Monday, 26 May 2025
TheStatesTimes

วิทยุการบินฯ เดินหน้าจัดฝึกอบรมระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เร่งพัฒนาศักยภาพบุคลากร รองรับเทคโนโลยีการบินขั้นสูง

บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด จัดฝึกอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีระดับสูง ด้านการจัดการจราจรทางอากาศ ระหว่างวันที่ 30 กรกฎาคม - 1 สิงหาคม 2567 ณ อาคาร EECi วังจันทร์วัลเลย์ จ.ระยองเพื่อพัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านการบิน ตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือของ 7 หน่วยงาน เรื่อง การพัฒนาบุคลากรและนวัตกรรมด้านการบิน (NGAP - Digital transformation) โดยมีผู้เข้ารับการอบรมกว่า 60คน จาก 7 ประเทศ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

ดร. ณพศิษฏ์ จักรพิทักษ์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) กล่าวว่า “จากนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงคมนาคม ที่มุ่งพัฒนาประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค วิทยุการบินฯ ได้ดำเนินการเรื่องการเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับเที่ยวบินของสนามบิน การเชื่อมโยงสนามบินกับโครงข่ายการเดินทางทั่วประเทศและเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งการสร้าง 3 สนามบินใหม่ ได้แก่ สนามบินอู่ตะเภา อันดามัน และล้านนา ซึ่งคาดการณ์ว่า จะมีความต้องการบุคลากรด้านการบินเพิ่มขึ้นประมาณ 30,000 คน วิทยุการบินฯ ได้เล็งเห็นถึงความจำเป็น ในการพัฒนาบุคลากรด้านการบิน เพื่อเตรียมพร้อมรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมการบินในอนาคต 

จึงจะจัดฝึกอบรมหลักสูตร Performance-based CNS เป็นโครงการนำร่อง พร้อมทั้งดำเนินการจัดทำโครงการ “การพัฒนาศักยภาพมืออาชีพอุตสาหกรรมการบินไทยยุคใหม่ สู่มาตรฐานสากล ICAO” ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างกำหนดกรอบโครงการ กับหน่วยงานความร่วมมือ 7 หน่วยงาน ประกอบด้วย บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ และสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน)ภายใต้ทุนสนับสนุนด้านการพัฒนาบุคลากรของประเทศ นอกจากนี้ ยังเป็นการเพิ่มศักยภาพของบุคลากรด้านการบิน ทั้งในระดับประเทศ และระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ให้สามารถนำความรู้มาพัฒนาบริการการเดินอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ และนำไปสู่การพัฒนาความร่วมมือด้านการบินในอนาคต อีกทั้งเป็นเวทีในการแลกเปลี่ยนมุมมองและประสบการณ์ เพื่อนำไปสู่การจัดการจราจรทางอากาศในภูมิภาคร่วมกันได้อย่างยั่งยืน”

ดร. ณพศิษฏ์ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า “การจัดฝึกอบรมครั้งนี้ จะเป็นการให้ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีระดับสูง ด้านการจัดการจราจรทางอากาศ (หลักสูตร Performance-based CNS) มีผู้สนใจเข้าร่วมกว่า 60 คน ประกอบด้วย ตัวแทนจาก 7 ประเทศ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ได้แก่ ไทย ฟิลิปปินส์ ลาว กัมพูชา เวียดนาม เนปาล และภูฏาน และตัวแทนจากหน่วยงานในประเทศ ได้แก่ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย บริษัทวิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด สถาบันการบินพลเรือน ผู้แทนจากสายการบิน และมหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศ เป็นต้น ซึ่งผู้เข้ารับการอบรม จะได้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึกกับผู้บรรยายที่ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมการบิน รวมทั้งนำเสนอเกี่ยวกับเทคโนโลยีการบินในปัจจุบัน และการพัฒนาเทคโนโลยีการบินขั้นสูงในอนาคต เพื่อสนับสนุนให้บริการจราจรทางอากาศมีประสิทธิภาพ คล่องตัว และเกิดความปลอดภัยสูงสุด อีกทั้งมีการศึกษาดูงานในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการยกระดับอุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการบินและประตูเศรษฐกิจสู่เอเชีย”

ทำไม 'หมอคางดำ' ไม่รุกราน 'ระบบนิเวศแอฟริกา' ทั้งที่เป็นถิ่นกำเนิด เพราะยากที่จะรอดจากดงนักล่าเจ้าถิ่น-ภูมิประเทศไม่เอื้อแพร่พันธุ์

(30 ก.ค.67) สำนักข่าว Thaipost ได้นำเสนอเนื้อหาในหัวข้อ เหตุใดปลาหมอคางดำถึงไม่รุกรานระบบนิเวศของทวีปแอฟริกา ที่เป็นถิ่นกำเนิดของมัน แต่กลับเป็นปัญหากับระบบนิเวศประเทศอื่น โดยเฉพาะประเทศไทย ระบุว่า...

