Monday, 26 May 2025
TheStatesTimes

'กกพ.' เคาะค่าไฟใหม่เป็นทางการ 4.18 บาท กลุ่มเปราะบาง 3.99 บาท หลัง 'พีระพันธุ์' สั่งตรึงราคา จบตัวเลขก่อนหน้าที่จ่อพุ่งแตะ 6 บาท

(31 ก.ค.67) แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ในวันนี้ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เตรียมประชุมเห็นชอบค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) เรียกเก็บในงวดสุดท้ายของปี ก.ย.-ธ.ค. 67 อย่างเป็นทางการ หลังจากเปิดรับฟังความคิดเห็นในกรณีต่าง ๆ ผ่านทางเว็บไซต์สำนักงาน กกพ. ตั้งแต่วันที่ 12-26 ก.ค. 67 ใน 3 กรณี คือ กรณีแรก หน่วยละ 4.65 บาท กรณี 2 หน่วยละ 4.92 บาท และกรณี 3 หน่วยละ 6.01 บาท แต่ละกรณีแตกต่างกันที่การชำระหนี้คงค้างจำนวน 98,495 ล้านบาท ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)

อย่างไรก็ตาม แม้ กกพ.จะประกาศ 3 ราคา ซึ่งเป็นการปรับขึ้นค่าไฟทั้งหมด จากงวดปัจจุบันอยู่ที่หน่วยละ 4.18 บาท แต่ทางนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ได้ขอที่ประชุม ครม.พิจารณาแนวทางการช่วยเหลือประชาชนให้ตรึงราคาค่าไฟฟ้างวดสุดท้ายไว้เท่าเดิม คือ หน่วยละ 4.18 บาท ซึ่งทาง ครม.วันที่ 23 ก.ค. 67 ได้อนุมัติแนวทางตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ภายใต้แนวทางการบริหารจัดการภาระค่าเชื้อเพลิงร่วมกับ กฟผ. และบมจ.ปตท. รวมถึงการตรึงราคาน้ำมันดีเซลไว้ที่กรอบไม่เกินลิตรละ 33 บาท โดยใช้งบประมาณจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง จนถึงวันที่ 31 ต.ค. 67 ซึ่งขณะนี้ทาง กกพ.ได้รับหนังสือยินยอมภาระต้นทุนคงค้าง และจะทยอยคืนทีหลังจาก กฟผ.แล้ว และคาดว่า วันที่ 30 ก.ค. ทาง ปตท.จะส่งหนังสือรับภาระต้นทุนคงค้าง และทยอยจ่ายคืนทีหลังเช่นกัน

ทั้งนี้หากที่ประชุมบอร์ด กกพ. อนุมัติและประกาศเป็นทางการแล้ว คาดว่า ใช้เวลา 1-2 วัน หรืออย่างช้าสุดไม่เกิน 1 สัปดาห์หลังจากบอร์ดเห็นชอบ ส่งผลให้บิลค่าไฟฟ้าเดือน ก.ย.–ธ.ค. 67 อัตราค่าไฟฟ้าสำหรับประชาชนทั่วไปจะอยู่ที่หน่วยละ 4.18 บาท ส่วนกลุ่มเปราะบาง ที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน ยังคงไว้ในอัตราเดิมหน่วยละ 3.99 บาท มีจำนวน 17.7 ล้านครัวเรือนเช่นเดิม โดย ครม.จะนำงบกลางมาชดเชย

อย่างไรก็ตามผลจากการตรึงราคาค่าไฟฟ้างวดเดือน ก.ย.-ธ.ค. 67 อยู่ที่หน่วยละ 4.18 บาท จากที่ควรต้องปรับขึ้นตามแนวทางที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดรับฟังความคิดเห็น เป็นที่ 4.65-6.01 บาทต่อหน่วย ทำให้ ปตท.และ กฟผ. จะยังไม่ได้รับการคืนต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่เกิดขึ้นจริง หรือเอเอฟก๊าซ ที่ทั้ง 2 หน่วยงานร่วมกันแบกรับภาระแทนประชาชนไปก่อน 15,083.79 ล้านบาท โดย กฟผ.จะได้รับคืนภาระต้นทุนคงค้างที่เกิดขึ้นจริงเพียงหน่วยละ 5 สตางค์ จากภาระต้นทุนคงค้างที่สะสมอยู่จำนวน 98,495 ล้านบาท จะต้องรอทยอยเรียกเก็บคืนจากประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าในภายหลัง ซึ่งยังไม่รู้อนาคตว่า งวดแรกของปี 68 (ม.ค.-เม.ย.) จะต้องรับภาระยืดการชำระไปอีกหรือไม่ เนื่องจากทิศทางราคาพลังงานยังมีแนวโน้มผันผวนอย่างต่อเนื่อง

‘อ.นิด้า’ ฟันธง!! ‘ยุบก้าวไกล’ เศรษฐาหลุดเก้าอี้นายกฯ คณะรัฐมนตรีพ้นตำแหน่งหมด คาด!! 2 สัปดาห์นี้รู้เรื่อง

(31 ก.ค.67) ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า…

จากสัญชาตญาณ การข่าว และข้อมูลที่รับทราบมา ผมประมวลว่า...

