN ก็ได้กล่าวถึงเสน่ห์ของหมูเด้งและความน่ารักที่ทำให้น้องมีแฟนคลับทั่วโลก ส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเยี่ยมชมสวนสัตว์เพิ่มขึ้น ทำให้เกิดรายได้จากภาคการท่องเที่ยวในระดับชาติที่สูงขึ้นด้วย

การปรากฏตัวของ 'หมูเด้ง' จึงได้แสดงให้เห็นถึงพลังของไวรัลคอนเทนต์ที่ไม่เพียงสร้างความสนใจ แต่ยังสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศได้อย่างมหาศาลอีกด้วยค่ะ 

สมุทรปราการ-โรงพยาบาลเปาโล สมุทรปราการ ร่วมพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับจังหวัดสมุทรปราการ

เมื่อวันที่ (18 ก.ย. 67) ณ Feeling Bar & Restaurant ตำบลเทพารักษ์ อำเภอเมืองสมุทรปราการ นายสุพจน์ ภูติเกียรติขจร รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ เป็นประธานในพิธี การลงนามครั้งนี้ มุ่งเน้นการส่งเสริมมาตรการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในพื้นที่ที่มีการจราจรคับคั่ง

โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับความปลอดภัยของผู้ใช้ถนนและลดความเสี่ยงของอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น โรงพยาบาลเปาโล สมุทรปราการ นำโดย ดร.มัทนิน พฤติธนาภัทร ผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร ได้มีส่วนร่วมในโครงการดังกล่าว

โดยมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนมาตรการด้านความปลอดภัยให้กับชุมชน และมุ่งมั่นที่จะร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐในการพัฒนาและดำเนินการเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนในพื้นที่

ซึ่งการลงนามครั้งนี้ สะท้อนถึงการสร้างความร่วมมือที่เข้มแข็งระหว่างภาครัฐและเอกชน ซึ่งเป็นอีกก้าวสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ใช้ถนนในจังหวัดสมุทรปราการ

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

'เพจดัง' แฉตัวตน HR ที่ไม่ให้ผ่านทดลองงาน เพราะ 'ใส่เสื้อส้ม-พูดอีสาน' คาดเป็นทีมไอโอ สายปั่นตนเป็น 'รอยัลลิสต์' คอยทำให้สังคมแตกแยก

จากกรณี ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์ว่า 'น้องชายตนเอง' ไม่ผ่านทดลองงาน เหตุเพราะใส่เสื้อสีส้มและใช้ภาษาอีสานในที่ทำงาน จากการประเมินของฝ่ายบุคคลที่ชื่อ 'พี่เลิศ' นั้น...

ล่าสุด (19 ก.ย.67) เพจ 'วันนี้พรรคส้มโกหกอะไร' ได้เปิดเผยว่า กรณีที่สื่อหลายสำนักเสนอข่าว พนักงานไม่ผ่านทดลองงาน เพราะใส่เสื้อส้มและพูดอีสาน 

จากการตรวจสอบพบตัว HR คนดังกล่าว ในวงการออนไลน์ชื่อ 'พี่เลิศ' ในชีวิตจริงชื่อ 'น็อต' สนิทกับ สส. พรรคส้ม และ ด้อมส้มหลายคน

ทั้งนี้ ทางเพจฯ ได้โพสต์อีกว่า #ทุกคนคะ มาต่อกันค่ะ ไอ้เลิศ ที่ อิพลอย บอกว่าเป็น หัวหน้า HR คนที่ไม่ให้พนักงานใส่เสื้อส้ม และ พูดอีสาน ผ่านงาน มันเป็นใคร ?

