Friday, 20 June 2025
TheStatesTimes

🔎ส่องราคาน้ำมันเฉลี่ยในประเทศอาเซียน ราคา ณ วันที่ 16 ก.ย. 67

รายงานราคาน้ำมันเฉลี่ยในอาเซียน ประจำวันที่ 16 กันยายน 2567 โดยราคาขายน้ำมันแต่ละประเทศ มีปัจจัยทางด้านราคา ดังนี้

1.แต่ละประเทศมีมาตรการภาษี และระบบการเก็บเงินเข้ากองทุนหรืออุดหนุนราคาพลังงานที่แตกต่างกัน

2.ในหลายประเทศเพื่อนบ้านยังมีการอุดหนุนราคากันอยู่

3.ประเทศไทยสนับสนุนการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ ให้การอุดหนุนราคาโดยกองทุนน้ำมันฯ จึงทำให้ราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ถูกกว่าเบนซิน

หมายเหตุ : ราคา ณ วันที่ 16 กันยายน 2567 อัตราแลกเปลี่ยน (อัตรากลาง) ณ วันที่ 13 กันยายน 2567 *ประเทศไทย อ้างอิงราคาจาก ปตท. และ บางจาก และเป็นราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95E10 ซึ่งมีสัดส่วนการใช้มากที่สุด

'อ.ต่อตระกูล' เผย!! ปี 67 ไทยมีคนอายุเกิน 100 ปี ติดท็อป 5 ของโลก ส่วนใหญ่อยู่ภาคใต้ ที่เหลือกระจายตามจังหวัดใหญ่ๆ ทั่วประเทศ

(20 ก.ย. 67) รองศาสตราจารย์ ต่อตระกูล ยมนาค นายกสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ อดีตอาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

ประเทศไทย ในปี 2567 นี้มีคนอายุเกิน 100 ติดอันดับ 5 ของโลก มีจำนวนถึง 42,485 คน  

น่าภาคภูมิใจมาก เพราะไทยเป็นประเทศที่มี ลำดับความเจริญเศรษฐกิจ ต่ำที่สุดใน 5 ชาตินี้ แต่มีพลเมืองมีความสุข มีการดูแลสุขภาพผู้สูงวัยได้ดี จนมีจำนวนคนอายุยืนเกิน 100 ปี มากติดอันดับสูงสุด 5 ประเทศของโลกได้ 

ประเทศอันดับ 3 และ 4 คือ จีน และ อินเดีย ซึ่งมีพลเมือง มากที่สุดในโลก ประเทศละ 1,400 ล้านคน อันดับ 2 คือ อเมริกา มีพลเมือง 340 ล้านคน และที่ 1 ในปี 2024 นี้คือ ญี่ปุ่น ที่มีพลเมือง 120 ล้านคน

ข้อมูลจาก The Countries with the Most Centenarians in the World. 

มีข้อมูลแสดงการเปลี่ยนแปลง ของลำดับขึ้น ๆ ลง มาตั้งแต่ปี 1950 มาจนถึง 2024 ไทยอยู่ในอันดับต้น ๆ มาตลอด เราเคยอยู่ในอันดับเหนือกว่าญี่ปุ่นด้วย เปิดดูคลิปที่แสดงสถิติแบบเคลื่อนไหวได้ ได้ที่ :
https://images.app.goo.gl/TSmvJq9SX3DNRsuPA

ประเทศไทย ต้องมีอะไร ที่ทำให้คนอายุยืน กว่าชาติอื่นๆ? ต้องหาความจริงนี้ให้ได้   

เบื้องต้นมีข้อมูลจากกรมการปกครอง เผยข้อมูลว่าผู้สูงอายุเกิน 100 ปี มีอยู่ในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้สุด 5 จังหวัดมากที่สุด ถึง 5 พันกว่าคน ที่เหลืออยู่ในจังหวัดใหญ่ ๆ ทั่วประเทศ มากที่สุดคือที่ กรุงเทพฯ และปริมณฑล

เอฟเคไอไอ.ร่วม 'ท็อป-จิรายุส' เปิดเวทีตอบโจทย์อนาคตประเทศไทย เสนอรัฐเร่งเดินหน้าความตกลงดิจิทัลอาเซียนดึงเม็ดเงินลงทุนกว่า 60 ล้านล้านบาท มุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคต สร้างฐานวิทยาศาสตร์-เทคโนโลยี เสริมทักษะเอไอ ยึดแนวทาง Green-ESG

นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ ไทยแลนด์( FKII Thailand) เปิดเผยวันนี้ว่า สถาบันเอฟเคไอไอ.ได้จัดกิจกรรมการสนทนาวาระประเทศไทย ( FKII NATIONAL DIALOGUE )เพื่อนำประเด็นที่เป็นความท้าทายและโอกาสในปัจจุบันและอนาคตมาวิเคราะห์เพื่อหาทางออกที่ดีที่สุดให้กับประเทศในหัวข้อ 'อนาคตปัญหาประเทศไทย' โดยจัดร่วมกับสถาบันทิวา มีผู้ร่วมการสนทนาแลกเปลี่ยน(Dialogue) ได้แก่ รศ.ดร.อาณัฐชัย รัตตกุล รองประธานเอฟเคไอไอ.