คำตอบอย่างแรกก็คือ เป็นเพราะความแตกต่างระหว่างสภาพทางภูมิศาสตร์และระบบนิเวศของไทยกับทวีปแอฟริกา ที่ไม่เหมือนกัน โดยปลาหมอคางดำ วิวัฒนาการมาพร้อมกับระบบนิเวศขอแอฟริกา โดยมันเป็นส่วนหนึ่งของ Food web ของทวีปแห่งนี้ที่มีทั้ง ผู้ล่า, คู่แข่งในการล่า ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ เป็นการจัดการตามธรรมชาติ และมีผลทำให้ควบคุมประชากรของปลาหมอคางดำไม่ให้มีมากเกินไป จนส่งผลเสียต่อระบบนิเวศโดยรวม

ผู้ล่าหลัก ๆ ในถิ่นเดิมของแอฟริกา ก็คือ ปลาในแอฟริกานั่นเอง เช่น ปลาดุกแอฟริกา, ปลากะพงขาวแอฟริกา, ปลาแอฟริกันไพด์, ปลาเสือแอฟริกัน ปลาหมอสี 5 แถบ 

สัตว์นักล่าเจ้าถิ่นเหล่านี้ จัดว่าเป็น Predator หรือเป็นปลานักล่าที่โหด และมีขนาดใหญ่กว่าปลาหมอคางดำหลายเท่ามาก เช่น ปลากะพงแม่น้ำไนล์ ที่ตัวใหญ่หนักเป็น 100 กิโลกรัม ใหญ่กว่ากะพงขาวไทยหลายเท่า อีกทั้งยังมีความดุร้ายและกินจุกว่ากะพงไทยมาก ขนาดที่มันสามารถอ้าปากแต่ละครั้งก็กลืนปลาหมอคางดำได้หมดทั้งฝูง แถมยังมีปลาไทเกอร์โกไลแอต ปลาตะเพียนกินเนื้อที่มีทั้งความเร็วขนาดที่ใหญ่มหึมาและฟันที่คมกริบ คอยล่าปลาหมอคางดำ

แม้ปลาหมอคางดำจะเป็นนักล่าด้วยเช่นกัน แต่มันก็ไม่สามารถลงทะเลได้เพราะภูมิประเทศของแอฟริกาเป็นน้ำลึก ชัน ไม่เหมาะกับการแพร่พันธุ์ และหากลงทะเลยังต้องเจอกับนักล่าทะเลลึกที่โหดขึ้นไปอีกระดับ ด้วยเหตุนี้ปลาหมอคางดำเมื่ออยู่ในแอฟริกา จึงมีสภาพเป็นเหยื่อ หรือหากมันจะว่ายมาริมฝั่งทะเล ก็จะต้องเจอพวกแรคคูน และอาจปะหน้า พวกนกตระกูล Heron, Kingfisher ที่เป็นนักล่า อีกทั้ง บางแหล่งยังเป็นดงจระเข้

ด้วยเหตุนี้ พอมาอยู่ไทยปลาหมอคางดำจึงกลายเป็นนักล่า เพราะที่ไทยไม่มีนักล่าเจ้าถิ่นที่โหดกว่ามัน อีกทั้งสภาพแวดล้อมยังเหมาะกับการแพร่พันธุ์ แตกต่างจากสภาพแวดล้อมภูมิศาสตร์ของแอฟริกา ที่ปากแม่น้ำเป็นทั้งน้ำลึกมีความเค็มในระดับที่ปลาหมอคางดำไม่สามารถปรับตัวขยายพันธุ์ได้

‘ไทยออยล์’ ร่อนแถลง ยัน!! จ่ายค่าจ้างเอกชนตามสัญญาครบถ้วน พร้อมจี้ ‘UJV-Sinopec’ ดูแล-จ่ายเงินลูกจ้าง ก่อนยกระดับการชุมนุม

(30 ก.ค.67) บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ได้ออกแถลงการชี้แจง ความคืบหน้ากรณีกลุ่มผู้ใช้แรงงานของผู้รับเหมาช่วงของกิจการร่วมค้า Unincorporated Joint Venture of Petrofac South East Asia Pte. Ltd. (Petrofac), Saipem Singapore Pte. Ltd. (Saipem) และ Samsung E&A (Thailand) Co., Ltd. (ชื่อเดิม Samsung Engineering (Thailand) Co., Ltd.) (Samsung) ซึ่งไม่ได้รับค่าจ้างตามกำหนดรวมตัวชุมนุมบริเวณริมถนนสุขุมวิท หน้าโรงกลั่นไทยออยล์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี โดยระบุว่า…

“ตามที่มีกลุ่มผู้ใช้แรงงานจำนวนหนึ่งได้รวมตัวชุมนุมบริเวณริมถนนสุขุมวิท หน้าโรงกลั่นไทยออยล์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 24 - 26 กรกฎาคม 2567 เนื่องจากไม่ได้รับค่าจ้างจากผู้รับเหมาตามกำหนด จากการสอบถามของ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (บริษัทฯ) เข้าใจว่ากลุ่มผู้ใช้แรงงานดังกล่าวเป็นพนักงานชาวไทยและเวียดนาม ของ บริษัท วัน เทิร์น เท็น จำกัด (One Turn Ten), บริษัท เอ็มโก้ แอลทีดี (ไทยแลนด์) จำกัด (EMCO) และ บริษัท ไทยฟง เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (Thai Fong)... 

