Sunday, 25 May 2025
TheStatesTimes

ระวัง!! 'เมียนมาอพยพ' หวังฮุบ 'มหาชัย' เป็นเมืองหลวงแห่งที่ 2 ท่ามกลางความมั่นใจ 'ข้าราชการไทยซื้อได้-NGO คุ้มกะลาหัว'

ประเด็นเรื่องแรงงานเมียนมาในไทย ยังมีไม่จบไม่สิ้น จากที่ เอย่า กล่าวไปแล้วในบทความก่อน ก็มีโซเชียลมีเดียกลุ่มแรงงานเมียนมาบางกลุ่มมาโวยวายว่า 'คนไทยควรสำนึกบุญคุณที่แรงงานเขาสร้างไทยให้พัฒนา' และที่สำคัญคือ เขาได้จ่ายภาษีให้แก่ไทยด้วย โดยเฉพาะกลุ่มแรงงาน MOU

มาถึงจุดนี้ เอย่า ถึงกับตกใจว่า คนเหล่านี้ไปเอาคำกล่าวนี้มาจากไหน?

เอาเป็นว่าวันนี้ เอย่า มาอธิบายเรื่อง ภาษีรายได้ของคนต่างชาติที่มาทำงานกันให้ทราบดีกว่า...

เมื่อปีที่แล้วทางรัฐบาลทหารเมียนมามีการประกาศเกี่ยวกับการเก็บภาษีบุคคลที่ทำงานในต่างประเทศโดยมีรายละเอียดที่ปรากฎเมียนมาระบุว่า...

1. แรงงาน MOU และ กลุ่ม Blue Collarจะถูกหัก 2% ของรายได้ โดยทางการรัฐบาลเมียนมาจะ Fix ว่าคนกลุ่มนี้มีรายได้ที่ 7,500 บาท ดังนั้นคนกลุ่มนี้จะเสียภาษี 150 บาท/เดือน หรือ 1,800 บาท/ปี โดยทางสถานทูตจะกำหนดให้จ่ายทุก 6 เดือน หรือ 9 เดือน

2. สำหรับงาน White collar หรือกลุ่ม Expat จะเสียภาษี 2% เช่นกัน แต่เนื่องจากกลุ่มนี้มีการจ่ายภาษีให้ไทย จึงสามารถนำภาษีไทยมาหักภาษีได้ เช่น รายได้ 15,000 บาท จะต้องเสียภาษี 5% ให้ไทย แปลว่าภาษีส่วนนี้ก็ไม่ต้องจ่ายให้ทางเมียนมา ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาการจ่ายภาษีซ้ำซ้อนหรือ doubble tax เช่นกัน หากจ่ายภาษีที่ไทยต่ำกว่า 2% ก็ให้นำหลักฐานการเสียภาษีในไทยมาหักกับภาษีที่ต้องจ่ายแล้วจ่ายส่วนต่างแทน

ฉะนั้นกลุ่มแรงงานและ Blue Collar ควรเข้าใจได้แล้วนะว่า พวกคุณไม่เคยเสียภาษีรายได้ในไทย แต่คุณเสียภาษีให้แก่รัฐบาลของคุณ (เมียนมา) ตามกฎหมายนั่นเอง

เอย่า ขอกล่าวว่า แรงงานไม่ว่าชาติใด ก็มีส่วนในการขับเคลื่อนประเทศไทยทั้งสิ้น ไม่ใช่แค่เมียนนมา แต่การขับเคลื่อนนั้น แลกมาด้วยค่าแรงที่นายจ้างจ่ายนะ ไม่ใช่พวกคุณมาทำให้ฟรีๆ ดังนั้นจึงถือเป็นบุญคุณคงไม่ได้ และถ้าพวกคุณจะไม่พอใจ ก็กลับไปได้เลย เพราะเชื่อว่ายังมีแรงงานชาติอื่นๆ ที่พร้อมจะเข้ามาเป็นแรงงานแทนพวกคุณ  

พวกคุณควรจะขอบคุณนายจ้างที่ยังจ้างพวกคุณทำงานมากกว่า!!

ส่วนเรื่อง 'มหาชัย' คุณจะตั้งเมียนมาทาวน์ เหมือนเยาวราชที่เป็นไชน่าทาวน์ หรือ พาหุรัดที่เป็นลิตเติลอินเดียก็ได้ แต่ถ้าไม่ปฏิบัติตนตามกฎหมายไทย คุณก็อย่าคิดว่าจะได้อยู่อย่างเป็นสุข เพราะที่นี่ไม่ใช่เมืองหลวงนอกประเทศของเมียนมา จำเอาไว้ด้วย

สุดท้าย เอย่า ขอเตือนข้าราชการไทยไว้ว่า ในโซเชียลของชาวพม่า ต่างดูถูกดูแคลนพวกข้าราชการไทย บ้างก็ว่าข้าราชการไทยเอาเงินจ่ายก็จบ บ้างก็ว่าข้าราชการไทยทำอะไรพวกเขาไม่ได้ เพราะพวกเขามี NGO คุ้มกะลาหัวอยู่ 

เป็นข้าของแผ่นดินไทยนะคะ ถ้าจะไม่อายคนที่มีชีวิตอยู่ ก็ควรอายผีบรรพบุรุษบ้าง!!

