Saturday, 24 May 2025
TheStatesTimes

'อังกฤษ’ แนะ!! แพทย์ ‘ควรลดใช้ใบจ่ายยา-ลดการตรวจเลือดที่ไม่จำเป็น’ เหตุกิจกรรมในระบบสาธารณสุข มีส่วนพ่นก๊าซพิษถึง 40% ของราชการทั้งหมด

(23 ก.ค. 67) รายงานข่าวระบุว่า ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งลอนดอน หรือ RCP ออกคำแนะนำทางการแพทย์ที่เรียกว่า ‘Green Physician Toolkit’ ที่เป็นการดำเนินการต่าง ๆ ที่แพทย์สามารถช่วยลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ ตั้งแต่การลดจ่ายใบสั่งยา และการตรวจเลือดที่ไม่จำเป็น ไปจนถึงการแนะนำวิธีป้องกันตัวจากผลกระทบของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เพิ่มขึ้นให้แก่คนไข้

“แน่นอนว่าการให้ความสำคัญกับความยั่งยืนอาจเป็นเรื่องท้าทายทางการแพทย์ ที่ต้องรักษาคนไข้ แต่เราต้องระลึกว่าการลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผลกระทบต่อสุขภาพ จะช่วยลดการใช้ระบบบริการสาธารณสุขแห่งชาติ หรือ NHS ในระยะยาวได้” ศาสตราจารย์ราเมช อาราสารัดนาม รองประธานฝ่ายวิชาการของ RCP กล่าว

ในปี 2565 ระบบบริการสุขภาพแห่งชาติปล่อยก๊าซเรือนกระจกคิดเป็น 40% ของการปล่อยก๊าซในหน่วยงานภาครัฐทั้งหมดจากสหราชอาณาจักร และคิดเป็น 4% ของการปล่อยก๊าซทั้งหมดของประเทศ โดย NHS เป็นระบบสุขภาพระบบแรกของโลกที่ตั้งเป้าหมายเข้าสู่ Net Zero ในปี 2583 

ประเทศอื่น ๆ ในยุโรปเองก็กำลังมองหาวิธีการกำจัดมลพิษด้านการดูแลสุขภาพด้วยเช่นกัน และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการพยายามลดใช้ใบจ่ายยา ในปี 2566 แพทยสภาแห่งสหภาพยุโรป หรือ CPME  กล่าวว่า “ควรลดการใช้ยาโดยไม่จำเป็น และต้องพิจารณาแง่มุมต่าง ๆ ของการปฏิบัติตามข้อกำหนดที่เข้มงวดขึ้น เนื่องจากมีการจ่ายยาจำนวนมากที่ไม่ได้ใช้ และสุดท้ายต้องทิ้ง”

หากต้องการลดการสั่งจ่ายยาที่ไม่จำเป็น RCP แนะนำให้ใช้แพทย์พูดคุยทางเลือกการรักษาต่าง ๆ กับผู้ป่วย ซึ่งอาจจะเสนอการรักษารูปแบบอื่นก่อนการสั่งจ่ายยา หรือหันไปใช้ระบบดิจิทัลในการสั่งจ่ายยาแทน

เนื่องด้วย ยาและสารเคมีคิดเป็น 20% ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนของ NHS ดังนั้นการลดการจ่ายยาจึงสามารถช่วยลดก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีนัยสำคัญ

จากข้อมูลของ CPME ระบุว่า ยาจำนวนมากที่ใช้กันอยู่ในยุโรปต้องนำเข้ามาจากทวีปอื่น ๆ หากสามารถลดการใช้ยาที่นำเข้าจากทวีปอื่นได้ ก็จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ทั้งจากการผลิต และการขนส่ง อีกทั้งยังสามารถติดตามผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศจากกระบวนการผลิตยาได้อีกด้วย

นอกจากประเด็นสั่งจ่ายยาแล้ว ใน Green Physician Toolkit ยังมีประเด็นอื่น ๆ อีกมากมายที่สามารถลดความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศได้ ไม่ว่าจะเป็นแนะนำให้คนไข้ไม่ทิ้งยาลงในชักโครก เพราะจะทำให้แหล่งน้ำปนเปื้อน และควรส่งยาเก่า หรือยาที่ไม่ใช้แล้วให้แก่ร้านขายยาที่สามารถกำจัดได้อย่างปลอดภัย

อีกทั้งยังแนะนำให้แพทย์ควรคิดให้รอบคอบก่อนที่จะขอตรวจเลือด หรือดูว่าสามารถทำการทดสอบค่าต่าง ๆ จากตัวอย่างเดียวกันได้หรือไม่ เพราะการวิจัยก่อนหน้านี้แสดงให้เห็นว่าการตรวจเลือดในแต่ละครั้งก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า 49-116 กรัม รวมถึงการปล่อยก๊าซที่เกี่ยวข้องกับการผลิต การขนส่ง การแปรรูป ตลอดจนการกำจัดอุปกรณ์และบรรจุภัณฑ์ด้วย