ซึ่งทั้ง 3 บริษัทเป็นนายจ้างและเป็นผู้รับเหมาช่วงอีกทอดหนึ่งของ บริษัท ซิโนเพค เอ็นจิเนียริ่ง กรุ๊ป (ไทยแลนด์) จำกัด (Sinopec) ที่เป็นผู้รับเหมาช่วงของกิจการร่วมค้า UJV: Unincorporated Joint Venture of Petrofac South East Asia Pte. Ltd. (“Petrofac”), Saipem Singapore Pte. Ltd. (Saipem) และ Samsung E&A (Thailand) Co., Ltd. (ชื่อเดิม Samsung Engineering (Thailand) Co., Ltd.) (Samsung) ซึ่งเป็นผู้รับเหมาหลักในการก่อสร้างโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project: CFP) ให้กับ บริษัทฯ 

ทั้งนี้ กลุ่มผู้ใช้แรงงานได้มารวมตัวกันเพื่อเรียกร้องค่าจ้างจากนายจ้างทั้ง 3 บริษัท (One Turn Ten, EMCO, Thai Fong) รวมถึง Sinopec และ UJV ด้วย โดยทั้ง 3 บริษัทไม่ได้รับค่าจ้างจาก Sinopec และทาง Sinopec เองก็ยังไม่ได้รับค่าตอบแทนตามสัญญาจ้างช่วงจาก UJV ด้วยเช่นกัน จึงทำให้ไม่สามารถจ่ายค่าจ้างให้แก่กลุ่มบริษัทผู้รับเหมารายย่อยต่าง ๆ รวมถึง 3 บริษัทข้างต้น

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้จ่ายค่าตอบแทนให้ UJV ตามเงื่อนไขที่ระบุในสัญญาจ้างเหมาทำของ ออกแบบวิศวกรรม การจัดหา และการก่อสร้าง (EPC: Engineering, Procurement and Construction) อย่างครบถ้วนถูกต้องแล้ว ซึ่ง UJV ได้ไปว่าจ้างผู้รับเหมาช่วงและมีสัญญาจ้างกับผู้รับเหมาช่วงอีกประมาณ 60 ราย รวมถึง Sinopec ด้วย 

ดังนั้น การที่กลุ่มผู้ใช้แรงงานของผู้รับเหมาช่วงมารวมตัวชุมนุมที่หน้าโรงกลั่นไทยออยล์ จึงเป็นหน้าที่ของผู้รับเหมาช่วง (Sinopec) รวมถึง UJV ที่จะต้องรับผิดชอบในการชำระค่าจ้างและดำเนินการเพื่อให้กลุ่มผู้ใช้แรงงานกลับไปทำงานได้ตามปกติ 

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้ตระหนักถึงความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นของกลุ่มผู้ใช้แรงงาน โดยได้ประสานให้มีการหารือร่วมกันระหว่างผู้แทนกลุ่มผู้ใช้แรงงานของผู้รับเหมาช่วง หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ผู้แทนของผู้รับเหมาช่วง และผู้แทน UJV มาอย่างต่อเนื่อง จากการเจรจาเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคมที่ผ่านมา ถึงแม้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ แต่บริษัทฯ ได้รับแจ้งว่าผู้แทนกลุ่มผู้ใช้แรงงานของผู้รับเหมาช่วง ผู้แทนของผู้รับเหมาช่วง และผู้แทน UJV มีความเข้าใจข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นและน่าจะบรรลุข้อตกลงได้และได้นัดหมายการเจรจาครั้งต่อไปในวันนี้ (30 กรกฎาคม 2567) เมื่อกลุ่มผู้ใช้แรงงานได้รับทราบผลความคืบหน้าในการเจรจาและการนัดหมายครั้งต่อไป จึงได้สลายการชุมนุม เวลา 20.30 น. วันที่ 26 กรกฎาคม 2567