หนึ่ง : ยุบพรรคก้าวไกล

สอง : เศรษฐา ทวีสิน หลุดตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีพ้นตำแหน่งทั้งหมดครับ

รอดูครับ ว่าอานนท์จะแม่นไหม

รอดูกันต่อไปครับ ผมก็อยากรู้เหมือนกันครับ

สองสัปดาห์นี้น่าจะรู้เรื่องครับ

'รมว.ปุ้ย' เสนอบังคับ 'มาตรฐานเหล็กเคลือบ' ผ่าน ครม. ฉลุย หลังประชาชนร้อง!! 'เหล็กเคลือบห่วย' เต็มท้องตลาด

(31 ก.ค.67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ผลักดันให้มีการบังคับใช้มาตรฐานเหล็กเคลือบ ทั้งเคลือบสังกะสี อะลูมิเนียม แมกนีเซียม และเคลือบสี หลังจากได้รับการร้องเรียนจากประชาชนว่า มีการจำหน่ายเหล็กเคลือบไม่ได้มาตรฐานในท้องตลาด จึงได้เร่งรัดให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ดำเนินการบังคับใช้มาตรฐานโดยเร็ว เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของประชาชน และปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กภายในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการนำเข้าเหล็กเคลือบคุณภาพต่ำเข้ามาจำหน่ายในราชอาณาจักร สร้างความเสียหายต่ออุตสาหกรรมเหล็ก และอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่นำเหล็กเคลือบไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเป็นอย่างมาก 

โดยเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา ครม. ได้มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวง จำนวน 2 ฉบับ ได้แก่ ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนเคลือบอะลูมิเนียม 55% ผสมสังกะสี โดยกรรมวิธีจุ่มร้อน ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. … และร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดเย็นเคลือบสังกะสี โดยกรรมวิธีจุ่มร้อน ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. … ซึ่งคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ภายในเดือนพฤษภาคม 2568  

นอกจากนี้ ครม. ยังได้เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมรถยนต์ขนาดเล็กที่ใช้เครื่องยนต์แบบจุดระเบิดด้วยประกายไฟ ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... เพื่อแก้ไขปัญหามลภาวะด้านฝุ่นละออง และควบคุมการระบายมลพิษจากแหล่งกำเนิด โดยใช้กลไกของกฎหมายในการควบคุมและกำกับดูแล เพื่อยกระดับมาตรฐานมลพิษทางอากาศที่เกิดจากยานยนต์ ให้สอดคล้องกับมาตรฐานในระดับสากล (ยูโร 6) และพัฒนาขีดความสามารถของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย ให้มีศักยภาพสูงขึ้น รวมทั้งเป็นการคุ้มครองความปลอดภัยของประชาชนในด้านสุขภาพการได้รับผลกระทบจากมลพิษทางอากาศ โดยมาตรฐานดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2568 

ด้าน นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจาก ครม. เห็นชอบร่างกฎกระทรวงทั้ง 3 ฉบับแล้ว สมอ. จะเร่งจัดทำกฎกระทรวง เพื่อเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงนาม และนำไปประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ทั้งนี้ ผู้ทำ ผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์เหล็กเคลือบและรถยนต์ขนาดเล็กที่ใช้เครื่องยนต์เบนซินดังกล่าว จะต้องขอรับใบอนุญาตทำ นำเข้าจาก สมอ. ก่อนที่กฎหมายจะมีผลบังคับใช้ สำหรับความคืบหน้าของการบังคับใช้มาตรฐานยูโร 6 ของรถยนต์ประเภทอื่น ๆ เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 และปัญหาสิ่งแวดล้อมของประเทศ สมอ. ได้มีการหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกลุ่มผู้ประกอบการอุตสาหกรรมยานยนต์ และหน่วยงานภาครัฐ เมื่อเดือนพฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา เพื่อให้ผู้ผลิตรถยนต์เตรียมความพร้อมและวางแผนการผลิตรถยนต์ตามกรอบระยะเวลาต่อไป  

พัดลมพกพา 'JISULIFE' ดูให้ดีก่อนซื้อ ! ขนาดของปลอมยังได้ความนิยมขายได้ 800 ล้านบาท จะได้ของดีไม่ผิดหวัง!

ในสภาวะที่อากาศของไทยที่ร้อนมาก สูงสุดกว่า 45 องศาเซลเซียส และกรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่าบางพื้นที่อาจอุณหภูมิสูงสุดอาจเกิน 50 องศาเซลเซียส ผู้บริโภคจึงพากันมองหาผลิตภัณฑ์เพื่อคลายร้อน และเมื่อไม่นานมานี้ พัดลมพกพา JISULIFE มียอดขายพุ่งสูงบนแพลตฟอร์มออนไลน์ อาทิ Shopee และ Lazada ในประเทศไทย กลายเป็นหนึ่งในสินค้าที่ขายดีที่สุดในช่วงฤดูร้อนนี้ อย่างไรก็ตาม นี่ก็เป็นโอกาสให้มิจฉาชีพแฝงตัวเข้ามาเช่นกัน ตามสถิติทั่วโลกมีของปลอมขายได้ถึง 800 ล้านบาท