เอย่า ขอฝากไว้ให้คิดแค่นี้

'รมว.ปุ้ย' ปลาบปลื้ม!! พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ ยก!! เป็นการเข้าเฝ้าในโอกาสสำคัญ ที่เป็นมงคลยิ่งแก่ชีวิตของตน

เมื่อวานนี้ (28 ก.ค. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า วันนี้เป็นวันสำคัญของชาติไทยค่ะ ปุ้ยในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม คณะรัฐมนตรีทุกท่าน ได้ติดตามนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่ค่ะ โดยมีการไปร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และพิธีทำบุญตักบาตร ถวายพระราชกุศลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ณ บริเวณท้องสนามหลวง เป็นลำดับแรกค่ะ 

หลังจากนั้นไปร่วมในพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดี และพลังของแผ่นดิน เฉลิมพระเกียรติ ต่อจากนั้นได้เดินทางร่วมกับคณะรัฐมนตรีไปยังพระที่นั่งอัมรินทรวินิจฉัย ในพระบรมมหาราชวัง 

เป็นการเข้าเฝ้าในโอกาสสำคัญนะคะ โอกาสสำคัญที่เป็นมงคลยิ่งในชีวิตของปุ้ยเอง และความเป็นมงคลยิ่งนี้ ขอให้สัมฤทธิ์กับพี่น้องชาวนครศรีธรรมราช พี่น้องชาวไทยทุกคนนะคะ 

ปุ้ยในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับคณะรัฐมนตรีทุกท่านได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จออกพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ทรงรับการถวายพระพรชัยมงคล, สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี กราบบังคมทูลพระกรุณาถวายพระพรชัยมงคล แทนคณะรัฐมนตรี ข้าราชการทหาร ตำรวจ พลเรือน และราษฎรทุกหมู่เหล่า 

บรรยากาศสำคัญในประวัติศาสตร์ชาติไทยปุ้ยและคณะรัฐมนตรี ข้าราชการทหาร ตำรวจ พลเรือน และราษฎรทุกหมู่เหล่า ได้ซึมซับทุกวินาทีอันเป็นมหามงคลยิ่งอยู่ที่นั่นค่ะ

‘สมาร์ตโฟนจีน’ เขี่ย ‘แอปเปิ้ล’ ร่วง Top 5 ในไตรมาส 2 ‘วีโว่’ ขึ้นแท่นผู้นำในจีน โกย!! ยอดขาย 13.1 ล้านเครื่อง

(29 ก.ค. 67)  สำนักข่าวซีเอ็นบีซี เผยว่า ส่วนแบ่งตลาดของแอปเปิ้ลในจีนร่วงลงสู่ระดับ 14% ในไตรมาสสองปี 2567 จากระดับ 15% ในไตรมาสหนึ่ง และจากระดับ 16% ในช่วงเวลาเดียวกันเมื่อปีก่อน

จากข้อมูลดังกล่าวทำให้ผู้ผลิตไอโฟน ที่ครองส่วนแบ่งตลาดในจีนมากเป็นอันดับที่ 3 ในไตรมาสสองของปีก่อน ร่วงลงไปครองตำแหน่งแบรนด์ที่มีส่วนแบ่งตลาดมากสุดอันดับที่ 6 ในจีน ซึ่งจากการคำนวณของซีเอ็นบีซี พบว่า แอปเปิ้ลมียอดจัดส่งสมาร์ตโฟนราว 9.7 ล้านเครื่อง

‘ลูคัส จง’ นักวิจัยจากคานาลิส (Canalys) กล่าวว่า

“นี่ถือเป็นไตรมาสแรกของประวัติศาสตร์ที่แบรนด์ของจีนครองส่วนแบ่งตลาดทั้ง 5 อันดับแรก”

ทั้งนี้ ยอดจัดส่งสมาร์ตโฟนของแอปเปิ้ลลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาสแรก ซึ่งร่วงมากถึง 25% สู่ระดับ 10 ล้านเครื่อง เมื่อเทียบแบบปีต่อปี

‘แอปเปิ้ล’ กำลังเผชิญกับภาวะคอขวดในตลาดจีน ขณะที่บริษัทพยายามรักษาเสถียรภาพด้านราคาขายปลีก และปกป้องกำไรตามช่องทางการจำหน่ายของพาร์ตเนอร์

คานาลิส ระบุ อีก 12 เดือนข้างหน้าบริการ "แอปเปิ้ล อินเทลลิเจนซ์ " (Apple Intelligence) ท้องถิ่นในจีน จะเป็นความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญ เพื่อแข่งขันกับแบรนด์สมาร์ตโฟนจีนที่กำลังพัฒนาการนำเอไอรู้สร้าง หรือเจนเอไอ (GenAI) ไปใช้ในผลิตภัณฑ์ของตน