โดยในวันนี้ (30 ก.ค.67) ได้มีกลุ่มผู้ใช้แรงงานมารวมตัวชุมนุมกันอีกครั้ง เพื่อรอฟังความคืบหน้าจากการประชุมร่วมกันระหว่าง Sinopec UJV นายจ้างของกลุ่มผู้ใช้แรงงาน ผู้แทนจากภาครัฐ และ ผู้แทนจากกลุ่มผู้ใช้แรงงาน เพื่อเจรจาหาข้อยุติการชำระเงินค้างจ่ายกับผู้รับเหมา ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ดำเนินการดูแลและมีบุคลากรที่มีความพร้อมในการรักษาความปลอดภัยของโรงกลั่นไทยออยล์ และประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ ในการจัดทำแผนฉุกเฉินและการส่งกำลังพลเพื่อเฝ้าระวังเหตุฉุกเฉินที่อาจจะเกิดขึ้น โดยครอบคลุมพื้นที่ตลอด 24 ชั่วโมง ควบคุมการเข้า - ออกอย่างเข้มงวด เพื่อให้มั่นใจว่าการรวมตัวชุมนุมจะเป็นไปอย่างสงบเรียบร้อย ปลอดภัย และลดผลกระทบต่อชุมชนโดยรอบ

6 สิงหาคม พ.ศ. 2488 ‘สหรัฐอเมริกา’ ทิ้งระเบิดปรมาณูถล่ม ‘เมืองฮิโรชิมะ’ โศกนาฏกรรมที่คร่าชีวิตชาวญี่ปุ่นทันที 80,000 คน

วันนี้เมื่อ 79 ปีที่แล้ว ซึ่งก็คือวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2488 เป็นอีกหนึ่งวันที่คนญี่ปุ่นไม่มีวันลืม เมื่อระเบิดปรมาณู ‘ลิตเติลบอย (Little Boy)’ ของสหรัฐอเมริกา ถูกทิ้งเหนือเมืองฮิโรชิมา เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตทันทีประมาณ 80,000 คน และมีผู้เสียชีวิตจากการได้รับกัมมันตภาพรังสีอีก 60,000 คน

‘ลิตเติลบอย (Little Boy)’ เป็นชื่อระเบิดปรมาณู ที่ถูกนำไปทิ้งเหนือเมืองฮิโรชิมา ประเทศญี่ปุ่น โดยเครื่องบิน B-29 Superfortress (เครื่องบินลำนี้มีชื่อ Enola Gay) และระเบิดลูกนี้ ยังนับเป็นระเบิดปรมาณูลูกแรกที่ใช้ในการสงครามอีกด้วย

โดยอาวุธนี้พัฒนาขึ้น ในระหว่างจัดตั้ง ‘โครงการแมนฮัตตัน’ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดย ‘จูเลียส โรเบิร์ต ออปเพนไฮเมอร์’ ผู้ที่ได้ฉายาว่า ‘บิดาแห่งระเบิดปรมาณู’

สำหรับ ‘ลิตเติลบอย’ มีความยาว 3 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 71 เซนติเมตร และน้ำหนัก 4,000 กิโลกรัม บรรจุธาตุยูเรเนียมประมาณ 64 กิโลกรัม และจากเหตุการณ์นี้นับเป็นโศกนาฏกรรมที่โลกไม่เคยลืม

7 สิงหาคม พ.ศ. 2463 วันสิ้นพระชนม์ ‘พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ฯ’ ผู้ทรงได้รับการยกย่องให้เป็น ‘พระบิดาแห่งกฎหมายไทย’

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ พระราชโอรสองค์ที่ 14 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 กับเจ้าจอมมารดาตลับ ประสูติเมื่อวันพุธ ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 11 ปีจอ จุลศักราช 1236 ตรงกับวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2417 ทรงมีพระนามเดิม พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ เป็นต้นราชสกุลรพีพัฒน์

ทั้งนี้ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำริให้พระราชโอรสไปศึกษายังต่างประเทศ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ ทรงเป็นพระราชโอรสกลุ่มแรกที่ทรงไปศึกษาต่อในทวีปยุโรป เมื่อ พ.ศ. 2428 คราวนั้นเสด็จไปพร้อมกัน 4 พระองค์ คือ พระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์ (กรมพระจันทบุรีนฤนาถ), พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ (กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์), พระองค์เจ้าประวิตรวัฒโนดม (กรมหลวงปราจิณกิติบดี) และพระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช (กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช)

เมื่อพระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ ทรงสำเร็จการศึกษาวิชากฎหมายจากประเทศอังกฤษได้กลับมารับราชการ ทรงเป็นผู้วางรากฐานด้านกฎหมายในเมืองไทย ทรงปรับปรุงศาลยุติธรรมสู่ระบบใหม่ ทรงตรวจชำระสะสางกฎหมาย ทรงตั้งโรงเรียนกฎหมายเพื่อเปิดการสอนกฎหมายครั้งแรก ทรงรวบรวมและแต่งตำราคำอธิบายกฎหมายลักษณะต่าง ๆ มากมาย ทรงเป็นกรรมการตรวจตัดสินความฎีกาซึ่งทำหน้าที่ศาลสูงสุดของประเทศ ทรงตั้งกองพิมพ์ลายมือขึ้น เมื่อพ.ศ.2443 สำหรับตรวจลายพิมพ์นิ้วมือผู้ต้องหาในคดีอาญา อันเป็นจุดเริ่มต้นของการพิสูจน์ลายมือที่กรมตำรวจในปัจจุบัน จนได้รับพระสมัญญานามว่า ‘พระบิดาแห่งกฎหมายไทย’

