Thursday, 19 June 2025
TheStatesTimes

‘รัฐบาล’ เล็ง!! ยกระดับ ‘แอปทางรัฐ’ จ่ายเยียวยา-รับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจได้

(18 ก.ย. 67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการพัฒนาแอปพลิเคชันทางรัฐของรัฐบาล ว่า ปัจจุบันแอปฯ นี้ยังมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพราะรัฐบาลมุ่งหวังให้แอปฯ นี้เป็นซูเปอร์แอปที่จะเป็นแอปฯ หลักรองรับการให้บริการต่าง ๆ ที่ภาครัฐจะให้บริการกับประชาชนอย่างครอบคลุมในเรื่องอื่น ๆ ไม่ได้ใช้เป็นครั้งคราวแต่ใช้ต่อเนื่อง รวมทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะมีในอนาคตก็จะมาใช้แอปฯ นี้ด้วย

“เรื่องการจะพัฒนาให้แอปฯ ทางรัฐ สามารถรองรับการจ่ายเงินให้กับประชาชนที่ประสบอุทกภัยตามนโยบายนายกรัฐมนตรีนั้น สามารถที่จะทำได้ในระยะต่อไป เพราะในระบบนี้มีฐานข้อมูลที่ประชาชนลงทะเบียนไว้จำนวนมากกว่า 30 ล้านคน ถ้าในการจ่ายเงินและการเยียวยาหากสามารถเชื่อมโยงบัญชีได้ อาจจะใช้ในเรื่องของพร้อมเพย์เข้ามาช่วย” นายประเสริฐ กล่าว

อย่างไรก็ตามขึ้นกับการตัดสินใจของกระทรวงการคลังอีกครั้ง ตรงนี้ขอรอความชัดเจนจากกระทรวงการคลัง แต่ว่าในเรื่องระบบนั้นทำไม่ยากเพราะสามารถที่จะเชื่อมโยงข้อมูลกันได้อยู่แล้ว 

'สนธิ' แฉแหลก!! แพลตฟอร์มปั้นไอดอลดูดทรัพย์คนไทยผู้ไม่มีจะกิน ล่อหลอกให้ส่งเปย์สติ๊กเกอร์ 'หัวใจครึ่งพัน-เรือยอร์ช 4 หมื่น'

(18 ก.ย. 67) จากช่องยูทูบ 'sondhitalk' โดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้เปิดฉากแฉขบวนการดูดทรัพย์แฟนคลับไทยผ่านโซเชียลแพลตฟอร์ม ว่า...

คอนเทนต์ครีเอเตอร์กลายเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่ยอดนิยม เพราะสามารถสร้างทั้งชื่อเสียง-รายได้ และยังเป็นใบเบิกทางสู่การทําธุรกิจได้อีกด้วย และบางคนที่ดังมาก ๆ ก็ยังก้าวไปอีกขั้น ด้วยการเป็นขั้นอินฟลูเอนเซอร์ไลฟ์สดในระดับชั่วโมงหนึ่งได้เงินเป็นหลักล้านกันเลยทีเดียว

คุณสนธิ เผยอีกว่า ปัจจุบันคนไทยมีอัตราการเข้าสู่อินเทอร์เน็ตประมาณ 90% หรือทุกครัวเรือนมีมือถือมีอินเทอร์เน็ตใช้กันหมด แล้วกว่า 50 ล้านคนเข้าถึงช่องทางโซเชียลมีเดียกันหมด หรือคิดเป็นค่าเฉลี่ย 71.5% ของประชากรทั้งประเทศ เรียกว่าติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลกได้เลย

ภาพดังกล่าว ทำให้ประเทศไทย (คนไทย) กลายเป็น 'ดินแดนสวรรค์' ที่ทำให้ต่างชาติบางคนสามารถสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ เปลี่ยนชีวิตคนที่ปกติอยู่ประเทศตัวเองแล้วเป็นคนธรรมดา ๆ ให้กลายมาเป็นอินฟลูเอนเซอร์รายได้มหาศาลที่ไทยได้ทันที ภายใต้ความเอ็นดูของคนไทย ที่หลายคนมักจะรู้สึกปลื้มใจถ้ามีคนต่างชาติหัดพูดภาษาไทยและทํากิจกรรมเงอะ ๆ งะ ๆ ซึ่งน่ารําคาญ แต่ยังถูกมองว่าน่ารัก

นอกจากนี้ ด้วยความที่คนไทยเป็นคนขี้สงสาร เหมือนกรณี 'แน็ก-ชาลี' มันก็เลยเกิดคอนเทนต์ครีเอเตอร์อย่าง 'กามิน' เข้ามากอบโกย ซึ่งเดี๋ยวผมจะอธิบายต่อว่า 'กามิน' ก็คือหนึ่งในตัวละครของ 'ขบวนการ' ที่เข้ามาสูบเงินสูบทองของคนไทยยังไงบ้างในวันศุกร์นี้ (20)

คุณสนธิ เผยต่ออีกว่า อันที่จริง กามิน เป็นแค่เพียงตัวละครเล็ก ๆ เท่านั้น เพราะขบวนการดูดทรัพย์คนไทยนั้น ถูกเตรียมการผ่านคนแบบกามินไว้อีกเป็นจํานวนมากที่จะเข้ามาในเมืองไทย ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่ใหญ่โตมากระดับชาติ มันไม่ใช่ประเด็นเล็ก ๆ จากดรามาระหว่างดาราคู่จิ้นหนุ่มไทยกับสาวเกาหลีอีกแล้ว

คุณสนธิ แฉต่อว่า เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมไปสืบค้นข้อมูลมา และค้นพบว่าช่องทางโซเชียลมีเดียและติ๊กต็อกในปัจจุบันนั้นเป็นช่องทางในการดูดเงินจากแฟนคลับได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมาก ผ่านฟีเจอร์ที่มีชื่อว่า 'PK' (การแข่ง PK ใน TikTok ย่อมาจาก 'Player Kill' เป็นฟีเจอร์ไลฟ์สดบนติ๊กต๊อกที่ผู้ใช้สองคนสามารถแข่งขันกันเพื่อรับของรางวัลหรือเพื่อความสนุกสนาน โดยผู้ชมจะเป็นผู้ตัดสินว่าใครคือผู้ชนะ)

PK หรือ Player Kill เป็นแพลตฟอร์มสร้างปฏิสัมพันธ์ เพื่อเปิดเอนเกจเมนต์ให้มีการแข่งขันกัน โดยผู้ไลฟ์จะแข่งกันสร้างฐานผู้ชม และเพื่อรับของขวัญจากผู้ชม จากนั้นชัยชนะจะถูกตัดสินผู้ไลฟ์คนไหนได้รับการเปย์ให้มากที่สุด