รวมถึงแนะนำให้แพทย์ส่งหมายนัดทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น อีเมล เพื่อรวมถึงต้นทุนการใช้พลังงานและการพิมพ์ หากไม่จำเป็นต้องทำการรักษาหรือเป็นเพียงการติดตามผลการรักษา อาจทำการรักษาผ่านระบบอออนไลน์แทน เพื่อลดการเดินทาง ซึ่งอาจสร้างผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม และช่วยประหยัดเงินได้

แพทย์ถือเป็นบุคลากรที่คนทั่วทั้งชุมชนเชื่อถือและรับฟังเมื่อพูดถึงภัยคุกคามด้านสาธารณสุข องค์การอนามัยโลก หรือ WHO แนะนำเคล็ดลับการสื่อสารที่จะช่วยให้ผู้ฟังยอมรับฟังเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ดูไกลตัว (ซึ่งสามารถนำไปใช้ได้ทุกคน ไม่ใช่เพียงแค่แพทย์) 

WHO แนะนำให้ สื่อสารด้วยเนื้อหาที่ให้เข้าใจง่าย พูดคุยเกี่ยวกับเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วที่เห็นภาพผลกระทบชัดเจน และเน้นย้ำถึงประโยชน์ต่อสุขภาพจากการแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ตัวอย่างของการเริ่มต้นการสนทนาที่ Green Physician Toolkit แนะนำ เช่น ‘การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้คลื่นความร้อนเกิดบ่อยขึ้น ซึ่งความร้อนจะทำให้ร่างกายเครียด และส่งผลต่อสุขภาพ’ หรือ ‘ยาจะทำให้คุณเสี่ยงต่อความร้อนมากขึ้นได้อย่างไร’

“รถยนต์สันดาปจะปล่อยมลพิษทางอากาศที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพของคุณ ดังนั้นอย่าลืมพกอุปกรณ์ช่วยหายใจ สวมหน้ากากอนามัยเมื่อต้องไปในพื้นที่การจราจรหนาแน่น”

นอกจากนี้ RCP ยังแนะนำให้ แพทย์ควรบอกให้กลุ่มผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงในปัญหาด้านสุขภาพระยะยาว รวมถึง ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก และสตรีมีครรภ์ ตื่นตัวต่อผลกระทบด้านสุขภาพจิต ที่อาจเกิดขึ้นได้จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงความทุกข์ทรมานทางสิ่งแวดล้อม และภาวะซึมเศร้า โรควิตกกังวล โรค PTSD ที่เกิดหลังจากการประสบภัยทางธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม

RCP คาดว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะทำให้มีผู้เสียชีวิตเกิน 250,000 รายต่อปีภายในปี 2593 และแม้ว่ามากกว่าครึ่งหนึ่งมีแนวโน้มที่จะอยู่ในแอฟริกา แต่สหราชอาณาจักรก็จะได้รับผลกระทบโดยตรงจากความร้อนจัดและน้ำท่วม หรือ มีผู้ลี้ภัยสภาพภูมิอากาศจำนวนมากอพยพมาอยู่ในอังกฤษ โฆษก

NHS กล่าวว่า “เจ้าหน้าที่ NHS ต้องให้ความสำคัญกับความต้องการของผู้ป่วยเป็นอันดับแรกเสมอ แนวทางการแก้ปัญหาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมควรถูกนำมาใช้เฉพาะเมื่อมีความเหมาะสมทางคลินิกเท่านั้น และต้องสามารถช่วยประหยัดเงินของผู้เสียภาษีได้”

‘นักธุรกิจฟาร์มปลาสวยงาม’ ไขกระจ่างปมเจอปลาเทราต์ในแหล่งน้ำธรรมชาติ ชี้!! เติบโตในน้ำอุณหภูมิไม่เกิน 24 องศา โอกาสรุกรานระบบนิเวศไทยมีน้อย

(23 ก.ค. 67) นายนิธิพัฒน์ พันธุ์ธุมจินดา นักธุรกิจ ฟาร์มปลาสวยงาม โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Nitipat Bhandhumachinda’  ระบุว่า…

กรณีปลาเทราต์ที่มีคนกล่าวว่าพบเจอหลุดในแหล่งธรรมชาติ และกังวลว่าจะสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อระบบนิเวศ โดยมีการอ้างอิง IUCN ว่าเป็นชนิดปลาที่สามารถรุกรานรุนแรงสายพันธุ์หนึ่งนั้น