ตั้งแต่เดือน เม.ย. ถึง มิ.ย. วีโว่ (Vivo) ขึ้นเป็นแบรนด์อันดับ 1 ที่ครองส่วนแบ่งตลาด 19% และมียอดขาย 13.1 ล้านเครื่อง อานิสงส์จากยอดขายแพลตฟอร์มออฟไลน์ และออนไลน์แข็งแกร่ง ในช่วงเทศกาลชอปปิงออนไลน์ 618

ขณะที่ออปโป้ (OPPO) ยังคงครองส่วนแบ่งตลาดอันดับที่ 2 เหมือนเดิม มียอดขาย 11.3 ล้านเครื่อง เนื่องจากได้รับแรงหนุนจากรุ่น Reno 12 ส่วนออเนอร์ (Honor) ครองอันดับที่ 3 มียอดขาย 10.7 ล้านเครื่อง เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 4 %

หัวเว่ย (Huawei) อยู่อันดับที่ 4 ครองส่วนแบ่งตลาด 15% โดยมียอดขาย 10.6 ล้านเครื่อง ขณะที่ปีก่อนหน้าหัวเว่ยยังไม่สามารถขึ้นเป็นแบรนด์ท็อป 5 ได้ แต่ขณะนี้ธุรกิจที่จำหน่ายสินค้าสู่ผู้บริโภคโดยตรง (consumer business) ของหัวเว่ยฟื้นตัวได้ดีในจีน หลังออกสมาร์ตโฟนรุ่น Mate 60

ด้านเสียวหมี่ (Xiaomi) ที่เพิ่งเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าที่สร้างความฮือฮาอย่าง SU7 ครองส่วนแบ่งตลาดอันดับที่ 5 และยอดขายโทรศัพท์มือถือ K70 และรุ่นเรือธงอย่าง เสียวหมี่ 14 เติบโตแข็งแกร่ง

โดยรวมแล้วตลาดสมาร์ตโฟนจีนเติบโต 10% ในไตรมาสสองเมื่อเทียบแบบปีต่อปี และมียอดขายมากกว่า 70 ล้านเครื่อง

‘พีระพันธุ์’ โต้ ‘สส.ก้าวไกล’ ปมกระแสเงินสด ‘กฟผ.’ ลดลงจนติดลบ เป็นไปไม่ได้

ย้อนไปเมื่อวันที่ 3 ม.ค. 67 ในการอภิปรายร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 ที่รัฐสภา นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน ต้องลุกขึ้นมาแจงข้อเท็จจริง หลังถูกพรรคฝ่ายค้านโดยนายศุภโชติ ไชยสัจ สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล อภิปรายพาดพิงงบประมาณ ปี 2567 ด้วยข้อมูลที่ไม่ตรงข้อเท็จจริง

โดย สส.ก้าวไกล รายนี้ พาดพิงเรื่องที่รัฐบาลลดค่าไฟฟ้าให้ประชาชนว่า ทำให้เกิดเป็นปัญหาการเงินให้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จนประสบปัญหาทางการเงิน

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขที่ สส.ก้าวไกล ยกมาตั้งข้อสงสัยรัฐบาลในวันนั้น ก็ถูกตอกกลับด้วยข้อมูลจริงจากทาง รมว.พลังงาน เนื่องจาก สส.ก้าวไกล คนดังกล่าว เลือกเอาข้อมูลที่เป็นเพียง 'ข้อมูลคาดการณ์' ซึ่งทำไว้ล่วงหน้าก่อนของจริงตั้งแต่ตุลาคม 2566 มาพูด โดยมิได้นำ 'ข้อมูลจริง' ที่ 'เกิดขึ้นจริง' ณ เวลาดังกล่าว มานำเสนอกับประชาชนและสภาอันทรงเกียรติแห่งนี้

โดยเรื่องนี้ หากใครฟังแล้ว ก็จะรู้สึกตกใจว่ารัฐบาลไปยัดปัญหาให้ กฟผ. เพิ่มทำไม? และประชาชนทางบ้าน รวมถึงสื่อมวลชนที่ไม่รู้ข้อเท็จจริง ก็จะยิ่งตกใจตามไปด้วย ขณะที่ นายพีระพันธุ์ เองก็ยอมรับว่า ตกใจ แต่ไม่ใช่การตกใจในข้อมูลและตัวเลขที่ สส.ก้าวไกลคนดังกล่าวพูด แต่เป็นความตกใจที่ ทำไมกล้านำ 'ข้อมูลคาดการณ์' ไม่นำข้อมูลจริง ๆ มาพูดต่อหน้าสาธารณชน

สมาคมนักหนังสือพิมพ์ภูมิภาคแห่งประเทศไทย ประชุมสัญจรที่หาดใหญ่ ครั้งที่ 2/67 เตรียมต้อนรับคณะสื่อจากจีน เวียดนาม ร่วมแสดงความยินดีนายกสมาคมฯที่ได้รับเลือกเป็น สมาชิกวุฒิสภา สายสื่อมวลขน