นี่เป็นเรื่องตลกแล้ว!! เพราะรู้ไหมว่าไอ้พวกที่เปย์ให้พวกคนแบบกามินหรือกลุ่มขบวนการที่ว่านี้นั้น ส่วนใหญ่ไม่ใช่คนมีเงินมีทอง เป็นคนที่มีเงินต้นเดือนไม่ชนปลายเดือน หรือว่ามีเงินอยู่เล็กน้อย แต่แทนที่จะเอาเงินไปทําประโยชน์ให้กับครอบครัวตัวเอง หรือไปทําบุญทําทาน กลับเอาเงินมาเปย์ให้คนเหล่านี้

บางคนที่เปย์ยังวิ่งเต้นทํางานพาร์ตไทม์ บางคนเป็นนักศึกษาแพทย์ไม่มีเงินจ่ายค่าเทอมเกือบแสน 87,000 บาทบ้าง 81,000 บาทบ้าง ก็เข้าไปบ้าในฟีเจอร์ PK นี้

สำหรับหลักการของ PK ที่คุณสนธิ กล่าว คือ จะมีการส่งสติ๊กเกอร์ให้ผู้ไลฟ์ที่ชื่นชอบ ซึ่งสติ๊กเกอร์เหล่านี้ต้องใช้เงินจริงแลกมา ถ้ายังพอจําได้ก็คือเงินแบบกรณีของกามินที่เอาส่วนแบ่งค่าสติ๊กเกอร์ไปให้ 'แน็ก-ชาลี' 500,000 บาท และแน็กก็เอาไปทำบุญต่อนั่นเอง 

คุณสนธิ เผยด้วยว่า ตรงนี้เป็นรูปแบบกระบวนการจากเครือข่ายเกาหลีที่ปั้นทุกอย่างขึ้นมาทั้งสิ้น

ช่วงท้าย คุณสนธิ ยังเผยอีกว่า ตนรู้สึกแค้นใจที่มีคนหรือแฟนคลับไปตามสนับสนุนขบวนการเหล่านี้ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ยังมีปัญหาด้านการเงิน ด้วยการส่งสติ๊กเกอร์กันตั้งแต่หลัก 10 บาทไปถึงแสนบาท อย่างเช่นส่ง 'บวก' ให้ 99 คอยน์ ก็ต้องแลกด้วยเงินไทย 207 บาท ส่งหัวใจให้ 199 คอยน์ เป็นเงิน 417 บาท คือ แค่กดสติ๊กเกอร์คุณต้องเสียเงินไปขนาดนี้ บางคนส่งสติกเกอร์เรือยอร์ช 20,000 คอยน์ เท่ากับเงินไทย 42,000 บาท และอื่น ๆ ที่มีอัตราแลกเปลี่ยนสูงขึ้นไปอีก มันบ้าไปแล้ว...

นี่คือความบ้าของผู้ชมที่มีสติ ตอนที่คุณเปย์ให้คนพวกนี้ร่ำรวย เขาก็ไม่ได้มาสนใจคุณ เขาและคุณใจฟูวันนี้ วันพรุ่งนี้เขาก็ลืมคุณ และเมื่อไม่อยากให้ลืม คุณก็ต้องเปย์ต่อ สุดท้ายเขารวยขึ้น ๆ ส่วนคุณจนลง ๆ

คุณสนธิ เสริมด้วยว่า เมื่อผมสืบประวัติและย้อนดูพฤติกรรมต่าง ๆ แล้ว กามิน ก็เป็นแค่หนึ่งในกระบวนการเกาหลีที่ขนคนมาหลอกเงินคนไทยและเมืองไทย เพราะเขามองว่าคนไทยหลอกง่ายเหมือนกันหมด

'พิชัย' ถกร่วมองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO) ในเวทีอาเซียน ยืนยันไทยพร้อมร่วมใช้ AI จดสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาร่วม10ประเทศ ช่วย MSMEs แข่งขันในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล

(18 ก.ย. 67) รมว.พิชัย ร่วมประชุมหารือกับรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน 10 ประเทศ ในประเด็นความร่วมมือกับองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO) ในการส่งเสริมการเข้าถึงข้อมูลร่วมกันในอาเซียน เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ MSMEs ไทย ที่เป็นกลุ่ม Startup ในการใช้ AI ช่วยตรวจสอบในการจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา และช่วยปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาของตน รวมถึงการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล

วันที่ 18 กันยายน 2567 เวลา 10.00 น. ณ นครหลวงเวียงจันทร์ สปป.ลาว นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า “รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน 10 ประเทศ ได้ร่วมกันหารือกับผู้อำนวยการใหญ่องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO) ในประเด็นความร่วมมือการใช้ทรัพย์สินทางปัญญาเชิงพาณิชย์ การร่วมมือกันระหว่างอาเซียนสร้างมาตรฐาน เพิ่มขีดความสามารถของอาเซียนในเศรษฐกิจดิจิทัล และผลักดันการใช้ทรัพย์สินทางปัญญาในเศรษฐกิจสีเขียว เศรษฐกิจสีฟ้า ทั้งยังส่งเสริมและสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะ SMEs ที่ช่วยในการเข้าถึงการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจของตนได้“

นายพิชัย กล่าวว่า ”ไทยจะร่วมผลักดันประเด็นความร่วมมือกับองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก ในการพัฒนาเสริมสร้างนวัตกรรม ด้วยการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการสร้างระบบค้นหาข้อมูลการจดสิทธิบัตร และเครื่องหมายการค้าอย่างเต็มที่ เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าถึงฐานข้อมูลทรัพย์สินทางปัญญาของทุกประเทศสมาชิกอาเซียนได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น ซึ่งจะช่วยยกระดับขีดความสามารถของภาคเอกชน โดยเฉพาะกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (MSMEs) เยาวชน สตรี และผู้พิการ ในการนำทรัพย์สินทางปัญญาเชิงพาณิชย์ ไปจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาให้ง่ายและรวดเร็ว การปกป้องการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของตน และการเพิ่มมูลค่างานของตนในการได้รับความคุ้มครองจากการจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลนี้ในการผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัล การใช้นวัตกรรม และเศรษฐกิจสร้างสรรค์”

โดยคาดว่าความร่วมมือดังกล่าวจะยกระดับขีดความสามารถด้านทรัพย์สินทางปัญญาภายในภูมิภาคอาเซียน ช่วยให้การเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลของอาเซียนจะมีมูลค่าถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2573 ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากระบบทรัพย์สินทางปัญญาที่มีความก้าวหน้าและสามารถปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีใหม่ ๆ

สมุทรปราการ-บริษัท มหานคร กรีน เอเนอร์จี้ จำกัด วางศิลาฤกษ์เดินหน้าโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะแปรรูปขยะเป็นพลังงานเชื้อเพลิง