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่  7 สิงหาคม พ.ศ. 2463 จึงกำหนดให้วันที่ 7 สิงหาคม ของทุกปีเป็น ‘วันรพี’ เพื่อน้อมรำลึกถึงคุณงามความดีและคุณูปการของพระองค์ต่อวงการกฎหมายไทย

เปิดใจ 'มาเฟียสายขาว' ที่ Startup รุ่นใหม่ต้องรู้ หากหวังชนะใจ 'วิชัย ทองแตง' 'โปร่งใส-ทุ่มเท' พร้อมพาเฮเข้าตลาดใน 3 ปี แง้ม!! 'เฮลท์เทค' โอกาสรุ่งสูง

เชื่อได้ว่าหลาย ๆ คนที่กำลังทำบริษัทสตาร์ตอัปอยู่ คงอยากจะรู้ว่าคุณวิชัย ทองแตง เศรษฐีพอร์ตหุ้นระดับหมื่นล้าน ผู้ได้ฉายา 'มาเฟียสายขาว' แห่งวงการสตาร์ตอัปท่านนี้ จะอยากสนับสนุนใครบ้าง โดยช่วงหนึ่งที่คุณวิชัย เคยแชร์ไว้ในงาน Beartai Best Buy ผ่านหัวข้อ The Money For Startup ระบุว่า…

“จริง ๆ คนไทย โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่เริ่มถอยห่างจากการเป็นพนักงานกินเงินเดือนมาเป็นเจ้าของธุรกิจ อยากจะทดสอบและใช้ความรู้ความสามารถของตัวเอง เดินอยู่บนเส้นทางที่ตัวเองเป็นผู้กําหนด ซึ่งผมก็มองเห็นว่าศักยภาพของคนรุ่นใหม่ และคิดว่าเป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้เลย จึงได้ตัดสินใจเข้าไปช่วยส่งเสริม ผลักดัน ให้คำแนะนำ และในบางบริษัทก็เข้าไปร่วมลงทุนด้วย”

คุณวิชัยได้กล่าวถึงเป้าหมาย ขอบเขต และอนาคตของสตาร์ตอัปในมุมมองของตัวเองว่า “คำว่า ‘สตาร์ตอัป’ ในความหมายของผม ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่ IT เท่านั้น แต่รวมถึงธุรกิจอื่น ๆ ด้วย แต่ที่ให้น้ำหนักกับธุรกิจ IT มากนั้น บอกตรง ๆ เลยว่าเวลาเราดันเข้าตลาดหลักทรัพย์ ‘ตัวคูณ’ เยอะ และเป้าหมายการลงทุนของผม ในทุก ๆ การลงทุน จะมองไปยังเป้าหมายสุดท้ายคือเรื่องการเข้าตลาดทุนอยู่เสมอ”

“ผมเชื่อมั่นว่าสตาร์ตอัปสาย ‘เฮลท์เทค’ หรือธุรกิจสายสุขภาพในประเทศไทย สามารถเติบโตและก้าวเป็นผู้นำในระดับนานาชาติได้ ฉะนั้นผมจึงเปิดกว้างสำหรับสตาร์ตอัปที่มีแนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนารูปแบบของการทำธุรกิจทางด้านสุขภาพ เพราะผมเชื่อว่าอย่างไรแล้วก็ไม่มีวันตกเทรนด์ สามารถเติบโตได้  และหากทำสำเร็จก็จะยั่งยืน เป็นจุดแข็งของประเทศได้เลย”

คุณวิชัยยังได้เผยถึงขั้นตอนการเข้าพบ เพื่อนำเสนอไอเดียธุรกิจ และเกณฑ์การตัดสินใจไว้ว่า “การเข้ามาพูดคุยกับผม เรียนตามตรงว่าจะยุ่งยากสักหน่อย ขั้นตอนแรกก็ต้องผ่านผู้ช่วยของผมก่อน 2 ท่าน หากผู้ช่วยเห็นว่าเหมาะสมและดูมีโอกาสเป็นไปได้ในอนาคต ก็จะพาเข้ามาพรีเซ็นต์กับผม”

