Friday, 20 June 2025
TheStatesTimes

โซเชียลเดือด!! สส.พรรคส้ม แจมสัมมนา Sex Creator ร่วม 'ชายต๊อง' หมกมุ่นแต่ 'เหล้า-เบียร์-เซ็กซ์-พม่า' ส่วนปัญหาบ้านเมือง-ทุนเทา เงียบกริบ

จากกรณีเมื่อวันที่ 17 ก.ย.67 ทนายแจม สส.ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ พรรคประชาชน ได้โพสต์ข้อความผ่านแพลตฟอร์ม X ว่า...

“วานนี้ (16 ก.ย. 67) แจมได้รับเชิญมาร่วมวงสัมมนาในหัวข้อ Sex Creator เพศพาณิชย์ โอกาสหรือความอับอาย ที่จัดโดย คณะกรรมาธิการท่องเที่ยว สภาผู้แทนราษฎร ที่รัฐสภาค่ะ…

“สัมมนาครั้งนี้ ได้ร่วมเสวนากับ สส. เท่าพิภพ @taopiphop, คุณชายต๊อง Sex Creator และคุณเอช จากองค์กร Daydm ได้แลกเปลี่ยนกันหลายประเด็นมาก ๆ เช่น -Sexual Pleasure Right is Human Right. สิทธิในความพึงพอใจทางเพศเป็นสิทธิมนุษยชนอย่างหนึ่ง…

“- Sex toys ที่เป็นส่วนสำคัญในการแก้ปัญหาสุขภาวะทางเพศ ได้เปิดโลกมาก ๆ ว่า เซ็กส์ทอยตอนนี้พัฒนาไปไกลมาก ๆ ค่ะ…

“- กฎหมายที่ทำให้ Sex Creator ไม่สามารถทำได้ และไม่ได้ถูกปกป้องจากกฎหมายลิขสิทธิ์ และ การกีดกันของกฎหมายที่ส่งผลถึงอุตสาหกรรมหนังผู้ใหญ่ที่ช่วยให้เกิดอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวได้…

“สุดท้ายการจะผลักดันกฎหมายที่ก้าวหน้า ต้องอาศัยการให้ความรู้ความเข้าใจกับสังคมไปพร้อม ๆ กัน สังคมที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว แต่กฎหมายปัจจุบันไม่สามารถตามทันได้ในปัจจุบัน สุดท้ายก็จะสามารถผลักดันให้เกิดขึ้นได้ในอนาคตค่ะ…

“#กมธท่องเที่ยว #Sextourism #ทนายแจมศศินันท์”

หลังจากโพสต์ดังกล่าวปรากฏ ก็ทำให้ชาวโซเชียลแสดงความเห็นถึงการที่ พรรคประชาชน ถึงเชิญ นายธนพณ เชี่ยวสุทธิ อายุ 29 ปี มีฉายา 'ชายต๊องหญิงเพี้ยน' ผู้ต้องหาคดีค้ามนุษย์ และพรากผู้เยาว์ มาร่วมงานครั้งนี้ อาทิ...

- คนที่คุณคุยด้วยคือคนที่เคยมีคดีล่วงละเมิดทางเพศเด็กอายุ 16 มันจะซ้ายจัดจนไร้สติอะไรขนาดนั้นน่ะ แค่นี้ประเทศไทยก็เหมือนไม่มีกฎหมายอยู่แล้วนะ

- ภูมิใจไหมครับ ที่มีคนเหี้*ๆ ที่จ้างเด็กอายุ 16 มาเอา มาร่วมเสวนาด้วย คุณคงภูมิใจ

- ไม่เห็นด้วยกับการให้พื้นที่กับคนที่มีคดีอนาจารเด็ก แม้แต่ในมาตรฐานสากลพวกที่ทำกับเด็ก ไม่มีโอกาสมาลอยหน้าลอยตาในสังคม เท่าพิภพนี่หลายรอบแล้วทำงานชุ่ยมาก ไม่ได้เช็กประวัติคนที่เชิญมาก่อนเหรอว่ามายังไง

- บ้าหรือเปล่าสนับสนุนให้เด็กขายตัว ดูหนังโป๊มากไปไหมครับ? เลิกทำเรื่องชั่ว ๆ เถอะ ตายไปจะได้ไม่ต้องลงมาหานรกขุม 3 ทุกข์ทรมานยาวนานชั่วกัปชั่วกัลป์

- ยากจะช่วย Defend พี่แจม แต่พอนึกถึงรูปนั้นแล้วก็ช่วยไม่ลงจริง ๆ ครับ

- แล้ว สส. ไม่ได้รีเช็กอะไรเลยเหรอ ให้คนนี้ที่มีคดีเคยบอกว่าตัวเองถูกหลอกไม่รู้มาก่อนว่าน้องมันเด็ก แล้วเด็กมันก็หลอก หรือเจ้าตัวเองก็ไม่ได้หนีข้อหา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นความเหมาะสมอ่ะค่ะ คนอื่นก็ได้นะคะ ไม่ใช่คนนี้ที่เป็นสุดยอด Sex Creator เพียงคนเดียวค่ะ คนอื่นมาตรฐานดีกว่าเค้าก็มี

- ไม่ควรเชิญคนทำผิดกฎหมาย โดยเฉพาะละเมิดเด็กเรื่องเพศ มามีหน้ามีตาในสังคม

- ทนาย ควรเห็นใจเหยื่อ วัย 16 ปีนะ คิดดูสิ ถ้าเป็นลูกหลาน โดนหลอกมาทำแบบนี้ จะรู้สึกยังไงฮะ

- เอาคนใส่ EM มา ความน่าเชื่อถือเป็น 0 เลย คนที่ผลักดันด้านนี้ผมก็เห็นว่ามีเยอะ ทำไมต้องไอชายต๊องอะ เอาคนที่ไม่มีคดีไม่ได้แล้วหรอ

- สนับสนุนเรื่องทางเพศ โดยเอาคนล่อลวงเยาวชนมาถ่ายหนังโป๊มาสัมมนาป่าวนะ ที่ข้อเท้ากำไลสั่งทำพิเศษเหรอคะ แบบที่ไม่มีคดีไม่มีใส่รึเปล่า 

- คิดยังไงกับข่าวพ่อบังคับลูกทำ Only Fans ครับ

- ทำไมหมกมุ่นอยู่กับเรื่องพวก เหล้า เบียร์ Sex พม่า ปาเลสไตน์ เดี๋ยวนี้ ลืมเรื่องใหญ่ๆ หมดเช่น ส่วยรถบรรทุก จีนเทา และสารพัดเรื่อง

เมื่อกระแสไม่พอใจเริ่มลุกลาม ทางด้าน สส.เพชร กรุณพล เทียนสุวรรณ จึงได้โพสต์ข้อความใน X โดยชี้แจงว่า นายธนพณ เชี่ยวสุทธิ เป็นผู้ต้องหาค้ามนุษย์และล่วงละเมิดทางเพศผู้เยาว์จริง แต่โดนผู้เยาว์หลอกว่าอายุ 20 แล้ว พร้อมทั้งระบุว่า หากกฎหมายที่พรรคของตนเสนอนำมาบังคับใช้ จะมีการขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้อง เซ็กซ์ครีเอเตอร์ จะไม่โดนเด็กหลอกโกงอายุอีกต่อไป ดังนี้...

