Monday, 26 May 2025
TheStatesTimes

ภัยคุกคามไทย ใต้เงื้อมมือพรรค 'กลิ้งกลอก-หลอกเด็ก-ย้อนแย้ง' อันตรายเหนือภัยอื่นจาก 'ก๊วนนักการเมืองสายล้มล้างสถาบัน'

ตั้งแต่ผมเกิดและเติบโตมาบนผืนแผ่นดินไทยจนอายุแตะเลข 5 ยังไม่เคยเจอนักการเมืองที่กล้าเปิดหน้าเป็นปฏิปักษ์ และเดินหน้ากระทำชั่วช้ากับสถาบันเบื้องสูงอันเป็นที่รักของคนไทยได้เท่ากับนักการเมืองของพรรคสีส้มเลย 

อดีตที่ผ่านมา ถ้าจะมีนักการเมืองสักคนแหลมออกมาในทางดูหมิ่นสถาบัน ก็มักจะเป็นไปในเชิงไม่ตั้งใจ พลั้งเผลอ ไม่รอบคอบในคำพูด รู้เท่าไม่ถึงการณ์ และนานทีจะโผล่มาให้เห็นแค่คนสองคนก็หายเงียบไปนานจนลืม แต่จะไม่มีการแสดงออกในทางถ่อย ลามปาม จาบจ้วง หรือจริงจังถึงขั้นร่วมสมคบคิดกับต่างชาติหวังล้มล้างการปกครองไทย และเมื่อถูกจับได้ถึงขึ้นโรงขึ้นศาลจนโดนคดี 112 ก็จะพลิกลิ้น ตลบตะแลงว่าสิ่งที่กระทำลงไปนั้นหาใช่การคิดไม่ดีกับสถาบัน แต่เพื่อเจตนาดี หวังให้สถาบันไปได้ดีกับความเป็นอยู่ของคนไทย 

คงมีแต่สมองในระดับ 'เกินควาย' เท่านั้นที่ยังเชื่อฝังชีพ บอดสนิททั้งสายตายันหัวใจ 

ทุกการกระทำของพรรคสีส้ม ซึ่งเป็นสีเดียวกับเปลวเพลิงระอุในขุมนรก ไม่เคยกล้าหาญยอมรับต่อการกระทำของตัวเองแบบแมน ๆ สักครั้งเดียว เป็นต้องดิ้นหลบเร้นให้ตัวเองดูดีราวกับว่าประชาชน 'นอก 14 ล้านเสียง' ที่ไม่ได้เขลา บาป และหลงของใหม่นั้นกินหญ้าแทนข้าว การกระทำย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ ที่ทำกันเป็นขบวนการหวังล้มล้างสถาบันกษัตริย์ฉายภาพความน่ารังเกียจ ปนความชั่วช้าที่ซุกซ่อนอยู่ในใจจนหมดสิ้น 

ถ้าจะต้องถูกศาลสั่งยุบพรรค เพราะการกระทำเลว ๆ ของตนเองก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว แต่ถึงไม่ถูกยุบพรรคด้วยเหตุผลของศาล ก็ไม่ได้หมายความว่านักการเมืองที่กระหายการล้มล้างการปกครองเช่นนี้จะหลุดรอด 'ภาพลักษณ์เลว ๆ' นี้ไปได้เลย

คนไทยที่ไม่กตัญญูต่อสถาบันกษัตริย์ ผมพอจะเข้าใจได้ แต่คนไทยที่ถึงขนาดคิดล้มล้างการปกครองสถาบันกษัตริย์ ก็คือ คนไทยที่เนรคุณต่อแผ่นดินชาติของตัวเอง

เจองูพิษ เจอตำรวจชั่ว และเจอโจร พร้อม ๆ กับเจอนักการเมืองที่อกตัญญูต่อสถาบัน บางคนอาจจะเลือกตีงูพิษ ต่อยตำรวจชั่ว หรือกระทืบโจรก็ตามแต่ 

แต่สำหรับผมไม่มีสิ่งใดจะน่ารังเกียจและเป็นอันตรายไปกว่า...'นักการเมืองที่คิดล้มล้างสถาบัน'

คนจำพวกนี้อยู่ไปก็รกแผ่นดิน

‘ฝรั่งเศส’ โจรชุม!! ‘เจ้าหญิงกาตาร์’ โดนปล้นกระเป๋าแอร์เมส 11 ใบ ขณะโดยสารรถไฟมาปารีส แถมเจ้าหน้าที่ยังคว้าน้ำเหลวหาขโมย

(30 ก.ค.67) ท่ามกลางการแข่งขันที่เป็นไปอย่างดุเดือดของเหล่านักกีฬาจากหลากหลายประเทศทั่วโลกที่กำลังชิงชัยคว้าเหรียญโอลิมปิก นอกสนามก็มีการแข่งขันเช่นกัน แต่เป็นการแข่งเอาตัวรอดว่าใครจะรอดพ้นจากการถูกจี้ และปล้นนานกว่ากัน เพราะตั้งแต่ยังไม่เริ่มเปิดการแข่งขัน ก็มีข่าวนักกีฬาโดนจี้ โดนปล้นกันชนิดรายวัน ทั้งทุบรถขโมยทรัพย์สิน โดนล้วงกระเป๋า ไปจนถึงความวุ่นวายอย่างการก่อวินาศภัยระบบรถไฟ

แถมล่าสุดมีข่าวฮือฮา เมื่อเจ้าหญิงกาตาร์ ‘อัล มายัสสา บินท์ ฮามาด อัล ธานิ’ ที่มีศักดิ์เป็นลูกสะใภ้ของผู้ครองนครกาตาร์ หนึ่งในครอบครัวที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ซึ่งได้เดินทางไปเชียร์นักกีฬาในการแข่งขันโอลิมปิก โดนปล้นกระเป๋าแอร์เมส 11 ใบ ขณะกำลังโดยสารรถไฟความเร็วสูง TGV จากเมืองนีซไปยังปารีส

ทางด้านเจ้าหน้าที่ได้มีการหยุดรถไฟกว่า 20 นาที และพยายามค้นหาขโมย แต่ก็คว้าน้ำเหลว ไม่พบผู้ก่อการและไม่สามารถตามหากระเป๋าแบรนด์หรูได้ เรียกได้ว่าเป็นการปล้นที่มีมูลค่าสูงมาก เพราะแค่กระเป๋าแต่ละใบก็มูลค่าหลักล้านบาทแล้ว แถมด้านในยังมีข่าวว่าบรรจุทรัพย์สินมีค่ามากมายทั้งข้าวของเครื่องใช้ เสื้อผ้า นาฬิกา และอัญมณี เครื่องประดับต่าง ๆ