“ส่วนเรื่องเกณฑ์การตัดสินใจก็คือ ‘ความถูกใจ’ ผมจะมองถึงเรื่องความคิดใหม่ ๆ ที่ผ่านการทุ่มเทมามากพอสมควร เพราะคนที่จะเข้ามาทำสตาร์ตอัปได้นั้น หากขาดความอดทน ทุ่มเทอย่างแท้จริง ก็ยากที่จะทำได้ ไม่ว่ากับธุรกิจใด ๆ ก็ตาม” คุณวิชัยกล่าว

นอกจากนี้ คุณวิชัยยังได้กล่าวถึงการพาธุรกิจสตาร์ตอัปที่ผ่านเกณฑ์เข้าตลาดทุน แม้ว่าเจ้าของธุรกิจนั้น ๆ ไม่มีความรู้ความเข้าใจเรื่องการเข้าตลาดทุนว่า “ก่อนอื่นคือต้องปรับจูนความเข้าใจ ให้เห็นตรงกันก่อน ว่าการจะเดินเข้าสู่ตลาดทุนได้ ต้องมีการปรับตัวเอง เพราะมีกฎเกณฑ์ที่ค่อนข้างชัดเจน แต่หัวใจหลักใหญ่ก็คือ ‘ต้องโปร่งใส’ ไม่ว่าจะทําธุรกิจอะไรก็ตาม ต้องคํานึงถึงความโปร่งใส ไม่เอาเปรียบ…

“อีกอย่างหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ เวลาผมจะลงทุนในธุรกิจใดก็ตาม สิ่งที่มองเป็นหลักสำคัญคือหากเอาเข้าตลาดทุน ต้องมองไปที่อนาคตว่าสามารถไปต่อได้หรือไม่? ธุรกิจนั้นมีอุปสรรคหรือมีข้อขัดข้องอะไรบ้าง หรือมีคู่แข่งมากเกินไปหรือไม่? ซึ่งตอนนี้ผมกําลังพยายามที่มอบความรู้เหล่านี้ให้กับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เริ่มทำสตาร์ตอัปอยู่…”

สุดท้าย คุณวิชัยได้ทิ้งท้ายเกี่ยวกับระยะเวลาพาบริษัทสตาร์ตอัปเข้าตลาดหลักทรัพย์ไว้ว่า “กว่าจะเข้าตลาดทุนได้นั้น ใช้เวลาปกติประมาณ 3 ปี แต่ก็มีโอกาสเร็วกว่านั้นหากว่ามีจังหวะที่เหมาะสม ธุรกิจนั้น ๆ แมตช์กับบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ได้ โดยมีทิศทางที่สอดคล้องกัน และสามารถไปด้วยกันได้ เพื่อให้ธุรกิจนั้น ๆ แข็งแรงและเติบโตได้ตามความฝันของคนรุ่นใหม่”

‘รมว.ปุ้ย’ หนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เดินหน้าสู่อุตสาหกรรมสีเขียว ปล่อยสินเชื่อ 'SME Green Productivity' วงเงิน 15,000 ลบ. ส.ค.นี้

(30 ก.ค.67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากที่รัฐบาลภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญอย่างยิ่งในการสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ยกระดับสู่อุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) ที่จะสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนทั้งมิติทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม จึงมีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 30 กรกฎาคม 2567 เห็นชอบและอนุมัติโครงการสินเชื่อ 'SME Green Productivity' วงเงิน 15,000 ล้านบาท ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เข้าถึงแหล่งทุนดอกเบี้ยต่ำ นำไปเพิ่มผลิตภาพ ลดต้นทุน พัฒนายกระดับเปลี่ยนผ่านธุรกิจสู่อุตสาหกรรมสีเขียวได้อย่างราบรื่น ที่สำคัญช่วยให้การดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย สามารถตอบโจทย์กติกาการค้าโลกยุคปัจจุบัน แก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของภาคอุตสาหกรรม ลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ขับเคลื่อนกิจการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สร้างอนาคตที่สดใสและยั่งยืน  

ด้าน นายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรม ได้มอบหมายให้ SME D Bank ในฐานะหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแล เป็นหน่วยงานหลักในการส่งเสริมผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งทุนในโครงการสินเชื่อ 'SME Green Productivity' ซึ่งเป็นสินเชื่อเงื่อนไขผ่อนปรน เปิดกว้างกู้ได้ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล วงเงินกู้สูงสุด 10 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3 ปีแรก 3% ต่อปี ผ่อนชำระนานสูงสุด 10 ปี ปลอดชำระหนี้เงินต้นสูงสุด 12 เดือน และไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำ โดยกำหนดจะเปิดยื่นคำขอกู้ได้ภายในเดือนสิงหาคม 2567 นี้  

ทั้งนี้ กำหนดกลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่ต้องการติดตั้งระบบหรืออุปกรณ์ต่อเนื่องเพื่อปรับเปลี่ยนไปใช้พลังงานสะอาด ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ต้องการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตหรือเครื่องจักร รวมถึงการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการบริหารจัดการ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ เพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าและบริการ หรือลดการใช้พลังงาน ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่มีกระบวนการผลิตหรือเทคโนโลยีที่เชื่อมโยงไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ผ่านการพัฒนาหรือยกระดับด้านผลิตภาพ (Productivity) จากหน่วยงานพันธมิตรภาครัฐและเอกชนที่ธนาคารกำหนด สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357