“ชี้แจงกรณีที่ กมธ.ท่องเที่ยว เชิญ Sex Creator ที่มีคดีล่วงละเมิดทางเพศกับผู้หญิงอายุ 16 ปีมาเสวนาในงานดังนี้...

“1.ทนายแจมเป็นแขกรับเชิญมาให้ความเห็นทางกฎหมายเนื่องจากเป็นทนายที่เชี่ยวชาญเรื่องสตรีและผู้เยาว์…

“2.มีข้อสงสัยว่า Sex Creator ท่านนี้ถูกผู้เยาว์หลอกว่าอายุเกิน 20 ปีจริงหรือไม่ และหากมีกฎหมายแบบต่างประเทศที่ผู้อยู่ในธุรกิจ Sex Creator ต้องลงทะเบียน ทำให้ป้องกันผู้เยาว์เข้าสู่ธุรกิจนี้ได้จริงหรือไม่…

“3.เมื่อไม่มีกฎหมายบังคับและทุกวันนี้ทุกคนสามารถเข้าสู่โซเชียลมีเดียได้อย่างง่ายดาย  จึงเป็นอันตรายอย่างยิ่งที่จะถูกล่อลวงให้เป็นทั้งผู้ชมหรือผู้แสดง จึงต้องฟังข้อมูลจากฝั่งผู้ผลิตผลงานที่เคยกระทำผิด เพื่อหาทางป้องกันให้เท่าทันกับโลกที่เปลี่ยนไป…

“4.เป็นการแลกเปลี่ยนความเห็นทั้งคัดค้านและสนับสนุน เพื่อนำความเห็นที่แตกต่างไปหาทางออกสำหรับข้อกังวลของสังคมเกี่ยวกับ Sex Creator และ Sex Toys…

“5.หลายท่านอาจมองว่ามี Sex Creator อีกหลายท่านที่ควรเชิญมาแทน แต่สำหรับ ตัวแทนกมธ.คิดว่าหากเชิญคนที่ไม่มีปัญหาก็อาจได้มุมมองที่คล้ายๆกัน แต่คนที่มีปัญหาอาจได้ข้อมูลที่แตกต่าง เพื่อใช้เป็นข้อมูลที่อาจมองข้ามหรือไม่เป็นที่สนใจ เพื่อใช้ในการออกแบบกฎหมายในอนาคต…

“6.การทำงานทางความคิดเกี่ยวกับเรื่อง Sex Creator และ Sex Toys ในประเทศไทย ยังต้องใช้เวลาและความเข้าใจเป็นอย่างมาก แม้หลายประเทศที่เจริญกว่าเราจะอนุญาตให้ทำและมีกฎหมายรองรับ แต่ก็อาจมีวัฒนธรรมที่แตกต่างกันกับสังคมไทย ที่เราจำเป็นต้องเคารพและรับฟังผู้ที่เป็นกังวลและเห็นต่าง ไม่ว่าทุกท่านที่อ่านมาจนถึงตรงนี้จะมีความเห็นอย่างไร ทางพรรคประชาชนยินดีรับฟังและน้อมรับคำแนะเพื่อให้กฎหมายเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นประโยชน์มากที่สุด เหมาะสมกับยุคสมัยและความรู้สึกของคนไทยไม่ว่าจะเป็นคนหัวก้าวหน้าหรืออนุรักษ์นิยม…

“#พรรคประชาชน”

ทั้งนี้ก็มีผู้เข้ามาสนับสนุนพรรคประชาชน และผู้ไม่เห็นด้วย เข้ามาแสดงความเห็นต่าง ๆ เช่น...

- เยี่ยม ฟอกขาวให้อาชญากรอีก สนับสนุนให้เยาวชนขายตัวและถ่ายหนังโป๊ และยังช่วยกันปกป้องผู้กระทำผิดอีกด้วย จะชั่วไปถึงไหน???

- เรามองว่า ไม่ใช่เรื่องด่วนหรือจำเป็นต้องทำ และคิดว่าคนทำผิดกฎหมาย พรรคก้าวไกล กลับเชิญมาเป็นวิทยากร ยิ่งแย่มาก

- Sex Toy ทำไปเลยเพราะมันอยู่ในที่ลับ แต่ Sex Creator ขอคัดค้าน เพราะมันจะกลายเป็นตราบาปให้กับเด็กผู้หญิง ที่อาจตัดสินใจทำไปเพราะหลงผิดหรือคาดไม่ถึง แต่มันจะกลายเป็นตราบาปที่ล้างไม่ออกตลอดไปของพวกเธอ จะกลายเป็นปัญหาสังคมในภายภาคหน้า ให้มันอยู่ในมุมมืด ๆ ดีแล้ว

- คุณเพชรโพสต์แบบนี้ดีครับ รู้สึกเป็นงานเป็นการ ฝ่ายตรงข้ามที่จ้องหาช่องเอาไปปั่นเรื่องต่อก็ทำยากขึ้นครับ 

- ให้กำลังใจครับ ดูจากเมนต์ คงต้องทำงานทางความคิดเพิ่มอีกเยอะครับ

- ไม่แปลกใจ ในอดีต พรรคคุณยังมีสมาชิกที่ไปล่วงละเมิดทีมงานเลย อุดมการณ์เรื่องแบบนี้แรงกล้ามาก

- ก่อนทำ Content ทุกครั้ง ถ้าเขาขอตรวจสอบหลักฐานเรื่องอายุ เขาจะไม่ถูกหลอก ซึ่งตรวจสอบไม่ยาก ประเด็นนี้คือคนทำ Content ไม่ตรวจสอบให้ดีก่อน ทำไมไม่ตรวจสอบทั้งที่สุ่มเสี่ยงจะทำผิดร้ายแรง

- สนับสนุน Sex Creator ให้มีหนทางทำกิน ก็เหมาะสมกับพรรคนี้ดีนะครับ ลูกสาวบ้านใครก็ทำไปเหอะ แต่ไม่ใช่บ้านกู ใช่ไหมครับ อนาถใจกับข่าวพ่อข่มขืนลูกสาว 14 ปี ถ่าย OLF มาก

- เว็บเถื่อนสีดำ แชตส่วนตัว แชตลับ วิดีโอคอล ต่อให้มี กม.ควบคุม เยาวชนที่ฟุ้งเฟ้ออยากมีอยากได้อยากสบายอยากรวยทางลัด มันก็ยังทำอยู่ดี ยิ่งมีการสนับสนุนอาชีพนี้เท่ากับส่งเสริมทางอ้อมว่ามันเหมือนไม่ใช่ความผิดทางกม.มันมีแค่คำว่าอายุมากำหนด ทุกวันนี้เด็กประถมก็แอบทำคลิปหรือคอลกันแล้ว

- แค่ตั้งข้อสงสัยว่า 'ถูกผู้เยาว์หลอก' แค่นี้ก็บ่งบอกถึงคุณภาพ และแนวคิดของ สส. คุณภาพครับ เปลืองภาษีพวกกูจริง ๆ