นายศุภมิตร ชิณศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ เป็นประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์โรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะ โดยมี นายอาบีนาช มาจี้ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อีอีพี กรุ๊ป พร้อมด้วย นายอำนวย บุญริ้ว นายกเทศมนตรีเมืองแพรกษาใหม่ นายสมศักดิ์ แก้วเสนา ปลัดจังหวัดสมุทรปราการ พล.ต.ต.วิชิต บุญชินวุฒิกุล ผบก.สมุทรปราการ นางสาวมณิฐกานต์ บุญริ้ว สมาชิกสภา อบจ.สมุทรปราการ หัวหน้าส่วนราชการ คณะผู้บริหาร พนักงาน บริษัท มหานคร กรีน เอเนอร์จี้ จำกัด ตลอดจนแขกผู้มีเกียรติเข้าร่วมในพิธี ณ มณฑลพิธีภายในศูนย์บริหารจัดการขยะชุมชนแพรกษาใหม่ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ 

โดยมี นายอำนวย บุญริ้ว นายกเทศมนตรีเมืองแพรกษาใหม่ ในฐานะผู้กำกับดูแลพื้นที่ ที่ตั้งโครงการบริหารจัดการขยะชุมชน ต.แพรกษาใหม่ กล่าวรายงานความเป็นมาของโครงการดังกล่าว

ภายในพิธีวางศิลาฤกษ์ได้ประกอบพิธีทำบุญเลี้ยงพระ โดยได้รับความเมตตาจากพระธรรมธร สมจิตร จิตฺตปญฺโญ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดแพรกษา ประธานฝ่ายสงฆ์ นำคณะสงฆ์ จำนวน 9 รูป ประกอบพิธีเจริญชัยมงคลคาถาเจริญพระพุทธมนต์ 

สำหรับ บริษัท มหานคร กรีน เอเนอร์จี้ จำกัด (MHG) ภายใต้การกำกับดูแลของบริษัท อีสเทิร์น เอเนอร์จี้ พลัส จำกัด (EEP) เริ่มก่อสร้างโรงผลิตกระแสไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงขยะชุมชนอีก 3 โครงการ เดินหน้ามุ่งสู่การเป็นผู้นำในด้านการจัดการขยะชุมชนอย่างยั่งยืนและแปรรูปเป็นพลังงานไฟฟ้าที่เป็นมิตรกับชุมชนและสิ่งแวดล้อม บริษัท มหานคร กรีน เอเนอร์จี้ จำกัด เป็นบริษัทในเครือของ บริษัท อีสเทิร์น เอเนอร์จี้ พลัส จำกัด (EEP) ซึ่งได้รับสัญญาให้สิทธิเอกชนดำเนินโครงการบริหารจัดการขยะมูลฝอยชุมชนโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะ RDF โดยก่อสร้างและบริหารจัดการโรงไฟฟ้า จำนวน 3 โครงการ ร่วมกับเทศบาลเมืองแพรกษาใหม่ 

ที่มีเป้าหมายในการแปรรูปขยะชุมชนเพื่อผลิตเป็นพลังงานไฟฟ้าและได้กำหนดจัดพิธีวางศิลาฤกษ์ก่อสร้างโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะ RDF จำนวน 3 โครงการ ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะ RDF กำลังการผลิต 9.9 เมกะวัตต์ จำนวน 1 โรงงาน และกำลังการผลิต 3.3 เมกะวัตต์ อีก 2 โรงงาน ซึ่งจะเป็นการเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานไฟฟ้า จากปัจจุบันที่มีอยู่เพียง 1 โรงงาน และดำเนินการขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ให้กับการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ด้วยกำลังการผลิต 9.9 เมกะวัตต์ ในพื้นที่ตำบลแพรกษาใหม่ อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการแล้ว โดยยึดมั่นดำเนินการผลิตไฟฟ้าตามมาตรฐานที่หน่วยงานภาครัฐกำหนดไว้ทุกด้านการเปลี่ยนขยะเป็นพลังงาน หรือ Waste to Energy เป็นแนวทางของการลดปริมาณขยะที่ยังคงสะสม จากปัญหาขยะล้นเมืองที่เกิดขึ้นทำให้ทุกคนหันมาให้ความสำคัญ และมองว่าปัญหาขยะมูลฝอยสะสมเป็นสิ่งที่ควรได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน 

โดยข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษระบุว่า ปี 2566 สถานการณ์ปริมาณขยะมูลฝอยชุมชนที่เกิดขึ้นในประเทศไทยมีประมาณ 26.95 ล้านตัน โดยมีอัตราการเกิดขยะมูลฝอยเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรคิดเป็น 1.12 กิโลกรัม/คน/วัน และคาดว่าปริมาณขยะมูลฝอยชุมชนจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในทุกๆ ปี ในฐานะที่บริษัท EEP เป็นผู้นำในด้านการบริหารจัดการขยะมูลฝอยชุมชนอย่างครบวงจรและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยนำขยะมูลฝอยชุมชนกลับมาแปรรูปเป็นพลังงานทดแทนได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมดูแลชุมชนและสังคม ตามนโยบายของนายอบีนาช มาจี้ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ที่นำหลักการบริหารจัดการขยะแบบ 360 องศา มาใช้ในการจัดการสิ่งแวดล้อม ได้แก่ การนำเทคโนโลยีบ่อขยะกึ่งใช้อากาศ หรือ Semi-Aerobic Landfill โดยติดตั้งท่อระบายก๊าซ และนำวัสดุเสมือนดินมาใช้ปิดคลุมบ่อขยะพร้อมด้วยแผ่นพลาสติก เพื่อช่วยลดอัตราการเกิดก๊าซมีเทนและลดผลกระทบต่อการเกิดก๊าซเรือนกระจก การใช้เทคโนโลยีติดตามผลกระทบจากกลิ่น จากสถานีวัดกลิ่นออนไลน์ หรือ Electronic Nose (E-nose) โดยติดตั้งทั้งหมด 4 ทิศทางรอบบ่อขยะ และมีการติดตามผลกระทบตลอด 24 ชั่วโมง โดยให้ประชาชนสามารถตรวจสอบค่าความเข้มข้นของกลิ่นได้

เพื่อให้กลุ่มบริษัท EEP เดินหน้าสู่เป้าหมาย 'Zero Waste Zero Landfill' จัดการขยะให้หมดสิ้น ไม่ว่าจะส่งต่อเพื่อรีไซเคิล การนำขยะกลับมาใช้ประโยชน์ หรือแปรรูปเป็นพลังงานทดแทน ไม่ให้มีขยะหลงเหลือ กลุ่มบริษัท EEP จึงดำเนินตามแผนธุรกิจในการลงทุนเพิ่มศักยภาพการผลิตกระแสไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงขยะ RDF โดยก่อสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มอีก 3 โครงการ ภายใต้การกำกับดูแลของ บริษัท มหานคร กรีน เอเนอร์จี้ จำกัด การสร้างโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะ RDF ไม่เพียงแต่ช่วยเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน แต่ยังมีส่วนช่วยในการบริหารจัดการขยะมูลฝอยชุมชนอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้อีกด้วย นอกจากนี้การดำเนินการสร้างโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะ RDF ทั้ง 3 โครงการนี้ ยังได้รับการสนับสนุนและทำให้โครงการนี้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี จากการสนับสนุนของจังหวัดสมุทรปราการ เทศบาลเมืองแพรกษาใหม่ และหน่วยงานราชการทุกภาคส่วนที่ได้ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ เป็นผลทำให้โครงการนี้เป็นจริงและเป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่ายเป็นอย่างดี

'มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง' รวมพลัง ส่งต่อธารน้ำใจ สู้ภัยน้ำท่วม ระดมเจ้าหน้าที่ อาสาสมัคร และจิตอาสาหน่วยงานในเครือ เร่งบรรจุถุงยังชีพฉุกเฉิน เพื่อออกเดินทางสมทบช่วยผู้ประภัยน้ำท่วมเย็นนี้!