ไอ้เลิศ มันเป็นด้อมส้ม มีเพื่อนสนิทสมัครเป็น สส.พรรคส้ม ไอ้เลิศ มันชอบปั่นว่าตัวเองเป็น รอยัลลิสต์ รักสถาบัน ปั่นตรรกะโง่ ๆ ในหลายกลุ่ม

ไอ้เลิศ อิพลอย และแก๊งพวกมัน คาดว่าเป็นทีมไอโอที่คอยทำให้สังคมแตกแยก ไอ้เลิศมันล็อกโปรไฟล์ แต่มันลืมไปว่ามันเมนต์ไว้ที่เพจคนอื่นว่าอะไรบ้างค่ะ

'ชัชชาติ' เปิดเกณฑ์ใหม่ 'หาบเร่-แผงลอย' ในกทม. ผู้ค้าต้องเป็นคนไทย และต้องยื่นภาษีเงินได้ด้วย

(19 ก.ย.67) นายเอกวรัญญู อัมระปาล โฆษกของกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้ลงนามในประกาศกรุงเทพมหานคร เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดพื้นที่ทำการค้าและการขาย หรือจำหน่ายสินค้าบนถนนหรือสถานสาธารณะ โดยมีหลักเกณฑ์การพิจารณากำหนดพื้นที่ทำการค้า ดังนี้

ถนนที่มีช่องทางจราจรตั้งแต่ 3 ช่องทางจราจรขึ้นไป ไม่ว่าจะเป็นการเดินรถทางเดียวหรือสวนทาง เมื่อจัดวางแผงค้าแล้วต้องมีที่ว่างให้ประชาชนสัญจรได้ไม่น้อยกว่า 2 เมตร โดยให้สำนักงานเขตทบทวนความจำเป็นและความเหมาะสมของการเป็นพื้นที่ทำการค้าทุก 2 ปี

ส่วนถนนที่มีช่องทางจราจรน้อยกว่า 3 ช่องทางจราจร ไม่ว่าจะเป็นการเดินรถทางเดียวหรือสวนทาง เมื่อจัดวางแผงค้าแล้วต้องมีที่ว่างให้ประชาชนสัญจรได้ไม่น้อยกว่า 1.5 เมตร โดยให้เขตทบทวนความจำเป็นและความเหมาะสมของการเป็นพื้นที่ทำการค้าทุก 1 ปี แผงค้าต้องมีขนาดไม่เกิน 3 ตารางเมตร โดยมีความลึกของแผงค้าต้องไม่เกิน 1.5 เมตร ให้จัดวางแผงค้าได้เพียงฝั่งเดียว โดยให้ชิดกับด้านถนนและต้องห่างจากผิวจราจรอย่างน้อย 50 เซนติเมตร เพื่อให้มีระยะปลอดภัยด้านการจราจร

และให้เว้นระยะห่าง 3 เมตร ทุกระยะ 10 แผงค้า เพื่อเป็นทางเข้าออกและทางฉุกเฉิน รูปแบบ ลักษณะแผงค้าและสิ่งประกอบแผงค้า เช่น ร่ม หลังคาแผงค้า ต้องมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยเหมาะสมกับลักษณะพื้นที่นั้น ๆ

สำหรับคุณสมบัติของผู้ทำการค้าและผู้ช่วยจำหน่ายสินค้า ต้องเป็นผู้มีสัญชาติไทย โดยมีคุณสมบัติเพิ่มเติม ดังนี้

1.เป็นผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
2.เป็นคู่สัญญาในการซื้อบ้านที่อยู่อาศัยกับการเคหะแห่งชาติในโครงการบ้านมั่นคงของสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนและยังมีภาระผูกพันในการชำระหนี้
3.เป็นบุคคลที่ได้รับเงินสวัสดิการจากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
4.เป็นผู้มีรายได้ไม่เกิน 300,000 บาทต่อปี โดยอ้างอิงจากเงินได้หลังจากหักค่าใช้จ่ายประกอบธุรกิจตามหลักฐานการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

นอกจากนี้ผู้ทำการค้าต้องลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ต่อสำนักงานเขตที่กำหนดให้มีพื้นที่ทำการค้า ไม่มีแผงค้าอื่นหรือผู้ช่วยจำหน่ายสินค้าในแผงค้าอื่นในพื้นที่ที่กรุงเทพมหานครกำหนดให้เป็นพื้นที่ทำการค้า