นายชยดิฐ หุตานุวัชร์ ประธานสถาบันทิวา และ นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (ท็อป-จิรายุส) ดำเนินรายการโดย นางสาวนวรัตน์ สัมพันธ์ศรี หัวหน้าคณะทำงานคณะกรรมการขับเคลื่อนเอฟเคไอไอ.ทั้งนี้ รศ.ดร.อาณัฐชัย รัตตกุล ให้เกียรติเป็นประธานเปิดงาน ณ สวนเสียงไผ่ สถาบันทิวา ทาวน์อินทาวน์ กรุงเทพมหานคร

ในกิจกรรมการสนทนาดังกล่าว 'ท็อป-จิรายุส' ได้แบ่งปันประสบการณ์ในการเข้าร่วมสภาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum; WEF) ณ เมืองดาวอส ซึ่งมีผู้นำประเทศต่างๆ ทั่วโลก และนักธุรกิจที่มีมูลค่าตลาดสูงกว่า 5 Billion USD รวมกันประมาณ 3,000 คน ซึ่งในประเทศไทยผู้ที่ได้เข้าร่วมก็จะบริษัทใหญ่ ๆ ได้แก่ CP, ThaiBev, PTT,SCG, KBank เป็นต้น ซึ่งใน WEF มีการพูดถึงเรื่อง ESG หรือ Environment, Social, และ Governance ที่เป็นกระแสของโลกในอนาคตที่จะมีผลบังคับใช้ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า (2030) ซึ่งทุกๆ กิจการโดยเฉพาะ SMEs ต้องทราบและเริ่มปรับตัวตั้งแต่วันนี้ เนื่องจากจะทำให้ไม่สามารถขายสินค้าให้กับลูกค้าเดิม ๆ ได้อีกต่อไป เพราะกระบวนการการผลิตที่ไม่สามารถแจกแจงปริมาณการปล่อยคาร์บอนหรือมีส่วนร่วมในการทำลายสภาพแวดล้อมของโลก นอกจากนี้ สถาบันการเงินก็จะไม่ยินดีปล่อยสินเชื่อให้กับธุรกิจที่มีส่วนร่วมในการทำลายสภาพแวดล้อมของโลกตลอดทั้งซัพพลายเชนเช่นเดียวกัน ปัจจัยดังกล่าวจึงเป็นข้อจำกัดในการดำเนินธุรกิจของผู้ที่ไม่ปรับเปลี่ยนการดำเนินธุรกิจตามเทรนด์โลก

แนวทางการปรับตัวของประเทศกำลังพัฒนาและประเทศเล็ก ๆ ได้แก่ การรวมกลุ่มทางภูมิศาสตร์และการค้า (Regionalization) เพื่อเพิ่มขนาดของเศรษฐกิจและประชากร (จาก 67 ล้านคน เป็น 600 ล้านคน) ซึ่งในภูมิภาค ASEAN กำลังอยู่ในขั้นตอนการจัดทำ DEFA (2025) หรือ Digital Economy Framework Agreement ซึ่งหากบรรลุข้อตกลงนี้ได้ประมาณ 60% จะสามารถดึงเม็ดเงินเข้ามาลงทุนในภูมิภาคนี้กว่า 2 Trillion USD ดังนั้น ประเทศใดมีความพร้อมมากกว่าก็มีโอกาสที่จะดึงเม็ดเงินลงทุนดังกล่าวได้มากกว่ากัน นอกจากนี้ ยังเป็น ASEAN Single Window, Free Flow for People และ Regional Money

อุตสาหกรรมแห่งอนาคต จะไม่มีอุตสาหกรรมที่มีอยู่ในปัจจุบันอีกต่อไป เนื่องจากหยุดเติบโตแล้ว และเน้นแข่งขันด้านราคา (Red Ocean) ในอนาคตจะขับเคลื่อนด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (S&T) Deep Tech, Digital Infrastructure บนอุตสาหกรรม Frontier Technology ได้แก่ AI, Big Data, IoT, Block Chain, 3D Printing ฯลฯ

ผลกระทบต่อตลาดหลักทรัพย์เมื่อประกาศใช้ Net Zero ในปี 2030
-กองทุนต่าง ๆ จะไม่สามารถเข้าไปถือหุ้นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่ไม่ Green ไม่ได้ ดังนั้น บริษัทและ Supplier ทั้งหมดต้อง Green ทั้งประบวนการ
-บริษัทที่ไม่ปรับตัวเข้าสู่ Green จะไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ เนื่องจากธนาคารไม่ปล่อยสินเชื่อให้บริษัทที่ไม่ Green
-บริษัทในตลาดหลักทรัพย์เดิมเป็น SET กับ MAI แต่ในอนาคตจะเป็น ESG กับ Non-ESG

เทคโนโลยี AI จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้น คนต้องมีความสามารถในการสื่อสาร (Prompt) กับ AI ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด (Ask the right Question) ดังนั้น จำเป็นที่จะต้อง Up-Skill / Re-Skill ในรูปแบบ Open Education Platform ตามความสะดวกของผู้เรียน

เรื่องการศึกษา เสนอว่าให้มีกระบวนการ Build Character ให้กับนักเรียน ทั้งนี้ เนื่องจากคนไทยมีความ Creativity สูงอยู่แล้ว จึงควรส่งเสริมให้พัฒนาขึ้น นอกจากนี้ ควรส่งเสริมด้าน Soft Skill (การสื่อสาร การเข้าร่วมกิจกรรม) และผลักดันเรื่อง Blue Ocean Competition.

สำหรับสถาบันเอฟเคไอไอ. ไทยแลนด์ (FKII Thailand: Field for Knowledge Integration and Innovation) เป็นองค์กรวิสาหกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) ทำหน้าที่สนับสนุนความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศไทยกับนานาประเทศรวมทั้งเป็นตัวกลางเชื่อมประสานระหว่างหน่วยงานวิจัยกับภาคเอกชนภาครัฐทั้งในและต่างประเทศทางด้านนวัตกรรมและองค์ความรู้เพื่อเพิ่มศักยภาพใหม่ของประเทศและการพัฒนาอย่างยั่งยืนตอบโจทย์ความท้าทายใหม่ของโลกปัจจุบันและอนาคต

ติดตาม FKII Thailand
FB: FKIIThailand https://shorturl.at/87OHy
LineOA: FKIIThailand https://lin.ee/BgPCPvd

แม่สายจมโคลน บางบ้านสูงถึงชั้น 2 ตักยังไงก็ไม่หมด-จ้างไม่ไหว หลายคนเริ่มคิดสั้น 'หลังหมดตัว-หมดใจ' วอนภาครัฐเข้าช่วย

(20 ก.ย. 67) เพจ 'เรียนหมอ' โพสต์ข้อความถึงสถานการณ์แม่สายเชียงรายหลังน้ำลด แต่ชาวบ้านกำลังประสบกับปัญหาใหญ่จากน้ำหลากที่จากไปเหลือไว้แต่โคลนตมที่ทับถมบ้านเรือนอย่างหนัก ระบุว่า...