(18 ก.ย. 67) ตามที่ประเทศไทยได้เกิดฝนตกหนักต่อเนื่องในหลายพื้นที่ ส่งผลให้เกิดอุทกภัย ประชาชนได้รับความเดือดร้อน และเสียหายเป็นจำนวนมาก อาทิ เชียงราย หนองคาย สุโขทัย ฯลฯ ซึ่งเมื่อเกิดอุทกภัยขึ้น มูลนิธิฯ ได้จัดทีมกู้ภัย กู้ชีพ อาสาสมัคร พร้อมเรือท้องแบน อุปกรณ์กู้ภัยทางน้ำ รถโฟวิล [4x4] รถพยาบาลขับเคลื่อน 4 ล้อ โรงครัวเคลื่อนที่ ถุงยังชีพ ชุดยาสามัญประจำบ้าน อาหารสุนัขและแมว นำแจกจ่ายแก่ผู้ประสบภัย เพื่อการบรรเทาทุกข์และช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ต่างๆ ในเบื้องต้นทันที โดยขณะนี้ได้จัดตั้งกองอำนวยการ และโรงครัวประกอบอาหารปรุงสุก ณ วัดท่าบ่อ อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย

เช้าวันนี้ (วันพุธที่ 18 กันยายน 2567) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ พร้อมด้วย นางชุติมา ตันติศิริวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการ และนายอรัณย์ โตทวด ผู้จัดการใหญ่มูลนิธิฯ นำทีมเจ้าหน้าที่ อาสาสมัครกู้ภัย อาสาสมัครบริการ อาสาสมัครกิตติมศักดิ์ นำโดย ดร.ปภัสรา เตชะไพบูลย์ นางศิริวรรณ โอภาสวงศ์ และ นางศิริพร โอภาสวงศ์ และ อาสาสมัครศิลปิน อาทิ นางสาวพรชดา วราพชระ (มะเหมี่ยว-พรชดา) เร่งบรรจุเครื่องอุปโภคบริโภค รวมทั้งสิ่งของที่ผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาค อาทิ อาหารสำเร็จรูป ไฟฉาย ผ้าอนามัย ถุงขยะดำ ทิชชู่เปียก ทิชชูแห้ง สบู่เหลว ยากันยุง แปรงสีฟัน ยาสีฟัน ชุดยาสามัญประจำบ้าน บรรจุถุงมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง 

จัดเป็น 'ถุงยังชีพฉุกเฉิน' เพื่อจัดส่งให้ทีมบรรเทาสาธารณภัยนำออกแจกจ่ายให้กับผู้ประสบภัยในพื้นที่ในช่วงเย็นวันนี้เป็นต้นไป โดยมีคณะมิสไทยแลนด์เวิลด์ ร่วมทางบรรจุถุงยังชีพในวันนี้ ณ บริเวณลานสำนักงานมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ

นอกจากนี้ หน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ มูลนิธิฯ ได้จัดให้มีการจัดเตรียม ชุดยาสามัญประจำบ้าน เพื่อเตรียมพร้อมลำเลียงออกแจกจ่ายช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างรวดเร็ว โดยล่าสุดวานนี้ (วันที่ 17 กันยายน 2567) ได้ระดมเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ อาสาสมัคร และจิตอาสาหน่วยงานในเครือมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง อาทิ คณะนักศึกษาจิตอาสาจากมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ ร่วมบรรจุชุดยาสามัญประจำบ้าน ณ บริเวณอาคาร 2 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ

ภายหลังจากทีมบรรเทาสาธารณภัย ฝ่ายปฏิบัติการ ได้ลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้นแล้ว หลังจากนั้น ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ จะดำเนินการประสานหน่วยงานในพื้นที่เพื่อบรรเทาทุกข์ ฟื้นฟูหลังน้ำลด โดยแจกเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น รวมถึงมอบเงินค่าฌาปนกิจศพแก่ญาติผู้เสียชีวิตจากอุทกภัย รายละ 20,000 บาท โดยนับตั้งแต่เกิดเหตุอุทกภัย โดยเมื่อช่วงระหว่าง 19 สิงหาคม – 10 กันยายน 2567 ที่ผ่านมา มูลนิธิฯ ได้ฟื้นฟูหลังน้ำลดแล้ว 7 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดจันทบุรี ตราด พะเยา น่าน สุโขทัย แพร่ และเชียงรายในพื้นที่น้ำลดแล้วในขณะนั้น รวมงบประมาณฟื้นฟูหลังน้ำลดในช่วงเวลาดังกล่าวกว่า 5.1 ล้านบาท

ทั้งนี้ หากมีผู้เสียชีวิตจากเหตุอุทกภัย ญาติของผู้เสียชีวิตสามารถขอรับเงินช่วยเหลือค่าฌาปนกิจศพ จากมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่ สายด่วนป่อเต็กตึ๊ง 1418 ต่อ ฝ่ายสังคมสงเคราะห์

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ขอขอบพระคุณผู้มีจิตศรัทธาที่ร่วมบริจาคทรัพย์ เครื่องอุปโภคบริโภค สมทบทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยต่าง ๆ ทั้งที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ และที่กองอำนวยการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยจังหวัดหนองคาย สำหรับผู้มีจิตศรัทธาที่มีความประสงค์จะบริจาคสมทบทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม  หรือติดตามข่าวสารกิจกรรม การช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง

สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.pohtecktung.org  เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/pohtecktungofficial หรือ ติดต่อสอบถามได้ที่สายด่วนป่อเต็กตึ๊ง 1418

ทุกบาท ทุกสตางค์ ที่ท่านบริจาค สามารถร่วม ช่วยชีวิต รักษาชีวิต และสร้างชีวิต นับล้านชีวิต ขอขอบคุณ ในความ มีจิตกุศลของท่าน

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง #ช่วยชีวิต #รักษาชีวิต #สร้างชีวิต
#แอปพลิเคชัน และ #สายด่วน ป่อเต็กตึ๊ง1418
#ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน

10 เหตุผล ที่บางพรรคพยายามหนุน 'เมียนมา' ให้มาอยู่ไทย แต่ทำไมไม่สนับสนุน 'ลาว' หรือ 'กัมพูชา' สักเท่าไร

(18 ก.ย. 67) หลายคนตั้งคำถามว่า ทำไมกลุ่มพรรคการเมืองบางพรรครวมถึงกลุ่ม NGO บางกลุ่มในไทย พยายามผลักดันผู้อพยพชาวเมียนมาให้มาอยู่ในไทยได้ แต่ทำไมไม่สนับสนุนลาวหรือกัมพูชาบ้าง วันนี้ เอย่า จะมาวิเคราะห์ให้ทราบกัน...