- ตลกอะ ที่คุณพูดถึงเรื่องนี้ในกรณีที่ Sex Creator เป็นฝ่ายถูกหลอก แล้วก็เข้าข้างเขาในสภาการณ์นี้ ตรรกะมันจะวิบัติและเสื่อมไปได้ถึงขนาดนี้แล้วหรอ คุณก้อง

- แปลได้ว่า พรรคสนับสนุนคนแบบนี้ให้มีที่ยืนในสังคม ซึ่งก็ไม่แปลกใจอะไร

‘ผอ.สวนสัตว์ฯ’ แจงปมติ๊กต็อกเกอร์กล่าวหา ‘กักขังหมูเด้ง’ ยัน!! มีพี่เลี้ยงดูแล-ทีมแพทย์เช็กสุขภาพประจำทุกวัน

(20 ก.ย. 67) ที่บริเวณส่วนแสดงฮิปโปโปเตมัส สวนสัตว์เปิดเขาเขียว จ.ชลบุรี นายณรงวิทย์ ชดช้อย ผู้อำนวยการสวนสัตว์เปิดเขาเขียว เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีกระแสข่าวติ๊กต็อกเกอร์ต่างชาติ โพสต์คลิปรณรงค์ห้ามแชร์คลิป ‘น้องหมูเด้ง’ พร้อมแฉความมืดของสวนสัตว์ว่า การที่ทำกับน้องหมูเด้ง ตัวตึง ของสวนสัตว์เปิดเขาเขียวนั้น เป็นการกักขังสัตว์ป่า จนสัตว์นั้นลืมสัญชาตญาณความเป็นสัตว์ป่าไปแล้ว ทั้งการว่ายน้ำ หรือการหากินอาหาร อีกทั้งการที่สวนสัตว์ทำเช่นนี้ เป็นการหากินกับสัตว์

นายณรงวิทย์ กล่าวต่อว่า ทางสวนสัตว์มีภารกิจหลัก ๆ 4 ด้าน คือ การอนุรักษ์ วิจัยสัตว์ ให้การศึกษา และพักผ่อนหย่อนใจ ซึ่งในส่วนของเรื่องการอนุรักษ์ วิจัยสัตว์นั้น เรามีภารกิจในเรื่องของการเพาะพันธุ์สัตว์ป่าทั้งในเขตและนอกเขตอาศัยด้วย เพื่อนำกลับไปปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ ทั้งในส่วนของสวนสัตว์เปิดเขาเขียว ก็มีผลงานโดยการปล่อยนกกระเรียน วัวแดง คืนสู่ธรรมชาติ หรือแม้แต่นกกระสาคอขาว ที่ปล่อยคืนสู่ธรรมชาติที่ จ.บุรีรัมย์ และล่าสุดก็ทราบข่าวว่านกชุดที่ปล่อยไปนั้นออกลูกตามธรรมชาติได้แล้ว

ส่วนมาตรการในการดูแลน้องหมูเด้งนั้น ในทุก ๆ วันทางสวนสัตว์ก็จะมีทีมแพทย์เข้ามาตรวจเช็กสุขภาพประจำทุกวันอยู่แล้ว โดยจะทำงานร่วมกับพี่เลี้ยง เพื่อตรวจเช็กการเจริญเติบโตของน้องหมูเด้ง โดยถึงขณะนี้น้องมีสุขภาพแข็งแรง แต่ยังกินอาหารที่แข็งมากไปไม่ได้ ซึ่งคาดว่าเมื่อน้องอายุครบ 3 เดือน ก็น่าจะสามารถทานอาหารแข็งได้

‘ผู้ว่าแบงก์ชาติ’ ชี้!! ถึงเฟดปรับลดดอกเบี้ย ก็ไม่ใช่ว่าไทยต้องลดตาม แจง!! การลดดอกเบี้ยของไทยควรขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัยหลัก

(20 ก.ย. 67) นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงกรณีธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.50% ว่า กรณีเฟดไม่ใช่ว่าเฟดลดแล้วเราต้องลด การที่เฟดลดดอกเบี้ยมีผลกระทบต่อปัจจัยหลายด้าน ซึ่งเป็นตัวแปรที่เราต้องตัดสินใจเรื่องดอกเบี้ย

การดำเนินนโยบายการเงินของ ธปท. ยังคงเน้นจากปัจจัยภายในประเทศเป็นหลัก ใน 3 ปัจจัย กล่าวคือ แนวโน้มเศรษฐกิจว่าสามารถเติบโตได้ถึงศักยภาพหรือไม่ อัตราเงินเฟ้อ จะเข้ากรอบเป้าหมายหรือไม่ และเสถียรภาพด้านการเงิน แต่การพิจารณาจากสิ่งเหล่านี้ ก็หนีไม่พ้นต้องคำนึงถึงภาพรวมด้วย

ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ การปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินของธนาคารกลางรายใหญ่ของโลกควบคู่กันด้วย เพราะการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางในประเทศขนาดใหญ่ ย่อมมีผลกระทบในภาพรวม ที่ต้องคำนึงถึงผ่าน 3 ปัจจัยนี้

อย่างไรก็ดี สำหรับการตัดสินใจต่อนโยบายดอกเบี้ยของไทยจาก 3 ปัจจัยดังกล่าว ในปัจจุบัน ยังไม่เห็นสิ่งที่ทำให้ภาพการประเมินเศรษฐกิจต่างไปจากที่ ธปท.ได้เคยประเมินไว้ โดยยังคง Outlook Dependent ซึ่งเชื่อว่าเป็นกรอบการตัดสินใจที่เหมาะสม ถูกต้อง

นอกเหนือจากนี้ต้องคำนึงว่าการลดดอกเบี้ยจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริงแค่ไหน ต้องชั่งน้ำหนักระหว่างภาระหนี้เดิม กับสินเชื่อใหม่ที่จะเกิดขึ้น และอยากฝากว่า การลดดอกเบี้ยนั้น ผลที่จะส่งต่อไปยังการลดภาระหนี้อาจจะไม่ได้เต็มที่ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง การปรับลดดอกเบี้ย ผลที่จะได้รับอาจไม่มากเท่ากับการปรับโครงสร้างหนี้ และจะคาดหวังว่าดอกเบี้ยลงแล้ว ภาระหนี้จะลดลงทันที คงไม่ใช่

'พล.ต.ท.ประจวบฯ' ตรวจเยี่ยมพร้อมมอบสิ่งของบำรุงขวัญตำรวจในพื้นที่ประสบอุทกภัยจังหวัดพะเยา กำชับระวังป้องกันอาชญากรรมซ้ำเติมความเดือดร้อนของประชาชน และมอบหมวกนิรภัยขับเคลื่อนโครงการสุภาพบุรุษจราจร ประชาชนสัญจรปลอดภัย ประจำปี 2567

(20 ก.ย.67) เวลา 09.00 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. มอบหมายให้ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร. เดินทางไปตรวจเยี่ยมและมอบสิ่งของบำรุงขวัญให้กับข้าราชการตำรวจในพื้นที่ที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ จว.พะเยา ณ ภ.จว.พะเยา โดยมี พล.ต.ต.พิทักษ์ นาสมวาส ผบก.ภ.จว.พะเยา, พ.ต.อ.พรเทพ น้องการ รอง ผบก.ภ.จว.พะเยา, ผกก.ในสังกัด ภ.จว.พะเยา และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง รอรับการตรวจเยี่ยม และรับมอบสิ่งของบำรุงขวัญและหมวกนิรภัย 

พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวว่า จังหวัดพะเยาได้เกิดเหตุอุทกภัยน้ำท่วมฉับพลัน มีข้าราชการตำรวจในสังกัดได้รับผลกระทบ บ้านเรือนและทรัพย์สินเสียหาย จำนวน 49 นาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความห่วงใย จึงเดินทางมาตรวจเยี่ยมมอบสิ่งของบำรุงขวัญเพื่อเป็นกำลังใจให้กับข้าราชการตำรวจที่ได้รับผลกระทบให้พ้นวิกฤต และเป็นกำลังใจให้กับข้าราชการตำรวจที่ได้ร่วมแรงร่วมใจ ปฏิบัติหน้าที่ให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัย 

รวมทั้งกำชับให้เพิ่มความเข้มในการตรวจตราป้องกันเหตุอันเป็นการซ้ำเติมความเดือดร้อนของประชาชน ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย และรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน อำนวยความสะดวกและจัดระบบการจราจรในพื้นที่ที่ประสบภัยและพื้นที่ใกล้เคียง ตลอดจนสนับสนุนกำลังเจ้าหน้าที่ เครื่องมือ อุปกรณ์ และยานพาหนะ เพื่อป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย

พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ดำเนินโครงการสุภาพบุรุษจราจร ประชาชนสัญจรปลอดภัย ประจำปี 2567 สรุปผลการดำเนินการประเภทหน่วยงาน ภ.จว.พะเยา ได้รับคัดเลือกเป็นอันดับที่ 1 ของตำรวจภูธรภาค 5 ประกอบกับ ภ.จว.พะเยา ร่วมกับจังหวัดพะเยา จัดทำโครงการ รณรงค์กวดขันมีวินัย สวมหมวกนิรภัย 100% เพื่อสร้างจิตสำนึกให้กับประชาชนได้รับความปลอดภัยในการสวมหมวกนิรภัยขณะขับขี่รถจักรยานยนต์ ตลอดจนสร้างจิตสำนึกให้กับข้าราชการตำรวจและครอบครัว 

เพื่อเป็นต้นแบบในการปฏิบัติตามกฎหมายจราจร การสวมหมวกนิรภัยขณะขับขี่อย่างเคร่งครัด ได้มอบหมวกนิรภัยให้กับข้าราชการตำรวจ จำนวน 50 นาย เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดี พร้อมเน้นย้ำให้ดำเนินการขับเคลื่อนโครงการสุภาพบุรุษจราจรฯ อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างจิตสำนึกให้ประชาชนตระหนักถึงความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน และลดอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนน

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอขอบคุณ เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายที่ได้ปฏิบัติงานตามนโยบายของรัฐบาลและ ตร. อย่างเต็มกำลังความสามารถตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา และขอเป็นกำลังใจให้ทุกนายมีความมุ่งมั่น ตั้งใจ ปฏิบัติภารกิจด้วยความระมัดระวัง และพึงระลึกเสมอว่าทุกคนนั้นคือกำลังสำคัญ ที่ปฏิบัติหน้าที่ขับเคลื่อนประเทศชาติต่อไป

'มาริษ' จับเข่าคุยทูตกลุ่มประเทศ ACMECS 5 ประเทศหารือแนวทางการร่วมแก้ปัญหาแม่น้ำโขงท่วม-น้ำแล้ง ยืนยันประเทศไทยพร้อมเป็นหัวหอกระดมกำลังเสริมสร้างความสามารถการบริหารจัดการแม่น้ำโขงร่วมกัน

'นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์' รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หารือร่วมกับเอกอัครราชทูตกลุ่มสมาชิกยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง: Ayeyawady-Chao Phraya-Mekong Economic Cooperation Strategy หรือ ACMECS (แอ็กเม็กส์) จำนวน 5 ประเทศประจำประเทศไทย ประกอบด้วย กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา เวียดนาม และไทย เพื่อริ่เริ่มความร่วมมือเพื่อแก้ปัญหาอุทกภัยลุ่มน้ำโขง ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชน ซึ่งนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ แสวงหาความร่วมมือกับกลุ่มประเทศ ที่ได้รับผลกระทบต่อแม่น้ำโขงโดยเร็วที่สุด 

นายมาริษ ยืนยันว่า ประเทศไทย พร้อมเป็นหัวหอก ในการระดมสรรพกำลัง ความรู้ด้านการบริหารจัดการน้ำระหว่างประเทศ โดยจะใช้กรอบความร่วมมือของประเทศในอนุภูมิภาค ACMECS เป็นกลไกสำคัญ ในการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม-น้ำแล้งของแม่น้ำโขงในระยะยาว รวมถึงใช้กลไกสถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง หรือ Mekong Institute) และคณะกรรมการแม่น้ำโขง หรือ Mekong River Commission : MRC ซึ่งเป็นองค์กรที่ให้ความรู้ด้านวิชาการ และเสริมสร้างขีดความสามารถในการบริหารจัดการแม่น้ำโขงร่วมกัน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้า การขุดลอกแม่น้ำ การพัฒนาพื้นที่รับน้ำ และโครงสร้างพื้นฐานในการบริหารจัดการแม่น้ำโขงต่อไปในอนาคต

“ขอขอบคุณท่านเอกอัครราชทูตประเทศสมาชิก ACMECS ประจำประเทศไทย ได้แก่ กัมพูชา เมียนมา ลาว เวียดนาม ที่มาร่วมหารือพร้อมตอบรับข้อริเริ่มในการร่วมมือเพื่อแก้ปัญหาอุทกภัยลุ่มน้ำโขงในวันนี้ เพราะความทุกข์ของพี่น้องประชาชนรอไม่ได้ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จึงได้มอบหมายให้ผมแสวงหาความร่วมมือจากกลุ่มประเทศที่ได้รับผลกระทบจากแม่น้ำโขงโดยเร็วที่สุด” นายมาริษ กล่าว

ทั้งนี้ ยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง: Ayeyawady-Chao Phraya-Mekong Economic Cooperation Strategy หรือ ACMECS ริเริ่มในสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ปี 2546 และเป็นกรอบความร่วมมือที่ประเทศไทย เป็นประเทศผู้ประสานงาน โดยกรอบความร่วมมือนี้มาจากแม่น้ำสำคัญ 3 สายในภูมิภาคที่ไหลผ่านประเทศสมาชิก ได้แก่ แม่น้ำอิรวดี ที่ไหลผ่านประเทศเมียนมา, แม่น้ำเจ้าพระยา ไหลผ่านประเทศไทย และแม่น้ำโขง ไหลผ่านประเทศไทย, สปป.ลาว, กัมพูชา และเวียดนาม มีเป้าหมายหลักเพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจ เช่น การค้าการลงทุน การท่องเที่ยว และการเกษตร โดยที่ประเทศไทย เห็นโอกาสในการสนับสนุนประเทศเพื่อนบ้าน พัฒนาประเทศได้ดีขึ้นตามนโยบาย 'prosper-thy-neighbour' หรือ การทำนุบำรุงเพื่อนบ้านให้เจริญ เพราะหากทุกคนมีความเป็นอยู่ที่ดี ก็จะเกื้อหนุนประโยชน์แก่ประชาชนร่วมกันได้มาก 