ก็ต้องเรียนว่า ปลาเทราต์ในโครงการหลวงดังกล่าวนั้น เป็นปลาที่มีการนำเข้ามาทั้งในรูปแบบเพาะเลี้ยงจากไข่ปลา และมีการพัฒนาวิจัยจนสามารถเพิ่มจำนวนลูกปลาได้ด้วยการผสมเทียมในอุณหภูมิน้ำที่ประมาณ ๑๒ องศา

ส่วนการเลี้ยงดูให้เติบโตจนขายได้นั้น ปลาชนิดนี้ต้องอาศัยอยู่ในน้ำที่อุณหภูมิไม่เกิน ๒๔ องศาตลอดทั้งปี โดยยิ่งอุณหภูมิต่ำกว่านั้นโอกาสรอดก็ยิ่งสูง

ซึ่งโครงการดังกล่าวนี้สร้างประโยชน์มหาศาลให้กับประชาชนชาวเขาในพื้นที่ให้มีรายได้เป็นกอบเป็นกำ อีกทั้งยังสร้างประโยชน์ในการลดปริมาณการนำเข้าเนื้อปลาชนิดเดียวกันซึ่งประชาชนจำนวนมากทั่วประเทศนิยมรับประทาน

จากการศึกษาเบื้องต้นแล้วโอกาสที่ปลาชนิดนี้จะขยายพันธุ์ในแหล่งธรรมชาติของไทยไม่ว่าจะภาคไหน ๆ ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ เพราะระบบนิเวศของไทยไม่ได้มีความพร้อมใด ๆ ต่อทั้งพฤติกรรมในการผสมพันธุ์อีกทั้งไม่มีภูมิประเทศที่เหมาะสมใด ๆ ต่อการขยายพันธุ์เลย

การจะอ้าง IUCN ซึ่งน่าจะหมายถึงการรุกรานรุนแรงในระบบนิเวศที่เหมาะสมสำหรับการแพร่พันธุ์ของปลาชนิดนี้ จึงไม่ใช่เรื่องที่จะนำมากล่าวได้ในแหล่งนิเวศที่แตกต่างกันขนาดนี้

แต่ในขณะเดียวกัน หากมีการที่ลูกปลาหลุดไปเติบโตอยู่ในแหล่งธรรมชาติ ไม่ว่าจะหลุดมาในจำนวนมากน้อยอย่างไร

ทางเจ้าหน้าที่ของโครงการก็สมควรต้องตระหนักและหามาตรการที่เข้มงวดขึ้นในการควบคุมดูแลให้โอกาสที่ปลาจะหลุดรอดออกไปได้นั้น มีน้อยที่สุดหรือไม่มีเลยให้ได้เช่นกันนะครับ

ผมก็คงต้องเรียนไปตามข้อเท็จจริงเช่นนี้นะครับ

‘ลิซ่า’ ขึ้นแท่น House Ambassador ของ Louis Vuitton สมมงแฟชันไอคอน หยิบจับอะไรก็เป็นเสน่ห์ไปหมด

(23 ก.ค. 67) จากเพจเฟซบุ๊ก ‘กรุงเทพธุรกิจ’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า..

“#LouisVuitton แต่งตั้ง #LISA เป็น #HouseAmbassador อย่างเป็นทางการ

ขึ้นแท่นเฮาส์แอมบาสเดอร์คนใหม่อย่างเป็นทางการสำหรับศิลปินสาวมากความสามารถชาวไทย ‘ลิซ่า’ หรือ ลลิษา มโนบาล ของแบรนด์หรูสัญชาติฝรั่งเศส ‘Louis Vuitton’ ที่อยู่ในเครือ LVMH หลังจากก่อนหน้านี้ลิซ่าก็โพสต์ภาพเธอคู่กับสินค้าจากแบรนด์ลงอินสตาแกรมส่วนตัวอยู่เป็นระยะ

ทางด้าน Nicolas Ghesquière อาร์ทิสติกไดเรกเตอร์แผนกคอลเลกชันสุภาพสตรีของ Louis Vuitton กล่าวในงานแถลงข่าวว่า รู้สึกตื่นเต้นมากที่จะได้ร่วมงานกับลิซ่าในฐานะที่เธอเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์ เพราะเธอมีจิตวิญญาณที่กล้าหาญและมีเสน่ห์อย่างน่าเหลือเชื่อ

‘เธอมีความกล้าหาญและสร้างสรรค์ในด้านดนตรีพอ ๆ กับแฟชันของเธอ จึงถือว่าเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้ร่วมเดินทางไปกับเธอในการเดินทางครั้งนี้’ Nicolas Ghesquière กล่าว”