ระวังสินค้าปลอม:
เนื่องจากพัดลมพกพา JISULIFE มีความต้องการในตลาดสูง ทำให้มีสินค้าปลอมออกมามากมาย สินค้าปลอมเหล่านี้มักมีราคาถูก ภาพโฆษณาไม่ตรงกับสินค้าที่ขายจริง และใช้โลโก้แบรนด์โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเป็นการหลอกลวงผู้บริโภคอย่างร้ายแรง ผู้บริโภคควรระมัดระวังในการซื้อสินค้าจากร้านค้าที่เชื่อถือได้เพื่อความมั่นใจที่จะได้รับของแท้ที่มีคุณภาพ สินค้าปลอมที่ไม่มีคุณภาพอาจมีความเสี่ยงในการระเบิดของแบตเตอรี่หรือใบพัดหลุดออกมา ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินอย่างร้ายแรง

ความอันตรายและตัวอย่างของสินค้าปลอม:
ปัจจุบันมีพัดลม JISULIFE ปลอมมากกว่า 1.1 ล้านเครื่อง ถูกขายออกไปแล้ว ทำให้ผู้บริโภคและแบรนด์สูญเสียมากกว่า 830 ล้านบาท ความอันตรายของสินค้าปลอมไม่ได้จำกัดแค่ความเสียหายทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นภัยต่อสุขภาพและความปลอดภัยของผู้บริโภคอีกด้วย

ล่าสุดมีผู้เสียหายร้องเรียนเข้ามา ว่าได้สั่งซื้อพัดลม JISULIFE HANDHELD FAN PRO 1S ผ่าน Shopee หลังจากได้รับสินค้าจึงพบว่าพัดลมไม่ตรงกับรูปภาพที่แสดงในร้านค้า เมื่อเทียบกับของแท้พบว่าพัดลมปลอมมีประสิทธิภาพลมและเวลาใช้งานต่ำกว่าของแท้มาก ที่น่ากังวลยิ่งกว่านั้นคือพัดลมปลอมใช้วัสดุคุณภาพต่ำและเสียหายภายในไม่ถึงสองสัปดาห์

อีกทั้งแบตเตอรี่และมอเตอร์ของพัดลมปลอมมีคุณภาพไม่เท่ากัน ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อความปลอดภัยอย่างมาก เคยมีเหตุการณ์ผู้บริโภคที่ใช้พัดลมปลอมประสบปัญหาแบตเตอรี่ร้อนเกินไปจนพัดลมไฟไหม้ โชคดีที่พบเห็นทันเวลาก่อนจะเกิดเหตุร้าย นอกจากนี้ใบพัดของพัดลมปลอมอาจหลุดออกมาในขณะใช้งาน ทำให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้และคนรอบข้าง ความเสี่ยงเหล่านี้ทำให้สินค้าปลอมไม่เพียงแต่ทำให้ผู้บริโภคสูญเสียเงิน แต่ยังอาจเป็นภัยต่อชีวิตและความปลอดภัยของพวกเขาด้วย

เพื่อแก้ไขปัญหานี้ เราได้ติดต่อกับทีมงานของ JISULIFE เพื่อสอบถามเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังพัดลมรุ่น Handheld Fan Pro 1S ซึ่งเป็นสินค้าขายดี คำตอบที่ได้น่าทึ่งมาก ไม่คิดว่าพัดลมขนาดเล็กนี้จะมีเทคโนโลยีมากมายที่ซ่อนอยู่ในตัว เช่น เทคโนโลยี Air-Turbo ที่สามารถดูดอากาศเข้ามาได้จำนวนมากและเร่งความเร็วในช่องอากาศเพื่อพัดลมให้แรงลมมากขึ้น โดยเทคโนโลยีมอเตอร์ประหยัดพลังงานความเร็วสูงที่ไม่เพียงแต่ให้ความเร็วรอบสูงถึง 9 เมตรต่อวินาที แต่ยังช่วยลดการใช้พลังงานเมื่อทำงานที่ความเร็วสูง ทำให้ใช้งานได้นานถึง 18.5 ชั่วโมง/ต่อครั้ง การชาร์จเร็วผ่านพอร์ต Type-C และหน้าจอแสดงผล LED ที่แสดงความเร็วลมและปริมาณแบตเตอรี่ ทำให้ผู้ใช้สามารถรับรู้สถานะได้ตลอดเวลา และชาร์จไฟได้เต็มในเวลาเพียง 2 ชั่วโมง สินค้าทุกชิ้นของ JISULIFE ผ่านการออกแบบและการทดสอบการผลิตอย่างเข้มงวด มีมาตรฐาน เพื่อให้มั่นใจในผลประโยชน์ของผู้บริโภค นอกจากนี้ JISULIFE ยังมีบริการหลังการขายที่ครบวงจรเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาให้กับผู้ใช้

ดังนั้น อยากจะขอเตือนผู้บริโภคให้ระมัดระวังเป็นพิเศษเมื่อเลือกซื้อพัดลมพกพา JISULIFE เนื่องจากสินค้าปลอมมักขาดการรับรองความปลอดภัยที่เกี่ยวข้อง ในด้านความปลอดภัยของแบตเตอรี่และมอเตอร์ ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดไฟไหม้หรือการระเบิดของมอเตอร์และแบตเตอรี่ รวมถึงใบพัดที่อาจหลุดออกมาในขณะทำงานที่มีความเร็วสูง ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าสินค้าที่คุณซื้อนั้นไม่ใช่ของปลอม! 