‘ซี ศิวัฒน์’ เดือด!! หลังเห็นโฆษณา Apple ถ่ายทำในประเทศไทย ย้ำ!! บ้านเรามีดีเยอะ พร้อมไม่ขำกับภาพลักษณ์ที่คนอื่นมองเราไม่ดี

(30 ก.ค.67) กลายเป็นประเด็นดรามาร้อนแรง หลังจากที่ค่ายมือถือยักษ์ใหญ่อย่าง Apple ได้เผยแพร่โฆษณาตัวใหม่ The Underdogs: OOO (Out Of Office) | Apple at Work รวมสินค้าสุดล้ำสมัยหลากหลายชิ้น โดยปักหมุดถ่ายทำในประเทศไทย

กลับมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากคนไทยไปในทิศทางลบว่า รู้สึกไม่ปลื้มอย่างแรง เพราะองค์ประกอบ สถานที่ คอสตูม ขัดกับสิ่งที่ Apple นำเสนอมาก ๆ

แถมมีการย้อมสีภาพให้ออกโทน ‘สีเหลือง’ ค่อนข้างที่จะเหยียด สื่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยได้ออกมาล้าหลัง และด้อยพัฒนา

ไม่เพียงแค่นั้น ในเรื่องของการเดินทาง ที่ค่อนข้างเก่า จนเหมือนโลเคชั่นของการถ่ายทำเป็นประเทศอื่นไปเลย ทำเอาสาวกหลาย ๆ คน ถึงขั้นอยากเลิกใช้แบรนด์ดังกล่าวทันที

งานนี้ล่าสุด พิธีกร-นักแสดงชื่อดัง อย่าง ‘ซี ศิวัฒน์’ ขอไม่ทนกับประเด็นดังกล่าวด้วยเช่นกัน ออกมาโพสต์ภาพโฆษณาตัวดังกล่าว พร้อมระบุว่า “xูไม่ขำ! บอกเลยโคตรเฮีย ถ้าไม่เสียดายตังค์นะ แx่งเขวี้ยงทิ้งจริง”

ก่อนได้ตอบคอมเมนต์รัว ๆ เอาไว้ว่า “แอบโกรธอะ ทั้ง ๆ ที่เราก็สาวก Apple มาตลอด”

“ก็เพราะ Soft Power นี่แหละครับ เราถึงดูแย่ บ้านเราไม่ได้ล้าหลังขนาดนั้น ประเทศไทยเรามีสิ่งที่ดีเยอะแยะ ทำให้ขำเข้าใจได้ แต่ผมไม่ขำกับภาพลักษณ์ที่คนอื่นมองเราไม่ดี”

🔎10 คนดัง ‘ถือคบเพลิง’ ในพิธีโอลิมปิก Paris 2024 มีใครกันบ้างนะ??

ในพิธี ‘โอลิมปิก Paris 2024’ คบเพลิงจะถูกส่งต่อผ่านคนดังและผู้มีชื่อเสียงที่มาจากหลายแขนงการทำงานทั่วโลกรวมกว่า 10,000 คน โดยการวิ่งถือคบเพลิงจะใช้เวลาทั้งหมด 11 สัปดาห์ ผ่าน 450 เมืองทั่วปารีสก่อนที่จะมาจุดในพิธีเปิดในวันที่ 26 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งวันนี้ได้รวบรวม 10 คนดังที่เข้าร่วมวิ่งคบเพลิง ‘โอลิมปิก Paris 2024’ มาไว้ให้แล้ว จะมีใครบ้าง ไปดูกัน!!

1.Jin พี่ใหญ่แห่งวงศิลปินชื่อดังสัญชาติเกาหลี 🇰🇷อย่างวง BTS เขาได้หมายเลขในการวิ่ง E109 

2.Wang Yibo นักแสดงหนุ่มมากฝีมือจากประเทศจีน 🇨🇳 หมายเลข E142 โดยหนุ่มหวังอี้ป๋อเคยถูกแต่งตั้งให้เป็นทูตส่งเสริมโอลิมปิกฤดูหนาวที่กรุงปักกิ่งในปี 2022 ด้วย

3.Zhao Lusi ดาราสาวตัวท็อปชาวจีน 🇨🇳 มาวิ่งในหมายเลข E014 

4.Halle Berry ดาราสาว 🇺🇸 ที่ชนะรางวัล The Academy Award ได้เข้าวิ่งถือคบเพลิงด้วยหมายเลข E022 