รถดูดโคลนต้องเข้าแม่สายแล้ว โคลนหนามาก บางบ้านถึงชั้น 2 หลายคนร้องไห้ไปตักโคลนไป ตักเท่าไหร่ก็ไม่หมดสักที จะจ้างทำก็แสนแพง เงินก็ไม่มี

ที่แม่สายหนักมากค่ะ ตามถนนหลาย ๆ ที่โคลนยังหนา จะเอารถไปแจกของก็ยาก คนออกมาเอาก็ลำบาก

ในบ้านเรือนโคลนหนามาก ๆ ถ้าเป็นคนแก่คงทำไม่น่าไหว 

หลายคนพูดถึงความคิดจะคิดสั้นขึ้นมา คือมันหมดตัวไม่พอ ยังต้องมาตักโคลนที่สูงมาก ๆ ๆ อีก ซึ่งตักเท่าไหร่ก็ไม่หมดสักที 

เข้าใจเค้านะคะ คือ หมดตัวอยู่แล้ว ยังต้องมาตักโคลนที่แบบหนา ๆ สูง ๆ ทุกวัน ๆ มันดิ่งนะคะ คือสงสารมาก

หน่วยงานก็พยายามช่วยกันแต่ว่ามันเยอะมาก ๆ

ถ้าช่วยกันหลาย ๆ คน หลาย ๆ ฝ่าย น่าจะหนักเป็นเบาขึ้น

รถดูดโคลนสักกำเนอะจ้าวว ดูด ๆ ๆ ๆ

ความเดือดร้อน มันรอกันไม่ได้ 

คือใช่ เราต้องช่วยตัวเองก่อนที่จะขอคนอื่นมาช่วย  แต่ดูทรงละ งานหนักงานช้างมันทุกบ้าน ทุกหลัง ทุกคนกระทบหมด

ต้องใช้เครื่องจักรมาช่วยละ

ขณะที่โลกโซเชียล ก็ช่วยกันออกมาช่วยแชร์เรื่องนี้ พร้อมกับคอมเมนต์ที่เข้าใจผู้ประสบภัยด้วยว่า...

- "โคลนขนาดนั้นคนหนุ่มสาวก็ทำไม่ไหวค่ะหมอ มีแต่ยอดมนุษย์นั่นแหละค่ะที่จะทำได้แบบไม่ต้องร้องไห้ไปด้วย รัฐบาลควรเข้ามาจัดการเรื่องโคลนที่อยู่ในบ้านประชาชนอย่างเร่งด่วนเลยค่ะ เรื่องนี้ไม่ธรรมดาเลยนะคะ"

- "ตอนนี้เริ่มโฟกัสความช่วยเหลือไปที่ภาคอีสานเพราะกำลังจะเจอพายุ น่าจะหนักหน่วงอยู่ ภาพทางเชียงรายเลยแทบหายไปจากสื่อ ต้องกลับมาช่วยกันสื่อสารทั้งภาพทั้งการขอความช่วยเหลืออีกครั้ง แรงงาน เครื่องมือเครื่องจักร อุปกรณ์อะไรบ้าง บางคนนึกไม่ออกจะส่งแต่ข้าวสาร อาหารแห้ง เสื้อผ้าไปแค่นั้นมันจะเยอะเกินความจำเป็น เพราะบ้านยังไม่เคลียร์เลย"

- "อันดับแรกเอาโคลนออกจากถนนก่อน แล้วโคลนในบ้านก็เอามากองข้าง ๆ ถนน ไว้ให้รถมาเก็บไปทิ้งเป็นส่วนรวมอีกที แบบการจัดการขยะ ไม่งั้นจะจัดการยาก ต้องทำซ้ำ ๆ ไปจนกว่าจะหมด แต่ใครจะช่วยละ เจ้าของบ้านคงไม่ไหว บทเรียนราคาแพงที่คนตัดไม้ทำลายป่า ไม่ได้รับความเดือดร้อนนี้ น้ำพาโคลนมา น้ำแห้งระเหยได้ แต่โคลนนี้สิไม่ไปไหนเลย สู้ ๆ ครับ"

- "รัฐต้องระดมเครื่องจักรจากทุกหน่วยงานของทางราชการที่มีอยู่ทั้งในตัวจังหวัดเองและจังหวัดใกล้เคียงให้เข้ามาช่วยรวมทั้งภาคเอกชนด้วย เพราะดูจากสภาพแล้วปริมาณดินมากมายมหาศาลลำพังแรงคนไม่ไหวแน่ และที่สำคัญน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะใช้ในการนี้รัฐต้องอุดหนุนอย่างเต็มที่"

ขณะที่ด้าน ผู้ใช้เฟซบุ๊ก 'Tiger Cm' ก็ได้โพสต์คอมเมนต์ถึงกรณีด้วยว่า...