'รมว.เอกนัฏ' ปลุก!! 'กนอ.' ตีหลากโจทย์ภาคอุตสาหกรรมไทย 'เศรษฐกิจสีเขียว-ผลักดันอุตฯ ป้องกันประเทศ-สนับสนุน SMEs'

(19 ก.ย. 67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 18 ก.ย.67 ได้มีโอกาสไปตรวจเยี่ยม และมอบนโยบายให้กับ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ซึ่งก็ได้รับทราบถึงแผนงาน รวมถึงปัญหาอุปสรรคของ กนอ.หลายเรื่อง โดยได้เน้นย้ำถึงพันธกิจของกระทรวงฯ ที่ กนอ.เป็นหนึ่งในหน่วยงานสำคัญที่ต้องเข้ามาร่วมขับเคลื่อน โดยเฉพาะปฏิรูปอุตสาหกรรมไทยให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งการยกระดับอุตสาหกรรมเดิมที่มีอยู่ ไปถึงการดึงดูดการลงทุนกลุ่มอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่มีศักยภาพ เช่น เซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor) ที่เป็นหัวใจสำคัญของเทคโนโลยีสมัยใหม่ หรืออุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ ที่ผู้ประกอบการในไทยหลายรายมีศักยภาพสูง นอกจากนี้ยังต้องยกระดับเศรษฐกิจไทยไปสู่การเป็นเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ในการพัฒนาเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคม และรักษาสิ่งแวดล้อม

นายเอกนัฏ กล่าวต่อว่า ในส่วนของการจัดการกากอุตสาหกรรม เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม และสุขภาพอนามัยของประชาชน ที่ผ่านมา กนอ.ถือว่าทำได้ดีอยู่แล้ว แต่อาจจะต้องวางแนวทางประสานข้อมูลกับทางกระทรวงฯ และต่อยอดองค์ความรู้ของ กนอ.ไปสู่ผู้ประกอบการนอกนิคมฯ เพื่อให้เกิดโรงงานสีเขียวทั่วประเทศ ซึ่งขณะนี้กระทรวงฯ กำลังจัดฐานข้อมูลของแต่ละหน่วยงานในกระทรวงฯ ให้เป็นหนึ่งเดียวตามแนวนโยบายรัฐบาลดิจิทัล (Digital Government) จึงอยากให้มีการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่าง กนอ. และกระทรวงฯ ทั้งในเรื่องการจัดการจากอุตสาหกรรม, ขออนุมัติ-อนุญาต และการรายงานผลประกอบการผ่านแพลตฟอร์มเดียวกัน (Single Form) เพื่อให้ฐานข้อมูลที่ทุกหน่วยงานสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้

รมว.อุตสาหกรรม กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ยังได้ฝากให้ กนอ.เข้าไปช่วยเหลือส่งเสริม SMEs ไทยในการพัฒนาเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไทย โดยอาจจะจัดพื้นที่ และสนับสนุนเทคโนโลยีที่มีอยู่ภายในนิคมฯ ให้แก่ธุรกิจ SMEs ทั้งในแง่ของการลดต้นทุนการดำเนินธุรกิจ การเข้าถึงแหล่งทุน และการสร้าง Supply Chain หรือห่วงโซ่อุปทานให้เกิดขึ้นระหว่างผู้ประกอบการภายในนิคมอุตสาหกรรมนั้นๆ 

“ผมเห็นแล้วว่า หน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมเรามีเป้าหมายเดียวกัน และเชื่อมั่นว่าการทำงานของเราจะสำเร็จตามเป้าหมาย เพราะเรามองเห็นภาพเดียวกัน และจับมือและเดินไปด้วยกัน การทำงานร่วมกันเป็นทีม และแสวงหาความร่วมมือกับภาคเอกชน เพื่อเป้าหมายเดียวกันในการปฏิรูปอุตสาหกรรม” นายเอกนัฏ ระบุ