5.Thierry Henry อดีตนักเตะทีมชาติฝรั่งเศส 🇫🇷 และบุคคลในตำนานของอาร์เซนอล ได้ใส่เบอร์ E001

6.Charles Leclerc นักแข่งรถฟอร์มูล่าวัน ภายใต้สังกัดเฟอร์รารี่ชาวโมนาโก 🇲🇨 โดยใส่เสื้อเบอร์ E161

7.Nicky Doll 🇫🇷 พิธีกรรายการ Drag Race France และยังเป็นราชินีของ LQBTQ+ โดยใส่เสื้อเบอร์ E077

8.Pharrell Williams 🇺🇸 โดยเขาถือคบเพลิงที่มหาวิหาร The Basilica of Saint-Denis ซึ่งเป็นช่วงท้ายก่อนจะถูกนำไปจุดในพิธีเปิด

9.SnoopDogs เจ้าพ่อ Rapper สัญชาติอเมริกัน 🇺🇸 เข้าร่วมวิ่งคบเพลิงในช่วงสุดท้าย ซึ่งเป็นหน้าบริเวณพิธีเปิดโอลิมปิก โดยใส่เบอร์ E015

10.The Masked เป็นไฮไลต์สุด ๆ ชายที่ใส่หน้ากากโพกผ้าปิดมิดชิด เข้ามาวิ่งถือคบเพลิง วิ่งไปรอบ ๆ ตามสถานที่ต่าง ๆ ในกรุงปารีส โดยมีการคาดเดาว่าการแต่งตัวน่าจะมาจากละครเกมซีรีส์ยอดฮิตอย่าง The Assasin’s Creed ที่มีมากกว่า 10 ภาคและในบางภาคก็มีการนำเอาบรรยากาศของกรุงปารีสมาใช้เป็นฉากประกอบในเกมด้วย

‘แฟนคลับ’ สุดทน!! YG ปฏิบัติกับ ‘ลิซ่า’ ไม่แฟร์ หากเทียบสมาชิกในวง ได้ใส่ชุดโปรโมต BORN PINK ตัวเดิม แถมเขียนชื่อค่าย LLOUD ผิด

(30 ก.ค.67) เป็นเรื่องอีกแล้วบลิ๊งค์ทั่วโลก (ชื่อแฟนคลับ) ต่างรอคอยการกลับมาของทั้ง 4 สาว ‘ลิซ่า - โรเซ่ - เจนนี่ - จีซู’ ล่าสุด YG Entertainment ต้นสังกัดเพียงในนามวงของ ‘BLACKPINK’ เตรียมปล่อยเวิลด์ทัวร์คอนเสิร์ต ‘BORN PINK’ ครั้งยิ่งใหญ่ในรูปแบบภาพยนตร์

ภายใต้ชื่อ ‘BLACKPINK WORLD TOUR [BORN PINK] IN CINEMAS’ เรียกว่า เป็น Limited screenings เริ่มต้นฉายครั้งแรกในวันที่ 31 ก.ค. แต่กลายเป็นประเด็นร้อนไม่ใช่น้อย เมื่อแฟนคลับเห็นโปสเตอร์ และโปสการ์ดของ ‘ลิซ่า’ เมื่อเทียบกับเพื่อน ๆ คนอื่นในวง ทำให้รู้สึกไม่ยุติธรรม และเท่าเทียมกับคนอื่น 

โดยแฟนคลับต่างโพสต์ในแพลตฟอร์ม X เกี่ยวกับสิ่งที่ YG ปฏิบัติ หลังจาก ‘ลิซ่า’ แยกออกมาเปิดต้นสังกัดเดี่ยว และเตรียมกลับมาทำงานผลงานร่วมกับวง ได้แก่ 

- เขียนชื่อค่ายของ ลิซ่า ผิด จาก LLOUD เป็น LOUD ซึ่งแฟนคลับมองว่า ชื่อค่ายนี้เขียนง่ายมากที่สุด 
- โปสการ์ดแถมจากภาพยนตร์ที่กำลังจะปล่อยออกมานั้น สมาชิกในวงคนอื่น เป็นรูปภาพที่ใส่ชุดแตกต่างกัน แต่ของลิซ่ากลับเป็นชุดเดิม ทั้งที่ในโชว์เปลี่ยนตั้งหลายชุด แถมคอมโพสต์ภาพแสงกลับแยงตาอีก
- โปสเตอร์เดี่ยวสำหรับการโปรโมตยังใช้ชุดเดิม ภาพเดิมซ้ำกับโปสการ์ด ทั้งที่สมาชิกคนอื่นเปลี่ยนรูป แถมรูปที่ออกมายังมีไมค์ปิดบังใบหน้า 

อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้คือความเห็นจากในโลกโซเชียลเท่านั้น ต้องมารอติดตามกันอีกที ว่าในรูปแบบภาพยนตร์เต็มที่ปล่อยออกมาจะเป็นอย่างไร


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top