"ข่าวดีคนเชียงราย...ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่า กทม. ได้ส่งรถดูดโคลน (เลน) มาช่วย 2 คัน รถตรวจการณ์ 1 คัน รถหน่วยซ่อมเคลื่อนที่เร็ว (BEST) 1 คัน รถบรรทุกติดตั้งเครนขนาด 65 ตัน 1 คัน รถไฟส่องสว่าง 1 คัน และรถตู้ 12 ที่นั่ง 1 คัน พร้อม จนท.กทม. ที่มีความเชี่ยวชาญพิเศษที่เคยมีประสบการณ์การใช้รถดูดโคลนสมัยสึนามิมาด้วย"

‘สมเด็จพระสังฆราช’ ประทานพระคติธรรม ‘วันเยาวชนแห่งชาติ’ ขอให้เยาวชนไทย หมั่นเจริญสมาธิ จดจ่อต่อคุณค่าของความดีงาม

(20 ก.ย. 67) สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานพระคติธรรม เนื่องในวันเยาวชนแห่งชาติ ๒๐ กันยายน ๒๕๖๗ ความว่า…

“สังคมโลกทุกวันนี้ผันแปรไปอย่างรวดเร็ว ตัวชี้วัดความสำเร็จเชิงวัตถุเริ่มหลากหลายไกลห่างเกินจะบรรลุได้ เป็นภาวะที่สวนทางกับความสงบ เรียบง่าย และสามัญธรรมดา ทำให้มนุษย์ในยุคใหม่ มีใจหวั่นไหวคลอนแคลนง่ายไปตามโลกธรรมทั้ง ๔ คู่ กล่าวคือ มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ สรรเสริญ นินทา สุข ทุกข์ เผลอหลงยึดมั่นถือมั่นในโลกธรรมเหล่านั้นว่าเป็นของตน พอจับยึดโลกธรรมฝ่ายไม่น่าพอใจ ก็เร่าร้อนนอนทุกข์ อาจดิ้นรนไขว่คว้าแม้โดยทุจริตเพื่อให้โลกธรรมนั้น ๆ พ้นไป พอจับยึดโลกธรรมฝ่ายน่าพอใจ ก็ยึดติดหลงใหล อาจดิ้นรนไขว่คว้าแม้โดยทุจริตเพื่อให้โลกธรรมนั้น ๆ ยังอยู่หรือเข้ามาบังเกิดแก่ตน ภาวะเช่นนี้ทำให้สุขภาวะของผู้คนในโลกปัจจุบัน โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนค่อย ๆ เสื่อมถอยลงทุกขณะ…

“สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงอบรมสั่งสอนให้มนุษย์แสวงหาความสุขที่เรียบง่ายอันเกิดจากความสงบ ด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจ มุ่งสร้างสรรค์สุขให้บังเกิดได้ง่าย ๆ ด้วยการนำจิตตนเองไปจดจ่อต่อสิ่งดีงาม จึงขอฝากข้อคิดให้เด็กและเยาวชน หันมาสนใจอบรมเจริญสมาธิ ทำใจให้สงบ ฝึกระงับจิต ข่มความคิด ให้ทุเลาความฟุ้งซ่าน ปล่อยวางความหวือหวา วางเฉยต่อความรวดเร็วปุบปับฉับไวของกระแสข่าวสาร สมัยนิยม ความหลงใหล ความรักใคร่ และความชิงชัง ผ่อนพักจากความเครียดต่าง ๆ ที่รุมเร้า แล้วหันไปจดจ่อต่อคุณค่าของความดีงาม เช่น การศึกษาเล่าเรียน การทำงานอดิเรกที่เป็นประโยชน์ การอุทิศตนช่วยเหลือผู้อื่น การทำบุญกุศล การช่วยงานอาสาสมัคร ฯลฯ เพื่อให้เกิดสุขภาวะทางใจ อันจะเกื้อกูลให้เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่เข้มแข็งในอนาคต…

“ขออนุโมทนาความดีที่เด็ก เยาวชน และผู้ทำประโยชน์ต่อเด็กและเยาวชนได้บำเพ็ญด้วยดีตลอดมา ขอคุณพระศรีรัตนตรัยและกุศลธรรมจริยาที่ท่านทั้งหลายได้สั่งสมไว้ ดลบันดาลให้ท่านมีสรรพกำลังพรั่งพร้อม ในอันที่จะบำเพ็ญกรณียกิจเพื่อประโยชน์สุขของสังคมประเทศชาติสืบไป เทอญ”

ผู้ใหญ่ใจดี!! ‘คุณย่าอุไรวรรณ’ มอบอุปกรณ์ไฟฟ้า ช่วยเหลือพื้นที่น้ำท่วม

(20 ก.ย. 67) นับว่าเป็นเรื่องราวดีดีที่ธารน้ำใจหลั่งไหลช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม ถึงแม้น้ำจะลดแล้วแต่ผู้ประสบภัยก็ยังต้องการการช่วยเหลือฟื้นฟูหลังน้ำลด 

ล่าสุดเพจดังอย่าง 'เจ๊มอย 108' ได้นำเรื่องราวดีดีมาแชร์ มีการเปิดเผยว่า คุณย่าอุไรวรรณ คุณแม่ของ 'น็อต' วิศรุต รังษีสิงห์พิพัฒน์ สามีของนางเอกตัวแม่ 'ชมพู่' อารยา เอ ฮาร์เก็ต

โดยทางเพจดัง 'เจ๊มอย 108' ได้เผยข้อมูลจาก 'รายการทุบโต๊ะข่าว' ระบุข้อความว่า "พี่กันจอมพลัง ลงพื้นที่ฟื้นฟู แม่สาย เชียงราย ทีมจิตอาสาที่ไปช่วย บอกว่าไม่มีอุปกรณ์ไฟฟ้า พี่กันจึงโทรศัพท์ไปหาคุณย่าอุไรวรรณ เพื่อขอติดต่อสั่งซื้ออุปกรณ์ไฟฟ้าลอตใหญ่ในราคาพิเศษ”

“คุณย่าอุไรวรรณ : มาเอาที่ฉันนี่ ไม่ต้องไปหาซื้อที่ไหนเลย อยากได้เท่าไร จะช่วยทั้งหมด ซึ่งคุณย่าตั้งใจช่วยแต่แรก ตั้งแต่เห็นข่าว โดยเตรียมอุปกรณ์ไฟฟ้า ทุกอย่างไว้ก่อนนี้อยู่แล้ว เพื่อจะส่งไปช่วยชาวบ้านที่ประสบภัย แล้วพี่กันโทรติดต่อมาพอดี เลยบอกให้พี่กันเอารถมาขนไปได้เลย เตรียมไว้หมดแล้ว ไม่ต้องจ่ายให้สักบาท ซึ่งมีหลอดไฟ สายไฟ อุปกรณ์ติดตั้งทุกอย่างครบจบ!! ทีมพี่กันเตรียมแค่ช่างไฟไปติดตั้งแค่นั้น"