ทั้งนี้ โอกาสเดียวกัน นายยุทธศักดิ์ สุภสร ประธานกรรมการ กนอ. ได้กล่าวย้ำถึงบทบาทสำคัญของ กนอ. ในฐานะหน่วยงานรัฐวิสาหกิจหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม และส่งเสริมภาคอุตสาหกรรม พร้อมนำเสนอข้อมูลการลงทุน (Investment Outlook) และดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมในภาพรวมและในนิคมอุตสาหกรรมที่ผ่านมาว่า พื้นที่นิคมฯที่ กนอ.ดำเนินการเอง และพื้นที่ร่วมดำเนินงาน ยังมีความสามารถที่จะรองรับการลงทุน โดยเฉพาะจากนักลงทุนต่างชาติได้อีกมาก

ด้าน นายสุเมธ ตั้งประเสริฐ กรรมการ กนอ. รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการ กนอ. ได้นำเสนอวิสัยทัศน์ 'นิคมอุตสาหกรรมสู่มาตรฐานสากลด้วยนวัตกรรมอย่างยั่งยืน' ที่มุ่งพัฒนานิคมอุตสาหกรรมครบวงจรอย่างยั่งยืน ยกระดับความได้เปรียบในการแข่งขันแก่นักลงทุน และเพิ่มคุณค่าให้แก่ผู้มีส่วนได้เสีย สังคม และสิ่งแวดล้อมบนหลักธรรมาภิบาล พร้อมรายงานความคืบหน้าของโครงการท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 ช่วงที่ 1, นิคมอุตสาหกรรม Smart Park, การศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน หรือนิคมฯ Circular, นิคมอุตสาหกรรมเพื่อรองรับโครงการแลนด์บริดจ์ในพื้นที่ จ.ระนองและ ชุมพร, นิคมอุตสาหกรรมฮาลาล และแนวคิดโครงการเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

นายสุเมธ ยังได้นำเสนอแผนงานตามนโยบาย “การปฏิรูปอุตสาหกรรม สู่เศรษฐกิจยุคใหม่ ทันสมัย สะอาด สะดวก โปร่งใส 3 ปฏิรูป 3 แนวทาง” ของ รมว.อุตสาหกรรม ด้วยว่า กนอ.ได้วางแนวทางเพื่อสนับสนุนนโยบายไว้ 3 เรื่องสำคัญที่จะเร่งดำเนินการ คือ 

1.การจัดตั้งศูนย์บ่มเพาะ SMEs (I-EA-T Incubation) เพื่อสร้างความเท่าเทียมในการแข่งขันของ SMEs โดยการใช้นิคมฯ เพื่อลดค่าใช้จ่ายให้ SMEs เบื้องต้นจะเริ่มดำเนินการ และพร้อมเปิดนิคมฯที่นิคมฯลาดกระบัง ภายใน 3 เดือน และการผลักดันแก้ไขปัญหาผังเมืองในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจหรือเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่จะดำเนินการภายใน 3 เดือนเช่นกัน

2.การบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมครบวงจร ผ่านความร่วมมือกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ในการเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อลดขั้นตอนและเวลา เรื่องนี้จะสามารถดำเนินการได้เต็มรูปแบบภายใน 6 เดือน และ 3.การสร้าง Eco System หรือระบบนิเวศทางธุรกิจใหม่ โดยใช้แพลตฟอร์ม (Platform) ต่างๆ เพื่อรองรับอุตสาหกรรมยุคใหม่ ให้ง่ายต่อการประกอบกิจการ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ภายใน 1 ปี

“กนอ.ขอรับการสนับสนุนจาก รมว.อุตสาหกรรม ในด้านต่างๆ เช่น การผลักดันกฎหมายผังเมือง EEC, การบูรณาการแก้ไขการจัดการกากอุตสาหกรรมครบวงจร, Fast Track Lane (ช่องทางพิเศษเพื่ออำนายความสะดวกแก่ผู้ประกอบการ) กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมโยธาธิการและผังเมือง, กรมที่ดิน และ BOI (สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน) เพื่อให้โครงการตามนโยบายของ รมว.อุตสาหกรรม สำเร็จลุล่วง และที่ต้องการใช้กลไกของกระทรวงอุตสาหกรรม ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ” นายสุเมธ ระบุ