เมื่อวานนี้  (28 ก.ค. 67) ผู้สื่อข่าว รายงานว่า ที่ ห้องประชุมน่านเจ้า โรงแรมบีพี แกรนด์ทาวเวอร์ หาดใหญ่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา สมาคมนักหนังสือพิมพ์ภูมิภาคแห่งประเทศไทย ( สนพท. ) ได้จัดประชุมสัญจร ครั้งที่ 2/2567 ขึ้น ที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา มีคณะกรรมการบริหาร ที่ปรึกษาสมาคมฯ อุปนายก ทั้ง 3 ท่าน และผู้เข้าร่วมสังเกตุการประชุม โดยมี นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล  นายกสมาคมนักหนังสือพิมพ์ภูมิภาคแห่งประเทศไทย เป็นประธานในการประชุม ที่ประชุมได้มีการร่วมพิจารณาและรับรองรายงานการประชุมคณะกรรมการบริหารสมาคมฯ เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2567 ณ ห้องประชุมที่ว่าการอำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ ที่ผ่านมา พร้อมกับมีการรายงานความคืบหน้าในการจดทะเบียนสมาคมต่อนายทะเบียน การพิจารณาการทำบัตรสมาชิก

นายกสมาคมฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมได้รับทราบว่า สมาคมนักข่าวจากสาธารณรัฐประชาชนจีน จะเดินทางมาเยือนสมาคมฯ ในปลายเดือนตุลาคม 2567 โดยทางสมาคมฯ ได้มีความพร้อมที่จะต้อนรับ ทางสมาคมนักข่าวจีน ต้องการที่จะลงนามความร่วมมือ MOU กันใหม่ทุก 4 ปี เพราะเศรษฐกิจ สังคม การเมือง มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
“ล่าสุดผมได้รับหนังสือแจ้งจากสมาคมนักข่าจีนว่า ทางสมาคมนักข่าวจีนเขาได้ร่วมพูดคุยกับกรรมการและเพื่อนร่วมงานที่ได้ลงนาม MOU ไว้ก่อนหน้านี้ โดยมีเนื้อหาที่สำคัญคือ สมาคมนักข่าวจีน All-China Journalists Association (ACJA) และสมาคมนักหนังสือพิมพ์ภูมิภาคแห่งประเทศไทย ยินดีทำงานร่วมกัน ในความร่วมมือของทั้งสองประเทศ”

พร้อมกับการขยายความร่วมมือบนแพลตฟอร์มความร่วมมือของนักข่าวเส้นทางสายไหมและเครือข่าย (Belt and Road Journalists Network : BRJN) ซึ่งนั่นหมายถึงการมีส่วนร่วมอย่างเข็มแข็งในกิจกรรมของเครือข่ายเรา สมาคมนักข่าวจีนและสมาคมนักหนังสือพิมพ์ภูมิภาคฯ พร้อมที่จะนำกลไกความร่วมมือของนักข่าวทั้งสองประเทศผ่านช่องทางและวิธีการที่เกี่ยวข้องต่อไป

ส่วนการเชิญสมาคมผู้สื่อข่าวจากประเทศเวียดนามนั้น ทางสมาคมฯ จะประสานในรายละเอียด และกำหนดการมาเยือน โดยทางสมาคมฯ พร้อมที่จะต้อนรับสมาคมนักข่าวจากทั้งสองประเทศ พร้อมกำหนดการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ อีกครั้ง นายกสมาคมฯ กล่าวถึงการประชุมใหญ่สามัญของสมาคมฯ ว่า ที่ประชุมได้เลือกจังหวัดระยองเป็นเจ้าภาพ จัดประชุมใหญ่ในช่วงวันที่ 21-23 มีนาคม 2568 โดยรายละเอียดจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง
ในการประชุมครั้งนี้ คณะกรรมการบริหารสมาคมนักหนังสือพิมพ์ภูมิภาคฯ ได้ร่วมแสดงความยินดีต่อ นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล  นายกสมาคมนักหนังสือพิมพ์ภูมิภาคฯ ที่ได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา สายสื่อมวลชน พร้อมมอบของขวัญเป็นที่ระลึก

นายกสมาคมฯ ได้กล่าวขอบคุณคณะกรรมการทุกท่านที่เข้าร่วมประชุมสัญจร รวมถึงที่ปรึกษา ที่ร่วมแสดงความยินดีที่ตนได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา โดยตนเองในฐานะสื่อมวลชนอาชีพ พร้อมที่จะทำงานในบทบาทและหน้าที่ของ สว.ในสภาสูง และพร้อมที่จะร่วมกันผลักดันสวัสดิการของสื่อ การทำงานของสื่อในภาพรวมของประเทศต่อไป

นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

‘พีระพันธุ์’ โต้กลางสภาฯ หลัง ‘สส.ก้าวไกล’ ยกตัวเลขการเงิน ‘กฟผ.’ มาตั้งข้อสงสัย

ย้อนไปเมื่อวันที่ 3 ม.ค. 67 ในการอภิปรายร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 ที่รัฐสภา นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน ต้องลุกขึ้นมาแจงข้อเท็จจริง หลังถูกพรรคฝ่ายค้านโดยนายศุภโชติ ไชยสัจ สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล อภิปรายพาดพิงงบประมาณ ปี 2567 ด้วยข้อมูลที่ไม่ตรงข้อเท็จจริง