1. เครือข่ายเดียวกัน เราจะพบว่าผู้อพยพส่วนใหญ่คือ กลุ่มสามกีบพม่าที่เกลียดรัฐบาลทหาร ซึ่งคนพวกนี้จะสนับสนุนรัฐบาล NUG ที่ได้รับทุนสนับสนุนจากตะวันตกเช่นเดียวกับ NGO และพรรคการเมืองบางพรรคที่น่าสงสัยว่ามีกลุ่มชาติตะวันตกให้การสนับสนุน

2. ถ้าเปรียบเทียบคนต่างด้าวที่มาอยู่ก่อนจะพบว่า คนพม่ามีประวัติดี มีจิตใจดี ขยัน ซื่อสัตย์อดทน ไม่เรียกร้องเหมือนลาวกับกัมพูชา

3. มีเครือข่ายสมาคม ชมรมในไทยที่เป็นคนชาติเดียวกันหรือชาติพันธุ์เดียวกัน พร้อมช่วยเหลือกันอย่างลับ ๆ พร้อมกับมีฝ่ายกฎหมายที่พร้อมจะโจมตีผู้เห็นต่าง

4. มีพวกพ้องไม่ใช่เฉพาะแรงงาน แต่รวมไปถึงเศรษฐีและผู้ประกอบการ

5. ประเทศไทยเป็นแหล่งพักเงินและจัดหาสิ่งต่าง ๆ สำหรับส่งให้ฝ่ายต่อต้านง่าย ทั้งเสบียงและอาวุธ

6. ในกลุ่มโซเชียลคนพม่าเองบอกว่า ข้าราชการไทยชอบเงิน ซื้อได้ทุกคน ขอแค่มีเงินจ่าย

7. ประเทศไทยเดินทางสะดวก ทั้งที่พม่าและประเทศอื่น หากกรณีจะออกไปต่อประเทศที่ 3

8. คนไทยอะไรก็ได้ คนไหนเคยผิดกฎหมายบ้านเมืองตัวเอง แต่หากทำดีกับคนไทยในชุมชนนั้น ๆ คนไทยก็พร้อมจะมองข้ามและปกป้องด้วยอีกต่างหาก

9. ประเทศไทยเปลี่ยนกฎหมายง่าย เมื่อเปลี่ยนผู้นำและมีนโยบายต่อคนต่างด้าวเป็นมิตร

10. คนไทยไม่สนใจอดีต แม้จะเคยเป็นต่างด้าวมาก่อน ก็สามารถรับราชการใหญ่โตในไทยได้ ทำให้คนที่แม้จะได้สัญชาติไทย แต่จิตใจยังเป็นชาติพันธุ์ จึงพยายามผลักดันให้กลุ่มชาติพันธุ์มีบทบาทมากกว่าคนไทย

‘4 นักเทนนิสสาว’ เรียนรู้วัฒนธรรมไทยอันงดงาม ผ่านกิจกรรม ‘ร้อยพวงมาลัยดอกไม้สด’

(18 ก.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวการแข่งขันเทนนิสอาชีพหญิงรายการใหญ่ที่สุดของอาเซียน ดับเบิลยูทีเอ 250 รายการ ‘แอลไลด์ ไทยแลนด์ โอเพ่น 2024 พรีเซนเต็ด บาย แคล-คอมพ์’ ชิงเงินรางวัลรวม 267,082 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณเกือบ 10 ล้านบาท ที่อารีน่า หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ 

ล่าสุด ผู้จัดการแข่งขันฯ ได้จัดกิจกรรมพิเศษภายใต้การสนับสนุนของ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ให้นักเทนนิสระดับโลกได้เรียนรู้ และสัมผัสวัฒนธรรมการร้อยพวงมาลัยดอกไม้สด

โดย 4 นักเทนนิสสาวที่เข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ นำโดยนักหวดชาวไทย ‘แต้ว’ ทรรศพร นาคหล่อ มือ 3 ของไทย และมือ 333 ของโลก, อารีน่า โรดิโอโนวา มือ 115 ของโลก จากออสเตรเลีย, อลิเซีย พาร์ค มือ 116 ของโลก จากสหรัฐอเมริกา และ ยาน่า เฟทท์ มือ 129 ของโลก จากโครเอเชีย ได้เดินทางมาร่วมกิจกรรมการร้อยพวงมาลัย ที่สนามหน้าห้อง แทมมาลีน บลูพอร์ต วิง ฝั่งตรงข้ามโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล หัวหิน รีสอร์ท จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยมี สุวรรณา คุ้มเจริญ ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดดอกไม้ ประจำโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล หัวหิน รีสอร์ท ให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดกิจกรรม นักเทนนิสทั้ง 4 คน ต่างสนุกและตื่นตาตื่นใจในการเรียนรู้การร้อยพวงมาลัยดอกมะลิ โดย แต้วที่แม้เป็นคนไทย ยังอดตื่นเต้นไปกับกิจกรรมนี้ไม่ได้ เพราะเจ้าตัวเองก็ไม่เคยมีโอกาสได้ร้อยพวงมาลัยมาก่อน

นอกจากนี้ ในระหว่างกิจกรรม ฯพณฯ สุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และนายกกิตติมศักดิ์สมาคมกีฬาลอนเทนนิสแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ในฐานะประธานที่ปรึกษาการจัดการแข่งขัน ‘แอลไลด์ ไทยแลนด์ โอเพ่น 2024 พรีเซนเต็ด บาย แคล-คอมพ์’ ได้เดินทางมาร่วมชม พร้อมพูดคุยกับนักกีฬาทั้ง 4 คนอย่างเป็นกันเองด้วย และหลังจากใช้เวลาประมาณ 20 นาที นักเทนนิสทั้ง 4 คน สามารถร้อยพวงมาลัยได้เสร็จสมบูรณ์ พร้อมกับได้พวงมาลัยที่เป็นงานฝีมือของตัวเองติดมือกลับไปด้วย

สำหรับการร้อยมาลัยถือเป็นอีกเอกลักษณ์อย่างหนึ่ง ที่บ่งบอกถึงศิลปะและวัฒนธรรมไทยได้เป็นอย่างดี ซึ่งมีคุณค่าทั้งในด้านความสวยงาม ประณีต สื่อถึงความหมายไปในทางที่ดี อีกทั้งกิจกรรมนี้ยังช่วยสืบสานวัฒนธรรมของไทยที่มีมาตั้งแต่โบราณ และเป็นการฝึกสมาธิและจิตใจที่ดีอีกด้วย