‘พี่จอง-คัลแลน’ เที่ยวเกาะปันหยี ซื้อเปลือกหอยมุกอันละ 500 บาท ชาวเน็ตเมนต์แรง!! ร้านขายของแพงเกิน - เอาเปรียบนักท่องเที่ยว

(23 ก.ค. 67) โซเชียลคอมเมนต์สนั่น เมื่อยูทูบเบอร์หนุ่มเกาหลีหัวใจไทย คัลแลนและพี่จอง จากช่องยูทูบ ‘คัลแลน Cullen Hateberry’ ไปเที่ยวทริปเกาะปันหยี อำเภอเมือง จังหวัดพังงา

โดยในระหว่างเลือกซื้อของฝากเครื่องประดับและเปลือกหอยมุก ก็เกิดประเด็นดรามาร้านค้าขายของแพง สร้อยข้อมือ 300 บาท เปลือกหอยมุก 500 บาท รวมราคาแล้ว 800 บาท และเมื่อขอลดราคา เจ้าของร้านบอกว่า แถมไป 1 อัน รวมเป็น 1,000 บาท

หลังจากได้ดูวิดีโอนี้ ก็เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่าการขายของที่ระลึกในราคานี้ มันแพงเกินเหตุไปหรือไม่?

นอกจากนี้ ชาวเน็ตก็มีการมาแชร์ประสบการณ์ต่าง ๆ ที่เคยไปเที่ยวเกาะแห่งนี้ และเจอประสบการณ์ที่ไม่ดีกันเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะเรื่องราคาอาหารและสินค้า หลายเสียงพูดตรงกันว่า “ของแพงมากจริง ๆ”

โดยชาวเน็ตรายหนึ่ง ได้แสดงความคิดเห็นว่า “เราพยายามมองข้าม ราคาสินค้า ค่าเรือ และพฤติกรรม ที่ไม่ค่อยน่ารักของแม่ค้าที่นี่ แอบสงสารนักท่องเที่ยวต่างชาตินะ ดูเอาเปรียบพวกเขาเกินไป แต่ EP นี้คัลแลนกับพี่จองน่ารักตลกและสนุกมาก ๆ ยิ่งตอนเล่นกับเด็ก ๆ เราขำและรู้สึกชอบที่สุด อยากฝากถึงพ่อค้าแม่ค้าบนเกาะนะคะ นักท่องเที่ยวต่างชาติเขาตั้งใจไปเที่ยว อย่าไปเอาเปรียบเค้ามากนักเลย เดี๋ยวเวลาไม่มีนักท่องเที่ยวไปพวกคุณจะแย่เอานะ เอาแต่พอดี ๆ เถอะ

‘พาณิชย์’ เผย!! เริ่มจ่ายเงิน ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ ภายใน ต.ค.นี้ ยัน!! ร้านค้าเข้าร่วมพร้อม แง้ม!! ‘เซเว่น อีเลฟเว่น’ ก็เข้าข่าย

(23 ก.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ณ ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีกระทรวงพาณิชย์ได้สรุปสินค้าที่อยู่ในโครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่าน digital wallet แล้วหรือไม่ ว่า อยู่ในกระบวนการทำงาน ตอนนี้คืบหน้าไปเยอะแล้ว รวมถึงเรื่องร้านค้าก็คืบหน้าไปมาก ทั้งสินค้าต้องห้ามและสินค้าที่ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการได้ ก็พิจารณามาเยอะแล้ว

ทั้งนี้ หลังจากวันที่ 24 ก.ค.67 จะมีการชี้แจงรายละเอียดต่าง ๆ ความคืบหน้าอย่างชัดเจน คาดว่าไม่เกิน 1 สัปดาห์ ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ ไม่อยากพูดหลายเรื่องมารวมกัน เพราะมันเป็นเรื่องของรายละเอียด โดยในวันที่ 24 ก.ค.จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประชาชนทั้งหมดว่าจะต้องทำอย่างไรและมีเงื่อนไขอย่างไร สำหรับคนมีสมาร์ตโฟนและไม่มีสมาร์ตโฟนต้องทำอย่างไร

เมื่อถามว่าคิดว่าจะมีร้านค้าตอบรับการลงทะเบียนมากน้อยแค่ไหน นายภูมิธรรม กล่าวว่า ตอนนี้ก็มีเยอะแล้ว สมาคมค้าปลีกก็ 500,000 กว่าร้านค้า ร้านธงฟ้า 146,000 ร้าน และร้านอาหารธงฟ้า 5,000 ร้าน ตอนนี้ก็ทยอยติดต่อมา ซึ่งบางส่วนได้มีการจัดการรายละเอียดแล้ว โดยมีการแยกกันทำงาน ส่วนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) หาบ เร่ แผงลอย ถ้าจำตัวเลขไม่ผิดจะอยู่ที่ประมาณ 500,000 ร้าน ร้านค้าเหล่านี้ได้มีการยื่นมาแล้ว และคิดว่าในวันที่ 24 ก.ค. เมื่อมีการชี้แจงเสร็จสิ้นในส่วนนี้ก็จะดำเนินการต่อ เข้าใจว่าภายในเดือนต.ค.2567 จะเริ่มจ่ายเงินให้เรียบร้อยไปตามกระบวนการ