งานนี้ทำเอาชาวเน็ตต่างเข้ามาชื่นชมน้ำใจของ คุณย่าอุไรวรรณ และครอบครัว รังษีสิงห์พิพัฒน์กันยกใหญ่และร่วมอนุโมทนาบุญกันเพียบ

'ดร.สุวินัย' มอง!! กระแสต้าน 'พระอาจารย์ต้น' แพร่ธรรมละยึดโยงพระไตรปิฎก ชี้!! สิ่งที่สอนถูก ก็ต้องบอกว่าถูก สิ่งที่สอนผิด ก็ต้องบอกว่าผิด "นี่คือธรรม"

(20 ก.ย. 67) รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในหัวข้อ 'การแก้ไขภาวะโรคซึมเศร้าตามแนวทางพระพุทธศาสนา' ระบุเนื้อหา ดังนี้...

๑. ตั้งจิตระลึกถึงพระรัตนตรัยให้บ่อยที่สุดในแต่ละวัน หรือระลึกทั้งวันก็ได้ ด้วยบทระลึกถึงพระรัตนตรัยว่า...

“พุทโธ เม นาโถ พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งอันประเสริฐของข้าพเจ้า 
ธัมโม เม นาโถ พระธรรมเป็นที่พึ่งอันประเสริฐของข้าพเจ้า 
สังโฆ เม นาโถ พระสงฆ์เป็นที่พึ่งอันประเสริฐของข้าพเจ้า” 

>> ให้ 'ระลึก' ย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ ไว้เรื่อย ๆ อยู่เสมอ
>
๒. หากมีอารมณ์ใดเกิดกระทบจิตในแต่ละครั้ง ให้ทักอารมณ์นั้นตรง ๆ ไปเลย เช่น หากเกิดความเครียดขึ้นมาให้ทักว่า...

“นี่คือความเครียด 
ความเครียดกำลังเกิดขึ้นกับจิต 
จิตกำลังมีความเครียด 
ความเครียดมีอยู่ในจิต 
จิตกำลังถูกความเครียดปรุงแต่ง 
ความเครียดกำลังปรุงแต่งจิต”  

>> ให้ฝึก 'ทักอารมณ์' อยู่บ่อย ๆ

๓. หากอาการซึมเศร้าเกิดขึ้นมามากจนควบคุมไม่ได้ ก็ให้ทักอาการซึมเศร้านั้นตรง ๆ ว่า...

“นี่คืออาการซึมเศร้า 
อาการซึมเศร้าเกิดขึ้นกับจิต 
จิตมีอาการซึมเศร้า 
อาการซึมเศร้ามีอยู่ในจิต 
จิตถูกอาการซึมเศร้าปรุงแต่ง 
อาการซึมเศร้ากำลังปรุงแต่งจิต” 

>> ทักอาการซึมเศร้าไว้เรื่อย ๆ จนกว่าจะคลายไป หากเกิดอีกก็ให้ทักอีกอยู่เรื่อย ๆ

๔. ให้แผ่เมตตาก่อนนอนทุกคืน 

๕. สวดพระปริตร ๒ บทคือ รัตนปริตรกับอาฏานาฏิยปริตร ทุก ๆ วัน

~ จารุวณฺโณ ภิกฺขุ (พระอาจารย์ต้น)

*********

เหตุที่ กรรมฐานนี้ได้ผลในการแก้ไขภาวะโรคซึมเศร้าให้ดีขึ้นได้ เพราะ...

(1) กรรมฐานนี้สอนให้ 'เจริญสติ' ด้วยการให้ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าหัดตั้งจิตระลึกถึงพระรัตนตรัยให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ในแต่ละวันทุกวัน

เนื่องจากภาวะซึมเศร้าเป็น 'อกุศลจิต'  ขณะที่การระลึกถึงพระรัตนตรัย เป็น 'กุศลจิต' ... กรรมฐานนี้คือ อุบายใช้ 'น้ำดี' (กุศลจิต) เข้ามาแทนที่ 'น้ำลาย' ในจิตนั่นเอง แม้จะเป็นครั้ง ๆ คราว ๆ ก็ตาม อุปมาดั่งสภาวะจิตที่อยู่ในความมืด (อุกศลจิต) แล้วทำการจุดเทียน (กุศลจิต) ส่องความสว่างขึ้นมาท่ามกลางความมืดเพื่อมาแทนความมืดชั่วคราวนั่นเอง

หัวใจจึงอยู่ที่การทำได้บ่อย ๆ เพื่อให้จิตที่ซึมเศร้าได้สัมผัสแสงสว่างบ้าง และบ่อยขึ้น มากขึ้น นานขึ้น จนกระทั่งจิตที่อยู่ในภาวะซึมเศร้ากลับมาสู่จิตปกติของปุถุชนที่ทุกข์น้อยลงจากโรคซึมเศร้า

(2) กรรมฐานนี้สอนให้ 'ดูจิต' 'ดูอารมณ์' โดยตรง โดยใช้วิธี 'ทักอารมณ์นั้นตรง ๆ' ... การทักอารมณ์ที่เป็นอกุศลจิตตรง ๆ เช่น ความเครียดกับอาการซึมเศร้า ... มันคือการทำให้จิต 'รู้ตัว' และหลุดออกจากอารมณ์ที่เป็นอกุศลจิตนั้นได้ชั่วคราว ครั้งพออารมณ์ที่เป็นอกุศลจิตนั้นกลับมาใหม่อีก ก็ให้ "ทักอารมณ์" นั้นอีกเรื่อย ๆ ทุกครั้งไป เมื่อทำเช่นนี้บ่อยครั้ง อุศลจิตที่ว่าจะตั้งอยู่ไม่ได้ มันจะคลายอำนาจการครอบงำจิตได้น้อยลงหรืออ่อนแรงลง  เพราะจิตเป็นอนิจจัง