ความปลอดภัยไซเบอร์ไทย พัฒนาก้าวกระโดด ‘ประเสริฐ’ เผยผลการจัดอันดับ Global Cybersecurity Index 2024 โดย ITU ไทยขึ้นอันดับ 7 ของโลกด้าน Cyber Security จาก 194 ประเทศ  พุ่งจากอันดับ 44 ในการจัดอันดับครั้งที่ผ่านมา

เมื่อวานนี้ (19 ก.ย.67) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานแถลงข่าวความสำเร็จการพัฒนาด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ซึ่งผลการจัดอันดับ Global Cybersecurity Index 2024 (GCI) โดย International Telecommunication Union (ITU) ในปี 2024 ซึ่งประเทศไทยก้าวขึ้นสู่อันดับที่ 7 จากผลการประเมินของ 194 ประเทศทั่วโลก ว่า จากนโยบายการดำเนินงานของกระทรวง ภายใต้แผนงาน ‘The Growth Engine of Thailand’ หรือเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลของประเทศจะให้ความสำคัญใน 3 ด้าน ประกอบด้วย 

1. การเพิ่มขีดความสามารถด้านดิจิทัลในการสร้างข้อได้เปรียบทางการแข่งขันของประเทศ (Thailand Competitiveness) 
2. การสร้างความมั่นคงและปลอดภัยของเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล (Safety & Security) และ 3. การเพิ่มศักยภาพทุนมนุษย์ด้านดิจิทัลของประเทศ (Human Capital) และความมุ่งมั่นของรัฐบาลที่จะพัฒนารัฐบาลให้เป็นรัฐบาลดิจิทัล และนโยบายรัฐบาลประการที่ห้าที่รัฐบาลจะเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างความเชื่อมั่น ควบคู่กับการเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพ 

โดยการวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งประเทศไทยได้รับการจัดอันดับด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ หรือ GCI ในปี 2024 ประเทศไทยได้คะแนนอยู่ที่ 99.22 คะแนน เป็นอันดับที่ 7 ของโลกจากจำนวน 194 ประเทศ ซึ่งก้าวกระโดดจากลำดับที่ 44 ในการจัดลำดับในครั้งที่ผ่านมา ทำให้ประเทศไทยก้าวขึ้นสู่ประเทศชั้นนำใน Tier 1 ซึ่งหมายถึงการเป็นหนึ่งในประเทศที่เป็น role models ด้านไซเบอร์ของโลก จากรายงาน Global Cybersecurity Index (GCI) 2024 ของ ITU ที่วัดผลสัมฤทธิ์ด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของประเทศต่าง ๆ ผ่าน 5 ด้าน ได้แก่ ด้านกฎหมาย (Legal) ด้านเทคนิค (Technical) ด้านหน่วยงาน/นโยบาย (Organizational) ด้านการพัฒนาศักยภาพ (Capacity Development) และด้านความร่วมมือ Cooperation) 

“ผลคะแนนในดัชนีนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการพัฒนาและเสริมสร้างมาตรการความปลอดภัยไซเบอร์ในหลาย ๆ ด้าน โดยผลคะแนนที่เกิดขึ้นนั้น เป็นความร่วมมือร่วมใจของหน่วยงานต่าง ๆ ทุกภาคส่วน ร่วมผลักดันงานด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ทั้งในระดับบุคคล องค์กร ภาคส่วน และในระดับประเทศ ตลอดจนพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม รายงานอาจแสดงถึงจุดที่ประเทศไทยยังต้องพัฒนาเพิ่มเติม เช่น การปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ Child Online Protection หรือการเพิ่มขีดความสามารถด้านเทคนิคในการรับมือภัยคุกคามที่ทันสมัยขึ้นต่อไป” นายประเสริฐ กล่าว 

ขณะที่ พลอากาศตรีอมร ชมเชย เลขาธิการคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) กล่าวเสริมว่า ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้มีการยกระดับด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์มาอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วย 1.การยกระดับด้านกฎหมาย (Legal) ประเทศไทยมีการออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับด้านดิจิทัลหลายฉบับเช่น การกระทำผิดเกี่ยวกับข้อมูลคอมพิวเตอร์  เช่น การเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือการเผยแพร่ข้อมูลเท็จพระราชบัญญัติข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนและกำหนดหลักเกณฑ์ในการเก็บ ใช้ และเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึง พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ที่เน้นการสร้างความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ 

2.การยกระดับด้านเทคนิค (Technical) มีการจัดตั้งศูนย์ประสานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยระบบคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (ThaiCERT) และการจัดตั้งศูนย์ประสานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยระบบคอมพิวเตอร์สำหรับหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศ หรือ Sectoral CERT รวมถึงยังมีการดำเนินการทางเทคนิคด้านอื่น ๆ ได้แก่ การขึ้นทะเบียน ThaiCERT กับองค์กร CERT ระดับสากล ได้แก่ First.org และ The Asia Pacific Computer Emergency Response Team (APCERT) การฝึกเพื่อทดสอบขีดความสามารถทางไซเบอร์ในระดับประเทศ (Thailand’s National Cyber Exercise) และระดับภาคส่วน การจัดตั้งระบบแพลตฟอร์มสำหรับการแบ่งปันข้อมูลภัยคุกคามทางไซเบอร์ (Malware Information Sharing Platform : MISP) และการแจ้งเตือนภัยคุกคามทางไซเบอร์และช่องโหว่ของระบบ
.
3. การยกระดับด้านหน่วยงาน/นโยบาย (Organizational) โดยมีการจัดทำนโยบายและแผนปฏิบัติการว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (พ.ศ. 2565 - 2570) เพื่อเป็นยุทธศาสตร์ด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของประเทศ โดยมี สกมช. เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมีการจัดตั้งประชาคมไซเบอร์แห่งชาติ เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และแนวคิดให้เกิดการปฏิบัติตามนโยบายและแผนปฏิบัติการฯ รวมถึงนโยบายการบริหารจัดการ ประมวลแนวทางปฏิบัติและกรอบมาตรฐานด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์

4.การยกระดับด้านการพัฒนาศักยภาพ (Capacity Development) สกมช. ได้ดำเนินโครงการเร่งรัดการพัฒนาบุคลากรด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (Intensive Cybersecurity Capacity Building Program) ระยะที่ 1 โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาขีดความสามารถของบุคลากรที่ปฏิบัติหน้าที่ด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ทั้งนี้ สามารถพัฒนาบุคลากรได้มากกว่า 5,000 คน การจัดกิจกรรม Thailand Cyber Top Talent เป็นประจำทุกปี ตั้งแต่ปี 2021 - 2023 ซึ่งเป็นการแข่งขันด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของประเทศ มีนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนทั่วไป ที่เข้าร่วมการแข่งขัน มากกว่า 6,000 คน  การจัดกิจกรรม Thailand National Cyber Week เป็นประจำทุกปี ตั้งแต่ปี 2021 - 2023 การจัดตั้งสถาบันวิชาการความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ เพื่อพัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ตลอดจนประชาชนทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัย โดยที่ผ่านมาได้มีการสร้างการตระหนักรู้ ให้ประชาชนไปแล้วมากว่า 1,000,000 คน

