Thursday, 19 June 2025
TheStatesTimes

'ปราชญ์ สามสี' ถอดบทเรียนประวัติศาสตร์ เหตุใดการทำให้กองทัพอ่อนแอ คือการทำลายประเทศ

(19 ก.ย. 67) เพจเฟซบุ๊ก ปราชญ์ สามสี เผยแพร่บทความเรื่อง ‘บทเรียนจากประวัติศาสตร์: ทำไมการทำให้กองทัพอ่อนแอ คือการทำลายประเทศ’ มีเนื้อหาดังนี้ 

ที่ข้าพเจ้าเอาบทความทางทหารมาเล่าให้ฟังบ่อยขึ้น ๆ นั้นก็เพราะต้องการให้ ทุก ๆ ท่านตระหนัก ‘ให้ชัดเจน’ ประเทศไทยของเรากำลังใกล้เผชิญหน้ากับสิ่งที่เรียกว่า สงครามขนาดใหญ่ที่เข้ามาประกบเราซ้ายขวาหน้าหลังเวลานี้ นับวันจะยิ่งส่อเค้าว่าจะหลบหนีไปจากสงครามเป็นไปได้ยากอีกด้วย เนื่องจาก ภูมิรัฐศาสตร์ของไทยนั้น กำลังจะกลายเป็น รัฐกันชนกับสงครามใหญ่โต ระหว่าง จีนและสหรัฐฯ

และลองคิดดูสิว่า ในปี 2567 ถ้าหากประเทศเรามีกองทัพที่ไม่เข้มแข็ง ไม่พร้อมปกป้องบ้านเมือง ตอนที่มีศัตรูมารุกรานจะเป็นอย่างไร? คำตอบมันชัดเจนมาก: ประเทศจะเสี่ยงที่จะล่มสลาย ดังนั้น นี่คือการทำให้กองทัพอ่อนแอ ไม่เพียงแต่ทำให้เราสูญเสียความสามารถในการป้องกันตนเอง แต่มันยังทำให้ประเทศตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะถูกดึงเข้าไปในความขัดแย้งระดับโลก ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่ควรละเลยครับ
นี่เป็นเรื่องคอขาดบาดตายนะครับ

ในปี 2567 ประเทศไทยกำลังเผชิญกับภัยสงครามที่ซับซ้อนและรุนแรงขึ้นจากความขัดแย้งระดับภูมิภาคและระดับมหาอำนาจ โดยเฉพาะในบริบทของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งปัจจุบันประเทศจีนได้ขยายอิทธิพลทางทหารในพื้นที่ทับซ้อน ณ บริเวณหมู่เกาะ สแปลชลี่ย์ ซึ่งเป็นพื้นที่พิพาททางทะเล ระหว่างหลายประเทศ จนกลายเป็นพื้นที่สีแดงที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดการปะทะกันระหว่าง ประเทศจีน และ ประเทศที่มีส่วนเกี่ยวข้องใน ณ บริเวณหมู่เกาะ สแปลชลี่ย์ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก สหรัฐอเมริกา

การมีพื้นที่สงครามทางทะเลแปซิฟิกบริเวณ บริเวณหมู่เกาะ สแปลชลี่ย์ ตามหลักภูมิรัฐศาสตร์แล้ว นับเป็นทางออกทะเลทางเดียวของประเทศจีน จึงไม่แปลก ที่ จีนจำเป็นจะหาทางออกทางทะเล แห่งใหม่ เพื่อหลบ หรือ ซ่องสุมอำนาจกองกำลังทางทะเลเพื่อรักษาผลประโยชน์ของจีน 

ดังนั้น การสนับสนุน กัมพูชา และ พม่า เพื่อจัดสร้างระบบการขนส่งทางราง และ แม่น้ำ รวมไปถึงการพัฒนาฐานทัพเรือสำคัญ ๆ ให้สามารถรองรับ เรือดำน้ำ และเรื่องบรรทุกเครื่องบิน ก็เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำหรับจีน ในการการรักษาความมั่นคงในพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทยที่มีทรัพยากรสำคัญ และ เผชิญหน้ากับสหรัฐฯ ส่งผลให้ไทยอยู่ในจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ระหว่าง พม่าและกัมพูชาก็อาจกลายเป็นสมรภูมิในสงครามระหว่างสองมหาอำนาจนี้

ขณะเดียวกัน เราชาวไทยก็กำลังพบเจอกับปัญหาอีกเรื่องเกิดจากแนวโน้มสงครามภายในพม่าทวีความรุนแรงขึ้น ทำให้เกิดคลื่นผู้ลี้ภัยหลบหนีเข้ามาในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเอ็นจีโอ และฝ่ายการเมืองพยายามกดดันฝ่ายความมั่นคงไทยด้วยการกดดันให้ปล่อยให้ผู้ลี้ภัยล้นทะลักเข้ามา ซึ่งหากเกิดจริงสร้างปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมในไทย ผู้ลี้ภัยที่หลั่งไหลเข้ามานี้อาจเป็นชนวนของความไม่พอใจภายในประเทศ คล้ายกับเหตุการณ์ ‘อาหรับสปริง’ ที่เคยเกิดขึ้นในตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นการประท้วงที่เกิดจากความไม่พอใจในระบบการจัดการและความไม่เท่าเทียม หากประเทศไทยไม่สามารถควบคุมสถานการณ์นี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็อาจนำไปสู่ความวุ่นวายภายในที่ทวีความรุนแรงขึ้น

จากทั้งสองปัจจัย เราจะเห็นได้ว่า มันกำลังจะเป็นสงครามที่ระเบิด จากภายใน และ ภายนอก ในเวลาไล่เลี่ยกัน ... ดังนั้นสิ่งที่เขียนอยู่นี่ ทุกคนจะต้องตั้งสติให้ดี ๆ นะครับ

ข้าพเจ้าขอตัวอย่างที่อยากให้ลองฟังกัน เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายถึงสถานการณ์บ้านเมือง จึงขออนุญาต ยกข้อคิดมาจากเรื่องที่เกิดขึ้นกับประวัติศาสตร์รัสเซีย มหาอำนาจใหญ่ที่เคยผ่านวิกฤติการณ์ลักษณะคล้าย ๆ กันนี้มาแล้ว

หากต้องพูดถึงประวัติศาสตร์รัสเซีย สิ่งที่จะต้องรู้คือ รัสเซีย แท้จริงแล้วเป็นชาติที่มี ไม่ได้ถูกกำหนดด้วยเชื้อชาติใดเชื้อชาติหนึ่ง เหมือนกับที่ใครบางคนเข้าใจว่า ‘เชื้อชาติรุส’ (Rus) เป็นต้นกำเนิดของชนชาติรัสเซีย เพราะ ข้อเท็จจริงแล้ว รัสเซีย เป็นดินแดนที่ผู้คนหลากหลายเชื้อชาติอยู่ร่วมกันไม่ว่าจะเป็น สลาฟ, ตาตาร์, เชเชน และอื่น ๆ เขารวมกลุ่มคนหลากหลายให้เป็นหนึ่งเดียว ซึ่งก็ไม่ต่างจากประเทศไทยของเราเลยครับ

ทำไมชาติรัสเซียถึงยิ่งใหญ่?