'เลบานอน' อ้าง 'อิสราเอล' ฝังระเบิดไว้ในเพจเจอร์ 5,000 เครื่อง ตั้งแต่ขั้นผลิต ชี้!! ยากต่อการตรวจจับ และจะระเบิดเมื่อได้รับข้อความที่เป็นสัญญาณ

(18 ก.ย. 67) สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานข่าว อ้างอิงแหล่งข่าวด้านความมั่นคงระดับสูงของเลบานอนและแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้อง ระบุว่า มอสซาด หน่วยงานด้านข่าวกรองและปฏิบัติการพิเศษของอิสราเอลฝังระเบิดไว้ในวิทยุติดตามตัว หรือ เพจเจอร์ ที่ใช้สำหรับการรับข้อความสั้น ๆ 5,000 เครื่อง ที่นำเข้าโดยกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ (Hezbollah) ในเลบานอน หลายเดือนก่อนที่จะเกิดการระเบิดในวันอังคาร (17 ก.ย.)

ปฏิบัติการที่เกิดขึ้นถือเป็นการเจาะระบบความมั่นคงของฮิซบอลเลาะห์อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งทำให้เพจเจอร์หลายพันเครื่องระเบิดทั่วเลบานอน ทำให้มีผู้เสียชีวิต 9 ราย และบาดเจ็บเกือบ 3,000 คน รวมถึงนักรบของฮิซบอลเลาะห์และเจ้าหน้าที่การทูตของอิหร่านในกรุงเบรุต ของเลบานอน แหล่งข่าวด้านความมั่นคงของเลบานอนระบุว่า เพจเจอร์เหล่านี้มาจากบริษัทโกลด์ อพอลโล ซึ่งมีสำนักงานอยู่ในไต้หวัน แต่ทางบริษัทออกมาระบุว่า ไม่ได้เป็นผู้ผลิตเพจเจอร์ดังกล่าว แต่เพจเจอร์นี้ผลิตในบริษัทในทวีปยุโรปที่ได้สิทธิในการใช้ยี่ห้อของโกลด์ อพอลโล กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ ที่มีอิหร่านหนุนหลังประกาศจะตอบโต้เอาคืนอิสราเอล ในขณะที่กองทัพอิสราเอลปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นเกี่ยวกับการระเบิดของเพจเจอร์ แหล่งข่าวหลายแหล่งให้ข้อมูลกับรอยเตอร์สว่า แผนการครั้งนี้ใช้เวลาดำเนินการหลายเดือน

แหล่งข่าวด้านความมั่นคงของเลบานอนกล่าวว่า กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ สั่งซื้อเพจเจอร์ 5,000 เครื่องจากบริษัทโกลด์ อพอลโล และมีรายงานว่า เพจเจอร์ที่สั่งซื้อนี้ถูกนำเข้ามายังเลบานอนเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ซู ชิง-กวง ผู้ก่อตั้งโกลด์ อพอลโล กล่าวว่า เพจเจอร์ที่เกิดการระเบิดดผลิตโดยบริษัทแห่งหนึ่งในยุโรปที่ได้สิทธิในการใช้ชื่อแบรนด์ของบริษัท ซึ่งมีสำนักงานอยู่ไนไต้หวัน เขายืนยันว่า ผลิตภัณฑ์นี้ไม่ได้เป็นของบริษัท เพียงแต่มีชื่อแบรนด์บนผลิตภัณฑ์เท่านั้น แต่เขาไม่ได้เปิดเผยชื่อของบริษัทที่เป็นผู้ผลิตเพจเจอร์แต่อย่างใด บรรดานักรบของฮีซบอลเลาะห์หันมาใช้เพจเจอร์ในการสื่อสารเพื่อหลบเลี่ยงการติดตามของอิสราเอล

แหล่งข่าวกล่าวว่า เพจเจอร์มีการปรับแต่งฝังระเบิดโดยมอสซาดในระหว่างการผลิต ซึ่งแผงวงจรที่ใช้นั้น ยากต่อการตรวจจับ โดยเพจเจอร์ 3,000 เครื่องจะระเบิดเมื่อได้รับข้อความที่เป็นสัญญาณ บางแหล่งข่าวระบุว่า ระเบิดน้ำหนักราว 3 กรัม ถูกซ่อนไว้ในเพจเจอร์และผ่านการตรวจของฮิซบอลเลาะห์มาเป็นเวลาหลายเดือน

'สาว' โพสต์!! 'น้องชาย' ไม่ผ่านทดลองงาน เหตุใส่เสื้อสีส้มและใช้ภาษาอีสานในที่ทำงาน

(18 ก.ย. 67) จากกรณี ผู้ใช้เฟซบุ๊ก 'Ployly Pornprapha Linlaphat' ได้โพสต์ข้อความ ว่า "น้องชายเราไม่ผ่านการทดลองงาน ตอนนี้ดิ่งมาก งานก็หายาก" โดยมีการแนบแชตระบุเนื้อหาบทสนทนาของน้องชายกับฝ่ายบุคคลด้วย ว่า...

>> น้องชาย: 
แล้วคะแนนประเมินส่วนไหนของผมที่ไม่ผ่านอ่ะครับ

>> ฝ่ายบุคคล: 
ที่เขาแจ้งมามี 2 ข้อค่ะ
1. คุณนัทชอบใส่เสื้อส้มมาทำงาน เชื่อว่ามีความคิดชังชาติ อาจมีพฤติกรรม ฝักใฝ่ฝ่ายล้มล้างการปกครอง อั้งยี่ ซ่องโจรได้ในอนาคต
2. คุณนัทมักใช้ภาษาอีสานในที่ทำงานกับเพื่อนร่วมงาน ซึ่งเป็นข้อห้ามโดยเด็ดขาด

>> น้องชาย: 
ขอผมคุยกับพี่เลิศอีกทีได้ไหมครับ

>> ฝ่ายบุคคล: 
คงไม่ได้นะคะ เพราะพี่เลิศลงนามไปแล้วและเสนอให้ MD ไปแล้วค่ะ

อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็ทำให้เกิดคำถามในโลกโซเชียลว่า เป็นเรื่องจริงหรือแค่คอนเทนต์ เพราะถ้าเป็นเรื่องจริง ก็ถือว่าโชคดีแล้วที่ไม่ต้องร่วมงานกับองค์กรแบบนี้ ขณะเดียวกัน อีกมุมก็มองว่า นี่อาจเป็นการปั่นกระแส ด้วยการสร้างนิยายในอากาศ เพื่อหวังผลบางประการทางการเมืองหรือไม่?