ความสัมพันธ์ 'ไทย-ซาอุดีอาระเบีย' กลับคืนปกติ-แน่นแฟ้นกว่าเก่า เพราะประเทศไทยเรา มีผู้นำชื่อ 'ลุงตู่' ที่ส่งไม้ต่อไปสู่ 'พีระพันธุ์'

ในอดีตไทยและซาอุดีอาระเบียเคยมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การเมือง สังคม และวัฒนธรรม 

อย่างไรก็ตามภายหลังเหตุการณ์ความขัดแย้งอันเนื่องมาจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับซาอุดีอาระเบีย ในปี 2532 และต่อเนื่องถึงปี 2533 ซึ่งเกิดขึ้นในไทย จากกรณีฆาตกรรมนักการทูตซาอุดีอาระเบีย ลักลอบขโมยเพชรของสมาชิกราชวงศ์ซาอุดีอาระเบียโดยคนงานชาวไทย และคดีอุ้มฆ่าอัล-รูไวลี่ หนึ่งในสมาชิกของราชวงศ์อัล-สะอุดแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียนั้น ได้นำมาซึ่งการระงับความสัมพันธ์ปกติเป็นเวลายาวนานกว่า 30 ปี 

ผลลัพธ์บังเกิด!! ทำให้เศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนระหว่างกันต้องหยุดชะงักลงตั้งแต่นั้นเรื่อยมา เพียงแต่ในช่วงดังกล่าว ไทยและซาอุดีอาระเบีย ก็ยังคงมีการติดต่อสัมพันธ์ทางการค้า และการลงทุนทางอ้อมผ่านประเทศที่สามบ้าง ทำให้ไทยยังคงมีความน่าเชื่อถือพอเหลืออยู่ในหมู่ชาวซาอุดีอาระเบียบางพวกบางกลุ่ม

อย่างไรก็ตาม จากการออกแบบและจัดการโครงการวิสัยทัศน์ซาอุดีฯ 2030 (Saudi Vision 2030) ของรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย เพื่อลดการพึ่งพารายได้จากการขายน้ำมันอย่างเดียวของประเทศ และเป็นการเพิ่มช่องทางการหารายได้ทางเศรษฐกิจให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น จึงทำให้ซาอุดีอาระเบียต้องเปิดประเทศมากขึ้น และแสวงหาโอกาสในการลงทุนต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่มีศักยภาพ ทั้งต้องสร้างพันธมิตรใหม่และผูกมิตรกับประเทศต่าง ๆ มากกว่าเดิม

แน่นอนว่า ประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายที่ซาอุดีอาระเบียมองว่าเป็นประเทศที่มีศักยภาพ แต่กระนั้น กว่า 30 ปี ของการระงับความสัมพันธ์ปกติระหว่างไทย-ซาอุดีอาระเบียนั้น ก็ถือเป็นหนึ่งในอุปสรรคดังกล่าว แม้รัฐบาลไทยทุกชุดทุกสมัยตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นจะพยายามหาทางรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับซาอุดีอาระเบียให้กลับคืนมาเป็นปกติ แต่ก็ไม่ประสบผล

ฉะนั้น การเกิดโครงการวิสัยทัศน์ซาอุดีฯ 2030 ขึ้น และซาอุดีอาระเบียก็ต้องการหาความร่วมมือกับประเทศใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพเพื่อรองรับโครงการดังกล่าว แสงแห่งการสานสัมพันธ์อย่างแท้จริงของสองประเทศจึงเกิดขึ้นแบบจริงจัง ภายใต้ 'รัฐบาลลุงตู่'

วันแห่งประวัติศาสตร์!! เมื่อวันที่ 25-26 มกราคม 2565 ‘ลุงตู่’ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น และคณะผู้แทนระดับสูง ได้เดินทางเยือนราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการ ตามคำเชิญของเจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด มกุฎราชกุมาร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ถือเป็นการเริ่มต้นเปิดศักราชความสัมพันธ์ปกติระหว่างไทย-ซาอุดีอาระเบียอีกครั้งหนึ่ง 

‘ลุงตู่’ ได้เข้าเฝ้าฯ และพบหารือกับองค์มกุฎราชกุมาร โดยผู้นำทั้งสองฝ่ายได้เห็นชอบร่วมกันให้ปรับความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบียให้กลับสู่ระดับปกติอย่างสมบูรณ์ อันเป็นผลสืบเนื่องจากความพยายามในหลายระดับของทั้งสองฝ่ายที่มีมาอย่างยาวนาน 

นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับการดำเนินการภายหลังการฟื้นฟูความสัมพันธ์ในระยะแรก และการจัดตั้งกลไกการหารือทวิภาคี รวมถึงได้หารือการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันทั้งในกรอบทวิภาคีและพหุภาคี เพื่อรื้อฟื้นความร่วมมือในสาขาต่าง ๆ รวมทั้งแสวงหาความร่วมมือในสาขาใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพ อีกทั้งมีการยืนยันความร่วมมือและการสนับสนุนซึ่งกันและกันในกรอบต่าง ๆ ตลอดจนการประกาศการสนับสนุนการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงาน World Expo 2030 ของซาอุดีอาระเบีย

และในปีเดียวกันนั้นเอง ระหว่างวันที่ 17-19 พฤศจิกายน เจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อาล ซะอูด มกุฎราชกุมารและนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ก็ยังได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะแขกของรัฐบาล ตามคำกราบบังคมทูลเชิญของ ‘ลุงตู่’ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น โดยถือเป็นการเสด็จฯ เยือนไทยครั้งแรกในระดับราชวงศ์และระดับผู้นำของซาอุดีอาระเบีย ภายหลังการเยือนราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการของ ‘ลุงตู่’ และการปรับความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบียให้กลับสู่ระดับปกติอย่างสมบูรณ์ 

โดยในวันที่ 18 พฤศจิกายน 2565 มกุฎราชกุมารและนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท อีกด้วย ซึ่งการเข้าเฝ้าฯ ในครั้งนี้ ถือเป็นเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ ด้วยเป็นการพบกันอย่างเป็นทางการครั้งแรกระหว่างพระบรมวงศานุวงศ์ของทั้งสองประเทศ