เมื่อถามต่อว่าส่วนเรื่องของหมวดสินค้ามีความคืบหน้าไปเกือบ 80% แล้วหรือยัง นายภูมิธรรม กล่าวว่า คืบหน้าไปเยอะมาก ซึ่งคิดว่าหลังการประชุมคณะกรรมการโครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่าน digital wallet ที่ตึกภักดีบดินทร์ทำเนียบรัฐบาล และมีการแถลงหลักการก็จะชัดเจน ก่อนจะทยอยแถลงรายละเอียดอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งในเดือน ต.ค.ก็จะเรียบร้อย

เมื่อถามย้ำว่าส่วนของร้านค้าร้านเล็ก ๆ อย่างเช่น ร้านหมูปิ้งจะลงทะเบียนได้ที่ไหน นายภูมิธรรมกล่าวว่า ในวันที่ 24 ก.ค.นี้ ส่วนต่าง ๆ จะแถลงตามขั้นตอน ซึ่งเราจะได้เห็นและได้เข้าใจหมด โดยจะมีคอลเซนเตอร์ให้สอบถามด้วย

เมื่อถามอีกว่าร้านค้าเซเว่นสามารถเข้าร่วมโครงการได้หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า เข้าใจว่าได้

‘ปชป.’ ถ่อมตัวผลสำรวจไลน์ทูเดย์โหวต ‘เฉลิมชัย’ ครองใจประชาชนอันดับ 3 รองจาก ‘เศรษฐา-พิธา’ ‘อลงกรณ์’ เผย 5 ตัวแปรดันหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ตีตื้นขึ้นท็อปทรี

นายอลงกรณ์ พลบุตร รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคประชาธิปัตย์เปิดเผยวันนี้ว่า ผลโหวตสำรวจคะแนนนิยมทางการเมืองของนักการเมืองในปัจจุบันของไลน์ ทูเดย์(Line Today)ประจำเดือนกรกฎาคมยกให้นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ติดอันดับที่ 3 รองจากนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ถือเป็นสัญญาณบวกสำหรับพรรคประชาธิปัตย์หลังจากเปลี่ยนหัวหน้าพรรคและคณะกรรมการบริหารชุดใหม่ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์บอกว่าผลสำรวจมีขึ้นมีลง วันนี้ขึ้นพรุ่งนี้ลงเป็นธรรมชาติของการเมืองที่มีความไม่แน่นอน มีแต่ทำงานหนักเพื่อประชาชนอย่างต่อเนื่องต่อไปเท่านั้นจึงจะได้รับโอกาสจากประชาชน นายอลงกรณ์ให้เหตุผล 5 ประการที่เป็นปัจจัยสำคัญทำให้ประชาชนโหวตให้นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้แก่

1.ภาวะผู้นำและวิสัยทัศน์ของหัวหน้าพรรค มุ่งปรับพรรคให้ทันสมัยทันโลก มองอนาคตก้าวข้ามอดีตและการเมืองแบบเก่า
2.การทำงานในฐานะฝ่ายค้านทั้งในและนอกสภาอย่างเข้มแข็ง
3.การสื่อสารการเมืองแบบดิจิตอล คอมมิวนิเคชั่นโดยศูนย์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการสื่อสารที่ตั้งขึ้นใหม่รับผิดชอบโดย ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคและอดีตอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
4.การขับเคลื่อนพรรคอย่างมียุทธศาสตร์และกลยุทธ์โดยคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคกำหนดวิสัยทัศน์ จุดยืน ทิศทางและแนวนโยบายใหม่มีหัวหน้าพรรคเป็นประธานด้วยตัวเอง
5.การเปิดพรรคกว้างสร้างเครือข่ายและเปิดรับคนรุ่นใหม่