ผู้ขายสินค้าปลอมเหล่านั้นไม่สนใจประโยชน์ของผู้บริโภค ซึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 ถือเป็นการฉ้อโกง การฉ้อโกงอาจถูกลงโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากการกระทำเข้าข่ายความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 343 อาจถูกลงโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ทั้งนี้หากต้องการสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ JISULIFE ของแท้สามารถสั่งจากช่องทางการได้ตามข้อมูลนี้
1.ร้านค้าออนไลน์ 
- แพลตฟอร์ม Tiktok ชื่อบัญชี : Jisulife.Thailand 
- แพลตฟอร์ม Shopee ชื่อร้านค้า :  JISULIFE Official Shop  ชื่อบัญชี  : jisulife.thแพลตฟอร์ม LAZADA ชื่อบัญชี : JISULIFE Flagship Store 

2.ร้านค้าออฟไลน์

- Life 
- Xiaomi 
- Betrend

'พปชร.' ใกล้อวสาน 'ลุงป้อม' หมดลุ้นนั่งนายกฯ ลุ้น 'เดอะจ๊อบ' ฮึด!! รวม 'สส.ก้าวไกล' หนุน

"26 สส.ชวนตั้งพรรค รองรับการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง หลัง 14 ส.ค. รู้กัน ใช้ชื่อพรรคอะไรดี คอมเมนต์อันไหนมีหัวใจมากสุด รับรางวัลเงินสด 20,000 บาท ประกาศวันที่ 25 นี้"

นั่นคือโพสต์ในเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 30 ก.ค.ของนายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช หรือ 'เดอะจ๊อบ' นักการเมืองเล็กดีรสโตที่ออกมาเย่อกับ 'คนโตตัวตึง' อย่างร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคพปชร./รมว.เกษตรและสหกรณ์...

นายสามารถเคยได้รับการสนับสนุนจากพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค พปชร.ให้เป็นกรรมการผู้ช่วย รมต.ประจำ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน เมื่อครั้งเป็น รมว.ยุติธรรม เคยมีเรื่องอื้อฉาวกรณีถูกกล่าวหาว่าส่งสแตนด์อินไปเรียน ดร.ที่รามคำแหงแทนตน จนหายเงียบไปพักหนึ่ง และกลับมาอีกครั้งในฐานะคนใกล้ชิดลุงป้อม...กล้าได้กล้าเสีย...และดูเหมือนจะถูกที่ถูกเวลา...

ทั้งนี้ในขณะที่ สส.เกินครึ่งพรรคโน้มเอียงเลือกข้างร.อ.ธรรมนัส แต่ 'เดอะจ๊อบ' กับกุนซือลุงป้อมบางคนพยายามเปิดเกม หาช่องทางให้บิ๊กป้อมได้ลุ้นตำแหน่งนายกฯ หากกรณี เศรษฐา ทวีสิน หลุดตำแหน่ง...ทำให้คนสูงวัยอย่างลุงป้อมกระชุ่มกระชวย...รู้สึกมีราคาค่างวด...

ไม่แปลกที่ 'เดอะจ๊อบ' เป็นหนึ่งในไม่กี่นักการเมืองที่ไปกินข้าวที่บ้านมีนบุรีของ พล.อ.ประวิตร ได้ ในขณะที่ส่วนใหญ่พบ พล.อ.ประวิตร ได้แค่บ้านป่ารอยต่อหรือ 'บ้านในป่า' เท่านั้น...

ตามเกม-แผนการของ 'เดอะจ๊อบ' ที่กำลังดำเนินการก็คือ รวมกลุ่มทำงานทางความคิด และดูแล สส.ก้าวไกลจำนวนหนึ่งร่วม ๆ 20 คน ตกลงกันหลวม ๆ ว่า วันไหนที่พรรคก้าวไกลถูกยุบจะย้ายไปอยู่ พปชร. ซึ่งตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยน เพราะความไม่สงบในพรรค จึงเปลี่ยนแผนเป็นสร้างพรรคใหม่ ทำรังใหม่...

ค่ำวันที่ 31 ก.ค.ที่บ้านมีนบุรี เป็นอีกหนึ่งมื้อนัดหมายระหว่าง สส.ก้าวไกลบางกลุ่ม กับ ลุงป้อม ภายใต้การจัดการของเดอะจ๊อบ...ทุกย่างก้าวต้องให้ลุงป้อมรับทราบ

อย่างไรก็ตาม หากจะกล่าวกันถึงที่สุด แม้กระบวนท่าของ 'เดอะจ๊อบ' จะไม่อาจมองข้ามได้ แต่การเมืองกระดานใหญ่ในขณะนี้โฟกัสไปที่ชะตากรรมของนายเศรษฐา...ซึ่งสัปดาห์ก่อน 'เล็ก เลียบด่วน' ให้น้ำหนักไปว่า...โอกาสรอดมีมากกว่าไม่รอด...ถึงวันนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้น ยิ่งดูภาษากายของนายกฯ วันสองวันนี้ ก็บ่งบอกอาการความมั่นใจว่าจะรอด (แน่ ๆ)

ถ้า 'เศรษฐา' รอด...พล.อ.ประวิตร ก็ไม่ต้องลุ้นอะไรอีก รอลุ้นอย่างเดียวว่า ปรับ ครม.ปลายเดือน ส.ค.หรือ ต้น ก.ย. 'นายใหญ่' บ้านจันทร์ส่องหล้า จะปรับใหญ่ ครม. เอาพปชร.ออก แต่เอากลุ่มร.อ.ธรรมนัสไว้...หรือไม่...!?  