หากได้สังเกตโดยละเอียดแล้วจะพบว่า ผู้นำของซาอุดีอาระเบียได้แสดงออกถึงความชื่นชมและประทับใจในการวางตัวของ ‘ลุงตู่’ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีของไทยในขณะนั้น ซึ่งมีบุคลิกท่าทางที่สุภาพและอ่อนน้อมถ่อมตน ตลอดจนการแสดงออกถึงความยกย่องนับถือผู้นำของซาอุดีอาระเบีย ซึ่งทรงเป็นทั้งนายกรัฐมนตรีและสมาชิกสำคัญของราชวงศ์ซาอุดีอาระเบียด้วย กอปรกับราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียเป็นประเทศที่มีการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือราชาธิปไตยเต็มรูปแบบ 

ดังนั้นสมาชิกของรัฐบาลส่วนใหญ่ จึงเป็นสมาชิกของราชวงศ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้มีบทบาทนำทั้งในรัฐบาลและราชวงศ์ซาอุดีอาระเบียชุดปัจจุบัน เจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด มกุฎราชกุมารและนายกรัฐมนตรี

ความชื่นชมและประทับใจดังกล่าวได้ส่งผลถึงความสัมพันธ์และมิตรภาพอันดียิ่ง และถูกส่งต่อมายัง ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ผู้เคยเป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรีของ ‘ลุงตู่’ โดย ‘พีระพันธุ์’ ได้นำคณะข้าราชการและผู้เกี่ยวข้องกับกิจการพลังงานของไทยไปเยือนราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ระหว่างวันที่ 15-17 กรกฎาคมที่ผ่านมา 

โดยฝ่ายซาอุดีอาระเบีย ซึ่งนำโดยเจ้าชาย Abdulaziz bin Salman Al Saud รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ให้การต้อนรับคณะของ ‘พีระพันธุ์’ เป็นอย่างดียิ่ง ทั้งได้จัดเครื่องบินพิเศษให้ ‘พีระพันธุ์’ และคณะได้ไปเยี่ยมชมการทำงานของ ‘Saudi Aramco’ บริษัทพลังงาน (มหาชน) อันดับหนึ่งของโลก ณ สำนักงานใหญ่ของบริษัทฯ เมือง Dhahran จังหวัดตะวันออก (Eastern Province) 

ว่ากันว่า...สัมพันธ์อันดีของสองประเทศที่เกิดขึ้นได้นี้ ส่วนสำคัญมาจากการแสดงออกถึงความเป็นไทยของ ทั้ง 'ลุงตู่' และ 'ลุงพี' อันประกอบด้วย รอยยิ้ม ความสุภาพ ความอ่อนน้อมถ่อมตน การแสดงออกถึงความยกย่องนับถือ ให้เกียรติ และจริงใจ ซึ่งเป็นคุณสมบัติพิเศษ อันเป็นทั้งเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ของคนไทยที่สร้างความชื่นชมและประทับใจให้กับชาวต่างชาติมากมาย 

สิ่งเหล่านี้ถือเป็น Soft Power ของประชาชนคนไทยโดยธรรมชาติ และเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งที่สังคมไทยต้องสืบทอดและรักษาไว้ให้อยู่คู่บ้านเมืองตลอดไป

'อัษฎางค์' เผย!! ห้าวิบากจากความลำบากทุกข์ยาก บนราชบัลลังก์ของ 3 รัชกาล ราชสกุลมหิดล

(30 ก.ค. 67) อัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์เฟซบุ๊ก หัวข้อ ‘ห้าวิบากจากความลำบากทุกข์ยากบนราชบัลลังก์ของพระมหากษัตริย์ 3 รัชกาลจากราชสกุลมหิดล’ โดยระบุว่า…

วิบากของราชสกุลมหิดล

ต้นราชสกุลมหิดลคือ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก (สมเด็จฯ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช) ซึ่งทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชสมภพแต่สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า

วิบากที่หนึ่ง

พระราชโอรสพระองค์โตคือ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ (พระเชษฐาของสมเด็จฯ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช) ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร พระองค์แรกของสยาม ซึ่งจะเป็นผู้มีสิทธิในการสืบสันตติวงศ์ แต่ทรงสวรรคตตั้งแต่ทรงพระเยาว์

วิบากที่สอง

หลังจากนั้นพระราชโอรสและพระราชธิดาในสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ก็สิ้นพระชนม์จนหมดสิ้นตั้งแต่ทรงพระเยาว์ เหลือแต่เพียง 2 พระองค์คือ สมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร และ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก

วิบากที่สาม

เกิดคดีฆาตกรรมในหลวงรัชกาลที่ 8 จากสาเหตุทางการเมือง

สมเด็จพระราชชนนีได้ทรงเขียนจดหมาย แจ้งความเป็นอยู่ของลูกทั้งสามถึงสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า (สมเด็จย่าของรัชกาลที่ 8 และรัชกาลที่ 9) อยู่เสมอมิได้ขาด รวมถึงเรื่องที่รัฐบาลพยายามโน้มน้าวให้ในหลวงรัชกาลที่ 8 เสด็จกลับประเทศไทยเรื่อยมาตั้งแต่รับขึ้นครองราชย์ตามคำกราบบังคมทูลเชิญของรัฐบาล

โดยสมเด็จพระราชชนนียังได้ย้ำอีกว่า สกุลมหิดลไม่ต้องการลาภยศใด ๆ หากแต่สิ่งที่มุ่งหวังคือ พระพลานามัย การศึกษา ตลอดจนการเรียนรู้ในช่วงเยาว์วัยของในหลวงรัชกาลที่ 8 คือสิ่งสำคัญที่สุด โดยได้ทรงย้ำกับเจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศว่า…“การที่นันทต้องรับเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ก็เพราะเห็นว่าเป็นหน้าที่ต่อบ้านเมือง”

เราจะเห็นได้ชัดเจนว่า สมเด็จย่า มิได้มีความปรารถนาให้พระราชโอรส เป็นพระมหากษัตริย์ ราชสกุลมหิดลปรารถนาเพียงการอยู่อย่างสงบสุข แต่ที่ต้องยอมรับตำแหน่งพระมหากษัตริย์เนื่องจากเป็นภาระและหน้าที่ต่อบ้านเมืองเท่านั้น

ช่วงเช้าของวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ซึ่งมีพระชนมายุ 20 พรรษา ได้ถูกฆาตกรรมและเสด็จสวรรคตอยู่ในห้องบรรทมของพระองค์ในพระที่นั่งบรมพิมาน ภายในพระบรมมหาราชวัง

มีบันทึกว่าเมื่อในหลวงรัชกาลที่ 8 ซึ่งกำลังศึกษาวิชากฎหมายและนิวัติกลับมาประเทศไทย เคยมีการโต้ตอบกับนักการเมืองผู้กุมอำนาจอยู่หลายครั้ง เนื่องจากพบว่ามีความไม่ชอบมาพากลในการบริหารราชการแผ่นดิน ก่อนจะเกิดคดีสะเทือนขวัญในที่สุด