โดย สส.ก้าวไกล รายนี้ พาดพิงเรื่องที่รัฐบาลลดค่าไฟฟ้าให้ประชาชนว่า ทำให้เกิดเป็นปัญหาการเงินให้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จนประสบปัญหาทางการเงิน

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขที่ สส.ก้าวไกล ยกมาตั้งข้อสงสัยรัฐบาลในวันนั้น ก็ถูกตอกกลับด้วยข้อมูลจริงจากทาง รมว.พลังงาน เนื่องจาก สส.ก้าวไกล คนดังกล่าว เลือกเอาข้อมูลที่เป็นเพียง 'ข้อมูลคาดการณ์' ซึ่งทำไว้ล่วงหน้าก่อนของจริงตั้งแต่ตุลาคม 2566 มาพูด โดยมิได้นำ 'ข้อมูลจริง' ที่ 'เกิดขึ้นจริง' ณ เวลาดังกล่าว มานำเสนอกับประชาชนและสภาอันทรงเกียรติแห่งนี้

โดยเรื่องนี้ หากใครฟังแล้ว ก็จะรู้สึกตกใจว่ารัฐบาลไปยัดปัญหาให้ กฟผ. เพิ่มทำไม? และประชาชนทางบ้าน รวมถึงสื่อมวลชนที่ไม่รู้ข้อเท็จจริง ก็จะยิ่งตกใจตามไปด้วย ขณะที่ นายพีระพันธุ์ เองก็ยอมรับว่า ตกใจ แต่ไม่ใช่การตกใจในข้อมูลและตัวเลขที่ สส.ก้าวไกลคนดังกล่าวพูด แต่เป็นความตกใจที่ ทำไมกล้านำ 'ข้อมูลคาดการณ์' ไม่นำข้อมูลจริง ๆ มาพูดต่อหน้าสาธารณชน

‘พีระพันธุ์’ ยัน!! ‘กฟผ.’ ชำระหนี้ ‘ปตท.’ หมดสิ้นแล้ว

ย้อนไปเมื่อวันที่ 3 ม.ค. 67 ในการอภิปรายร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 ที่รัฐสภา นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน ต้องลุกขึ้นมาแจงข้อเท็จจริง หลังถูกพรรคฝ่ายค้านโดยนายศุภโชติ ไชยสัจ สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล อภิปรายพาดพิงงบประมาณ ปี 2567 ด้วยข้อมูลที่ไม่ตรงข้อเท็จจริง

โดย สส.ก้าวไกล รายนี้ พาดพิงเรื่องที่รัฐบาลลดค่าไฟฟ้าให้ประชาชนว่า ทำให้เกิดเป็นปัญหาการเงินให้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จนประสบปัญหาทางการเงิน

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขที่ สส.ก้าวไกล ยกมาตั้งข้อสงสัยรัฐบาลในวันนั้น ก็ถูกตอกกลับด้วยข้อมูลจริงจากทาง รมว.พลังงาน เนื่องจาก สส.ก้าวไกล คนดังกล่าว เลือกเอาข้อมูลที่เป็นเพียง 'ข้อมูลคาดการณ์' ซึ่งทำไว้ล่วงหน้าก่อนของจริงตั้งแต่ตุลาคม 2566 มาพูด โดยมิได้นำ 'ข้อมูลจริง' ที่ 'เกิดขึ้นจริง' ณ เวลาดังกล่าว มานำเสนอกับประชาชนและสภาอันทรงเกียรติแห่งนี้

โดยเรื่องนี้ หากใครฟังแล้ว ก็จะรู้สึกตกใจว่ารัฐบาลไปยัดปัญหาให้ กฟผ. เพิ่มทำไม? และประชาชนทางบ้าน รวมถึงสื่อมวลชนที่ไม่รู้ข้อเท็จจริง ก็จะยิ่งตกใจตามไปด้วย ขณะที่ นายพีระพันธุ์ เองก็ยอมรับว่า ตกใจ แต่ไม่ใช่การตกใจในข้อมูลและตัวเลขที่ สส.ก้าวไกลคนดังกล่าวพูด แต่เป็นความตกใจที่ ทำไมกล้านำ 'ข้อมูลคาดการณ์' ไม่นำข้อมูลจริง ๆ มาพูดต่อหน้าสาธารณชน

‘พล.ท.นันทเดช’ ชี้ 4 เหตุผลสำคัญ ทำให้ไทยอยู่ได้อีกนาน คนทั้งประเทศมี ‘พระเจ้าอยู่หัวพระองค์เดียวกัน’ อยู่ในจิตสำนึก

(29 ก.ค. 67)  พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์เฟซบุ๊กหัวข้อ ‘สถาบันพระมหากษัตริย์ กับ ประเทศไทย ในอนาคต ตอนที่ 1’ ระบุว่า...