ในศตวรรษที่ 18 ภายใต้การปกครองของ ปีเตอร์มหาราช (Peter the Great) และ แคทเธอรีนมหาราช (Catherine the Great) จักรวรรดิรัสเซียได้ขยายอาณาเขตไปยังยุโรปตะวันออก, เอเชียกลาง, และไซบีเรีย การขยายอาณาเขตครั้งนี้ไม่เพียงแต่เพิ่มพื้นที่ให้กับรัสเซีย แต่ยังรวมถึงกลุ่มชาติพันธุ์ที่หลากหลายเช่น ชนกลุ่มคอเคซัส, ตาตาร์, ชาวเติร์ก และอื่น ๆ ที่ถูกนำมาอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิ การรวมชาติของเขามีความเข้มแข็งมากเพราะแม้ว่าจะมีวัฒนธรรมที่หลากหลาย แต่กลับมีวัฒนธรรมร่วมที่แข็งแรงมาก เช่นการใช้ ภาษารัสเซีย เป็นภาษากลางที่ทุกคนใช้สื่อสารได้ทั่วประเทศ ไม่ว่าคุณจะมาจากภูมิภาคไหน จึงทำให้ความหลากหลายนี้ไม่ได้เป็นอุปสรรค แต่ทำให้รัสเซียแข็งแกร่งขึ้น

ปัจจุบัน หัวใจสำคัญของความสำเร็จ ในการสร้างชาติรัสเซีย นั้นก็คือ ความรักชาติ (Patriotism) ที่ปลูกฝังในคนรัสเซีย ท่ามกลางพวกเขาภูมิใจในความเป็นรัสเซียและพร้อมเสียสละเพื่อปกป้องชาติ ไม่ต่างจากไทยที่เราต้องปลูกฝังความรักชาติในทุกคน เพื่อให้เราสามารถเผชิญกับความท้าทายในอนาคตได้

อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างย่อมมีจุดสูงสุดก็มีต่ำสุด ช่วงเวลาที่ชัดเจนที่สุดก็คือ การล่มสลายของสหภาพโซเวียต ในปี 1991 ซึ่งเกิดจากการที่ผู้นำในยุคนั้นอย่าง มิคาอิล กอบาเชฟ ทำให้กองทัพอ่อนแอ กองทัพโซเวียตสูญเสียพลังและงบประมาณจนไม่สามารถรักษาความมั่นคงของประเทศได้ และสุดท้ายก็เกิดการล่มสลายของรัฐยิ่งใหญ่นั้น นี่คือบทเรียนสำคัญที่ประเทศอื่น ๆ ต้องเรียนรู้

แล้วมันเกี่ยวกับประเทศไทยยังไง?

ประเทศไทยก็มีบทเรียนแบบเดียวกัน ถ้าเรามองย้อนไปในประวัติศาสตร์ การที่กองทัพไทยเคยเข้มแข็งและปกป้องประเทศจากการรุกรานของเพื่อนบ้าน ทำให้เราสามารถคงอธิปไตยของเราไว้ได้ แต่นึกดูสิว่าถ้าวันหนึ่งเราปล่อยให้กองทัพของเราอ่อนแอลง เราจะเกิดอะไรขึ้น? แน่นอนว่า

ความเสี่ยงจะตามมา เช่น ความขัดแย้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงปัญหาใหญ่ที่อาจเกิดขึ้นระหว่าง จีน กับ สหรัฐฯ ที่มีโอกาสใช้ อ่าวไทย และ พื้นที่ตลอดชายแดนอาจเป็นสมรภูมิได้

คิดดูนะว่า ถ้าประเทศเราไม่พร้อมรับมือกับสถานการณ์แบบนี้ เราอาจต้องสูญเสียทั้งอธิปไตยและความมั่นคงของประเทศ ไม่ต่างจากที่เคยเกิดขึ้นกับสหภาพโซเวียต

แล้วไทยจะทำยังไงต่อ?

สำหรับประเทศไทย บทเรียนจากรัสเซียสอนเราว่า ความเข้มแข็งของกองทัพและความรักชาติ (Patriotism) เป็นสองสิ่งที่ไม่สามารถละเลยได้ หากเราละเลยสิ่งเหล่านี้ อนาคตเราอาจจะเป็นเหมือนโซเวียตในอดีตก็ได้ ความรักชาติและการสนับสนุนกองทัพที่แข็งแกร่งจะทำให้เราอยู่รอดปลอดภัยในโลกที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง

เพื่อน ๆ ต้องเข้าใจว่า การมี กองทัพที่เข้มแข็ง ไม่ได้หมายความว่าเรากำลังเตรียมพร้อมเพื่อทำสงคราม แต่เป็นการรักษาสมดุลของอำนาจในภูมิภาคและป้องกันประเทศจากภัยคุกคาม ถ้าเราอ่อนแอ ประเทศอื่นอาจใช้โอกาสนี้ในการแทรกแซง ดังนั้น การสนับสนุนกองทัพและปลูกฝัง

ความรักชาติในทุกคนจึงเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความมั่นคงของชาติเรา

สรุปคือ การทำให้กองทัพอ่อนแอ ก็คือการทำลายประเทศนั่นเอง

'FED' ใช้ยาแรงตามคาด ลดดอกเบี้ย 0.5% ฟาก 'ตลาดหุ้นสหรัฐฯ' เด้งรับก่อนปิดลบ

(19 ก.ย. 67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงลง 0.5% เมื่อวันพุธที่ 18 ก.ย. 2567 ถือเป็นการเริ่มต้นวัฏจักรของการลดดอกเบี้ยอย่าง ‘เข้มข้น’ โดยการลดดอกเบี้ยถึง ‘ครึ่งเปอร์เซ็นต์’ แทนที่การลดดอกเบี้ย 0.25% ตามปกติ เป็นไปตามที่นักวิเคราะห์ในตลาดส่วนใหญ่คาดการณ์เอาไว้ เพื่อสนับสนุนการขยายตัวของตลาดแรงงานสหรัฐ ที่ส่งสัญญาณอ่อนเเรงมาก่อนหน้านี้

ขณะที่ผลการคาดการณ์ทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐในระยะยาว (Dot Plot) แสดงให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่ 10 คนจาก 19 คน "สนับสนุนให้ลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างน้อย 0.5% ในการประชุมอีก 2 ครั้งที่เหลือของปี 2024"

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยรวม 1.00% ในปี 2568 และลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในปี 2569

โดยรวมแล้ว Dot Plot บ่งชี้ว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 2.00% หลังการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในวันนี้

คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) ลงมติ 11 ต่อ 1 เสียงให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเหลือ 4.75% - 5.0% หลังจากคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับสูงสุดในรอบ 2 ทศวรรษมาเป็นเวลากว่า 1 ปี 

การเคลื่อนไหวที่เด็ดขาดเมื่อวันพุธเน้นย้ำถึง ‘ความกังวลที่เพิ่มมากขึ้น’ ของผู้กำหนดนโยบายเกี่ยวกับทิศทางตลาดการจ้างงานของสหรัฐ

เฟดระบุในแถลงการณ์ว่า "คณะกรรมการมีความมั่นใจมากขึ้นว่าอัตราเงินเฟ้อจะเคลื่อนตัวไปสู่ระดับ 2% อย่างยั่งยืน และเห็นว่าความเสี่ยงในการบรรลุเป้าหมายด้านการจ้างงานและอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่สมดุล" และเสริมว่าเจ้าหน้าที่ "มีความมุ่งมั่นอย่างยิ่งที่จะสนับสนุนการจ้างงานสูงสุด" นอกเหนือจากการผลักดันอัตราเงินเฟ้อให้กลับไปสู่เป้าหมาย