ในส่วนพรรคประชาธิปัตย์ได้โพสต์ข้อความขอบคุณในเฟสบุ๊คและทุกดิจิตอลแพลตฟอร์มของพรรคดังนี้ “พรรคขอขอบคุณที่ได้โหวตให้กับหัวหน้าพรรค คนของพรรคประชาธิปัตย์ จากผลโพลดังกล่าวจะเป็นกำลังใจให้พวกเราได้ทำหน้าที่เพื่อประเทศและพี่น้องประชาชนอย่างเต็มความสามารถต่อไป”
สำหรับLine Today ได้เปิดเผยผลโหวตสำรวจคะแนนนิยมทางการเมืองของนักการเมืองในปัจจุบัน ประจำเดือนกรกฎาคมซึ่งเปิดโหวตตั้งแต่วันที่ 1-20 ก.ค.2567 ที่ผ่านมา ในห้วข้อ “คุณคิดว่าใครมีบทบาท ผลงานโดดเด่น หรือถูกใจคุณที่สุด” ปรากฏผลการสำรวจ 10 อันดับแรก 10 อันดับแรก ดังนี้ อันดับ 1 ได้แก่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ด้วยคะแนน 8,742 คะแนน หรือคิดเป็น 40.13% อันดับที่2 คือ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่ได้คะแนน 7,427 คะแนน คิดเป็น 34.09% อันดับ ที่ 3 คือ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ที่ได้มา 1,966 คะแนน หรือ 9.02% และอันดับ 4 คือ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ได้ 565 คะแนน คิดเป็น 2.59% อันดับที่ 5 ได้แก่ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน มีคะแนน 479 คะแนน คิดเป็น 2.2%

อันดับที่ 6 นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ได้ 471 คะแนน คิดเป็น 2.16 % อันดับที่ 7 ได้แก่ น.ส.จิราพร สินธุไพร ได้ 204 คะแนน คิดเป็น 0.94% อันดับที่ 8 ได้แก่ นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ได้ 191 คะแนน คิดเป็น 0.88 % อันดับที่ 9 ได้แก่ นายชวน หลีกภัย ได้ 190 คะแนน คิดเป็น 0.87 % อันดับที่ 10 ได้แก่ นายรังสิมันต์ โรม ได้ 182 คะแนน คิดเป็น 0.84% 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมกับ 17 หน่วยงานทางการศึกษา ทำ MOU การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมทางเทคโนโลยี มุ่งเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมทางเทคโนโลยีขั้นสูง เพิ่มขีดความสามารถและพัฒนาศักยภาพบุคลากร เพื่อประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติ

วันนี้ (23 กรกฎาคม 2567) เวลา 10.00 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้การต้อนรับผู้แทนหน่วยงานทางการศึกษา 17 หน่วยงาน ในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เรื่องการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมทางเทคโนโลยี ณ ห้องประชุมแจ้งยอดสุข ศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรและสวัสดิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมี พล.ต.ท.ศิริพงษ์ ติมุลา ผู้บัญชาการ สำนักงานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ , พล.ต.ท.อาคม ไตรพยัคฆ์ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนรองผู้บัญชาการ สำนักงานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้แทนหน่วยงานทางการศึกษาทั้ง 17 หน่วยงาน ร่วมพิธี ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย , มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ , มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ , มหาวิทยาลัยมหิดล , มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ , มหาวิทยาลัยบูรพา , มหาวิทยาลัยนเรศวร , มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ , สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง , มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี , มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ , มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย , มหาวิทยาลัยรังสิต , มหาวิทยาลัยกรุงเทพ , สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย , สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแหงชาติ และสมาคมปญญาประดิษฐ์ประเทศไทย ร่วมพิธี

การลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เรื่องการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมทางเทคโนโลยี ระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยสำนักงานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ร่วมกับหน่วยงานทางการศึกษา 17 หน่วยงาน เพื่อเป็นศูนย์กลางในการคิดค้น แลกเปลี่ยน นวัตกรรมทางเทคโนโลยีขั้นสูง อาทิ ระบบอัตโนมัติ (Automation) เทคโนโลยีหุ่นยนต์ (Robotics) ระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) รวมถึงการถ่ายทอดองค์ความรู้ทางด้านนวัตกรรมทางเทคโนโลยีให้แก่สมาชิก เพิ่มจำนวนคุณภาพบุคลากรวิจัยและนวัตกรรม , เพื่อผลิตและพัฒนาศักยภาพของบุคลากรวิจัยและนวัตกรรมของประเทศที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ให้เพียงพอทั้งภาคการผลิต บริการ สังคม และชุมชน เพื่อสนับสนุนการใช้ประโยชน์ของเครื่องมือและการจัดการทรัพยากรร่วมกันระหว่างสมาชิกทุกฝ่าย สร้างความเชื่อมโยง ประสานงานกับหน่วยงานหรือเครือข่ายที่มีลักษณะคล้ายกันทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งเพื่อรวบรวม จัดทำฐานข้อมูลนักวิจัยด้านนวัตกรรมทางเทคโนโลยีระหว่างสมาชิก