สถาบันพระมหากษัตริย์ กับ ประเทศไทย ในอนาคต ตอนที่ 1

นอกจากเรื่องสงครามนิวเคลียร์แล้ว สถานการณ์ต่างๆในประเทศไทย และของโลก ในปัจจุบัน ได้ทำให้พวกเราหลายคนกังวลว่า อีกไม่นานประเทศไทยอาจจะกลายเป็น ‘ประเทศที่ล้มเหลว’ (Failed State)ในอนาคตอันใกล้นี้ได้ !!

ผมขอยืนยันว่าประเทศไทยจะไม่มีทางเป็น Failed State แน่นอน จากเหตุผลที่ไม่เข้าเงื่อนไขหลายประการ ได้แก่

1.เงื่อนไขสำคัญของการเป็นรัฐล้มเหลว คือการที่รัฐบาลไม่สามารถควบคุมพื้นที่บางส่วนของประเทศได้ ซึ่งรัฐบาลไทย แม้จะขี้โกงขนาดไหน ก็ยังเป็นคนไทย ไม่กล้าปล่อยให้พื้นที่ไหนขาดการควบคุม  และประชาชนคนไทยก็ไม่ได้โง่ เพียงแต่ส่วนใหญ่อยากอยู่สงบๆ และเรียบง่าย  แต่ถ้ามีเรื่องเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติแล้ว คนไทยก็ไม่เคยนิ่งเฉยสักครั้งเลย ส่วนเหตุความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น  ถ้าจะแก้ไขปัญหากันอย่างจริงจัง ก็ย่อมทำได้ แต่ผู้คนเหล่านั้น ก็คือ คนไทย ตามที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ   ประกอบกับการที่ทุกคนเป็นประชาชนที่มีพระเจ้าอยู่หัวพระองค์เดียวกันอีก ดังนั้น ฝ่ายทหาร จึงมักใช้วิธีการพูดคุยกัน  เป็นหลัก ก่อนการใช้ความรุนแรงปราบปราม

2.โครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ที่เป็นส่วนประกอบของรัฐชาตินั้น ประเทศไทยยังมีอยู่ครบถ้วน ทั้ง ด้านการศึกษา การสาธารณสุข การคมนาคม ฯลฯ ซึ่งแม้องค์กรเหล่านี้จะไม่เข็มแข็งนักเพราะต้องลู่ตามลมการเมือง แต่เราก็มี ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คอยคัดท้ายอยู่  ส่วนองค์กรทางด้านความมั่นคงส่วนใหญ่ ยังเข็มแข็ง พอที่จะป้องกันประเทศได้ หรือสามารถตอบอย่างเต็มปากเต็มคำ ว่า ‘ทหารมีไว้ทำไม’

3.ปัจจุบันประเทศไทยไม่มีสงครามกลางเมือง หรือ การก่อการร้าย เงินเฟ้อยังอยู่ในระดับการควบคุมได้ (หลังแจกเงินดิจิตอลแล้วค่อยมาพูดกันอีกที) ส่วนเรื่องสิทธิมนุษยชนของไทยนั้น  ดีเยี่ยมกว่าทุกประเทศในเอเซีย การตกงานแม้จะเริ่มสูงขึ้น ถึงกับมีข่าวการตกงานกันแทบทุกวัน  แต่ถ้าไม่เลือกงาน ก็ยังพอไหว สิ่งที่น่าวิตกมากสุด คือ เรื่องของการคอรัปชั่น ที่กำลังก้าวขึ้นสู่ระดับที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ตรงนี้ดูเหมือนคนไทยจะคุ้นชินกันไปซะแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าห่วงไยพอควรทีเดียว

4.จุดแข็งของประเทศไทย คือ คนไทยเรามี สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ในจิตสำนึก แม้พระองค์จะอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ แต่พระองค์ก็ทรงงานช่วยเหลือประชาชนอยู่ตลอดเวลา ไม่มีวันหยุด ไม่เหมือนนักการเมือง ที่มีวาระการทำงาน หมดวาระก็เลิกทำ   พระองค์จึงต่างกับนักการเมือง ที่สามารถทรงงานแก้ไขปัญหาของประชาชนได้ อย่างต่อเนื่อง และ ยังเป็นสถาบันหลักของชาติเพียงสถาบันเดียวในปัจจุบัน  ที่นักการเมืองขี้โกงทั้งหลาย และผู้ที่คิดร้ายต่อประเทศ  ยังต้องพะวงหน้าพะวังหลังอยู่  เนื่องจากรู้ดีว่า เบื้องหลังพระองค์ยังมีประชาชนจำนวนมหาศาลที่ ยืนอยู่เคียงข้างพระองค์ อย่างเงียบๆ อยู่ตลอดเวลา

ดังนั้นประเทศไทยยังอยู่ได้อีกนานครับ ไม่ต้องหนีไปไหน แต่ “ความเจริญก้าวหน้าอาจจะชะลอคงที่อยู่ ไม่รุดหน้าไปเหมือนประเทศอื่นๆ”แค่นั้น ซึ่งจะส่งผลทำให้คนไทยจะจนลงเรื่อยๆ คนชั้นกลางที่เคยเป็นผู้ออกมารักษาผลประโยชน์ของชาติ ก็จะลดน้อยลงไป