ผมจะไม่พาดพิงเรื่องที่ มติเถรสมาคมสั่ง 'พระอาจารย์ต้น' (ผู้สอนกรรมฐานข้างต้นเพื่อแก้ไขภาวะโรคซึมเศร้า) ให้แก้ไขแนวคิด-การเผยแพร่ว่าต้องยึดพระไตรปิฎก ... เพราะผมเห็นว่ามันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างอ่อนไหว และผมเองก็ไม่ได้สนใจติดตามคำสอนของพระอาจารย์ต้นมาก่อนจนกระทั่งเกิดกระแสต่อต้านขึ้นมาจนกลายเป็นประเด็น 

เวลาจะให้คำตอบในเรื่องนี้เอง เพราะความจริงมีหนึ่งเดียว

อะไรที่สอนถูก ก็ต้องบอกว่าถูก  ... นี่คือธรรม
อะไรที่สอนผิด ก็ต้องบอกว่าผิด ... นี่คือธรรม
สิ่งที่สอนถูก ไม่สามารถเอามาหักล้างสิ่งที่สอนผิดได้ ... นี่คือธรรม

"พระไตรปิฎกบกพร่อง 20% ...จริงหรือไม่?"
"พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ยังมีความโกรธอยู่ ...จริงหรือไม่?"
"พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยการนั่งคิดทั้งคืน ...จริงหรือไม่?"

เวลาจะให้คำตอบเอง เพราะความจริงมีหนึ่งเดียว

ด้วยความปรารถนาดี

‘ธนกร’ สะกิดรัฐสภา คิดถี่ถ้วนก่อน แก้ รธน. ด้าน ‘จริยธรรม’ ชี้!! ‘ปัญหาเศรษฐกิจ-ปากท้อง’ เร่งด่วน-ต้องรีบทำมากกว่า

(20 ก.ย. 67) ที่จังหวัดราชบุรี นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรค ในฐานะกรรมาธิการและที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ ได้เดินทางมาเป็นประธานเปิดการสัมมนาและปาฐกถาเรื่อง ‘บทบาทหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมาธิการ กิจการศาล องค์กรอิสระ องค์กรอัยการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และกองทุน’ โดยมีนางสาววริษฐา สงวนเสริมศรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี และนส.กุลวลี นพอมรบดี สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติให้การต้อนรับ

นายธนกร กล่าวว่า คณะกรรมาธิการฯ ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของประชาชนและตระหนักถึงปัญหาของประชาชนในพื้นที่ จึงได้มาเผยแพร่ความรู้ สร้างความเข้าใจในเรื่องบทบาทหน้าที่และอำนาจของสภาผู้แทนราษฎร บทบาทของคณะกรรมาธิการฯ ซึ่งมีทั้งการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล และการสนับสนุนการทำงานของรัฐบาล รวมทั้งการเปิดเวทีอันเป็นช่องทางที่ประชาชนได้สะท้อนปัญหา เสนอข้อร้องเรียนต่าง ๆ ผ่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นผู้แทนของประชาชนในพื้นที่ได้ 

ทั้งนี้ นายธนกร ยังกล่าวว่า กรณีที่พรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชนกำลังเตรียมเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา เรื่องมาตรฐานจริยธรรมและความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ของสส. และรัฐมนตรี ซึ่งฝ่ายค้านโดยพรรคประชาชนก็เห็นพ้องด้วยนั้น ส่วนตัวมองว่ารัฐธรรมนูญปี 2560 เป็นรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงและผ่านการทำประชามติของประชาชน หากจะเป็นการแก้รายมาตรา ก็ควรแก้ในส่วนที่จำเป็นเร่งด่วน หรือแก้ปัญหาปากท้องให้ประชาชนก่อนจะดีกว่า โดยรัฐธรรมนูญ มาตรา 160(4) (5) มีเจตนารมณ์สำคัญในการป้องกันบุคคลที่ปราศจากคุณธรรม จริยธรรม และความซื่อสัตย์สุจริต เข้ามามีอำนาจในการบริหารบ้านเมือง หากมีการแก้ไขตรงนี้หรือทำให้เบาลงอาจจะเป็นการเปิดช่องให้บุคคลที่ไม่ซื่อสัตย์สุจริตโดยแท้เข้ามามีอำนาจได้ 

“กรอบของคำว่าจริยธรรมในรัฐธรรมนูญ ถือเป็นด่านพิสูจน์เพื่อใช้กลั่นกรองบุคคลที่จะก้าวเข้าสู่อำนาจว่าเป็นผู้มีคุณธรรมจริยธรรมหรือไม่ เป็นการตรวจคัดกรองอย่างเข้มข้น เพราะหากแต่งตั้งให้คนที่มีความประพฤติผิดทางจริยธรรมเข้ามาบริหารบ้านเมือง อาจจะส่งผลเสียต่อประเทศชาติและประชาชนได้ ตนจึงเห็นด้วยที่ควรยึดและยกมาตรฐานตามรัฐธรรมนูญ ฉบับปราบโกงให้สูงเข้าไว้ก่อน ผมเชื่อว่า ท่านสส.ท่านรัฐมนตรีทุกคน ต่างก็หวังดีและตั้งใจทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองอยู่แล้ว ประชาชนต้องการ ผู้บริหารประเทศที่มีมาตรฐาน คุณธรรม จริยธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต เข้ามาปกครองบ้านเมือง จึงขอฝากรัฐสภาให้มีการคิดทบทวนในประเด็นนี้ให้รอบคอบ เพราะถ้ารัฐสภา ทั้งสส.และสว.ร่วมกันแก้รัฐธรรมนูญในเรื่องจริยธรรมดังกล่าว อาจถูกสังคมและประชาชนมองว่าเป็นการแก้เพื่อตัวเอง แก้เพื่อนักการเมืองเสียเอง และหากถูกยื่นร้องให้ตรวจสอบอาจส่อไปในทางที่ขัดต่อกฎหมายได้ จึงควรคิดพิจารณาให้รอบคอบ” นายธนกร ระบุ