ส่วนเพลง 'ลุงตู่เริ่ม...ลุงป้อมขอทำต่อ...' ของ 'เดอะจ๊อบ' นั้น จบไปนานแล้ว เดอะจ๊อบ ต้องทำเพลงใหม่...ตั้งพรรคใหม่สถานเดียว!! 

‘ธนกร-รวมไทยสร้างชาติ’ จวก!! ‘ปิยบุตร’ พาลไปทั่ว ปม ‘ยุบก้าวไกล’ ลั่น!! หากไม่ได้ทำผิดกฎหมาย ใครหน้าไหนก็ทำอะไรไม่ได้

(31 ก.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สส.แบบบัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ หลังจากที่นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ได้โพสต์ในเชิงตำหนินักวิชาการ นักวิเคราะห์ และโดยเฉพาะเหมือนเป็นการตำหนิสื่อมวลชน 

เรื่องนำเสนอแต่ข่าวดรามาไม่สนใจกกต. ยื่นศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคก้าวไกลทำถูกต้องหรือไม่ สะท้อนภาพไม่มีใครสนใจกฎหมาย และการยุบพรรคกลายเป็นเครื่องมือของ ‘นิติสงคราม’ ว่า การที่นายปิยบุตร จะชี้แจงลงรายละเอียดถึงข้อต่อสู้คดียุบพรรคก้าวไกล ที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยในวันที่ 7 สิงหาคมนี้ ก็สามารถทำได้อย่างเต็มที่ ให้เป็นการต่อสู้คดีอย่างถึงที่สุดตามกระบวนการยุติธรรม

“แต่การออกมาตำหนินักวิชาการ นักวิเคราะห์ รวมถึงการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนนั้น ตนมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง เป็นเหมือนภาษิตไทยที่ว่า ‘ขี้แพ้ชวนตี’ หรือ พาลไปทั่ว ไม่เลือกหน้า ตนมั่นใจว่า พี่น้องสื่อมวลชนนั้น ต่างก็ทำหน้าที่นำเสนอข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น อย่างตรงไปตรงมา การสัมภาษณ์สส.ก้าวไกลถึงคดีนี้ ก็เพื่อไม่ให้เกิดการก้าวล่วงอำนาจศาลอย่างไม่สมควร เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว พรรคก้าวไกลต่างหาก ควรระวังการก้าวล่วงอำนาจศาล” นายธนกร กล่าว

เมื่อถามว่า ในช่วงที่ผ่านมาดูเหมือนแกนนำพรรคก้าวไกลพร้อมใจกันออกมา แสดงความเห็นในแนวต่อว่ากระบวนการ ไม่เป็นธรรมนั้น นายธนกร มองว่า การที่นายปิยบุตร รวมถึงแกนนำพรรคก้าวไกล ออกมาพูดแสดงความเห็นในเชิงลบต่อกระบวนการของกกต.และศาลรัฐธรรมนูญก่อนวันตัดสินนั้น ถือเป็นการก้าวล่วงศาลอย่างชัดเจนหรือไม่ 

ไม่เพียงเท่านั้น พรรคก้าวไกลยังนัดรวมพลแฟนคลับเตรียมจัดกิจกรรมต่าง ๆ ในวันที่ฟังผลตัดสินคดีด้วย จะให้สังคมคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้ จึงขอถามนายปิยบุตร ว่ามีเจตนาใดแอบแฝงเบื้องหลังหรือไม่ และขอให้หยุดดิสเครดิตกระบวนการยุติธรรม หากไม่ได้ทำผิดอาจจะรอดไม่ต้องถูกยุบพรรคก็เป็นได้ จึงไม่ควรตีโพยตีพาย ออกมาตีตนไปก่อนไข้แบบนี้

“ขอให้ตั้งสติและเลิกใช้คำว่า ‘นิติสงคราม’ เสียที เพราะไม่มีใครใช้กฎหมายเพื่อกลั่นแกล้งใครได้ ถ้าคุณไม่ได้ทำผิดกฎหมาย ใครหน้าไหนก็ทำอะไรคุณไม่ได้ ประเทศไทยเรายึดตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อยู่กันด้วยหลักการกฎหมาย ยืนบนความถูกต้อง ไม่ใช่ความถูกใจของคนบางกลุ่ม บางพรรค เรามีรัฐธรรมนูญฉบับเดียวกัน ขอให้พรรคก้าวไกลและนายปิยบุตร ยอมรับความจริงตรงนี้ด้วย” นายธนกร กล่าว