ทั้งนี้ เฟดลดดอกเบี้ยครั้งล่าสุดคือในปี 2563 (2020) ซึ่งลดไป 0.50% เมื่อวันที่ 3 มี.ค. และอีก 1.00% ในวันที่ 15 มี.ค. โดยถือเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยฉุกเฉินในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยลดลงมาอยู่ที่ระดับ 0-0.25% ยาวต่อเนื่องจนเข้าสู่วัฎจักรการขึ้นดอกเบี้ยในปี 2565-2566

>>หั่นคาดการณ์ GDP ปีนี้เหลือ 2.0% 

นอกจากการปรับลดดอกเบี้ยแล้ว เฟดได้ ‘ปรับลด’ คาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในปี 2567 ลงเหลือ 2% โดยประมาณการว่าจีดีพีสหรัฐจะโตได้ระดับ 2.0% ในทุกๆ ปี ตั้งแต่ปี 2567- 2570 หลังจากก่อนหน้านี้เคยคาดการณ์ในเดือนมิ.ย.ว่า จะมีการขยายตัว 2.1%, 2.0% และ 2.0% ในปี 2567, 2568 และ 2569 ตามลำดับ 

นอกจากนี้ เฟดยังได้ปรับคาดการณ์การว่างงานในปีนี้ ‘เพิ่มขึ้น’ จาก 4.0% เป็น 4.4% 

เฟดปรับตัวเลขคาดการณ์อัตราว่างงานในช่วง 4 ปีนี้ ตั้งแต่ปี 2567 - 2570 อยู่ที่ระดับ 4.4%, 4.4% และ 4.3% และ 4.2% ตามลำดับ หลังจากคาดการณ์ในเดือนมิ.ย.ว่าจะอยู่ที่ระดับ 4.0%, 4.2% และ 4.1% ในปี 2567, 2568 และ 2569 ตามลำดับ ส่วนอัตราว่างงานระยะยาวยังคงอยู่ที่ระดับ 4.2%

ขณะเดียวกัน เฟดคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในปี 2567- 2570 อยู่ที่ระดับ 2.6%, 2.2%, 2.0% และ 2.0% ตามลำดับ ‘ลดลง’ หลังจากคาดการณ์ในเดือนมิ.ย.ว่าจะอยู่ที่ระดับ 2.8%, 2.3% และ 2.0% ในปี 2567, 2568 และ 2569 ตามลำดับ

>>'หุ้น-ทอง' พุ่งทุบสถิติใหม่!

ด้านตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวเขียวยกแผง โดยดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวบวกขึ้นไปถึง 300 จุดในช่วงสั้นๆ หลังการประกาศผลประชุม ก่อนจะปรับลดลงมา ณ เวลาประมาณ 01.20 น. ตามเวลาในไทย Dow Jone บวกไปกว่า 174 จุด หรือราว 0.4% แตะสถิติสูงสุดใหม่ระหว่างการซื้อขาย ส่วน S&P500 บวกราว 0.51% และ Nasdaq บวกได้ราว 0.74% ก่อนที่ทั้งสามดัชนีจะ ‘ปิดตลาดลบลงไปเล็กน้อย’

-ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปิดตลาดลดลง 103.08 จุด หรือ -0.25% ปิดที่ 41,503.10 จุด
-ดัชนี S&P500 ปิดลบ 16.32 จุด หรือ -0.29% ปิดที่ 5,618.26 จุด
-ดัชนี Nasdaq ปิดลบ 54.76 จุด หรือ -0.31% ปิดที่ 17,573.30 จุด 

ด้านสัญญาทองคำฟิวเจอร์ตลาด Comex ปิดตลาดวันพุธที่ 18 ก.ย. เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.2% ปิดที่ 2,598.60 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือเพิ่มขึ้น 6.2 ดอลลาร์จากวันก่อนหน้า ขณะที่ราคาทองสปอตทะยานไปแตะ 2,592.39 ดอลลาร์/ออนซ์ ระหว่างการซื้อขายเมื่อคืนนี้

'นักวิชาการ' แนะดูคลิปแล้วจะรู้ว่าสมควรเชื่อใคร หลัง 'รมว.พิชัย' ถาม!! "ผู้ว่าฯ ธปท.จบจากที่ไหน?"

เมื่อวานนี้ (18 ก.ย. 67) รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า

"ผู้ว่าเองพูดในเชิงว่า เราเองไม่ต้องไปเน้นจีดีพี ผมไม่รู้ว่าท่านจบจากที่ไหนนะฮะ ผมว่าเป็นสิ่งที่ผิด ผมว่าอันนี้เป็นสิ่งที่ผิด ท่านพูดเหมือนกับคนไม่ค่อยรู้เรื่อง"

นี้คือคำพูดของ คุณพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ อันเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ การแสดงปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ ‘ท้องถิ่นที่สากล : อนาคตประเทศไทย Globally Competitive Localism : Future of Thailand’ ในงานเสวนาที่สำนักข่าวไทยพับลิก้าจัดขึ้นเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2567 ซึ่งมีข้อความส่วนหนึ่งว่า

"เราไม่ควรโตแบบล่าตัวเลข GDP แต่ตัวเลขที่ต้องล่าคือ ความมั่งคั่ง รายได้ของครัวเรือนที่สะท้อนความเป็นอยู่ของคน เพราะ GDP ไม่ได้สะท้อนความเป็นอยู่ของคน”

ท่านผู้ว่าแบงก์ชาติจบมาจากที่ไหน สามารถหาข้อมูลได้จาก google ตัวคุณพิชัยเอง จบมาจากที่ไหน ก็สามารถหาได้จาก google เช่นกัน วิญญูชนลองค้นหาข้อมูลดังกล่าวแล้วนำมาเปรียบเทียบกันเอาเอง

อยากให้ทุกท่านลองย้อนกลับไปดูคลิปจาก youtube เมื่อ 13 ปีที่แล้ว ที่คุณพิชัย นริพทะพันธุ์ ดีเบตกับคุณหมอ วรงค์ เดชกิจวิกรม ในหัวข้อ ประกัน vs จำนำข้าว ในรายการ เจาะข่าวเด่นของคุณสรยุทธ์ สุทัศนจินดา และอยากให้ฟังจนจบ

เมื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับ ใครจบจากที่ไหน และดูคลิปดังกล่าวแล้ว ท่านก็สมควรจะตัดสินได้เองได้เองว่า สมควรเชื่อใคร

ดูคลิปข้างต้นได้จาก link ด้านล่างนะครับ
(https://www.youtube.com/watch?v=H4QQQ3M7pEo)

วิเคราะห์!! สถานการณ์ราคาน้ำมัน ตัวแปรดันราคาน้ำมันดิบปรับเพิ่ม 'เหตุรุนแรงในตะวันออกกลาง-พายุเฮอร์ริเคน Francine'

เมื่อวานนี้ (18 ก.ย.67) หน่วยวิเคราะห์สถานการณ์พลังงาน บมจ.ไทยออยล์ ได้เปิดเผย 4 ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการปรับเพิ่มราคาน้ำมันดิบในปัจจุบัน ดังนี้...

1. ราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสถานการณ์ในตะวันออกกลางที่กลับมาทวีความรุนแรงขึ้นอีกครั้ง ภายหลังเครื่องมือสื่อสารถูกแฮกและเกิดระเบิดขึ้นในเลบานอน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก โดยกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ได้กล่าวโทษอิสราเอลว่าอยู่เบื้องหลังเหตุระเบิดในครั้งนี้และประกาศจะตอบโต้อิสราเอล ในขณะที่อิสราเอลยังคงปฏิเสธที่จะให้ความเห็นต่อเหตุการณ์ดังกล่าว

2. การผลิตน้ำมันดิบในอ่าวเม็กซิโกยังคงได้รับผลกระทบจากพายุเฮอร์ริเคน Francine โดยยังคงมีการอพยพคนงานออกจากแท่นขุดเจาะน้ำมันอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบในอ่าวเม็กซิโกปรับลดกว่า 12% จากปริมาณการผลิตปกติ 

3. นักลงทุนยังคงจับตาการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) โดยตัวเลขผลสำรวจล่าสุดของ FEDWATCH ชี้ว่านักลงทุนให้น้ำหนัก 69% ที่ FED จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% ซึ่งอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและหนุนความต้องการใช้น้ำมันได้

4. สถาบันปิโตรเลียมแห่งสหรัฐฯ (API) รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ สิ้นสุด ณ วันที่ 13 ก.ย. 67 ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น 1.96 ล้านบาร์เรล

สำหรับราคาน้ำมันดิบ เมื่อวันที่ 17 ก.ย.67 ที่ผ่านมา อ้างอิง เวสต์เทกซัส (WTI) อยู่ที่ 71.19 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล (+1.10) ส่วน เบรนท์ (Brent) อยู่ที่ 73.70 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล (+0.95)

บึ้มอุปกรณ์สื่อสารรอบ 2 ในเลบานอน ตายอีก 20 เจ็บ 450 ผวา!! กระพือสงครามเต็มรูปแบบ 'ฮิซบอลเลาะห์-ยิว'

(19 ก.ย. 67) เอเอฟพี รายงานว่า เกิดระเบิดกับอุปกรณ์สื่อสารระลอก 2 ในฐานที่มั่นของฮิซบอลเลาะห์ ในเลบานอน ในวันพุธ (18 ก.ย.) สังหารผู้คนไป 20 ราย และบาดเจ็บอีกมากกว่า 450 คน หนึ่งวันหลังจากถูกเล่นงานด้วยระเบิดเพจเจอร์ ปลิดชีพนับสิบและบาดเจ็บหลายพัน โหมกระพือความกังวลเกี่ยวกับสงครามเต็มรูปแบบกับอิสราเอล

แหล่งข่าวใกล้ชิดกับฮิซบอลเลาะห์ ระบุว่าเหตุระเบิดระลอกล่าสุดเกิดขึ้นกับวิทยุสื่อสารระยะสั้น Walkie Talkie ที่ใช้งานโดยสมาชิกของกลุ่มในกรุงเบรุต ขณะที่สื่อมวลชนแห่งรัฐรายงานว่าเหตุระเบิดลักษณะเดียวกันยังเกิดขึ้นในภาคใต้และภาคตะวันออกของเลบานอนด้วย

ภาพข่าวสถานีโทรทัศน์ AFPTV เป็นเหตุการณ์ที่ผู้คนวิ่งหนีหาที่กำบังหลังระเบิดลูกหนึ่งถูกจุดชนวนขึ้น ระหว่างพิธีศพของสมาชิกรายหนึ่งของนักรบฮิซบอลเลาะห์ ทางใต้ของกรุงเบรุต ในช่วงบ่าย "ระลอกระเบิดของศัตรูมีเป้าหมายที่ walkie talkies สังหารผู้คนไป 20 ราย และบาดเจ็บมากกว่า 450 คน" กระทรวงสาธารณสุขเลบานอนระบุในถ้อยแถลง

เหตุการณ์นี้มีขึ้น 1 วัน หลังจากเกิดเหตุเพจเจอร์หลายร้อยเครื่องที่ใช้งานโดยพวกฮิซบอลเลาะห์ เกิดระเบิดในเวลาไล่เลี่ยกัน สังหารผู้คนไป 12 ราย ในนั้นรวมถึงเด็ก 2 คน และบาดเจ็บเกือบ 2,800 คน ทั่วเลบานอน ในเหตุโจมตีที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนและกล่าวโทษว่าเป็นฝีมือของอิสราเอล

ยังไม่มีความเห็นมาจากอิสราเอล ซึ่งไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าเหตุโจมตีเมื่อวันอังคาร (17 ก.ย.) ได้แถลงขยายเป้าหมายในการทำสงครามกับพวกฮามาสในกาซา ในนั้นรวมถึงการสู้รบกับพวกฮิซบอลเลาะห์ พันธมิตรของกลุ่มนักรบปาเลสไตน์

อิสราเอลยังคงปิดปากเงียบเกี่ยวกับเหตุระเบิด ที่กลายเป็นข่าวใหญ่ตามสถานีโทรทัศน์ต่าง ๆ เช่นเดียวกับเป็นข่าวพาดหัวตามหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ

อามอส ฮาเนรล จากหนังสือพิมพ์เอียงซ้าย Haaretz ชี้ว่าเหตุเพจเจอร์และ Walkie Talkie ระเบิด ได้ผลักอิสราเอลกับฮิซบอลเลาะห์อยู่บนขอบเหวของสงครามเต็มรูปแบบ

ความกังวลดังกล่าวกระตุ้นให้ทำเนียบขาวออกมาเตือนทุกฝ่ายต่อสถานการณ์ที่ลุกลามบานปลายใด ๆ "เราไม่เชื่อใด ๆ เลยว่า หนทางที่จะคลี่คลายวิกฤตนี้คือการยกระดับปฏิบัติการทางทหารเพิ่มเติม" จอห์น เคอร์บี โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ บอกกับพวกผู้สื่อข่าว

พวกฮิซบอลเลาะห์ที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน และเป็นพันธมิตรกับพวกฮามาส เปิดฉากยิงปะทะกับกองกำลังอิสราเอลแทบทุกวัน นับตั้งแต่พวกนักรบปาเลสไตน์บุกโจมตีเล่นงานอิสราเอลในวันที่ 7 ตุลาคม โหมกระพือสงครามในกาซา

อับดุลเลาะห์ บัว ฮาบิบ รัฐมนตรีต่างประเทศเลบานอน เตือนว่าการโจมตีอธิปไตยและความมั่นคงของเลบานอนอย่างโจ่งแจ้ง เป็นสถานการณ์ที่อันตราย ที่อาจกลายเป็นการส่งสัญญาณยกระดับสงคราม

ฮิซบอลเลาะห์บอกว่าอิสราเอลต้องรับผิดชอบโดยสิ้นเชิงต่ออาชญากรรมรุกรานนี้ และประกาศแก้แค้น

พวกนักวิเคราะห์เชื่อว่าฝ่ายปฏิบัติการน่าจะซุกวัตถุระเบิดไว้ในอุปกรณ์เพจเจอร์ตั้งแต่ก่อนส่งมอบให้แก่ฮิซบอลเลาะห์ "ระเบิดพลาสติกขนาดเล็ก สามารถปิดซ่อนไว้อยู่ข้าง ๆ แบตเตอรี่ เพื่อจุดชนวนระเบิดระยะไกลผ่านทางสายเรียก" ชาร์ลส์ ลิสเตอร์ จากสถาบันตะวันออกกลางให้ความเห็น

ในบรรดาผู้เสียชีวิตนั้น มีเด็กหญิงวัย 10 ขวบรายหนึ่ง ซึ่งเป็นลูกสาวของสมาชิกรายหนึ่งของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ เธอเสียชีวิตในหมู่บ้านเบคา ทางตะวันออกของเลบานอน หลังเพจเจอร์ของพ่อระเบิด