'เจ้าของแผงตลาดบางบอน' โชว์ 'บัตรประชาชนไทย' ยันเป็นคนไทย 100% แต่โซเชียลยังเอ๊ะ!! สำเนียงแปลกๆ

(20 ก.ย. 67) จากรายการ 'เข้มข่าวค่ำ' ทาง PPTV HD 36 ได้ลงสำรวจพื้นที่ตลาดในเขตบางบอน และสัมภาษณ์เจ้าของร้านในย่านนั้น ภายหลังจากแม่ค้าคนไทยในตลาดบางบอนเริ่มเดือดร้อน หลัง สส.ไอซ์-รักชนก ได้จุดประเด็นให้สังคมเข้าใจผิดว่า เป็นตลาดพม่า ทั้ง คนซื้อ คนขายเป็นพม่าหมด ทำให้คนไม่กล้ามาเดินตลาด

ทั้งนี้แม่ค้าท่านหนึ่งชื่อ 'เหลงจวิง แซ่ลี้' เจ้าของร้านค้าในตลาดย่านบางบอนได้โชว์บัตรและบอกว่าเป็นคนไทย 100% แต่ก็ให้เหตุผลว่า ที่ร้านมีการจ้างลูกน้องชาวพม่ามาช่วย เพราะคนซื้อบางส่วนก็เป็นคนพม่า จะได้สื่อสารกันเข้าใจ ที่สำคัญผู้ซื้อส่วนใหญ่ก็มีบัตรเข้าเมืองมาทำงานถูกต้อง แต่พอ สส.ไอซ์ ตีข่าว ก็ทำให้ผู้คนทั่วไปไม่สบายใจและไม่กล้ามาจับจ่าย

อย่างไรก็ตาม แม่ค้าคนดังกล่าวพูดในส่วนของร้านตนเอง แต่ร้านอื่นไม่รู้ว่าเป็นจริงหรือไม่ ไม่สามารถตอบแทนได้ แต่จะเหมารวมว่าเป็น #ตลาดพม่า เลย คงไม่ถูกต้อง

ทั้งนี้ หลังสัมภาษณ์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ ก็มีชาวเน็ตตั้งข้อสังเกตว่า เจ้าของร้านบางท่านเหมือนคนพม่าที่อยู่ไทยจนพูดภาษาไทยได้คล่อง แต่ก็ยังฟังสำเนียงออกว่าเป็นคนพม่า ขณะเดียวกันก็มีการมองว่า คนพม่าบางคนก็อยู่มานานจนได้บัตรประชาชนไทย และบ้างก็บอกว่าเจ้าของแผงตัวจริงอาจจะเป็นคนไทย แต่ไปปล่อยให้คนพม่าเช่าขายต่อ 

ส่วนกรณีว่ามีเรียกเก็บส่วยคนพม่าจากเจ้าหน้าที่หรือไม่นั้น บรรดาเจ้าของร้านไม่ยืนยัน

'วิสุทธิ์' ลั่นรับไม่ได้ สุราก้าวหน้าฉบับ สส.เท่าพิภพ เสรีจัดถึงขั้นให้ต้มเหล้าดื่มเอง แจกจ่ายในหมู่บ้านได้

เมื่อวานนี้ (19 ก.ย. 67) ที่รัฐสภา นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานวิปรัฐบาล ให้สัมภาษณ์ถึงการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ภาษีสรรพสามิต ที่เริ่มพิจารณาเมื่อวันที่ 18 ก.ย. และจะลงมติสัปดาห์หน้า แนวทางโหวตในสัปดาห์หน้าจะมีการคว่ำร่างหรือไม่ ว่า...

"ประเด็นที่เกิดขึ้น ตนต้องเรียนกับประชาชนว่า เรื่องสุราก้าวหน้า ภาษีสรรพสามิต ต้องอาศัยข้อเท็จจริง ซึ่งในการพิจารณามีอยู่ 3 ร่าง ได้แก่ร่างของพรรคเพื่อไทย, ร่างของพรรคประชาชน และร่างของพรรครวมไทยสร้างชาติ แต่เมื่อไปดูหลักการการเสนอร่างของพรรคประชาชนนั้นระบุว่าถ้าไม่ขาย ก็สามารถต้มดื่มกันเองได้ แจกจ่ายกันเองในหมู่บ้านทั่วไปได้ เราจึงมองว่าหลักการเช่นนี้จะทำให้เราลำบาก หากมีการเสนอเข้าไปแล้วจะขัดกับหลักการกับที่เราตั้งไว้ ซึ่งสุราทุกอย่างจะต้องมีการควบคุม อาจจะลดขนาดเงื่อนไขในการตั้ง เพื่อให้วิสาหกิจชุมชนขนาดเล็กสามารถสร้างได้ ตั้งได้ ผลิตได้ แต่ทุกอย่างต้องอยู่ในการควบคุมของกฎหมาย ไม่ใช่ว่าเสรีเลย จึงมีปัญหาเกิดขึ้นเมื่อวาน"

นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า “ภายหลังได้มีการเจรจากับพรรคประชาชน ทางพรรคประชาชนมาขอว่า อยากให้ห้อยรวมร่างของเขาไปด้วย ฉะนั้น พวกเราจึงถอยกลับมาว่าเราเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ใช่มาขอเพื่อไทย แล้วจะให้ผมบอกว่าได้หรือไม่ได้เลย แต่ในเมื่อหลักการของคุณขัดกับหลักการ ก็จะลำบากอยู่ ฉะนั้น เราต้องดูพรรคอื่นด้วยว่าคิดอย่างไรในเรื่องนี้”