กรณีศึกษา 'สิงคโปร์' ประเทศที่ทายาททางการเมืองต้องมีคุณสมบัติสุดยอด ผ่านการ 'คัดเลือก-ฝึกฝน-บ่มเพาะ-ขัดเกลา-พิสูจน์ตน' จนไร้ข้อกังขา

เรื่องราวของการสืบทอดอำนาจเกิดขึ้นมานานนับพันปีแล้ว ตั้งแต่มีการกำเนิดก่อเกิดของรัฐชาติ (Nation State) ต่าง ๆ บนโลกใบนี้ เหล่าบรรดาผู้ปกครองในประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ต่างก็มีการกำหนด วางตัว ผู้ที่จะเข้ามาทำหน้าที่ในการสืบทอดอำนาจต่อ ซึ่งมักจะเป็นลูกหลาน พี่น้อง วงศ์วานว่านเครือ หรือผู้ที่สนิทสนมใกล้ชิด 

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแล้ว ผู้ปกครองที่ฉลาด มีความสามารถ และมีคุณธรรม จะพิจารณาถึง ความรู้ ความสามารถ และคุณธรรมของทายาทผู้ที่จะสืบทอดก่อนเป็นเรื่อง แรก ๆ ส่วนเหตุผลอื่น ๆ เป็นเรื่องรองลงไป

ด้วยเพราะการดำรงคงอยู่รอดต่อไปได้ของรัฐชาตินั้น ๆ ผู้ปกครองต้องมี ความรู้ ความสามารถ และคุณธรรม ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการปกครองนำพาบ้านเมืองให้สามารถดำรงคงอยู่และมีความเจริญก้าวหน้าต่อไปได้

'สิงคโปร์' ประเทศเกาะเล็ก ๆ ซึ่งถือกำเนิดเกิดขึ้นไม่ถึง 60 ปี แต่ความเจริญกลับก้าวข้ามมาเป็นอันดับหนึ่งของภูมิภาค ASEAN และเป็น 1 ใน 5 อันดับของประเทศที่เจริญที่สุดในทวีปเอเชีย และเป็นประเทศที่ติดอันดับต้น ๆ ของโลกในการจัดอันดับอีกมากมายหลายประเภท ทั้ง ๆ ที่ทรัพยากรที่มากที่สุดของประเทศเกาะแห่งนี้คือ ‘ประชาชนพลเมืองชาวสิงคโปร์’ ราว 3,600,000 คนเท่านั้น

ทั้งนี้ การที่จะขับเคลื่อนผลักดันประเทศเล็ก ๆ อย่างสาธารณรัฐสิงคโปร์ ซึ่งแยกตัวออกจากสหพันธรัฐมาเลเซียเมื่อปี ค.ศ. 1959 และประกาศเอกราชในปี ค.ศ. 1965 จนกลายเป็นประเทศที่มีความทันสมัยก้าวหน้าจนติดอันดับโลกได้นั้น ผู้ที่ทำหน้าที่ดังกล่าวต้องมีวิสัยทัศน์ที่เยี่ยมยอด กอปรด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจอย่างมากล้น มีอุดมการณ์เสียสละเพื่อประเทศชาติอย่างไม่สามารถหาที่เปรียบได้ และเป็นนักการเมืองที่มีคุณภาพเป็นเลิศ

เริ่มที่ ‘Lee Kuan Yew’ (ลี กวนยู) อดีตนายกรัฐมนตรีคนแรกและรัฐบุรุษของสิงคโปร์ ผู้ที่ทำหน้าที่ ฟูมฟัก ก่อร่าง สร้างประเทศนี้ และดูแลจนกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิต เป็นตัวอย่างที่ยากยิ่งที่จะหานักการเมืองคนอื่นใดในโลกมาเทียบเคียงได้ในทุก ๆ ด้าน ที่สำคัญคือ ยอมและกล้าที่จะก้าวลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่เป็นมายาวนานถึง 31 ปี (ตั้งแต่สิงคโปร์แยกตัวออกจากสหพันธรัฐมาเลเซีย) ด้วยวัย 67 ปีเท่านั้น และส่งมอบตำแหน่งต่อให้กับ ‘Goh Chok Tong’ (โก๊ะ จ๊กตง) อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 2

ผู้สืบทอดตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐสิงคโปร์คนต่อมา อย่าง ‘Goh Chok Tong’ (โก๊ะ จ๊กตง) สำเร็จการศึกษาเศรษฐศาสตรบัณฑิต (เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง) จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติของสิงคโปร์ ปริญญาโทด้านการพัฒนาเศรษฐกิจจากวิทยาลัย Williams มลรัฐ Massachusetts สหรัฐอเมริกา และกลับมาทำงานเป็นผู้จัดการฝ่ายแผนงานและโครงการของ Neptune Orient Lines Limited (NOL) บริษัท Container shipping สัญชาติสิงคโปร์ ก่อนที่จะเข้าสู่แวดวงการเมืองโดยเป็นสมาชิกรัฐสภา เขต Marine Parade ในปี ค.ศ. 1978 และอีก 3 ปีต่อมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรม, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรองนายกรัฐมนตรี ก่อนเข้าตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวัย 49 ปี ต่อจาก ‘Lee’ ในปี ค.ศ. 1990 

ต่อมาสำหรับ ‘Lee Hsien Loong’ (ลี เซียนลุง) ผู้เป็นบุตรชายของ ‘Lee Kuan Yew’ ซึ่งถูกมองว่าเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อจากบิดาตัวจริง ก็ได้ผ่านการ ฝึกฝน บ่มเพาะ ขัดเกลา และพิสูจน์ตัวเอง มาอย่างยาวนาน โดย ‘Lee’ ผู้ลูก สำเร็จการศึกษาศิลปศาสตรบัณฑิต (เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง) สาขาคณิตศาสตร์จากวิทยาลัย Trinity มหาวิทยาลัย Cambridge สหราชอาณาจักร โดยทุนของคณะกรรมาธิการภาครัฐ (Public Service Commission) ประกาศนียบัตรชั้นสูง (เทียบเท่าปริญญาโท) สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ (เกียรตินิยม) จากมหาวิทยาลัยเดียวกัน

Denis Marrian อาจารย์ผู้สอนของ ลี เซียนลุง อธิบายว่า 'Lee' เป็น 'นักคณิตศาสตร์ที่ฉลาดที่สุดที่เคยมีในวิทยาลัย' และ Béla Bollobás อาจารย์ผู้สอนของเขาอีกคน กล่าวว่า “Lee คงจะเป็นนักคณิตศาสตร์วิจัยระดับโลก แต่พ่อของเขาไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนี้ และให้ Lee กลับสิงคโปร์เพื่อเป็นนายทหารของกองทัพสิงคโปร์”