‘บิ๊กป้อม-พปชร.’ ลุยหนองคาย ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม มอบถุงยังชีพ 3,000 ชุด พร้อมสั่ง สส.ในพื้นที่ช่วยเหลือใกล้ชิด

(19 ก.ย. 67) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พร้อมด้วย นายสันติ พร้อมพัฒน์ รองหัวหน้าพรรค, นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรค น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รองหัวหน้าพรรค, นายชัยมงคล ไชยรบ รองหัวหน้าพรรค, นายฉกาจ พัฒนกิจวิบูลย์ รองหัวหน้าพรรค, น.ส.กาญจนา จังหวะ รองเลขาธิการพรรค, พล.อ.กฤษณ์โยธิน ศศิพัฒนวงษ์ เหรัญญิกพรรค, นายวราเทพ รัตนากร ผู้อำนวยการพรรค, พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรค, นายกระแสร์ ตระกูลพรพงศ์ สส.หนองคาย เขต 1 และกรรมการบริหารพรรค อาทินาย สุธรรม สุจริตงาม พร้อมด้วยสมาชิกพรรค น.ส.พิมพ์พร พรพฤฒิพันธุ์ สส.เพชรบูรณ์ เขต1 และนายวิริยะ ทองผา สส.มุกดาหาร เขต 1 ร่วมลงพื้นที่ประสบอุทกภัย จ.หนองคาย โดยเฉพาะในพื้นที่ อ.เมือง ที่ได้รับผลกระทบจากปริมาณน้ำฝนที่ตกอย่างต่อเนื่อง จากอิทธิพลของพายุที่เกิดขึ้นในหลายระลอก รวมทั้งปริมาณน้ำจากลำน้ำโขง ที่เพิ่มสูงขึ้นจนเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมบ้านเรือน ส่งผลให้พี่น้องประชาชนในชุมชนต่างๆ ได้รับความเดือดร้อน ไม่สามารถออกไปประกอบอาชีพได้ตามปกติ

โดย พล.อ.ประวิตร มีความห่วงใยในความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน จึงได้ลงพื้นที่พร้อมกับคณะทีมผู้บริหารพรรคไปพบปะประชาชน และติดตามสถานการณ์ ในพื้นที่ประสบภัย เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล และเตรียมความพร้อมเสนอผ่านระบบสภาฯ โดยระหว่างการลงพื้นที่วันนี้ ได้มีประชาชนฝากข้อเรียกร้องไปยังรัฐบาลจำนวนมาก ซึ่งพรรคพลังประชารัฐในฐานะพรรคฝ่ายค้าน ก็ขอเป็นกระบอกเสียงแทนพี่น้องประชาชน ขอให้รัฐบาลใส่ใจในความเดือดร้อนและเร่งหามาตรการที่จะเยียวยาช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนด้วย

ทั้งนี้ จากสภาพอากาศ พรรคพลังประชารัฐ เชื่อว่า ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ยังคงได้รับอิทธิพลจากมรสุมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงจากสภาพภูมิอากาศ ทำให้ปริมาณฝนตกมากกว่าปกติ ซึ่งปัญหาเรื่องน้ำทั้งภัยแล้งและอุทกภัย เป็นนโยบายหลักของ พปชร.และ พล.อ.ประวิตร ให้ความสำคัญมาโดยตลอด จากที่ผ่านมามีการผลักดันโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ และวางแนวทางแก้ไขปัญหาให้บริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ จนทำให้ประชาชน และเกษตร มีน้ำกินน้ำใช้ ลดภัยพิบัติอย่างเห็นผลมาแล้วในอดีต สะท้อนภาพจำของ ‘ลุงป้อม’ ที่มีต่อประชาชน เป็นผู้ที่แก้ปัญหาน้ำ และสามารถเข้าช่วยเหลือชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อน ไม่ว่าพื้นที่นั้นจะอยู่ห่างไกลแค่ไหนก็ตาม

อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประวิตร ได้นำถุงยังชีพมากกว่า 3,000 ชุด แจกจ่ายให้กับพี่น้องประชาชนในชุมชนหนองบัว ชุมชนสระแก้ว (วัดศรีบุญเรือง) ชุมชนวัดธาตุใต้ ในเขตเทศบาลเมือง เพื่อให้ประชาชนบรรเทาความเดือดร้อนในช่วงวิกฤตินี้ไปได้ พร้อมทั้งกำชับให้ สส. ในพื้นที่ประสานกับหน่วยงานเกี่ยวข้องเข้าทำการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในด้านต่างๆ การแจ้งเตือน การอพยพ หาแหล่งที่พักพิงให้เพียงพอ และให้นำข้อมูลมาเสนอต่อสภาฯ เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลจัดสรรงบประมาณในการเยียวยาพี่น้องประชาชน เพื่อซ่อมบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหาย พร้อมทั้งจัดเตรียมแผนรับมือในการพัฒนาโครงการ เพื่อป้องกันอุทกภัยในอนาคต

‘ภูมิธรรม’ เผย!! งบเยียวยาน้ำท่วม 3 พันล้าน ใช้ได้ทันที พร้อมชื่นชมกำลังพลดูแลประชาชนก่อนนึกถึงตัวเอง

(19 ก.ย. 67) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงการเยียวยาน้ำท่วม ว่า ขณะนี้ได้อนุมัติ 3,000 ล้านบาทแล้ว ใช้ได้เลย ไม่ต้องผ่านกระบวนการขั้นตอนให้มาก แต่ดูให้รอบคอบ แจกจ่ายได้ตามมติและกฎเกณฑ์เดิม ส่วนสิ่งที่จะทำใหม่ได้มอบหมายปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กฤษฎีกา ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง และหลายส่วนที่เกี่ยวข้อง ไปคิดภายใน 1 สัปดาห์ หากมีมติชัดเจนจะเป็นส่วนที่จ่ายเพิ่มเติมจากสิ่งที่ได้โดยปกติ และจะได้ใช้มาตรฐานนี้ในอนาคตข้างหน้า เพราะมาตรฐานเดิมที่วางไว้มาด้วยข้อจำกัดหลายอย่าง ตรงนี้ต้องไปดูอีกอย่างหนึ่ง เรื่องการเงิน ทำได้เท่าไร เราทำก่อน หากทำได้หมด ก็พร้อมทำ ย้ำว่าเร่งให้เร็วที่สุดภายใน 1 สัปดาห์ แต่ต้องขอดูรายละเอียด 

เมื่อถามว่าอยากพูดอะไรถึงกำลังพลที่ลงพื้นที่ช่วยน้ำท่วมหรือไม่ เพราะมีบางนายที่ได้รับผลกระทบ? นายภูมิธรรม กล่าวว่า “เมื่อผู้บัญชาการทหารบกได้ไปเยี่ยมแล้ว ส่วนตัวคิดว่าผู้บังคับบัญชาและส่วนต่าง ๆ เห็นใจ เข้าใจกำลังพลที่บ้านตัวเองต้องไปดูแลยังไม่ได้ทำ แต่ต้องไปดูแลประชาชนก่อน อันนี้เป็นน้ำใจอันสูงส่งของกำลังพล ไปทำหน้าที่ของประเทศก่อนจะคิดถึงตนเอง ขอบคุณและให้กำลังพลทุกฝ่าย ขอให้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ช่วยชาติ บ้านเมือง และประชาชน ส่วนรายละเอียดของกำลังพลแม้ว่าจะขาดตกบกพร่อง ยืนยันว่าจะพิจารณาดูแลหาทางออก ซึ่งเมื่อคืนนี้ (18 ก.ย.) ได้หารือกับรัฐมนตรีช่วยฯ ว่ากำลังพลส่วนนี้จะทำอย่างไร ซึ่งจะต้องมาหารือกัน มีแนวทางใดบ้าง ต้องมาหารือรายละเอียดและข้อกฎหมายต่อไป” 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top