5. การยกระดับด้านความร่วมมือ (Cooperation) สกมช. มีการทำ MOU กับหน่วยงานทั้งภายในและต่างประเทศ ร่วมแล้วมากกว่า 34 ฉบับ เช่น สาธารณรัฐประชาชนจีน อิสราเอล Microsoft Fortinet Huawei Gogolook AIS กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานสถิติแห่งชาติ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย กรมส่งเสริมสุขภาพจิต สมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย เป็นต้น การขับเคลื่อน ASEAN-Japan Cybersecurity Capacity Building Centre ร่วมกับประเทศญี่ปุ่น มาตั้งแต่เดือนมิถุนายน ปี พ.ศ. 2561 ถึงปัจจุบัน เพื่อพัฒนาบุคลากรในอาเซียน ตลอดจนการริเริ่มแคมเปญเพื่อสร้างความตระหนักรู้ด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์กลุ่มเด็กหรือเยาวชน ในการผลักดันการปกป้องเด็กบนโลกออนไลน์ (Child Online Protection) โดยออกมารูปแบบของโครงการมากมาย

นอกจากนี้ การเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมอาเซียน ส่งผลให้ประเทศไทยได้มีส่วนร่วมในความร่วมมือด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ระดับนานาชาติอย่างสม่ำเสมอ เช่น ASEAN Cyber Coordinating Committee (ASEAN Cyber – CC) และ ASEAN-EU Statement on Cybersecurity Cooperation เป็นต้น

รัฐช่วยบ้านเสียหายเกิน 70% จากอุทกภัย เคาะ!! ได้รับเงินหลังละ 2.3 แสนบาท

(20 ก.ย. 67) จากที่มีข้อมูลออกมาเกี่ยวกับรัฐบาลเยียวยาบ้านที่เสียหายเกิน 70% จากอุทกภัย หลังละ 2.3 แสนบาท ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยกรมประชาสัมพันธ์ สำนักนายกรัฐมนตรี พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น ‘เป็นข้อมูลจริง’

โดยในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบมาตรการเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กำชับเรื่องการลดขั้นตอนทางเอกสาร ที่สมัยก่อนต้องเอาเอกสารไปเสนอ แต่ตอนนี้จะให้ส่วนราชการทั้งกระทรวงมหาดไทย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ลงไปดูและสรุปให้รวดเร็วที่สุด ถ้าบ้านเรือนไหนที่เสียหายเกิน 70% จะได้รับเงินเยียวยาหลังละ 2.3 แสนบาท

ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากกรมประชาสัมพันธ์ สำนักนายกรัฐมนตรี สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.prd.go.th หรือ โทร. 02-618-2323

23 กันยายน ของทุกปี ‘วันภาษามือโลก’ (International Day of Sign Languages) ตระหนักถึงความสำคัญของภาษามือ-สิทธิผู้พิการทางการได้ยิน

23 กันยายน ของทุกปี กำหนดให้เป็น ‘วันภาษามือโลก’ โดยองค์การสหประชาชาติ เพื่อสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของการใช้ภาษามือ รวมไปถึงเพื่อสร้างความตระหนักรู้ถึงสิทธิมนุษยชนของคนหูหนวก

นอกจากนี้วันที่ 23 กันยายน ค.ศ. 1951 ก็เป็นวันก่อตั้งสมาคมคนหูหนวกโลก หรือ WFD ด้วยเช่นกัน ดังนั้นจึงเลือกวันที่ 23 กันยายน เป็นวันภาษามือโลก (International Day of Sign Languages) โดยปรากฏขึ้นอย่างเป็นทางการในงานสัปดาห์คนหูหนวกแห่งชาติ ซึ่งจัดในปี ค.ศ. 2018

จุดประสงค์ในการก่อตั้งวันภาษามือโลก เพื่อสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของการใช้ภาษามือ รวมไปถึงเพื่อสร้างความตระหนักรู้ถึงสิทธิมนุษยชนของคนหูหนวกด้วย โดยข้อมูลจากสมาคมคนหูหนวกโลก (WDF) เผยว่า ปัจจุบันมีผู้พิการทางการได้ยินมากกว่า 70 ล้านคนทั่วโลก และกว่า 80% อาศัยอยู่ในประเทศกำลังพัฒนา นั่นหมายความว่า มีภาษามือกว่า 300 ภาษาที่ใช้อยู่ตอนนี้ ซึ่งถือว่ามีความหลากหลายอย่างมาก และเราก็ไม่ควรมองข้ามภาษามือเหล่านี้

ภาษามือของแต่ละประเทศมีวิวัฒนาการที่เป็นอิสระจากกัน คนที่อยากเรียนภาษามือก็จะเข้าเรียนในโรงเรียนโสตศึกษา ซึ่งเป็นโรงเรียนสอนผู้พิการทางการได้ยิน ดังนั้นภาษามือของแต่ละประเทศก็จะแตกต่างจากกัน แม้แต่ประเทศที่มีภาษาพูดใกล้เคียงกันอย่างเช่น สหราชอาณาจักรกับสหรัฐอเมริกา ก็มีภาษามือที่แตกต่างกันลิบลับ จนใช้สื่อสารระหว่างกันไม่ได้ 

ในปีค.ศ. 1973 สมาคมคนหูหนวกโลก (World Federation of the Deaf) ริเริ่มเผยแพร่ชุดคำศัพท์ภาษามือมาตรฐานที่เรียกกันว่า ‘ภาษามือสากล’ เพื่อที่จะให้เป็นภาษากลางของภาษามือ เช่นเดียวกับภาษาเอสเปอรันโตที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้เป็นภาษากลางในโลกของภาษาพูด ทุกวันนี้ในการประชุมระดับนานาชาติ บางครั้งก็ใช้ภาษามือสากลเป็นภาษาหลัก

และเพื่อให้คนหูหนวกสามารถรับรู้ข่าวสารและสามารถเสพสื่อได้อย่างเข้าใจ ทำให้ในปัจจุบันรายการต่าง ๆ ทั้งรายการข่าวและสื่อบันเทิงมักมีล่ามภาษามือคอยบรรยายอยู่มุมล่างขวามือของจอเสมอ

‘GAC AION’ เปิดตัว ‘HYPTEC HT’ เอสยูวีไฟฟ้า รุ่นเริ่มต้น 1.449 ล้านบาท รุ่นปีกนก 1.749 ล้านบาท

GAC AION เปิดตัวยานยนต์ไฟฟ้าแห่งอนาคต HYPTEC HT เอสยูวีไฟฟ้าลักซ์ชัวรี่ระดับไฮเอนด์ เน้นความหรูหราและเทคโนโลยีขั้นสูง ที่ผสานเข้ากับการออกแบบ และการใช้งานได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยคุณสมบัติ 5 จุดเด่น ของตัวรถ ได้แก่ HYPTEC Design, HYPTEC Space, HYPTEC Smart, HYPTEC Energy และ HYPTEC Performance เคาะราคาขายเริ่มต้น 1.449 ล้านบาท