ศาลอาญายกคำร้อง ไม่อนุญาตให้ ’ทักษิณ’ เดินทางไปดูไบ หลังขอไปรักษาตัว ชี้มีแพทย์ในประเทศ ตรวจรักษาอยู่แล้ว

(31 ก.ค. 67) เมื่อไม่นานมานี้ ณ ศาลอาญาถนนรัชดาภิเษก นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลยในคดีประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ได้ยื่นคำร้องขอเดินทางออกนอกราชอาณาจักร ศาลจึงมีคำสั่งให้นัดไต่สวนคำร้องในวันที่ 30 ก.ค. 2567 ที่ผ่านมาและมีคำสั่งในวันเดียวกัน

วันนัดฟังคำสั่งโจทก์ นายทักษิณ ผู้เป็นจำเลย และทนายได้เดินทางมาที่ศาล ภายหลังศาลได้ไต่สวนพยานแล้วมีคำสั่งในทางไต่สวนสรุปว่า จำเลยได้รับอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวระหว่างพิจารณาและห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร 

แต่จำเลยมีความประสงค์เดินทางออกนอกราชอาณาจักร ไปพำนักอยู่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ดูไบ) ระหว่างวันที่ 1-16 ส.ค.2567 เพื่อพบแพทย์ซึ่งเคยตรวจรักษาอาการป่วยของจำเลยเกี่ยวกับปอดอักเสบเรื้อรัง ระบบหายใจและหลอดเลือดหัวใจ เอ็นไหล่ขวาฉีกขาด และหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน ในสถานพยาบาล ที่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ในวันที่ 2 และ 8 ส.ค.2567 

โดยช่วงเวลาที่จำเลยพำนักอยู่ ณ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จำเลยยังมีนัดหมายกับบุคคลสำคัญหลายคน เกี่ยวด้วยภารกิจส่วนตัวของจำเลยหลายเรื่อง จำเลยจะเดินทางกลับเข้ามาในราชอาณาจักรก่อนวันนัดตรวจพยานหลักฐานซึ่งศาลนัดไว้ในวันที่ 19 ส.ค.2567

ศาลเห็นว่า แม้จำเลยอ้างตนเองเป็นพยานเบิกความยืนยันถึงความจำเป็นที่ต้องเดินทางออกนอกราชอาณาจักร โดยมีเอกสารหลักฐานจากแพทย์สนับสนุน และนัดพบบุคคลสำคัญหลายคน โดยช่วงเวลาที่จำเลยพำนักอยู่ ณ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เป็นช่วงเวลาก่อนกำหนดนัดตรวจพยานหลักฐานก็ตาม 

แต่อาการป่วยของจำเลยเป็นโรคที่เกิดแก่บุคคลทั่วไป และแพทย์ในประเทศไทยตรวจรักษาเป็นประจำอยู่แล้ว การเดินทางไปพบบุคคลสำคัญของจำเลยเป็นเรื่องส่วนตัวของจำเลยทั้งไม่มีพยานหลักฐานยืนยันชัดแจ้งถึงความจำเป็นดังกล่าว ประกอบกับช่วงระยะเวลาที่เดินทางใกล้กับวันนัดตรวจพยานหลักฐานในชั้นนี้ไม่สมควรอนุญาตให้จำเลยเดินทางออกนอกราชอาณาจักร ให้ยกคำร้อง

‘ดร.เจษฎา’ เฉลย!! ปมผวา ‘ปลานิลคางดำ’ ไม่มีจริง ชี้!! แค่ ‘ปลาหมอคางดำ’ ที่กินเยอะจนตัวใหญ่

(31 ก.ค. 67) รายงานข่าวระบุว่า รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก Jessada Denduangboripant ถึงประเด็นปลานิลกลายพันธุ์ หรือเป็นลูกผสมระหว่างปลานิลกับปลาหมอคางดำ เป็นปลานิลคางดำ โดยระบุว่า…

มันคือ ‘ปลาหมอคางดำที่อ้วน’ แค่นั้นแหละครับ…ไม่ใช่ปลานิลที่กลายพันธุ์

เช้าวันนี้มีพาดหัวข่าว กันหลายสำนักข่าวเลย ว่าเจอ ‘ปลานิลคางดำ’ ปลานิลกลายพันธุ์มาจากปลาหมอคางดำ หรือเป็นลูกผสมระหว่างปลานิลกับปลาหมอคางดำ!? 

ซึ่งผมว่า มันไม่ใช่ปลากลายพันธุ์หรือปลาลูกผสมอะไรหรอกครับ เพราะดูตามในรูป ในคลิปข่าวแล้ว ก็ปลาหมอคางดำนั่นแหละครับ... แค่มันกินจนอ้วนใหญ่ จนคนไม่คุ้นตากัน เพราะคิดว่ามันจะต้องผอมเรียวยาวเท่านั้น

จากข้อมูลของที่แอฟริกา ปลาหมอคางดำนั้น ถ้าเติบโตดี อาหารดี จะยาวเฉลี่ย 8 นิ้วนะครับ และสถิติตัวยาวสุดนี่ ถึงขนาด11 นิ้วเลยครับ (และเป็นปลาอาหารชนิดหนึ่ง ของคนในท้องถิ่นครับ)