การถูกโจมตีด้วยระเบิดระลอกล่าสุด ก่อความเสียหายใหญ่หลวงแก่ฮิซบอลเลาะห์ ซึ่งกังวลอยู่ก่อนแล้วต่อความปลอดภัยของการสื่อสาร หลังจากก่อนหน้านี้ได้สูญเสียเหล่าผู้บัญชาการคนสำคัญหลายราย ที่ตกเป็นเป้าหมายการโจมตีทางอากาศในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา

แหล่งข่าวใกล้ชิดกับฮิซบอลเลาะห์ บอกว่าเพจเจอร์เพิ่งถูกนำเข้ามาเมื่อเร็ว ๆ นี้และดูเหมือนว่าถูกลอบวางระเบิดมาตั้งแต่ต้นทาง

นิวยอร์กไทมส์ เป็นรายแรก ๆ ที่รายงานเมื่อวันอังคาร (17) โดยอ้างพวกเจ้าหน้าที่อเมริกันและเจ้าหน้าที่อื่น ๆ ที่ต่างขอสงวนนาม ระบุว่า อิสราเอลได้แอบฝังวัตถุระเบิดเข้าไปในเพจเจอร์หลายพันเครื่องที่ส่งมายังเลบานอน โดยบริษัทโกลด์ อะพอลโล แห่งไต้หวัน

อย่างไรก็ดี ในวันพุธ ชู ชิงฮวง ผู้ก่อตั้งบริษัทไต้หวันแห่งนี้ออกคำแถลงยืนยันว่า บริษัทของตนไม่ได้เป็นผู้ผลิตเพจเจอร์เหล่านี้ แต่ผู้ผลิตตัวจริงคือ บีเอซี ที่ตั้งอยู่ในกรุงบูดาเปสต์ เมืองหลวงของฮังการี ซึ่งได้รับสิทธิให้ใช้แบรนด์ของบริษัท

ท่ามกลางความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับสถานการณ์ที่ลุกลามบานปลายไปทั่วภูมิภาค หลังสงครามกาซาลากยาวมานานเกือบ 1 ปี สายการบินลุฟท์ฮันซา และแอร์ฟรานซ์ แถลงระงับเที่ยวบินสู่เทลอาวีฟ เตหะรานและเบรุต จนกระทั่งวันพฤหัสบดี (19 ก.ย.)

ขณะที่บรรดานักการทูตจากสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร เยอรมนี ฝรั่งเศส และอิตาลี จะพบปะกันในวันพฤหัสบดี (19 ก.ย.) หารือเกี่ยวกับสถานการณ์ที่กำลังลุกลามบานปลายในตะวันออกกลาง ก่อนหน้าการประชุมของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสประชาชาติ ซึ่งวางแผนไว้ว่าจะจัดขึ้นในวันศุกร์ (20 ก.ย.)

อิสราเอลยิงปะทะกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์แทบทุกวัน นับตั้งแต่กลุ่มนักรบฮามาส พันธมิตรของฮิซบอลเลาะห์ บุกจู่โจมจากฉนวนกาซาเล่นงานอิสราเอลแบบไม่คาดคิด เมื่อวันที่ 7 ตุลาคมปีก่อน ซึ่งกระตุ้นให้อิสราเอลเปิดปฏิบัติการแก้แค้นรุกรานกาซา สังหารผู้คนไปแล้วกว่า 41,000 ราย

'บีโอไอ' ไฟเขียว!! ไฮเออร์' ลงทุนไทย 1.3 หมื่นล้าน จ้างงานคนไทย 3 พันตำแหน่ง ยกระดับไทยสู่ฐานผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะแห่งใหม่นอกประเทศจีน

(19 ก.ย. 67) นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า คณะอนุกรรมการพิจารณาโครงการ ซึ่งได้รับมอบอำนาจจากบอร์ดบีโอไอ ได้อนุมัติคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนกิจการผลิตเครื่องปรับอากาศอัจฉริยะ ของบริษัท ไฮเออร์ แอพพลายแอนซ์ แมนูแฟคเจอร์ จำกัด ภายใต้แบรนด์ 'Haier' ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้ารายใหญ่จากประเทศจีน ซึ่งมียอดขายอันดับ 1 ของโลกติดต่อกัน 15 ปี (ตั้งแต่ปี 2552 - 2566) จากการจัดอันดับโดยยูโรมอนิเตอร์

โครงการนี้จะมีกำลังการผลิตเครื่องปรับอากาศอัจฉริยะที่มีระบบเซ็นเซอร์และอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งตรวจจับและรับข้อมูลได้ และสามารถเชื่อมต่อกับ Smart Phone และอุปกรณ์อื่น ๆ ผ่านเครือข่าย Wi-Fi จำนวน 6 ล้านเครื่องต่อปี มีเงินลงทุนสูงถึง 13,400 ล้านบาท ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 200 ไร่ ที่นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 3 จังหวัดชลบุรี โดยเฟสแรกจะเร่งลงทุนและติดตั้งกำลังการผลิต 3 ล้านเครื่องให้แล้วเสร็จ พร้อมเริ่มผลิตภายในเดือนกันยายน 2568 และจะเปิดเต็มโครงการภายในปี 2570 มีแผนการจ้างงานบุคลากรไทยกว่า 3,000 คน โครงการนี้จะเป็นการผลิตเพื่อส่งออกเป็นหลัก มีมูลค่าการส่งออกกว่า 32,000 ล้านบาทต่อปี 

“ไฮเออร์ได้ตัดสินใจลงทุนครั้งใหญ่เพื่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ โดยเลือกประเทศไทยเป็นฐานการผลิตเครื่องปรับอากาศอัจฉริยะที่ใหญ่ที่สุดนอกประเทศจีน เนื่องจากเห็นว่าประเทศไทยมีโครงสร้างพื้นฐานที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะพลังงานไฟฟ้ามีความเสถียรและเพียงพอต่อความต้องการ ห่วงโซ่อุปทานที่แข็งแกร่ง รวมทั้งพื้นที่ตั้งอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ที่มีความพร้อมด้านโลจิสติกส์ ทั้งท่าเรือและเส้นทางคมนาคมที่สะดวกเพื่อสนับสนุนการส่งออก อีกทั้งมีมาตรการส่งเสริมการลงทุนจากภาครัฐ ถือเป็นความสำเร็จในการดึงดูดโครงการลงทุนที่มีคุณภาพ ซึ่งจะช่วยสร้างประโยชน์ให้กับประเทศไทย ทั้งด้านการสร้างงาน การพัฒนาบุคลากร การใช้วัตถุดิบในประเทศ และเพิ่มมูลค่าการส่งออกของไทยในตลาดโลก” นายนฤตม์ กล่าว

นอกจากโรงงานแห่งใหม่ที่จังหวัดชลบุรี ที่ผ่านมากลุ่มไฮเออร์ได้รับการส่งเสริมการลงทุนในกิจการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ เช่น ตู้เย็น เครื่องซักผ้า หม้อหุงข้าวไฟฟ้า กระติกน้ำร้อนไฟฟ้า คอมเพรสเซอร์สำหรับตู้เย็น เป็นต้น ภายใต้ชื่อบริษัท ไฮเออร์ อีเล็คทริค (ประเทศไทย) จำกัด รวม 9 โครงการ เงินลงทุนกว่า 3,000 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่เขตอุตสาหกรรมกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมขยายกิจการผลิตตู้เย็นในพื้นที่โรงงานเดิมด้วย  

ปัจจุบันประเทศไทยเป็นฐานการผลิตชั้นนำของอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียน และเป็นสินค้าส่งออกอันดับต้น ๆ ของไทย โดยผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จากพัฒนาการของเทคโนโลยีดิจิทัล ทั้ง AI, 5G และ IoT ที่เปลี่ยนมาตรฐานการใช้ชีวิตในโลกสมัยใหม่ที่ผู้บริโภคสามารถเชื่อมต่อและควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ภายในบ้านผ่านระบบอินเตอร์เน็ต 