แต่มีความพยายามของฝ่ายปฏิกษัตริย์นิยมหรือฝ่ายล้มเจ้า บิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อให้ร้ายว่า พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8 ถูกสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดชลอบปลงพระชนม์ เพราะหวังครองราชสมบัติ

ตำแหน่งพระมหากษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ ในระบอบประชาธิปไตย ไม่มีอำนาจทางการเมือง แต่ทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชนทั้งชาติ ไม่เหมือนพระมหากษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่ทรงมีอำนาจทางการเมืองเพียงผู้เดียว ดังนั้นน้องจะฆ่าพี่ทำไม

ยิ่งไปกว่านั้น จากบันทึกประวัติศาสตร์ที่ยกให้ดูข้างต้น รวมทั้งเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปอย่างกว้างขวางตลอดมาว่า ราชสกุลมหิดลไม่มีความมุ่งหวังใด ๆ ในเรื่องการเมืองและราชบัลลังก์ นอกจากนี้ครอบครัวมหิดลยังรักใคร่กลมเกลียว โดยเฉพาะรัชกาลที่ 8 และรัชกาลที่ 9 ผูกพันรักใคร่กันตลอดมา ไม่มีเหตุผลจูงใจใด ๆ บ่งชี้เลยว่า น้องจะฆ่าพี่เพื่อราชบัลลังก์ที่ไม่มีอำนาจทางการเมืองใด ๆ

วิบากที่สี่

ใจความบางส่วนที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้พระราชทานสัมภาษณ์แก่ผู้แทนนิตยสาร NATIONAL GEOGRAPHIC เมื่อปี พ.ศ. 2525

“เมื่อข้าพเจ้าจะมารับหน้าที่นี้เมื่อ 36 ปีที่แล้วนั้น ข้าพเจ้าอายุเพียงแค่ 18 ปี ในเวลานั้นทุกอย่างดูทรุดโทรมไปหมด ในวันนั้นเก้าอี้และพรมก็ขาดเป็นรู พื้นแตกคร่ำคร่า วังทั้งวังก็เกือบจะพังลงมา เวลานั้นสงครามโลกเพิ่งสิ้นสุดลง ไม่มีใครสนใจกับอะไรทั้งสิ้น ข้าพเจ้าต้องค่อยๆก่อสร้างทุก ๆ อย่างขึ้นมาใหม่ โดยไม่ใช้วิธีทุบทิ้ง

ข้าพเจ้าต้องค่อยๆทำไปทีละเล็กทีละน้อย เป็นเวลา 36 ปีเข้าไปแล้ว ดังนั้น เราอาจเรียกรัชกาลนี้กระมังว่า เป็นรัชกาลแห่งการปฏิรูป ขนบธรรมเนียมเก่าแก่ ถูกรักษาไว้และเปลี่ยนแปรมาโดยลำดับ”

จากบทพระราชทานสัมภาษณ์ข้างต้นจะเห็นถึงความยากลำบากในช่วงต้นรัชกาลในแผ่นดินของในหลวงรัชกาลที่ 9 พระองค์ใช้เวลาถึง 36 ปี กว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเข้ารูปเข้ารอย

วิบากที่ห้า

ในประวัติศาสตร์ชาติไทยหรือของชาติใดๆ ในโลกมีลักษณะคล้ายกันอยู่อย่าง คือเมื่อมีการเปลี่ยนรัชกาลหรือผลัดแผ่นดิน มักเกิดการลองของ หรือความพยายามในการล้มล้างราชบัลลังก์

ดังนั้น นับตั้งวินาทีแรกที่ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ขึ้นสืบราชสมบัติต่อจากพระราชบิดา ก็คือวินาทีแห่งวิบากกรรมของพระองค์

คงไม่ต้องอธิบายความใด ๆ ว่าเกิดเหตุการณ์ใดในความพยายามบั่นทอนพระราชบัลลังก์

และคงไม่ต้องอธิบายว่าพระองค์ได้ประกอบพระราชกรณียกิจอันเป็นคุณประโยชน์ใดต่อชาติและประชาชนมากมายเพียงใด

แต่ต้องใช้เวลามากน้อยเพียงใด ในการรับมือกับการเมือง ยังไม่มีใครบอกได้

สิ่งที่พวกเราประชาชนผู้จงรักภักดีต้องทำคือ สามัคคี ร่วมกันค้ำบัลลังก์และถวายกำลังใจ ให้พระองค์ ร่วมกันถวายกำลังใจ ถวายชัยมงคล และร่วมกันสรรเสริญพระบารมีราชวงศ์จักรีและราชสกุลมหิดล ให้คงอยู่สถาพรตลอดไป

อ่านทั้งหมดได้ที่ ‘อัษฎางค์ดอทคอม’

'รร.ไฮแอท รีเจนซี่' ชวนคอเพลงแจ๊ส ดื่มด่ำสุนทรียภาพแห่งดนตรี ผ่านภาพถ่ายนักดนตรีระดับตำนาน ในงาน 'Jazz Icons Exhibition'

โรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ กรุงเทพฯ ชวนคอเพลงแจ๊ส ร่วมดื่มด่ำกับท่วงทำนองอันเป็นอมตะผ่านภาพถ่ายของนักดนตรีแจ๊สระดับตำนาน ผ่านนิทรรศการภาพถ่าย Jazz Icons Exhibition ตั้งแต่วันนี้จนถึง 31 ตุลาคม 2567 

โรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ กรุงเทพฯ สุขุมวิท จัดงาน 'Jazz Icons' นิทรรศการภาพถ่ายของนักดนตรีแจ๊สระดับตำนานจากคอลเลกชันส่วนตัวของ ท่านทูต มิเชล โบบอต อดีตนักการทูตชาวฝรั่งเศสประจำองค์การยูเนสโก ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองประวัติศาสตร์อันยาวนานของ ดนตรีแจ๊สและมอบประสบการณ์ทางวัฒนธรรมให้แก่ผู้มาเยี่ยมชมผ่านภาพถ่ายของช่างภาพมืออาชีพ

สำหรับดนตรีแจ๊สมีต้นกำเนิดในชุมชนชาวแอฟริกัน-อเมริกันในนิวออร์ลีนส์ช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 ซึ่งเป็นแนวดนตรีที่มีอิทธิพลอย่างมากและถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าที่สืบต่อกันมาอย่างยาวนานหลายทศวรรษ