การจำแนกความแตกต่างระหว่าง ‘ปลาหมอคางดำ’ ออกจาก ‘ปลาหมอเทศ’ และ ‘ปลานิล’ ให้ดูที่ลักษณะจำเพาะของมัน อย่าดูแต่ความอ้วนผอมครับ 

โดย ดร.ชวลิต วิทยานนท์ นักวิชาการอิสระ ด้านความหลากหลายของสัตว์น้ำ เคยโพสต์ข้อมูลไว้ว่า ปลาหมอคางดำ หรือ blackchin tilapia (หรือชื่อวิทยาศาสตร์ Sarotherodon melanotheron) จะมีลักษณะเด่นคือ ใต้คาง มักมีแต้มดำ หางเว้าเล็กน้อย และไม่มีลายใด ๆ 

ในขณะที่ ปลาหมอเทศ หรือ  Mozambique tilapia (ชื่อวิทยาศาสตร์ Oreochromis mossambicus) จะมีแก้ม ในตัวผู้มักมีแต้มขาว หางมน มีขอบแดงเสมอ 

ส่วนปลานิล หรือ Nile tilapia (ชื่อวิทยาศาสตร์ O. niloticus) จะมีแก้มและตัวสีคล้าย ๆ กัน หางมน และมีลายเส้นคล้ำขวางเสมอ

ซึ่งถ้าพิจารณาดูจากปลาต้องสงสัยในคลิปข่าวแล้ว ก็จะเห็นว่า ไม่ได้มีลักษณะ ‘ลายเส้นคล้ำขวาง (ตามลำตัว และหาง)’ แบบปลานิล ที่จะให้คิดว่าเป็นปลานิลกลายพันธุ์มาคล้ายปลาหมอคางดำ หรือเกิดลูกผสมกัน แต่มีรูปร่างหน้าตาสีสันไปทางเดียวกับปลาหมอคางดำตามปกติ เพียงแต่ตัวอ้วนกว่าเท่านั้นครับ!

ข้อสังเกตอีกอย่างคือ ปลานิลและปลาหมอเทศนั้น (สกุล Oreochromis) เป็นปลาคนละสกุล กับปลาหมอคางดำ (สกุล Sarotherodon) เลยครับ การที่อยู่ ๆ ในเวลาไม่กี่ปีนี้ มันจะกลายพันธุ์มาคล้ายกันได้นั้น ก็เป็นไปไม่ได้เลย 

ส่วนการเกิดลูกผสมข้ามสกุล ระหว่างปลานิลกับปลาหมอคางดำนั้น เคยโพสต์อธิบายอย่างละเอียดแล้ว ว่ามีการทดลองทำได้จริงในระดับงานวิจัย แต่ทำลูกผสม F1 สำเร็จได้ในปริมาณที่น้อยมาก ๆ และไม่มีรายงานว่าเกิดขึ้นในธรรมชาติครับ 

'เพจดัง' แชร์มุมมองสาวญี่ปุ่นอยู่ไทยมานานในอีกด้าน เผย!! ด้านดีเมืองไทยมีมาก แต่ก็ต้องระวังด้านมืดไว้ด้วย

(31 ก.ค.67) จากเพจ 'J-doradic' ได้โพสต์ข้อความของชาวญี่ปุ่นที่เผยผ่านแพลตฟอร์ม X โดยระบุว่า...

ในไทยไม่ได้มีแต่ด้านดีแต่อย่างเดียว หลังจากที่ตนแต่งงานอาศัยอยู่ที่ไทยนับสิบปี จึงสังเกตเห็นด้านมืดเหล่านี้ด้วย

หลังจากคุณซายากะ สาวลูกครึ่งญี่ปุ่น-อเมริกา เผยด้านดีของเมืองไทยหลายอย่าง จนทำให้เธอตัดสินใจย้ายมาอาศัยที่ประเทศไทยไปโพสต์ก่อนหน้า (https://www.facebook.com/share/p/u73HnqHo8JD55Hk9/?mibextid=oFDknk)

ก็มีชาวญี่ปุ่นใน X แอค Akbkk5 ซึ่งลงไบโอว่าแต่งงานกับสามีชาวไทย และ ทำงานที่ไทยมานับสิบปี พร้อมทั้ง ยังประกาศว่าตัวเองเป็นแฟนตัวยง Silly fools ยุคบังโตด้วย ออกมาให้ข้อมูลอีกมุมหนึ่ง ถึงด้านมืดของประเทศไทยดังนี้ 

**คำเตือน ใครโลกสวย ไม่แนะนำให้อ่านนะครับ

สิ่งที่คุณซายากะเขียน คือ ด้านดี ส่วนด้านมืด 

- ติดอันดับโลกในเรื่องการจราจรติดขัด, จำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนน, มลพิษทางอากาศในฤดูแล้ง และความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ
- เงินคือพระเจ้า
- ถ้าบ่นเจ้าหน้าที่รัฐ ชีวิตจบ
- เส้นสายสำคัญมาก
- มีการลักพาตัวเด็กค่อนข้างบ่อย
- ไม่ค่อยตรงต่อเวลา
- ฝนตกนิดหน่อยก็น้ำท่วม
- รถยนต์ ค่าไฟ ค่ารักษาพยาบาลแพง
- มีตำรวจรีดไถเยอะ
- พนักงานร้านค้าพูดจาส่งเดชเยอะ

แอดนี่ แปลไปกำหมัดแน่นไปเลย ไม่ใช่โกรธหรือไร หลายอย่าง เราเองก็ปฏิเสธไม่ลง 😅 

แล้วเพื่อน ๆ คิดเห็นยังไง?? หากไม่โลกสวย เห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ชาวญี่ปุ่นท่านนี้พูดหรือไม่?