การส่งเสริมการยกระดับอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าไปสู่ 'เครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ' เป็นหนึ่งในเป้าหมายที่สำคัญของบีโอไอ โดยตั้งแต่ปี 2566 - มิถุนายน 2567 มีโครงการในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและชิ้นส่วนยื่นขอรับการส่งเสริมจากบีโอไอ จำนวน 144 โครงการ เงินลงทุนรวม 98,550 ล้านบาท โดยกว่าร้อยละ 80 เป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ นอกจากไฮเออร์แล้ว ยังมีแบรนด์ชั้นนำต่าง ๆ ที่มีฐานการผลิตในประเทศไทย เช่น มิตซูบิชิ, โซนี่, ไดกิ้น, ซัมซุง, อีเลกโทรลักซ์, ไมเดีย เป็นต้น

'อินสตาแกรม' ออกฟีเจอร์ 'บัญชีวัยรุ่น' พร้อมระบบควบคุมโดยผู้ปกครอง อีกหนทางแก้ปัญหาเสพติดโซเชียล-กลั่นแกล้ง-บูลลี่ภาพลักษณ์ร่างกาย

(19 ก.ย. 67) สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า อินสตาแกรมจะเปลี่ยนบัญชีผู้ใช้ทุกคนที่อายุต่ำกว่า 18 ปี ให้เป็น ‘บัญชีวัยรุ่น’ (Teen Accounts) โดยอัตโนมัติ และจะถูกตั้งค่าเริ่มต้นเป็นบัญชีส่วนตัวโดยปริยาย

ผู้ใช้บัญชีวัยรุ่นจะสามารถรับข้อความและแท็กได้เฉพาะจากบัญชีที่พวกเขาติดตามหรือเป็นเพื่อนอยู่แล้วเท่านั้น ขณะที่การตั้งค่าเนื้อหาละเอียดอ่อนจะถูกปรับให้เป็นระดับสูงสุด

ขณะเดียวกัน ผู้ใช้ที่มีอายุต่ำกว่า 16 ปี จะต้องได้รับอนุญาตจากผู้ปกครองก่อนจึงจะสามารถเปลี่ยนการตั้งค่าเริ่มต้นได้ ผู้ปกครองจะมีเครื่องมือพิเศษที่จะช่วยให้เห็นว่าบุตรหลานของตนกำลังพูดคุยกับใครอยู่ และสามารถจำกัดการใช้แอปได้ด้วย

นอกจากนี้ การอัปเดตยังมีฟีเจอร์ที่จะเตือนผู้ใช้งานที่อายุต่ำกว่า 18 ปี ให้ปิดแอปหลังจากใช้งานไปแล้ว 60 นาทีในแต่ละวัน และบัญชีวัยรุ่นจะมีโหมดพักผ่อน (sleep mode) ที่เปิดใช้งานเป็นค่าเริ่มต้น ซึ่งจะช่วยปิดการแจ้งเตือนต่าง ๆ ในตอนกลางคืน

เมตาระบุว่าจะเปลี่ยนบัญชีผู้ใช้งานที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีทั้งหมดให้เป็นบัญชีวัยรุ่นภายใน 60 วันในสหรัฐฯ, อังกฤษ, แคนาดา และออสเตรเลีย ส่วนผู้ใช้งานในยุโรปจะได้รับการเปลี่ยนแปลงภายในปีนี้ และผู้ใช้งานทั่วโลกที่เหลือจะเริ่มได้รับการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่เดือนม.ค. 2568 เป็นต้นไป

ความเคลื่อนไหวของเมตามีขึ้นหลังจากที่เมื่อ 3 ปีที่แล้ว เมตาได้ยุติการพัฒนาอินสตาแกรมเวอร์ชันพิเศษสำหรับวัยรุ่นโดยเฉพาะ หลังจากที่นักการเมืองและกลุ่มสนับสนุนต่าง ๆ ได้เรียกร้องให้เมตายกเลิกโครงการดังกล่าว เนื่องจากมีข้อกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของเด็ก ๆ

เมื่อเดือนก.ค.ที่ผ่านมา วุฒิสภาสหรัฐฯ ผ่านร่างกฎหมายใหม่ 2 ฉบับเกี่ยวกับความปลอดภัยทางออนไลน์ที่มีชื่อว่า ‘รัฐบัญญัติความปลอดภัยทางออนไลน์สำหรับเด็ก’ (Kids Online Safety Act) และ ‘รัฐบัญญัติคุ้มครองความเป็นส่วนตัวทางออนไลน์สำหรับเด็กและวัยรุ่น’ (Children and Teens’ Online Privacy Protection Act) ซึ่งจะทำให้บริษัทโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ต้องรับผิดชอบต่อผลกระทบที่แพลตฟอร์มของตนมีต่อเยาวชน

อนึ่ง ผลการศึกษาหลายฉบับบ่งชี้ว่าการใช้โซเชียลมีเดียมากอาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล และความบกพร่องในการเรียนรู้ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้อายุน้อย

ทั้งนี้ เฟซบุ๊ก (Facebook), อินสตาแกรม และติ๊กต็อก (TikTok) อนุญาตให้ผู้ใช้ที่มีอายุ 13 ปีขึ้นไปสร้างบัญชีได้

‘พิพัฒน์’ เมิน ‘นายจ้าง’ ไม่ร่วมประชุมถกขึ้นค่าแรง 400 บาท ลั่น!! 1 ต.ค.ขึ้นแน่ ส่วนฝั่งผู้ประกอบการมีแผนเยียวยารอแล้ว

(19 ก.ย. 67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการไตรภาคีขึ้นค่าจ้าง 400 บาททั่วประเทศ ครั้งที่ 2 วันที่ 20 กันยายน ฝ่ายนายจ้างทั้ง 5 เสียง จาก 15 เสียง จะเข้าร่วมประชุมด้วยหรือไม่ หลังการประชุมครั้งที่ 1 อ้างติดภารกิจว่า ได้ทำจดหมายเชิญแล้ว อยู่ที่ตัวแทนฝ่ายนายจ้างจะเข้าร่วมประชุมหรือไม่ ซึ่งเป็นสิทธิส่วนบุคคล ตนไม่สามารถก้าวก่ายได้ แต่ก็หวังเป็นอย่างยิ่งที่จะให้คณะกรรมการฝ่ายนายจ้างเข้ามาหารือกันเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด เพราะตามนโยบายตนก็หาแนวทางที่ดีที่สุด และให้มีผลกระทบน้อยที่สุด รวมถึงพูดคุยกับกระทรวงการคลัง เพื่อหาแนวทางเยียวยาแก่บริษัทที่ได้รับผลกระทบ

ผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้าวันที่ 20 กันยายน 5 เสียงฝ่ายนายจ้างไม่เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการไตรภาคีที่เหลือจะเดินหน้าพิจารณาเดินหน้าประกาศขึ้นค่าแรง 400 บาท ให้ทันวันที่ 1 ตุลาคมนี้ ใช่หรือไม่? นายพิพัฒน์ กล่าวว่า “หากนายจ้างไม่เข้าร่วมการประชุมครั้งที่ 2 เราก็จะปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และดำเนินการประชุม โดยจะอ้างอิงเสียงโหวต 2 ใน 3 ซึ่งถ้าฝ่ายลูกจ้างและฝ่ายข้าราชการ เข้าครบก็สามารถโหวตได้”