การทุจริตก็จะกลายเป็นเรื่องปกติ ซึ่งเรื่องเหล่านี้จะแก้ได้หรือไม่ก็อยู่ที่ตัวเราเองด้วยครับ คิดเสียว่าในอนาคตน่าจะดีขึ้นก็ได้ครับ

ข้อเขียนเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา

‘เพจดัง’ ชี้ ‘เด็กไทย’ เรียนประวัติศาสตร์สากล แค่ท่องจำ ไร้!! ความเข้าใจ-เชื่อมโยง เคลิ้มไปกับโลกแบบ ‘แฟนตาซี’

(29 ก.ค. 67) เพจ ‘การทูตและการทหาร Military & Dplomacy’ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ การปฏิวัติฝรั่งเศสในแบบเรียนไทย โดยได้ระบุว่า ...

การปฏิวัติฝรั่งเศสในแบบเรียนไทย

พูดถึงการ Romanticize การปฏิวัติฝรั่งเศสในประเทศไทย ผมคิดว่าจุดเริ่มต้นสำคัญมาจากเนื้อหาในแบบเรียนประวัติศาสตร์สากลที่กลวงโบ๋มาก

ในแบบเรียนประวัติศาสตร์สากล เรื่องการปฏิวัติฝรั่งเศสมักจะอยู่ในหัวข้อ ‘การปฏิวัติครั้งสำคัญของโลก’ รวมอยู่กับเรื่องการปฏิวัติในอังกฤษ (กฎบัตร Magna Carta, การปฏิวัติอันรุ่งโรจน์, Bill of Rights ฯลฯ) การปฏิวัติหรือการประกาศอิสรภาพของสหรัฐฯ ค.ศ. 1776 ครับ ทีนี้ปัญหาก็เริ่มจากว่าก่อนที่จะมาถึงหัวข้อการปฏิวัติเหล่านี้ แทบไม่มีการปูพื้นประวัติความเป็นมาของประเทศเหล่านี้ รวมถึงฝรั่งเศส มาก่อนเลย บทเรียนก่อนหน้านี้ยังเป็นเรื่องการเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ การฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissance) การปฏิรูปศาสนา (มาร์ติน ลูเทอร์ ฯลฯ) การปฏิวัติอุตสาหกรรม ต้องท่องชื่อศิลปิน นักสำรวจ นักวิทยาศาสตร์อยู่เลย แล้วอยู่ๆ ก็ตูม! การปฏิวัติฝรั่งเศส ถามว่าก่อนหน้านั้นนักเรียนได้เรียนอะไรเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสมาบ้าง คำตอบคือพระราชวังแวร์ซายส์ สร้างขึ้นสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เป็นงานศิลปะสมัยใหม่แบบ Baroque-Rococo แค่นี้แหละครับ ถามว่าสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เกิดอะไรขึ้นบ้าง ที่จะส่งผลกระทบต่อไปถึงยุคพระเจ้าหลุยที่ 15 และหลุยส์ที่ 16 หรือศิลปะ Baroque-Rococo นี่มีลักษณะอย่างไร ก็ตอบไม่ได้ครับ แต่ต้องท่องว่าพระราชวังแวร์ซายส์เป็นตัวอย่างของงานศิลปะแบบนี้เพราะชื่อเฉพาะพวกนี้ คนออกข้อสอบชอบมาก

เมื่อบทเรียนก่อนหน้าการปฏิวัติฝรั่งเศสแทบไม่ได้เอ่ยถึงประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสมาก่อนเลย แล้วอยู่ๆ ก็สอนนักเรียนว่าการปฏิวัติฝรั่งเศสมีอุดมการณ์ ‘เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ" มีการประกาศ ‘คำประกาศสิทธิมนุษยชนและพลเมือง’ นักเรียนก็เคลิ้มสิครับ ถามว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง ตอบไม่ได้ครับ เพราะหัวข้อนี้ตัดจบแค่นั้น กว่าแบบเรียนจะกลับมาพูดถึงฝรั่งเศสอีกทีก็ ... สงครามโลกครั้งที่ 1 เริ่มต้นขึ้นใน ค.ศ. 1914 ฝรั่งเศสอยู่ฝ่ายสัมพันธมิตร ... นั่นแหละครับ โรเบสปิแอร์คือใคร Reign of Terror คืออะไร นโปเลียนคือใคร ฯลฯ แบบเรียนไม่ได้สอนครับ

เมื่อนักเรียนจบการศึกษาชั้นมัธยมปลาย โดยมีความรู้เกี่ยวกับการปฏิวัติฝรั่งเศสแค่ ‘เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ’ กับ ‘คำประกาศสิทธิมนุษยชนและพลเมือง’ ถ้าเข้ามหาวิทยาลัย เป็นนักศึกษาแล้วไปเจออาจารย์มหาวิทยาลัยที่สอนแต่ลัทธิการเมือง โดยไม่สอนเหตุการณ์ประวัติศาสตร์จริงๆ ประกอบด้วย ก็ยิ่งเคลิ้มกันไปใหญ่สิครับ การปฏิวัติฝรั่งเศสเลยถูก Romanticize จะเป็นนิยายแฟนตาซีอยู่แล้ว แต่เป็นแฟนตาซีแค่ตอน ค.ศ. 1789 (ทลายคุกบาสตีย์) ถึง ค.ศ. 1793 (มารี อองตัวเน็ตต์ถูกตัดคอ) นะ ถ้าขยับเลยไปอีกหน่อยถึงช่วง Reign of Terror จะไม่ค่อยแฟนตาซีแล้ว ยิ่งถ้าช่วงหลัง ‘นายพลโบนาปาร์ต’ โผล่มาปุ๊บนี่จบเลย