สิ่งที่น่าสนใจที่คอเพลงแจ๊สไม่ควรพลาดงานนิทรรศการครั้งนี้ เพราะไม่บ่อยครั้งที่จะมีการรวบรวมภาพถ่ายหายากของนักดนตรีชื่อดัง ไม่ว่าจะเป็น Kenny Clarke, Louis Armstrong, Ornette Coleman, Dave Brubeck และอีกมากมาย ที่ถูกถ่ายในช่วงเทศกาลดนตรีและคอนเสิร์ตที่จัดแสดงทั่วกรุงปารีส ฝรั่งเศสตอนใต้และสหรัฐอเมริกา ระหว่างช่วงปลายทศวรรษที่ 1960 ไปจนถึงต้นทศวรรษที่ 1980 เพื่อเป็นการยกย่องผลงานและความคิดสร้างสรรค์ของเหล่านักดนตรีมากความสามารถ มาจัดให้ชมกันอย่างสุดใจในกลางกรุง

"หลังช่วงสงครามโลกครั้งที่ ดนตรีแจ๊สได้เข้ามามีอิทธิพลเป็นอย่างมากในยุโรปและเอเชีย จนกลายเป็นที่แพร่หลายอย่างรวดเร็ว ทั้งจากการจัดแสดงคอนเสิร์ต การแสดงโชว์ในคลับ การออกแผ่นเสียง และการประชาสัมพันธ์ผ่านนิตยสารต่าง ๆ ถือเป็นแนวเพลงที่ประสบความสำเร็จสูงสุดแห่งยุค และในขณะเดียวกัน นักดนตรีแจ๊สหลายท่านจึงเริ่มกลายเป็นที่จับตามอง และได้ถูกนำไปตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์อยู่บ่อยครั้งตามความนิยมของแฟนเพลง 

ใบหน้าที่มีเอกลักษณ์ของเหล่าศิลปิน ได้แสดงถึงความหลากหลายทางอารมณ์ความรู้สึกผสมผสานเข้ากับความคิดสร้างสรรค์และความพิเศษ แค่เพียงได้มองภาพถ่ายก็สามารถสัมผัสได้ถึงความสุข ความเศร้า และรับรู้ได้ถึงบุคลิกของเหล่านักดนตรีในภาพ แม้จะไม่ เคยฟังเพลงของพวกเขาเลยก็ตาม" ท่านทูตมิเชล โบบอต อดีตนักการทูตและนักสะสม เจ้าของคอลเลกชันภาพถ่ายที่ถูกนำมาจัดแสดงในครั้งนี้ กล่าว

นายแซมมี่คาโรลุส ผู้จัดการทั่วไปของโรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ กรุงเทพฯ สุขุมวิท ได้กล่าวแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดแสดงนิทรรศการในครั้งนี้ ว่า "นิทรรศการนี้ ถือเป็นการเฉลิมฉลองความมีชีวิตชีวาและความหลากหลายของวงการดนตรีแจ๊ส อีกทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงพลังความหลงใหลและความคิดสร้างสรรค์ซึ่งถือเป็นคำนิยามที่ดี ที่สุดของผลงานศิลปะอันแท้จริง พร้อมทั้งเชื่อว่านิทรรศการนี้ จะสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ที่ได้มาเยี่ยมชมและจุดประกายจินตนาการให้คอเพลงแจ๊สได้ดื่มด่ำกับโลกของดนตรีแจ๊สไปพร้อมกัน"

แน่นอนว่า ไม่ว่าจะเป็นคอเพลงแจ๊สตัวจริง หรือคนทั่วไปที่สนใจประวัติศาสตร์เพลง ไม่ควรพลาดกับนิทรรศการภาพถ่ายคอลเลกชันส่วนตัวของท่านทูต มิเชล โบบอต ซึ่งเป็นครั้งแรกที่คอลเลกชันนี้ ได้ถูกนำมาจัดแสดงในประเทศไทย ที่จะนำเราย้อนวันวานไปเพลิดเพลินกับการเดินทางสู่ยุคทองของวงการดนตรีแจ๊สผ่านรูปถ่ายของบุคคลสำคัญที่มีส่วนช่วยในการผลักดันวงการแจ๊สให้เป็นที่รู้จักมาจนถึงปัจจุบันและเป็นมรดกสืบทอดต่อไปในอนาคต 

ที่สำคัญนิทรรศการภาพถ่ายที่จัดขึ้นในครั้งนี้ เปิดให้ชมฟรีโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ณ บริเวณล็อบบี ของโรงแรม ไฮแอท รีเจนซี่ กรุงเทพฯ สุขุมวิท ตั้งแต่วันนี้ เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2567 บอกได้คำเดียวว่า งานนี้คอเพลงแจ๊สไม่ควรพลาดโดยประการทั้งปวง!

‘คลัง’ ปลดล็อก!! ‘ผู้ป่วยติดเตียง’ ใช้จ่ายดิจิทัลวอลเล็ตได้ ชี้!! ลงทะเบียนไม่ต่าง อาจแตกต่างที่วิธีใช้สิทธิ รอเคาะ!!

(30 ก.ค. 67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า โครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ไม่มีการนำเข้าสู่การพิจารณา เนื่องจากที่ประชุม ครม.รับทราบหลักการไปแล้ว สามารถดำเนินการลงทะเบียนได้ในวันที่ 1 ส.ค.นี้ และคาดว่าจะนำเข้าสู่ที่ประชุมครม.ให้รับทราบอีกครั้งเมื่อได้ยอดจำนวนผู้ที่ลงทะเบียนขอรับสิทธิ์ชัดเจนอย่างเป็นทางการ เช่นเดียวกับกระทรวงพาณิชย์ที่สามารถดำเนินการแถลงถึงความชัดเจนในเรื่องของขั้นตอน และในส่วนของร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ อีกทั้งวันเดียวกันนี้จะมีการประชุมคณะอนุกรรมการดิจิทัลวอลเล็ตเพื่อตรวจสอบถึงความพร้อมต่าง ๆ