ผบ.ตร. กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีภารกิจสำคัญยิ่ง คือการปกป้อง เทิดทูน และพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ความสงบเรียบร้อย ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน รวมถึงการดูแลรับผิดชอบด้านการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งปัจจุบันสถิติการก่ออาชญากรรมด้านเทคโนโลยีมีแนวโน้มสูงขึ้น สร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเป็นจำนวนมาก สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ตระหนักถึงความสำคัญเกี่ยวกับการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมทางเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการคิดค้น แลกเปลี่ยน และพัฒนาศักยภาพของบุคลากรด้านการวิจัยและนวัตกรรมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการเชื่อมโยงกับหน่วยงานหรือเครือข่ายที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันทั้งในและต่างประเทศ ให้สอดคล้องกับนโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการนำเทคโนโลยีมาสนับสนุนการปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด อันจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชน และประเทศชาติต่อไป

ทั้งนี้ ภายในงานบริเวณห้องประชุมแจ้งยอดสุข หน่วยงานต่างๆ ได้มาออกบูทจัดแสดงผลงานทางด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีด้วย โดยในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีหน่วยงานที่มาจัดแสดง ได้แก่ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ,สำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจ ,ศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 1 , โรงพยาบาลตำรวจ และโรงเรียนนายร้อยตำรวจ นอกจากนี้ ยังมีบูทจัดแสดงผลงานของ 17 สถาบันการศึกษา และในส่วนภาคเอกชนที่มาร่วมจัดแสดง ได้แก่ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (AIS) , บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) (NT) , บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จํากัด (HUAWEI) , บริษัท ดิจิตอล ไดอาล็อก จำกัด (Digital Dialogue) , บริษัท ไอที กรีน จำกัด (มหาชน) (IT Green) และบริษัท ซัมซุง (ประเทศไทย) จำกัด (SAMSUNG)

‘เชอรีน’ แจ้งความ 'อดีตสามี' ทำร้ายร่างกาย ลั่น!! ไม่หยุดคุกคาม 'ดำเนินคดีตามกฎหมาย'

(23 ก.ค. 67) หลังจากที่อดีตนักแสดงสาว เชอรีน ณัฐจารี หรเวชกุล พร้อมทนายแก้ว มนต์ชัย จงไกรรัตนกุล ได้เข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจและให้ปากคำเรียบร้อยแล้ว ทั้งคู่ได้ออกมาเปิดใจอีกครั้ง ถึงข้อหาที่แจ้งดำเนินคดีอดีตสามี บอส อัศม์กรณ์ สิงห์สีกรกุล ที่ สน.ทองหล่อ 

โดย ทนายแก้ว เผยว่า “หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ฟังเรื่องจากผมและคุณเชอรีนแล้ว ทางตำรวจขอนำเรื่องไปปรับดูรายละเอียดก่อน เพราะวันนี้มีเจ้าหน้าที่ นักสังคมสงเคราะห์มาฟังด้วย มีนัดครั้งต่อไป เป็นตามที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจออกหมายเรียกซึ่งเป็นการนัดมาไกล่เกลี่ยก่อน เพราะเป็นไปตามพรบ.การไกล่เกลี่ยความรุนแรงภายในครอบครัว เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้ง 3 ข้อหา ได้แก่ มาตรา 295 ทำร้ายร่างกาย ได้รับอันตรายทั้งกายและใจ, ความผิดความรุนแรงในครอบครัว และการข่มขู่คุกคามทำให้ปราศจากเสรีภาพ สำหรับแชทตำรวจขอไปไล่เอารายละเอียดทั้งหมดมาเพิ่ม นัดหมายว่าจะมีการส่งพยานหลักฐานเพิ่มเติม”

>> หลังจากนี้ถ้าเกิดทางอดีตสามีต้องการไกล่เกลี่ยพร้อมไหม? 
เชอรีน – “อยากไกล่เกลี่ยค่ะ เพราะอยากให้เรื่องมันจบ เป็นห่วงลูก ไม่อยากให้มีข่าวกระทบกระทั่งกันรุนแรง สุดท้ายแล้วเราก็อยากให้จบลงด้วยดี เป็นพ่อและแม่ที่ดีของลูกดีกว่า”

>> สำหรับเรื่องความปลอดภัยของเรา ทางตำรวจว่าอย่างไรบ้าง? 
ทนายแก้ว – “ตำรวจบอกว่ามาตรการของเรื่องการที่จะมาข่มขู่คุกคาม ตำรวจจะเรียกเขาเข้ามาซักถาม และมากำหนดนโยบายว่าจะใช้ชีวิตอยู่อย่างไร นักสังคมสงเคราะห์เขาบอกว่าขอไปดูรายละเอียดก่อน”