‘ครูเดวิด’ เผยให้สัมภาษณ์ CNN ปม Apple เหยียดเมืองไทย ลั่น!! ไม่ต้องเสียใจที่โดนดูถูก เพราะวันนี้เสียงคนไทยดังไปทั่วโลก

เมื่อวานนี้ (30 ก.ค. 67) ‘เดวิด วิลเลี่ยม’ ชาวต่างชาติที่สอนภาษาอังกฤษในประเทศไทย และเป็นเจ้าของช่อง Tiktok @davidwilliamdw ที่มีผู้ติดตามเกือบ 3 ล้านคน ได้โพสต์วิดีโอพร้อมเล่าเรื่องราวว่า CNN ขอติดต่อสัมภาษณ์ ประเด็นโฆษณาของ Apple ที่มีผลกระทบต่อภาพลักษณ์เมืองไทย โดยจะลงคลิปที่ให้สัมภาษณ์กับทาง CNN ในโอกาสต่อไป เพราะเพิ่งให้สัมภาษณ์จบ

“การสัมภาษณ์ในครั้งนี้ สิ่งที่พี่พูดเต็มปาก คือ สนามบินในไทยเป็นหนึ่งในสนามบินที่เลิศที่สุดในโลก แล้วพี่ก็พูดต่อในเรื่องความปลอดภัยในบ้านเราด้วย ตั้งแต่มาอยู่ประเทศไทยไม่เคยต้องห่วงเรื่องนี้เลย สำหรับใครที่ทุกข์มากกับโฆษณานี้ พี่อยากจะบอกว่าไม่ต้องเครียดแล้ว เพราะคนไทยมีเสียงทั่วโลกในตอนนี้” ครูเดวิดกล่าว

ย้อนไปที่จุดเริ่มต้นดรามาร้อนแรง กรณีโฆษณา iPhone ในช่อง Youtube Apple UK ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา ได้ทำให้หลายคนออกมาแสดงความคิดเห็นถึงความไม่เหมาะสม ในการนำเสนอภาพประเทศไทย ด้วยมุมมองที่ล้าหลัง 

ซึ่งในวันที่ 29 กรกฎาคมที่ผ่านมา ดาราหนุ่มซี ศิวัฒน์ ก็ออกมาวิจารณ์โฆษณานี้เช่นกันว่า “ไม่ขำ” และ “อยากเขวี้ยง iphone ทิ้ง” รวมถึงคนมีชื่อเสียงคนอื่น ๆ และชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยจำนวนมาก ต่างออกมายืนยันว่าภาพในโฆษณานั้นต่างกับความเป็นจริงในประเทศไทยมาก

ในโฆษณาดังกล่าว มีหลายช่วงที่ทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยดูแย่ เช่น ขนส่งสาธารณะแออัด นั่งเรือแล้วเมาจนอ้วก นั่งรถเมล์แล้วต้องอุ้มลูกให้คนอื่น ไม่มีแท็กซี่จนต้องนั่งรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้าง สนามบินเล็กและคนเยอะ พนักงานสนามบินทำให้กระเป๋าผู้โดยสารหายไป แท็กซี่พาไปผิดโรงแรม อีกทั้งยังพูดว่า “I think she likes me” กับผู้หญิงไทยอีกด้วย

จากการนำเสนอภาพของระบบขนส่งสาธารณะในประเทศไทยด้วยบรรยากาศที่แย่ รวมถึงพยายามถ่ายทอดภาพให้ ‘ฝรั่ง’ หรือชาวตะวันตกในโฆษณา สูงส่งกว่าคนไทย ทั้งในแง่ของมุมมองภาพ การกระทำ และวัฒนธรรม เช่น ถามว่าในโรงแรมที่ประเทศไทยมีแอร์ หรือห้องน้ำไหม?

อีกทั้งยังมีประเด็นเรื่องการย้อมสีภาพสำหรับฉากในประเทศไทย ให้กลายเป็นสีโทนร้อน ออกแนวเก่า ๆ ซึ่งเป็นโทนสีที่วงการภาพยนตร์มักใช้นำเสนอฉากหรือภูมิประเทศที่มีความล้าหลัง หรือด้อยพัฒนา เมื่อโฆษณา iPhone เลือกใช้โทนสีดังกล่าว ประกอบกับเขียนสตอรี่ให้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในประเทศไทยล้วนเต็มไปด้วยความยากลำบาก และไม่สะดวกสบาย จนทำให้ฝรั่งอยากกลับบ้าน ด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นสาเหตุให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก นับตั้งแต่วันที่ปล่อยโฆษณานี้ออกมาสู่โลกออนไลน์


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top