ผู้สื่อข่าวถามว่าในส่วนรายละเอียดโดยเฉพาะของผู้ป่วยติดเตียงได้มีการระบุขั้นตอนที่ชัดเจนแล้วหรือยัง รวมทั้งผู้ป่วยบางประเภทที่ยังไม่ถึงขั้นเป็นผู้พิการ แต่ไม่สามารถไปใช้จ่ายด้วยตัวเองได้ นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ได้มีการพูดคุยและหารือในประเด็นดังกล่าวแล้ว แต่จะต้องมีการเช็กรายละเอียดอีกครั้งร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ในส่วนของผู้พิการจะต้องมีกระบวนการยืนยันตัวตนว่าเป็นผู้ป่วยประเภทใด เพราะในการใช้เงินในโครงการดังกล่าวจะมีความแตกต่างกัน แต่การลงทะเบียนไม่แตกต่าง ใครมีมือถือระบบสมาร์ทโฟนก็ใช้ระบบดังกล่าว ใครไม่มีก็ใช้บัตรประชาชน ในส่วนของผู้ที่ไม่มีสมาร์ทโฟนนั้นจะมีการประกาศความชัดเจนว่าให้ลงทะเบียน ณ สถานที่แห่งใดในช่วงกลางเดือนก.ย.นี้

“ผู้ป่วยติดเตียงในที่ประชุมของคณะกรรมการนโยบายเติมเงินดิจิทัล 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ตไม่ได้มีการหารือกันว่าจะมีการใช้สิทธิอย่างไร แต่ในกระบวนการใช้ลงทะเบียนเหมือนกับบุคคลทั่วไปไม่มีความแตกต่าง แต่ในกระบวนการใช้สิทธิจะมีความแตกต่าง คนมีมือถือสมาร์ทโฟนก็ลงและใช้ผ่านสมาร์ทโฟน คนไม่มีสมาร์ทโฟนก็ต้องใช้ในกระบวนการที่แตกต่าง ซึ่งจะต้องปลดล็อกในกระบวนการ Face to Face หรือซื้อขายแบบตัวต่อตัว ผู้ที่ไม่มีมือถือสมาร์ตโฟน รัฐบาลจะประกาศรายละเอียดการลงทะเบียนเงินดิจิทัลอีกครั้งในช่วงเดือนก.ย.67 ส่วนรายละเอียด ขั้นตอน และคุณสมบัติของร้านค้าที่สามารถเข้าร่วมโครงการได้นั้น นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและรมว.พาณิชย์ จะแถลงความชัดเจนในวันที่ 1 ส.ค.67” รมช.คลัง กล่าว

เมื่อถามถึงข้อกังวลของหลายฝ่ายหากสภาผ่านร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 วงเงิน 1.22 แสนล้านบาท ในวาระ 2-3 จะสุ่มเสี่ยงต่อข้อกฎหมายอะไรหรือไม่ เพราะมีการมองว่าเป็นการใช้งบเหลื่อมปีไปแล้ว นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ในการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้มีการเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึง 8 หน่วยงาน ตามที่ทุกฝ่ายร้องขอและได้มีการชี้แจงทำความเข้าใจให้มีความเข้าใจตรงกัน

“การที่มีบางฝ่ายมีข้อห่วงใย ว่าจะสุ่มเสี่ยงต่อข้อกฎหมายนั้น ก็เป็นการชี้ชัดแล้วว่ามีการดำเนินการทุกอย่างถูกต้อง ซึ่งหน่วยงานที่กำกับดูแลด้านกฎหมายก็ยืนยันชัดเจนว่าเป็นไปตามกรอบสามารถดำเนินการได้ และทั้ง 8 หน่วยงานที่เชิญมาให้ความมั่นใจว่าเราดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้ว” รมช.คลัง กล่าว

‘สุชาติ-รวมไทยสร้างชาติ’ นำทัพถกความร่วมมือการค้า ‘ไทย-จีน’ เล็ง!! ขยายสินค้าตลาดปศุสัตว์-ผลไม้-ดึงนักลงทุนจีนลุยไทยเพิ่ม

(30 ก.ค.67) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้รับมอบหมายจากรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายภูมิธรรม เวชยชัย ร่วมประชุมคณะอนุกรรมาธิการว่าด้วยการค้าและการลงทุน หรือ ‘ซับ-คอมมิทตี ไทย-จีน’ ครั้งที่ 3 ณ กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นเวทีการประชุมในระดับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระหว่างไทยและจีน โดยไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม 

ทั้งนี้ ในการหารือประเด็นด้านเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนระหว่างไทยกับจีน โดยรมช.สุชาติฯ กล่าวว่า ”ในการประชุมครั้งนี้ตนจะเป็นประธานร่วมกับนายหลี่ เฟย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ของจีน ซึ่งเป็นโอกาสอันดีที่ทั้งสองฝ่ายจะได้นำประเด็นทางเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนที่สำคัญมาหารือกันในประเด็นสำคัญ อาทิ ความร่วมมือด้านสินค้าเกษตร โดยเฉพาะขอให้จีนเปิดตลาดสินค้าปศุสัตว์และผลไม้ให้ไทย และการอำนวยความสะดวกด้านการขนส่งสินค้าไทยไปจีน ความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญา การส่งเสริมการจัดงานแสดงสินค้าของทั้งสองฝ่าย และในโอกาสนี้ตนได้เชิญชวนนักลงทุนจีนเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทย เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า การส่งเสริมความร่วมมือด้านอีคอมเมิร์ซ และการส่งเสริมการใช้สิทธิประโยชน์จากความตกลง การค้าเสรีที่ไทยกับจีนมีร่วมกัน ได้แก่ ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน และความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ ระดับภูมิภาค หรือ อาร์เซ็ป“

ทั้งนี้ จีนเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทยมาตลอดระยะเวลา 11 ปีที่ผ่านมา โดยในปี 2566 การค้าไทยกับจีนมี มูลค่า 104,999 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ 0.22 เมื่อเทียบกับปี 2565 และในปี 2567 (มกราคม - พฤษภาคม) การค้าสองฝ่ายมีมูลค่า 45,770 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.24 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกัน ของปี2566 โดยจีนเป็นตลาดส่งออกสินค้าสำคัญของไทย อาทิ ผลไม้สด เม็ดพลาสติก เครื่องคอมพิวเตอร์และ ส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง และผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ในขณะที่สินค้าสำคัญที่ไทยนำเข้าจากจีน อาทิ เครื่องจักร ไฟฟ้าและส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ เหล็กและผลิตภัณฑ์จากเหล็ก และชิ้นส่วน ยานยนต์

'ญี่ปุ่น' เข้ม!! จัดหมวด 'กระเป๋าเดินทางไฟฟ้า' เป็น 'ยานพาหะ' สั่งแบนขี่ซิ่งใน 'สนามบิน - ท้องถนน - ทางเท้า' ฝ่าฝืนเจอจับปรับ