(20 ก.ย. 67) นายโอเชี่ยน หม่า (Ocean Ma) กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอออน ออโตโมบิล เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด และ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอออน ออโตโมบิล แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด,นาย พอนตุส ฟอนเทอุส (Pontus Fontaeus) ผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบของ GAC Advanced Design Los Angeles และผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบของ HYPTEC, นายสวี่เจ้าหยู่ (Xu Zhaoyu) ผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์ ร่วมเปิดตัว HYPTEC HT เอสยูวีไฟฟ้าลักซ์ชัวรี่ระดับ ไฮเอนด์ ณ สามย่านมิตรทาวน์ 

นายโอเชี่ยน หม่า เผยว่า หลังจากที่ GAC AION ได้มีการแนะนำแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าระดับไฮเอนด์ Hyper อย่างเป็นทางการ พร้อมเปิดตัว Hyper HT รถยนต์เอสยูวีไฟฟ้าลักซ์ชัวรี่ระดับไฮเอนด์ที่หลายคนรอคอย ในงาน Motor Show 2024 ล่าสุด HYPER ได้ประกาศการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในการดำเนินธุรกิจ ด้วยการเปลี่ยนชื่อแบรนด์ใหม่เป็น ‘HYPTEC’ และไม่ใช่เพียงแค่การเปลี่ยนชื่อแบรนด์เท่านั้น แต่เป็นการปรับปรุงภาพลักษณ์และกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ครอบคลุมมากขึ้น สะท้อนถึงการก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ ที่มุ่งเน้นเทคโนโลยีล้ำสมัยและการขยายตัวในตลาดโลกอย่างมีนัยสำคัญ

การเปลี่ยนชื่อแบรนด์จาก HYPER เป็น HYPTEC เกิดจากการศึกษาวิจัยตลาดและความต้องการของลูกค้าทั่วโลกอย่างละเอียดลึกซึ้ง ซึ่งชื่อ ‘HYPTEC’ ถูกออกแบบมาเพื่อสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์เทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ความต้องการในยุคดิจิทัล โดยชื่อแบรนด์ HYPTEC มาจาก ‘Hyper’ สื่อถึงความสุดยอดและความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า และ ‘Technology’ สื่อถึงการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัย มาใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ไม่เพียงแค่หรูหรา แต่ยังล้ำหน้าด้วยคุณสมบัติทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่โดดเด่น

สำหรับการเปิดตัว HYPTEC HT เอสยูวีไฟฟ้าลักซ์ชัวรี่ระดับไฮเอนด์ มี 2 รุ่นย่อย ได้แก่ HYPTEC HT 620 Premium ราคา 1,449,000 บาท และ HYPTEC HT 620 Luxury (ประตูปีกนก: Gull wing doors) ราคา 1,749,000 บาท 

HYPTEC HT ได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับ 5 ดาวจากสถาบัน C-NCAP และได้รับคะแนนระดับ G (ระดับสูงสุด) ในด้านการปกป้องผู้โดยสาร, การปกป้องคนเดินถนน และความปลอดภัยเชิงรุก จากสถาบัน Zhongbao Research แถมระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระปีกนกคู่ (Double Wishbones) ด้านหลังแบบอิสระ 5-Link มาพร้อม ASTC (Eagle Claw) ระบบรักษาเสถียรภาพอัจฉริยะ ช่วยปรับสมดุลของตัวรถโดยอัตโนมัติ

นอกจากนี้ ระบบความปลอดภัย HYPTEC HT ยังมีออปชัน และระบบเด่น ๆ อีกมากมาย ดังนี้…
- ถุงลมด้านหน้า ด้านข้างตอนหน้า ม่านถุงลม
- ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ
- ระบบแจ้งเตือนก่อนการชนด้านหน้า
- ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน

- ระบบช่วยควบคุมรถเมื่อรถออกนอกเลน
- ระบบไฟสูงอัตโนมัติ
- ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา
- ระบบเตือนการเปิดประตู

- ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง
- ระบบช่วยเตือนเมื่อรถคันหลังเข้าใกล้
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันพร้อมฟังก์ชัน Stop & Go
- ระบบควบคุมความเร็ว (ICA)

- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ (TJA)
- ระบบควบคุมความเร็วในขณะเข้าโค้ง
- ระบบช่วยเตือนความเหนื่อยล้าขณะขับขี่
- ระบบเสียงเตือนคนภายนอกรถขณะขับขี่โหมดมอเตอร์ไฟฟ้า

- ระบบตรวจสอบแรงดันลมยาง (TPMS)
- ระบบกล้องมองภาพรอบทิศทาง 360 องศา

ส่วนพละกำลังของ HYPTEC HT มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า 250 กิโลวัตต์ แบตเตอรี่ขนาด 83.3 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ให้กำลังแรงม้าสูงสุดที่ 340 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 430 นิวตัน-เมตร ขับเคลื่อนล้อหลัง ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ใน 5.8 วินาที สามารถวิ่งได้ไกล สูงสุด 620 กม. ต่อการชาร์จ1 ครั้ง และรองรับการชาร์จเร็ว โดยสามารถชาร์จไฟจาก 10-70% ได้ภายใน 15 นาที วิ่งได้ระยะทาง 372 และการชาร์จเร็ว สามารถชาร์จไฟจาก 0-100% ภายใน 53 นาที

นอกจากนี้ HYPTEC HT ยังมีจุดเด่นที่ห้องโดยสารขนาดใหญ่ เบาะนั่งหนัง Nappa ที่พักแขนทำจากวัสดุไม้แท้ พร้อมด้วยฟีเจอร์เบาะรองน่องผู้โดยสารด้านหน้าปรับด้วยระบบไฟฟ้า พนักพิงเบาะหลังปรับเอนได้ 143 องศา รวมถึงเบาะรองขาทำให้ผู้โดยสารสามารถเหยียดขาได้ / โต๊ะอเนกประสงค์ด้านหลังเบาะคนขับออกแบบให้มีความโค้ง เพื่อลดอันตรายจากการกระแทกสำหรับเด็ก เบาะคู่หน้ามีระบบนวดไฟฟ้า 10 จุด และโหมดการนวด 5 รูปแบบ

มีหลังคากระจกพาโนรามาขนาด 2.6 ตารางเมตร ม่านไฟฟ้า (เฉพาะรุ่น 620 Premium) กระจกลามิเนตสองชั้นรอบคัน ป้องกันเสียงจากภายนอก พื้นที่เก็บสัมภาระ 670 ลิตร และพื้นที่จัดเก็บสัมภาระแบบสองชั้นขนาด 80 ลิตร และยังมีพื้นที่จัดเก็บด้านหน้ารถใต้ฝากระโปรงหน้าขนาด 55 ลิตร

มีระบบเสียง Dolby Atmos 7.1.2 พร้อมลำโพง 22 ตำแหน่ง ทำงานร่วมกับซับวูฟเฟอร์ และยังมีลำโพงอิสระที่ตำแหน่งไหล่ของผู้ขับขี่ สำหรับพูดคุยโทรศัพท์หรือฟังระบบนำทางโดยไม่รบกวนการฟังเพลงหรือภาพยนตร์ของผู้โดยสาร