เมื่อถามว่า ยืนยันได้หรือไม่วันที่ 1 ตุลาคมจะได้ค่าแรง 400 บาท? นายพิพัฒน์ กล่าวว่า “ยืนยันครับ ชัดเจนครับ เพราะเมื่อประกาศไปแล้ว ก็พยายามทำให้สำเร็จ ซึ่งตนก็เชื่อว่าฝ่ายลูกจ้างก็รอ และยอมรับว่ากระทบต่อนายจ้างพอสมควร เพราะตนก็มาจากภาคธุรกิจ บริษัทในเครือก็ได้รับผลกระทบไม่น้อยเช่นกัน เพราะมีลูกจ้างประมาณ 30,000 คน ได้รับผลกระทบประมาณ 20,000 คน แต่ก็ยอมรับผลกระทบตรงนั้น แต่ก็ต้องดูว่ากระทรวงการคลัง จะเยียวยาผู้ประกอบการได้อย่างไร”

นายพิพัฒน์ ยังกล่าวอีกว่า ยืนยัน ขณะนี้มีมาตรการเยียวยาแล้ว โดยจะประกาศพร้อมกันวันที่ 1 ตุลาคม ซึ่งมาตรการเยียวยาที่ปรับตามประกาศ พ.ศ. 2555 เพื่อมาใช้ในปัจจุบัน

เมื่อถามว่ากังวลหรือไม่หากประกาศขึ้นค่าแรง 400 บาท วันที่ 1 ตุลาคม อาจถูกนายจ้างและผู้ประกอบการร้องเรียนฟ้องร้องภายหลัง? รมว.แรงงาน กล่าวว่า “ไม่เป็นไร ตนยินดีรับสิ่งที่พวกเรากระทำ และถือว่าตนทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ถ้าจะมีการฟ้องร้องหรือไปร้องเรียนศาลปกครอง เราก็พร้อมน้อมรับและยืนยันว่าไม่หนักใจเรื่องนี้”

วิวาทะเดือด!! ผู้ว่าแบงก์ชาติ VS รมว.พาณิชย์

จากช่วงหนึ่งของปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนา 'Big Heart Big Impact สร้างโอกาสคนตัวเล็ก..Power of Partnership จับมือไว้ไปด้วยกัน' ในหัวข้อ 'สร้างไทยเข้มแข็งด้วยท้องถิ่นนิยม Localism Future of Thailand' เมื่อวันที่ 13 ก.ย.67 โดย 'นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ' ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ได้กล่าวว่า...

"การเติบโตของประเทศไทย ภายใต้การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น จะเติบโตแบบเดิม ๆ ไม่ได้แล้ว แต่ต้องหาการเติบโตแบบใหม่ โดยเฉพาะในแง่การขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ที่เราไม่ควรโตแบบล่าตัวเลขจีดีพี หรือตัวเลขการลงทุนโดยตรงระหว่างประเทศ (เอฟดีไอ) แต่ต้องพิจารณาในส่วนของจีดีพี หรือเอฟดีไอ จะสามารถสร้างประโยชน์ความเป็นอยู่ของคนในประเทศได้มากน้อยเท่าใด เพราะตัวเลขที่ต้องล่า คือความมั่งคั่งรายได้ของครัวเรือน ที่สะท้อนความเป็นอยู่ของประชาชน อาทิ สาธารณสุข การศึกษา เพราะตัวเลขที่ผ่านมาไม่ได้สะท้อนความเป็นอยู่ของคน เราจึงต้องพึ่งพาความเข้มแข็งจากภายในประเทศมากขึ้น"

ด้าน นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ก็ได้กล่าวตอบโต้ผ่านช่วงหนึ่งภายหลังการเผยถึงทิศทางและนโยบายสำคัญของกระทรวงพาณิชย์ ว่า กระทรวงพาณิชย์จะเร่งดำเนิน 10 นโยบายสำคัญ เมื่อวันที่ 16 ก.ย.67 ด้วยว่า...

"ผมไม่ได้เป็นคู่แค้นกับแบงก์ชาติ แต่ที่ผ่านมาค่าเงินประเทศคู่แข่งอ่อนแต่ของไทยไม่อ่อน ผมว่ามันไม่ถูกต้อง ผมยังงงว่าผู้ว่าแบงก์ชาติออกมาพูดในเชิงว่าประเทศไทยไม่ต้องไปมุ่งเน้นจีดีพีมาก ผมไม่รู้ท่านเรียนจบจากที่ไหนมา เพราะเป็นความคิดที่ผิด เพราะจีดีพีคือ รายได้ของประเทศ หากไม่มีรายได้จะเอาเงินที่ไหนมากระจายให้ประชาชน...

"ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติพูดเหมือนคนไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร มันเป็นวิธีคิดที่ผิดปกติ จะทำนโยบายแค่ให้คนมีความสุขมันไม่ได้ เพราะถ้าคน ไม่มีเงิน ไม่มีรายได้เพิ่มคนจะมีความสุขได้อย่างไร ยิ่งมีภาระหนี้เยอะยิ่งต้องแก้ปัญหาหนี้ ซึ่งเร็ว ๆ นี้ผมจะนัดหารือกับผู้ว่าแบงก์ชาติ เพื่อทำความเข้าใจและหารือเกี่ยวกับข้อเสนอดังกล่าว"

'พระนิรันตราย' พระผู้ 'ปราศจากอันตราย' พระพุทธรูปสำคัญสมัย 'รัชกาลที่ ๔'

‘พระนิรันตราย’ พระสำคัญของชาติอีกองค์หนึ่ง ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ในหอพระสุราลัยพิมาน ในหมู่พระมหามณเฑียร พระบรมมหาราชวัง เป็นพระพุทธรูปโบราณสององค์ซ้อนกัน 'องค์เดิม' (องค์เดิมอยู่ด้านในก่อนสร้างอีกองค์ใหม่ / องค์นอก) เป็นพระพุทธรูปทองคำ ศิลปะแบบทวารวดี ราวพุทธศตวรรษ ๑๔-๑๕ ขนาดหน้าตักกว้าง ๓ นิ้ว องค์สูง ๔ นิ้ว ขัดสมาธิเพชร ข้อพระบาทไขว้กันอย่างหลวม ๆ พระหัตถ์ประสานกันบนพระเพลา โดยพระหัตถ์ขวาซ้อนเหนือพระหัตถ์ซ้าย 

ส่วนพระพักตร์ค่อนข้างกลม พระขนงเป็นเส้นติดต่อกันคล้ายปีกกา พระเนตรเหลือบต่ำ พระนาสิกป้าน พระโอษฐ์ค่อนข้างกว้าง พระกรรณยาวเกือบจรดพระอังสะ พระเศียรประกอบด้วยขมวดพระเกศา มีเกตุมาลาอยู่เบื้องบนปราศจากรัศมี องค์พระพุทธรูปครองอุตราสงค์เรียบ ไม่มีริ้ว ห่มเฉียงเปิดพระอังสาขวาของอุตราสงค์พาดผ่านข้อพระกรซ้าย ประทับนั่งบนปัทมาสน์ (ฐานดอกบัว) มีกลีบบัวคว่ำบัวหงายประกอบทั้งเบื้องบนเบื้องล่าง ซึ่งฐานปัทมาสน์นี้ได้สร้างเพิ่มเติมในภายหลัง

ใน 'ตำนานพระพุทธรูปสำคัญ' พระนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ กล่าวว่า เป็นพระพุทธรูปที่กำนันอินและนายยังบุตรชาย ไปพบขณะขุดหามันนกในบริเวณชายป่าห่างจากดงศรีมหาโพธิ์ประมาณสามเส้น พบเป็นพระพุทธรูปหล่อด้วยทองคำ จึงได้นำมามอบให้ 'พระเกรียงไกรกระบวนยุทธ' ปลัดเมืองฉะเชิงเทรา โดยขุดพบเมื่อปีมะโรง พ.ศ. ๒๓๙๙ พระเกรียงไกรกระบวนยุทธจึงบอกกรมการเมืองและ 'พระยาวิเศษฤๅไชย' เจ้าเมืองฉะเชิงเทรา กรมการเมืองฉะเชิงเทราทั้งหลายจึงพร้อมใจกันนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ จากนั้นพระองค์ก็ได้สอบถามที่ไปที่มาและได้พระราชทานเงินตรากับกรมการเมือง และ ๒ พ่อลูก โดยมีบันทึกไว้ว่า...