จะเห็นได้ว่าปัญหาการ Romanticize การปฏิวัติฝรั่งเศสนี่ส่วนหนึ่งก็มาจากแบบเรียนประวัติศาสตร์สากลในโรงเรียนที่เนื้อหากลวงโบ๋มาก อยู่ๆ ก็ยกคำขวัญลอยๆ ขึ้นมาให้ท่อง โดยแทบไม่ได้ปูพื้นประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส หรือที่สำคัญคือเหตุการณ์ช่วงหลังการปฏิวัติ นักเรียนก็เคลิ้ม พอไปฟังนักวิชาการ ฟังสื่อต่อก็กลายเป็นแฟนตาซีไป

ทีนี้ถ้าจะให้เพิ่มเนื้อหาเข้าไปในแบบเรียนเฉยๆ ผมก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้องนะครับ เพราะถ้าเพิ่มเนื้อหารายละเอียดช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส ก็ต้องเพิ่มเนื้อหารายละเอียดเหตุการณ์ประวัติศาสตร์อื่นๆ ด้วย แล้วในโรงเรียนก็คงได้เรียนกันแต่ประวัติศาสตร์นี่แหละครับ ไม่มีเวลาเรียนวิชาอื่นๆ (ฮา)

ผมคิดว่าแทนที่จะต้องเพิ่มเนื้อหาเข้าไปทีละจุดๆ เราน่าจะมาทบทวนหลักสูตรสาระประวัติศาสตร์สากลในโรงเรียนกันใหม่ว่าประวัติศาสตร์ช่วงไหนที่นักเรียนควรรู้จริงๆ บ้าง ไม่ใช่ยกเนื้อหาวิชา ‘อารยธรรม’ (Civilization) ของระดับมหาวิทยาลัยมาทั้งดุ้นแบบนี้ ซึ่งลำพังวิชา Civilization มันก็ไม่ได้เป็นประวัติศาสตร์โลกที่สมบูรณ์ในตัวเอง เป็นแค่วิชาพื้นฐานของนักศึกษาสาขาประวัติศาสตร์ชั้นปี 1 ก่อนจะได้เรียนวิชาประวัติศาสตร์เฉพาะของประเทศหรือภูมิภาคต่างๆในชั้นปีที่สูงขึ้นเท่านั้น ซึ่งเดี๋ยวเนื้อหาวิชาประวัติศาสตร์ยุโรป ประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออก ประวัติศาสตร์สหรัฐฯ เป็นต้น ก็จะมาช่วยเติมองค์ความรู้ของนักศึกษาสาขาประวัติศาสตร์ต่อยอดจากวิชา Civilization อยู่แล้ว แต่สำหรับนักศึกษาสาขาอื่นๆ ที่ได้เรียนประวัติศาสตร์สากลมาแค่ในโรงเรียน ถึงระดับมัธยมปลาย น่าจะต้องมาทบทวนปรับแก้หลักสูตรให้กระชับแต่ลึกซึ้งมากกว่าการเอาวิชา Civilization มากลวงๆ ทั้งดุ้นแบบนี้ครับ

‘โนวัค โยโควิช’ นักเทนนิสระดับโลก โชว์ ไม้กางเขนคริสเตียน อย่างภาคภูมิใจ เพื่อส่งสารอันทรงพลัง ท่ามกลางความขัดแย้ง กรณี ‘พิธีเปิดโอลิมปิก’ ที่ปารีส

(29 ก.ค. 67) โนวัค โยโควิช นักเทนนิสระดับโลกชาวเซอร์เบีย ส่งข้อความอันทรงพลังด้วย #ไม้กางเขนคริสเตียน (CHRISTIAN CROSS) ใน #โอลิมปิก ที่ #ปารีส

โนวัค โยโควิช แชมป์เทนนิสโชว์ไม้กางเขนคริสเตียนอย่างภาคภูมิใจระหว่างโอลิมปิกที่ปารีส ส่งสารอันทรงพลังท่ามกลางความขัดแย้ง
โอลิมปิกที่ปารีสเผชิญกับกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากข้อกล่าวหาล้อเลียนศาสนาคริสต์ระหว่างพิธีเปิด

นอกจากนี้ งานนี้ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าใช้ DMCA (Digital Millennium Copyright Act หรือรัฐบัญญัติลิขสิทธิ์แห่งสหัสวรรษดิจิทัล) เป็นอาวุธเพื่อลบโพสต์บนโซเชียลมีเดียที่มีเนื้อหาวิพากษ์วิจารณ์


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top