‘Lee’ ผู้ลูกเข้าเป็นทหารในปี ค.ศ. 1971 ก่อนที่จะเป็นนายทหารสัญญาบัตรระหว่างปี ค.ศ. 1974-1984 เขารับตำแหน่งต่าง ๆ ในกองทัพมากมาย รวมทั้งได้รับมอบหมายให้เป็นผู้บัญชาการในปฏิบัติการช่วยเหลือในเหตุภัยพิบัติรถกระเช้า Sentosa เมื่อ 29 มกราคม ค.ศ. 1983 ซึ่งเป็นปีที่เขาได้รับการเลื่อนยศเป็นพลจัตวา (เทียบเท่ากับพันเอกพิเศษ) ก่อนลาออกจากกองทัพเพื่อเข้าสู่วงการเมืองในปี ค.ศ. 1984 

สำหรับ ‘Lee Hsien Loong’ เป็นสมาชิกรัฐสภาสมัยแรกในเขต Teck Ghee ในปี ค.ศ. 1986 เขาได้รับการแต่งตั้งให้รักษาการรัฐมนตรีกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรม ในปี ค.ศ. 1987 เขาได้เข้าเป็นสมาชิกคณะรัฐมนตรีเต็มรูปแบบในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรม และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และขึ้นเป็นรองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลของ ‘Goh Chok Tong’ ในปี ค.ศ. 1990 แล้วรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 3 ของสาธารณรัฐสิงคโปร์เมื่อ 12 สิงหาคม ค.ศ. 2004 และก้าวลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่เป็นมา 19 ปีเศษในวัย 72 ปี แล้วส่งมอบตำแหน่งต่อให้กับ ‘Lawrence Wong’ นายกรัฐมนตรีคนที่สี่ของสาธารณรัฐสิงคโปร์ วัย 52 ปี เมื่อ 15 พฤษภาคม ค.ศ. 2024

ต่อกันที่ นายกรัฐมนตรีคนที่ 4 ของสาธารณรัฐสิงคโปร์ ‘Lawrence Wong’ (ลอว์เรนซ์ หว่อง) สำเร็จการศึกษาศิลปศาสตรบัณฑิต (เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง) สาขาเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Wisconsin วิทยาเขต Madison สหรัฐอเมริกา โดยทุนของคณะกรรมาธิการภาครัฐ (Public Service Commission) เช่นเดียวกับอดีตนายกรัฐมนตรี ‘Lee Hsien Loong’ ปริญญาโทด้านเศรษฐศาสตร์ประยุกต์จากมหาวิทยาลัย Michigan มลรัฐ Michigan สหรัฐอเมริกา และปริญญาโทด้านรัฐประศาสนศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Harvard University มลรัฐ Massachusetts สหรัฐอเมริกา

‘Lawrence Wong’ เริ่มต้นชีวิตการทำงานโดยเข้าทำงานในกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรม ย้ายมาอยู่กระทรวงการคลัง เป็นเลขานุการส่วนตัวของอดีตนายกรัฐมนตรี ‘Lee Hsien Loong’ ระหว่างเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2005 ถึงเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2008 ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2008 เขาดำรงตำแหน่งรองประธานเจ้าหน้าที่บริหารของสำนักงานตลาดพลังงาน และขึ้นเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารเมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2009 และลาออกจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 2011 เพื่อเข้าสู่วงการเมือง 

ในปี ค.ศ. 2011 ‘Wong’ เป็นสมาชิกรัฐสภาสมัยแรกในเขต West Coast และรับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมพร้อมกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการในปีเดียวกัน ต่อมาเขาได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ชุมชน และเยาวชน พร้อมกับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสื่อสารและสารสนเทศ 

หลังการเลือกตั้งทั่วไปในปี ค.ศ. 2015 ‘Wong’ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาประเทศ พร้อมกับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง

หลังการเลือกตั้งทั่วไปในปี ค.ศ. 2020 ‘Wong’ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ 14 เมษายน ค.ศ. 2022 เขาเข้ารับตำแหน่งแทนรองนายกรัฐมนตรี ‘Heng Swee Keat’

‘Lawrence Wong’ ได้เข้าพิธีสาบานตนอย่างเป็นทางการเมื่อเวลา 20.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นของวันที่ 15 พฤษภาคม ค.ศ. 2024 เขากลายเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 4 ของประเทศ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อจาก ‘Lee Hsien Loong’ และเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกที่เกิดหลังสิงคโปร์ได้ประกาศเอกราชในปี 1965 

โดยสุนทรพจน์ครั้งแรกในฐานะนายกรัฐมนตรีของ ‘Wong’ มีความว่า “นี่คือคำสัญญาของผมที่มีต่อชาวสิงคโปร์ทุกคน ผมจะรับใช้พวกคุณด้วยหัวใจทั้งหมด ผมจะไม่ยอมรับสภาพเดิม ผมจะแสวงหาวิธีที่ดีกว่าเสมอเพื่อทำให้วันพรุ่งนี้ดีกว่าวันนี้” และเขายังกล่าวอีกว่า ภารกิจของเขาในฐานะนายกรัฐมนตรีคือ “การฝ่าฟันอุปสรรคและรักษาปาฏิหาริย์ที่เรียกว่า ‘สิงคโปร์’ นี้ไว้ต่อไป” 

โดยสรุปแล้ว การที่สาธารณรัฐสิงคโปร์ ประเทศเกาะเล็ก ๆ ซึ่งถือกำเนิดเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1965 ยังไม่ครบ 60 ปี สามารถสร้างความเจริญเติบโต จนมาเป็นประเทศอันดับหนึ่งของภูมิภาค ASEAN จึงไม่ได้มีการสืบทอดทายาททางการเมืองอย่างไร้ทิศทาง โดยไม่มีการเตรียมการหรือเตรียมพร้อม ทั้งยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงคุณภาพของ ‘ประชาชนพลเมืองชาวสิงคโปร์กว่า 3,600,000 คน ซึ่งสะท้อนผ่านผลการเลือกตั้งที่เลือกนักการเมืองคุณภาพเข้ามาบริหารสิงคโปร์ได้อย่างแท้จริง 

ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ในอนาคตอันใกล้นี้ คงต้องมีสักวันหนึ่งที่พี่น้องประชาชนคนไทยจะได้ตระหนักรู้และเลือกนักการเมืองที่ถึงพร้อม ทั้งคุณภาพ และคุณสมบัติ มีวิสัยทัศน์ที่เยี่ยมยอด มีความมุ่งมั่นตั้งใจอย่างล้นเหลือ เป็นคนดีมีศีลธรรม มีอุดมการณ์เสียสละเพื่อชาติบ้านเมืองและพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งหมดทั้งมวล 

ที่สำคัญ ต้องไม่มีแนวคิดบ่อนทำลายเซาะกร่อนความมั่นคงของชาติ ยึดมั่นใน ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ อันเป็นสถาบันหลักของชาติ เช่นนี้แล้วประเทศชาติจึงจะเดินหน้าไปสู่ความเจริญก้าวหน้าอย่างผาสุกและยั่งยืนตลอดไป...


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top