นายวิสุทธิ์ กล่าวต่อว่า "นายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร สส.กทม. พรรคประชาชน หากจะพูดอะไรควรพูดในสภา จะได้มีบันทึกไว้เป็นหลักฐาน ฉะนั้น เรายืนยันในหลักการของเรา ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญในการตรากฎหมาย ไม่ใช่ไปแก้หลักการที่ยังไม่เคยมี"

“คุณจะพูดในสภาฯ ได้หรือไม่ว่า คุณไม่ติดใจประเด็นอย่างนี้ เราก็จะมาพิจารณาว่าทำได้หรือไม่ แต่ทั้งหมดเราต้องปรึกษากับพรรคร่วมรัฐบาลก่อน” นายวิสุทธิ์ กล่าว

เมื่อถามว่าจะถูกกล่าวหาว่าตั้งธงคว่ำร่างหรือไม่? นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า "เราไม่ได้คิดตั้งธงถ้าหากคุณเขียนหลักการว่าให้ขออนุญาตเฉพาะคนที่ทำเป็นร้านค้าหรือจำหน่าย แต่ประชาชนทั่วไปสามารถต้มเหล้ากินได้หมด อย่างนี้รับไม่ได้"

“ประชาชนเสี่ยงตายมากี่คน ใครรับผิดชอบได้บ้าง แล้วยังป่วยอีกหลายสิบคน ถ้าทำไปแล้วไม่มีใครควบคุม ใครอยากต้มก็ต้ม ใครอยากแจกก็แจก นี่มันไม่ใช่ประเทศไทยแล้ว คงเมากันทั้งประเทศ ที่เรารับไม่ได้คือประเด็นนี้ ไม่ใช่จะไปคว่ำร่างของก้าวไกล (ประชาชน) แต่เขาเอง ถึงแม้ไม่ได้นำร่างเข้ามาก็เป็นกรรมาธิการร่วมกันได้อยู่ ยังทำงานร่วมกันได้ จะไปออกข่าวว่าเราคว่ำอะไร ต้องดูข้อเท็จจริงก่อน” นายวิสุทธิ์ กล่าว

นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า ต้องดูข้อเท็จจริง เพื่อไม่ให้เสียหายมาถึงพรรคเพื่อไทย ว่าพรรคเพื่อไทยไม่สนับสนุน แต่เราสนับสนุนให้รายย่อยมีโอกาส ลดเงื่อนไขลงมา แต่ไม่ใช่ว่าไม่ต้องขออนุญาตเลย ไม่ได้ขายต้มแจกได้หมด ไม่เช่นนั้น เมาทั้งตำบล ทั้งอำเภอ พร้อมย้ำว่าเรื่องนี้ ไม่เกี่ยวข้องกับองค์ประชุม

นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า "ภายหลังจากการประชุม พวกเรามานั่งปรึกษาหารือคุยกัน ฝ่ายค้านรัฐบาลไม่ได้มีอะไร แค่ความแตกต่างทางความคิด เป็นความสวยงามของประชาธิปไตย เขามาปรึกษาว่าห้อยไปด้วยได้หรือไม่"

เมื่อซักเพิ่มว่าเบื้องต้นพรรคประชาชนยอมหรือไม่? นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า "ให้เขามาตอบวันพุธก็ยังมีเวลา ไม่ได้ไปคว่ำร่างใคร คนที่ติดตามเรื่องนี้ก็ขอให้เข้าใจถูกต้อง"

เมื่อถามว่านายเท่าพิภพ ใช้คำพูดว่าเราต่อเรือมาแล้ว เหมือนเป็นการปล้น? นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า "กฎหมาย ไม่มีใครปล้นใคร ทุกพรรคหวังดีต่อพี่น้องประชาชน เราก็อยากให้ SMEs เกิดขึ้นในประเทศไทย หรือธุรกิจอะไรเกิดขึ้นในประเทศไทย ไม่ได้ปล้นใคร ถ้าไปพูดแบบนั้นก็มีปัญหา”

เมื่อถามว่าจะทำให้วิปรัฐบาลและฝ่ายค้านคุยกันยากขึ้นหรือไม่? นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า “ไม่ยาก เจอที่ไหนก็คุยกันได้ รุ่นใหม่รุ่นเก่าก็ทำงานร่วมกันได้ ดูตามหลักการที่ถูกต้องการ และไม่ต้องไปโจมตีกัน การใช้วาทกรรมทางการเมืองจะทำให้งานไม่เดินหน้า ปล้นเปลิ้นอะไรไม่มี”

ขณะที่ นายศรัณย์ ทิมสุวรรณ สส.เลย พรรคเพื่อไทย ในฐานะเลขาธิการวิปรัฐบาล กล่าวว่า ตนในฐานะผู้เสนอให้มีการลงมติแยกทีละฉบับ ซึ่งในหลักการร่าง พ.ร.บ.ทั้ง 3 ร่างนั้น การผลักดันให้ประชาชนให้เข้าถึงและขอใบอนุญาตได้ ทั้ง 3 ร่างเห็นตรงกัน แต่ติดปัญหาเดียวคือพรรคประชาชนเขียนหลักการว่าผู้ที่ทำเพื่อการค้าเท่านั้นที่ต้องขออนุญาต ซึ่งเราก็ปรึกษาว่ามีทางไหนที่ทำให้สามารถนำเข้าไปพิจารณาพร้อมกันได้หรือไม่โดยที่ความขัดแย้งหลักการ กระบวนการไม่เป็นปัญหา ซึ่งปกติแล้วในหลักการไม่สามารถแก้ได้ จึงเป็นปัญหา โดยหลักของกฎหมายแล้วเมื่อเสนอมาแล้วไม่ควรแก้หลักการ จึงยังไม่มีข้อสรุปว่าเมื่อพิจารณารวมทั้ง 3 ร่างแล้วจะขัดกันหรือไม่


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top