“สองพ่อลูกมีกตัญญูต่อพระพุทธศาสนาและพระเจ้าแผ่นดิน ขุดได้พระทองคำแล้วไม่ทำลาย หรือซื้อขายเป็นประโยชน์ส่วนตัว แล้วยังมีน้ำใจมาทูลเกล้าฯ ถวาย…” พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดฯ พระราชทานเงินตราให้เป็นรางวัล ๗ ชั่ง แล้วมีพระบรมราชโองการดำริให้ช่างทำฐานเงินกะไหล่ทองประดิษฐานไว้

จากนั้นจึงโปรดฯ ให้อัญเชิญพระพุทธรูปทองคำไปประดิษฐาน ณ หอพระเสถียรธรรมปริตรคู่กับพระกริ่งทองคำองค์น้อย และพระพุทธรูปสำคัญอื่น ๆ อีกหลายองค์ โดยที่พระทองคำองค์นี้ยังไม่มีพระนามใด ๆ 

ที่มาแห่งชื่อ 'นิรันตราย' นั้นเกิดขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๐๓ เกิดมีขโมยได้มาลักเอาพระกริ่งทองคำองค์น้อยไปถึงในหอพระ แทนที่จะลักพระพุทธรูปทองคำองค์ใหญ่กว่า และอยู่คู่กัน พระองค์ทรงมีพระราชดำริความว่า “พระพุทธรูปซึ่งกำนันอินทูลเกล้าฯ ถวาย เป็นทองคำทั้งแท่งและใหญ่กว่าพระกริ่ง ควรที่คนร้ายจะลักเอาองค์ใหญ่ไป แต่กลับละไว้ เช่นเดียวกับผู้ที่ขุดได้ไม่ทำอันตราย เป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่แคล้วคลาดถึง ๒ ครั้ง” พระองค์จึงทรงถวายพระนามพระพุทธรูปทองคำว่า 'พระนิรันตราย' แปลว่า 'ปราศจากอันตราย' และโปรดเกล้าฯ ให้ หล่อองค์ใหม่ครอบองค์เดิมมาจนถึงทุกวันนี้ 

โดยรัชกาลที่ ๔ โปรดเกล้าฯ พระราชทานแบบส่วนให้ 'พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐวรการ' และกลุ่มช่างในพระองค์ หล่อพระพุทธรูปประทับสมาธิเพชรให้ต้องตามพุทธลักษณะด้วยทองคำบริสุทธิ์ ขนาดหน้าตัก ๕ นิ้วครึ่ง สวมครอบพระพุทธรูปนิรันตรายองค์เดิมอีกชั้นหนึ่ง และให้หล่อด้วยเงินบริสุทธิ์อีกองค์เป็นคู่กัน โปรดเกล้าฯ ให้ถวายพระนามว่าพระนิรันตรายทุกองค์ เฉพาะองค์ทองคำให้เชิญไปประดิษฐานในพระแท่นมณฑลในพระราชพิธีสำคัญต่าง ๆ อาทิ พระราชพิธีสัมพัจฉรฉินท์ (พิธีทำบุญตรุษตัดส่งปีเก่า) พระราชพิธีสงกรานต์ 

ปัจจุบันเจ้าพนักงานภูษามาลายังคงรักษาแบบแผนโบราณราชประเพณี โดยอัญเชิญพระนิรันตรายไปประดิษฐานในพระราชพิธีสำคัญ ๆ ต่าง ๆ อาทิ ในการบำเพ็ญพระราชกุศลวันเฉลิมพระชนมพรรษา และงานพระราชกุศลที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัด ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ เป็นต้น  

กลับมาในสมัยรัชกาลที่ ๔ กันต่อ นอกจากพระองค์จะทรงหล่อ พระองค์ใหม่ / องค์นอก ครอบพระองค์เดิมแล้วนั้น ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หล่อพระพุทธรูปพิมพ์เดียวกันพระนิรันตราย (องค์นอก) เนื้อทองเหลือง มีลักษณะเพิ่มเติมจากพระนิรันตรายเดิม คือ ประดับด้วยซุ้มเรือนแก้ว ทำเป็นพุ่มพระศรีมหาโพธิ์ประกอบ ยอดซุ้มประดับลายพระมหามงกุฎ และจารึกบท 'อิติปิโส ภควา' ๙ วรรค เป็นอักษรขอมประดับตามซุ้ม ส่วนฐานประดับรูปโค เจาะรูบริเวณปากโค น้ำสรงพระนิรันตรายจะไหลออกทางปากโค ซึ่งศีรษะโค แสดงเครื่องหมายพระสกุล 'โคตมะ' ของพระพุทธเจ้า จัดสร้างขึ้นจำนวน ๑๘ องค์เท่ากับปีที่ครองราชย์ เพื่อพระราชทานพระอารามฝ่ายธรรมยุต จำนวน ๑๘ แห่ง แต่ยังไม่กะไหล่ทองก็สวรรคตเสียก่อน 

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ช่างดำเนินการต่อจนแล้วเสร็จและนำไปพระราชทานยังวัดธรรมยุตตามพระราชประสงค์ของพระบรมราชชนก โดยวัดทั้ง ๑๘ แห่ง ได้แก่...

๑.วัดบวรนิเวศวิหาร 
๒.วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม 
๓.วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม 
๔.วัดเสนาสนาราม จ.พระนครศรีอยุธยา 
๕.วัดนิเวศธรรมประวัติฯ จ.พระนครศรีอยุธยา 
๖.วัดบรมนิวาส 
๗.วัดมกุฏกษัตริยาราม 

๘.วัดเทพศริรินทราวาส 
๙.วัดโสมนัสวิหาร 
๑๐.วัดราชาธิวาส 
๑๑.วัดเขมาภิรตาราม จ.นนทบุรี 
๑๒.วัดปทุมวนาราม 
๑๓.วัดราชผาติการาม 
๑๔.วัดสัมพันธวงศาราม 
๑๕.วัดเครือวัลย์ 
๑๖.วัดบุปผาราม 
๑๗.วัดบุรณศิริมาตยาราม 
๑๘.วัดยุคันธราวาส จ.นนทบุรี

สำหรับท่านที่อยากไปสักการะพระนิรันตรายนั้นสามารถไปได้ตามรายชื่อวัดดังกล่าว เพียงแต่อาจจะต้องสอบถามก่อนว่าเปิดให้เข้าสักการะหรือไม่ 

เชื่อว่าถ้าท่านผู้อ่าน ๆ ได้เข้าไปสักการะองค์พระแล้ว ก็จะได้ 'ปราศจากอันตราย' เช่นเดียวกับนามขององค์พระ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top