นับเป็นปีทองด้านการท่องเที่ยวของญี่ปุ่นจริง ๆ ด้วยอานิสงส์จากค่าเงินเยนอ่อน บวกกับสิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณะอันยอดเยี่ยม สถานที่ท่องเที่ยว และวัฒนธรรม ที่มีเอกลักษณ์ดึงดูดใจ จึงทำให้ญี่ปุ่นกลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดฮิตพุ่งแรงในปีนี้ จากตัวเลขนักท่องเที่ยวช่วงครึ่งปีแรกของปี 2024 อยู่ที่ 17.78 ล้านคน มากกว่าช่วงเดียวกันของปี 2019 ก่อนเกิดวิกฤติการณ์ Covid-19 ถึง 1 ล้านคนทีเดียว

ในขณะที่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวญี่ปุ่นกำลังบูมสุดขีด แต่ญี่ปุ่นกลับต้องแลกกับความวุ่นวาย และความไร้ระเบียบที่เกิดจากความไม่คุ้นชินของนักท่องเที่ยว จนทางการญี่ปุ่นจำเป็นต้องออกกฎระเบียบเพิ่มมากขึ้น และระเบียบใหม่ล่าสุดที่เพิ่งออกมาคือ ข้อห้ามในการใช้กระเป๋าเดินทางไฟฟ้า 

‘กระเป๋าเดินทางไฟฟ้า’ หรือ ที่บ้านเราเรียกว่ากระเป๋าเดินทางขี่ได้ กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่นักท่องเที่ยว เป็นกระเป๋าเดินทางขนาดเล็กที่ติดมอเตอร์ไว้ด้านใน สามารถขึ้นไปนั่งขี่ได้คล้ายรถสกูตเตอร์ไฟฟ้า ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ลิเทียม ขับขี่ได้ด้วยความเร็วตั้งแต่ 10-15 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

และเมื่อมีนักท่องเที่ยวต่างชาติหลั่งไหลเข้ามาในญี่ปุ่นเป็นจำนวนมาก จึงมักพบเห็นนักท่องเที่ยวนำกระเป๋าเดินทางไฟฟ้าออกมาขี่ตามท้องถนน และทางเท้าในญี่ปุ่น ไม่นับรวมการขี่ด้วยความเร็วภายในอาคารสนามบินที่มีผู้ใช้บริการเป็นจำนวนมาก

ดังนั้น รัฐบาลญี่ปุ่นจึงได้ออกระเบียบใหม่ สำหรับการใช้กระเป๋าเดินทางไฟฟ้าในญี่ปุ่น เพราะมันจะไม่นับเป็นกระเป๋าที่ใช้บรรจุสัมภาระเดินทางอีกต่อไป แต่ถูกจัดให้เป็น 'ยานพาหะติดเครื่องยนต์' แทน 

เมื่อเป็นถูกจัดให้อยู่ในหมวด 'ยานพาหะ' ก็หมายความว่าผู้ใช้สามารถขี่กระเป๋าเดินทางไฟฟ้าบนท้องถนนได้ต่อเมื่อติดตั้งอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ และหมวกกันน็อก พร้อมมีใบอนุญาตในการขับขี่ด้วย แม้ว่าจะขี่ด้วยความเร็วไม่มากก็ตาม

นอกจากนี้ สนามบินนานาชาติชูบุเซ็นแทรร์ ในจังหวัดไอจิ และสนามบินคันไซ ในโอซาก้า ได้ออกมาประกาศขอให้ผู้โดยสารงดขี่กระเป๋าเดินทางไฟฟ้าภายในอาคาร เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุแล้วเช่นกัน

กฎระเบียบใหม่ของการใช้กระเป๋าเดินทางไฟฟ้าในญี่ปุ่น มีผลบังคับใช้แล้ว และมีการจับ ปรับ จริงเมื่อพบเห็นผู้ฝ่าฝืน อย่างกรณีนักศึกษาสาวจีนคนหนึ่งได้ขี่กระเป๋าเดินทางไฟฟ้าบนทางเท้า และเด็กชายชาวอินโดนีเซีย ที่นำกระเป๋าเดินทางมาขี่เล่นกลางย่านการค้าโดทมโบริ ในโอซาก้า โดยที่ไม่รู้ว่าต้องมีใบขับขี่ และสวมหมวกกันน็อก จึงขี่ได้ 

เป็นข้อมูลอัปเดตล่าสุดสำหรับนักท่องเที่ยวสายติดล้อ ที่ใช้กระเป๋าเดินทางไฟฟ้าอยู่ ยังสามารถใช้ใส่สัมภาระขึ้นเครื่องบินได้ ใช้ลากได้ แต่ขี่ในสนามบินบางแห่งของญี่ปุ่นไม่ได้ และนำมาขี่เล่นตามทางเท้าก็ไม่ได้แล้วด้วย มิฉะนั้น อาจถูกจับ และปรับได้ แล้วจะหาว่าเจ้าบ้านไม่เตือน ไม่ได้นะ 

เชียงใหม่-สวนสัตว์เชียงใหม่ สร้างความสุข สนุกกับกิจกรรม 'สิงหาพาเหรด สัตว์น่ารัก'

สวนสัตว์เชียงใหม่ จัดกิจกรรม 'สิงหาพาเหรด สัตว์น่ารัก' เฉพาะวันเสาร์-วันอาทิตย์ เพียงวันละ 1 รอบ เวลา 11.00 น. ตลอดเดือนสิงหาคม เริ่มวันเสาร์แรก 3 สิงหาคม 2567 นี้  

นายวุฒิชัย ม่วงมัน ผู้อำนวยการสวนสัตว์เชียงใหม่ เผยว่า สวนสัตว์เชียงใหม่ได้จัดกิจกรรมต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ ในช่วงเดือนสิงหาคมนี้ ซึ่งกิจกรรมประกอบด้วย การจัดขบวน 'สิงหาพาเหรด สัตว์น่ารัก' ขบวนมาสคอตสัตว์ที่มาสร้างสีสันและรอยยิ้ม และสัตว์น่ารักนานาชนิด มาร่วมในขบวน เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ชมและบันทึกภาพสัตว์แต่ละตัวได้อย่างใกล้ชิด เช่น นกมาคอร์ฟ้าอกเหลืองสีสันสดใส, นก   ค๊อกคาเทลหลากสี, แพะแคระจอมซน, ม้าแคระเชทแลนท์ขนสวย, กระต่ายน้อยซุกชน, ไก่ป่าสวยงาม, เจ้าอ้นผู้น่ารัก, ลูกหมีขอ(น้องลาบูบู้), นกเพนกวินเริงร่า และ เหล่าสัตว์น่ารักอีกมากมาย กว่า 50 ตัว ที่จะออกมาให้นักท่องเที่ยวได้รับชมอย่างใกล้ชิด ณ บริเวณมินิซู สวนสัตว์เชียงใหม่ เฉพาะวันเสาร์ และ วันอาทิตย์ วันละ 1 รอบ เวลา 11.00 น. ตลอดเดือนสิงหาคมนี้ 