มีจอความละเอียดสูง 2.5K ขนาด 14.6 นิ้ว ประมวลผลด้วยชิป Qualcomm 8155 รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และแอปพลิเคชันอื่น ๆ

สามารถเพิ่มบรรยากาศด้วยระบบน้ำหอมปรับอากาศ ซึ่งสามารถสั่งการผ่านหน้าจอกลาง เลือกกลิ่นได้ 3 รูปแบบ

มีระบบสั่งงานด้วยเสียงแบบ 4 ตำแหน่ง รองรับทุกตำแหน่งในรถ

มีระบบเตือนเมื่อเหนื่อยล้าหรือเสียสมาธิขณะขับขี่

นายโอเชี่ยน หม่า ยังได้กล่าวอีกว่า GAC AION ให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบพลังงานควบคู่ไปกับการพัฒนาบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีรถยนต์พลังงานใหม่ โดยทำงานร่วมกับ GAC Energy โดยตั้งเป้าสร้างสถานีชาร์จ 25 แห่งในปีนี้ และสร้างเครือข่ายสถานีชาร์จภายในรัศมี 15 กิโลเมตรทั่วกรุงเทพฯ

“ภายในปี 2570 เราวางแผนจะสร้างสถานีชาร์จให้ครอบคลุม 100 เมืองทั่วประเทศ เป็นจำนวน 200 แห่ง เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า AION และ HYPTEC จะได้รับความสะดวกสบายในการชาร์จไฟฟ้า ขณะเดียวกันในด้านการพัฒนาบุคลากร เราได้เพิ่มจำนวนพนักงานในประเทศไทยถึง 12.6 เท่า จากช่วงเริ่มต้น และได้สนับสนุนการสร้างงานในท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง”

ในส่วนของสิทธิประโยชน์ HYPTEC Exclusive Privilege ประกอบไปด้วย…

1. Financial Benefit ดอกเบี้ยพิเศษ 0.99% (เมื่อดาวน์ 30% ผ่อน 48 งวด)
*เมื่อรับรถและจดทะเบียนรถ ระหว่างวันที่ 19 กันยายน 2567 ถึง 31 ธันวาคม 2567

2. Exclusive Warranty Package
- รับประกันแบตเตอรี่ และชุดขับเคลื่อนไฟฟ้าแบบรวม ตลอดอายุการใช้งาน (เฉพาะเจ้าของรถส่วนบุคคล ผู้ครอบครองรถลำดับที่ 1, และไม่ใช้งานรถในลักษณะเชิงพาณิชย์) *กรณีไม่เข้าตามเงื่อนไขด้านบน ระยะการรับประกันสำหรับชิ้นส่วนแบตเตอรี่และระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าแบบรวม จะถูกปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการรับประกันเป็น 8 ปี หรือ 240,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) โดยนับจากวันที่ออกรถ

- รับประกันคุณภาพรถยนต์ 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)
- รับประกันชิ้นส่วนประตูปีกนก 8 ปี หรือ 240,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)

3.Insurance Gift ฟรี ประกันภัยชั้น 1 นาน 1 ปี

4. Exquisite Gifts ฟรี ฟิล์มกระจก แผ่นรองเท้า ค่าจดทะเบียน

5. Exclusive Deal for Home Charger ฟรี Home Chager พร้อมบริการติดตั้ง (ฟรีสายไฟความยาวไม่เกิน 20 เมตร / รับประกันเครื่องชาร์จ 1 ปี)

6. In-car Internet Service แพ็กเกจอินเทอร์เน็ตในรถยนต์ฟรี นาน 2 ปี ไม่จำกัดปริมาณการใช้งาน

7. Lifetime OTA Firmware Update ล้ำสมัยตลอดการขับขี่ บริการอัปเกรดซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้องในระบบรถยนต์ฟรีตลอดชีพ

8. 24 Hours Roadside Service บริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนนฟรี ตลอด 24 ชั่วโมง นาน 8 ปี

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

24 กันยายน วันคล้ายวันสวรรคตของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันไทย

‘วันมหิดล’ ตรงกับวันที่ 24 กันยายนของทุกปี เป็นวันคล้ายวันสวรรคตของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก พระผู้ได้รับการถวายพระสมัญญาภิไธยจากแพทย์และประชาชนทั่วไปว่า ‘พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย’ คณะแพทยศาสตร์สิริราชพยาบาล ได้ขนานนามวันอันเป็นที่ระลึกสำคัญนี้ว่า ‘วันมหิดล’ เพื่อเป็นการถวายสักการะ

‘สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก’ ทรงพระราชสมภพวันที่ 1 มกราคม (ตามปฏิทินเก่าคือ ปี พ.ศ. 2434 แต่ตามปฏิทินใหม่คือ ปี พ.ศ. 2435) เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า มีพระเชษฐา และพระเชษฐภคินีที่ประสูติร่วมพระราชมารดา 7 พระองค์

สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก เป็นพระบรมราชชนกในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร (รัชกาลที่ 8) และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) และเป็นพระอัยกาในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร (รัชกาลที่ 10)

พระองค์มีคุณูปการแก่กิจการแพทย์แผนปัจจุบันและการสาธารณสุขของประเทศไทย ประชาชนโดยทั่วไปคุ้นเคยกับพระนามว่า ‘กรมหลวงสงขลานครินทร์’ หรือ ‘พระราชบิดา’ และบางครั้งก็ปรากฏพระนามว่า ‘เจ้าฟ้าทหารเรือ’ และ ‘พระประทีปแห่งการอนุรักษ์สัตว์น้ำของไทย’ ส่วนชาวต่างประเทศเรียกพระนามว่า ‘เจ้าฟ้ามหิดล’

หลังพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช พระองค์ทรงพระประชวร ต้องประทับในพระตำหนักวังสระปทุม และสวรรคตเมื่อวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2472 เวลา 16.45 น. เมื่อพระชนมายุ 37 พรรษา 8 เดือน 23 วัน

ด้วยความรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ ผู้ที่เคยได้รับพระกรุณาในด้านต่าง ๆ จากพระองค์ จึงได้รวบรวมเงินจัดสร้างพระรูปประดิษฐานไว้ ณ โรงพยาบาลศิริราช โดยมอบให้กรมศิลปากรเป็นผู้ดำเนินการสร้าง มี ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี เป็นผู้ควบคุม

ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงกระทำพิธีเปิด เมื่อวันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2493 และ ในวันที่ 24 กันยายนปีเดียวกัน นักศึกษาแพทย์ได้ริเริ่มจัดงานขึ้นเป็นครั้งแรก เนื่องในวันคล้ายวันสิ้นพระชนม์ โดยมีพิธีวางพวงมาลา ถวายบังคมพระรูป อ่านคำสดุดีพระเกียรติ เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์

ทางคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ประกาศให้วัน ที่ 24 กันยายน ของทุกปีเป็น ‘วันมหิดล’ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2494 เป็นต้นมา เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ในฐานะพระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันและการสาธารณสุขของไทย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top