ทั้งนี้ สวนสัตว์เชียงใหม่ ยังเพิ่มความสุข สนุกไปกับกิจกรรม ต่าง ๆ อีกมากมาย เพลิดเพลินกับเหล่าบรรดาสัตว์ขนาดเล็ก ชิมอาหารบนรถฟู้ดทรัค  คลายร้อนที่สโนว์บัดดี้วินเทอร์แลนด์ สัมผัสอุณหภูมิ -10 องศาเซลเซียส พบกับความหลากหลายของสายพันธุ์ปลานานาชนิด ตื่นตาตื่นใจ กับความงดงามของสัตว์น้ำต่างๆ  ที่เชียงใหม่ ซู อควาเรียม ทะเลบนดอย และชมการแหวกว่ายของฝูงเพนกวินที่น่ารัก ชมการแสดงพฤติกรรมสัตว์ multi animal behavior ของสัตว์หลากหลายชนิด แวะสักการะพระนวพุทธมหาบารมี พระศรีสากยมุนีสัตตะบุรีลวบูชา ที่โบราณสถานวัดกู่ดินขาว อายุมากกว่า 1,000 ปี ถ่ายรูปสถานที่ต่างๆ ภายใต้การจัดภูมิทัศน์ให้สอดคล้องกับธรรมชาติที่มีอยู่ในพื้นที่ มีบริการขนส่งมวลชนแบบครอบครัวโดยใช้รถกอล์ฟ หรือรถรางบริการขึ้นลงตามสถานีต่างๆ โดยรอบสวนสัตว์เชียงใหม่ อีกด้วย

'ดร.นิว' เผย!! เหตุผลที่ 'รักในหลวง ร.10' หลังเคยจมคลื่นข่าวปลอม-ใส่ร้าย โชคดีที่ตาสว่าง ไม่เช่นนั้นอาจติดคุกหรือไม่ก็ได้ดีในพรรคการเมืองหนึ่ง

(30 ก.ค. 67) ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ 'ดร.นิว' นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในหัวข้อ 'ทำไมผมถึงรักในหลวง ร.10 สุดหัวใจ?'

ผมเป็นคนหนึ่งที่เรียน มธ. รหัส 53 และเคยได้รับข้อมูลผิด ๆ จนไม่ชอบในหลวง ร.10 มาก ๆ ถึงขั้นไม่เข้ารับพระราชทานปริญญาทั้ง ๆ ที่ผมจบเกียรตินิยม ผมไม่ได้เข้ารับของจริง ถ้าไม่เชื่อก็ไปเช็กได้เลยครับ ผมจึงยังคงเสียใจและเสียดายมาจนถึงทุกวันนี้ แต่พอได้ศึกษาข้อมูลที่ถูกต้องด้วยตนเองในช่วงเรียนปริญญาเอกที่สิงคโปร์ จากที่ไม่ชอบก็กลายเป็นรักและเห็นใจพระองค์ท่านมาก ๆ 

พบว่าสิ่งที่เคยได้ยินจากสามนิ้วล้มเจ้าในยุคนั้นล้วนเป็นความเท็จและไม่มีประโยชน์ เห็นได้ชัดเจนมาก ๆ ว่าการบิดเบือนให้ร้ายในหลวง ร.10 เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการสร้างความแตกแยกในหมู่ประชาชน เพื่อเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจ โดยมักบิดเบือนให้ร้ายสร้างมโนภาพต่าง ๆ ให้ในหลวง ร.10 กลายเป็นคนไม่ดี เป็นยักษ์ เป็นมาร เป็นจอมวายร้าย

แต่ทว่าในความเป็นจริง แม้ในหลวง ร.10 จะเป็นคนเคร่งครัดมากในระเบียบวินัยแบบทหาร แต่พระองค์ท่านก็เป็นคนที่มีเมตตาสูงมาก ขนาดชีวิตสัตว์ตัวเล็กตัวน้อย ท่านยังให้ความเมตตาแบบสุด ๆ ผมเคยได้ยินเรื่องหนึ่งที่เชื่อถือได้อย่างแน่ชัด เวลามีสัตว์หลงเข้ามาในลานฝึก ทหารที่ฝึกกับพระองค์ท่านจะต้องหยิบมันไปปล่อยอย่างเหมาะสม ใครจะไปนึกว่าในหลวง ร.10 จะทรงน่ารักขนาดนี้

ผมยังจำได้ดี ตอนผมจบปริญญาเอกปี 2561 ในวัย 26 ปี ในปีนั้นเพื่อนชาวสิงคโปร์ของผมชื่อ ‘ยองเจีย’ วัย 25 ปี เคยแสดงความคิดเห็นให้ผมฟังว่า "สถาบันพระมหากษัตริย์คือจุดแข็งที่สำคัญที่สุดของประเทศไทย ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษอันหาได้ยากยิ่ง ลองคิดดูนะ กว่าประเทศอื่นจะรวมผู้คนให้สามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ แต่ประเทศไทยสามารถทำได้แค่ในชั่วพริบตา เพราะมีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมจิตใจของผู้คน ดังนั้นถ้าหากมีใครต้องการทำลายประเทศไทย หรือแทรกแซงประเทศไทยเพื่อผลประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง จึงไม่แปลกที่เขาต้องทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์"

ผมโชคดีที่ตาสว่างกว่า ไม่เช่นนั้นตอนนี้ผมอาจติดคุกหรือไม่ก็ได้ดิบได้ดีในพรรคการเมืองหนึ่ง พรรคที่มีรากเหง้ามาจากสามนิ้วล้มเจ้าใน มธ. ชอบอ้างอย่างปลอมเปลือกว่าอยากให้สถาบันพระมหากษัตริย์มั่นคงสถาพร แต่ในความเป็นจริงแม้แต่ถวายพระพรก็ยังไม่มีเลย สุดท้ายเมื่อผมออกจาก Echo Chamber ของการลือตาม ๆ กันอย่างเสียสติ ไม่ต่างจากนกแก้วนกขุนทอง ไม่หลงเชื่อการโฆษณาชวนเชื่อบิดเบือนให้ร้ายพระองค์ท่านอีกต่อไป ผมจึงตาสว่างยิ่งกว่าตาสว่างและรักพระองค์ท่านสุดหัวใจ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top