>> ส่วนตัวตอนนี้ใช้ชีวิตอย่างหวาดระแวงไหม? 
เชอรีน – “ถ้าต้องกลับคอนโดฯ ที่เกิดเรื่องคิดว่าไม่น่าจะกลับไป ขออยู่บ้านให้เคลียร์เรื่องเรียบร้อยก่อน ถ้าเขาติดต่อมาให้ทนายคุย สำหรับข้อตกลงในการเลี้ยงลูก มีข้อตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงลูก ค่าเทอมเขาเป็นคนดำเนินการ ส่วนค่าใช้จ่ายภายในบ้านเชอเป็นคนดูแล”

>> เราอยากไกล่เกลี่ยมากกว่าเป็นคดีในศาล? 
ทนายแก้ว – “เรื่องคดีก็มีการดำเนินไป ในส่วนของการไกล่เกลี่ยควบคู่กันไปได้ เป็นเรื่องที่ตำรวจบอกว่าให้ลองไกล่เกลี่ยกันก่อน ส่วนเรื่องคดีทางตำรวจก็ต้องดำเนินการต่อไปอยู่แล้ว”

>> ถ้าเขาไม่หยุดคุกคาม? 
เชอรีน – “ดำเนินตามกฎหมาย”

>> ทางครอบครัวฝ่ายชายมียื่นมือมาเป็นคนกลางไหม? 
เชอรีน – “มีบ้าง แต่ไม่สามารถหยุดเขาได้ เลยมาถึงจุดนี้ คือเขาค่อยมาคุย เจรจาให้เรื่องเบาลง แต่การกระทำของเขาทำให้เรารู้สึกไม่ปลอดภัยแล้ว เราขอร้องแล้ว พูดดี ๆ แล้ว อยากให้เรื่องจบ ต่างคนต่างมีชีวิตที่ดี ถ้ามีความสุขเราก็จะเป็นพ่อแม่ที่ดีให้กับลูกได้”

ทนายแก้ว – “วันนี้มาแจ้งความเพื่อให้ตำรวจมาดำเนินการแทนไม่ว่าจะเป็นการสอบสวนว่าเขารู้ข้อมูลเราได้อย่างไร เขาส่งคนมาติดตามหรือเปล่า ส่วนเรื่องการทำร้ายร่างกาย ต้องเอาเอกสารต่าง ๆ เพื่อส่งฟ้องดำเนินคดี ส่วนเรื่องการไกล่เกลี่ยก็เป็นอีกหนึ่งขั้นตอนที่คุยกันก็ไม่เสียหาย แต่คดีก็ต้องเดินหน้าไปเหมือนเดิมครับ”

ห้างใหญ่เซี่ยงไฮ้ ‘กระตุ้นชอปปิง-ท่องเที่ยว’ ชาวต่างชาติ แค่แสดงหนังสือเดินทาง รับคูปองส่วนลด 5,500 บาท

(23 ก.ค.67) ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในนครเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งของจีน ได้แจกบัตรของขวัญให้แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติไว้ใช้จับจ่ายซื้อของเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว

โดย สถานีโทรทัศน์ซีซีทีวีของทางการจีนรายงานว่า ห้างสรรพสินค้าใหญ่บนถนน อีสต์ นานจิง แหล่งท่องเที่ยวสำคัญในนครเซี่ยงไฮ้ แจกบัตรของขวัญให้แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ เพียงแค่แสดงหนังสือเดินทาง ก็จะได้รับคูปองที่ไม่มีเงื่อนไขมูลค่า 8 หยวน หรือประมาณ 40 บาท และคูปองส่วนลดอีก 2 ใบ มูลค่า 1,100 หยงน หรือประมาณ 5,500 บาท ไว้ใช้จับจ่ายซื้อของเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว ขณะที่บรรดานักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ต่างพอใจกับมาตรการแจกคูปองดังกล่าว เพราะจะช่วยให้พวกเขาตัดสินใจซื้อสินค้าและกิจกรรมต่าง ๆ ขณะท่องเที่ยวในเซี่ยงไฮ้ได้ง่ายขึ้น

ซึ่งมาตรการแจกบัตรของขวัญให้แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติดังกล่าว เป็นหนึ่งในกิจกรรมหลากหลายเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติของนครเซี่ยงไฮ้ หลังจากจีนประกาศใช้นโยบายวีซ่าฟรี แก่นักท่องเที่ยวจาก 15 ประเทศทั่วโลก คาดว่าการให้ส่วนลดในการช้อปปิ้ง จะทำให้นักท่องเที่ยวใช้จ่ายและบริโภคมากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมจูงใจอื่น ๆ เช่น การทำให้ผู้ถือบัตรเครดิตธนาคารต่างประเทศสามารถชำระเงินได้ง่ายมากยิ่งขึ้น

ขณะที่ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ นักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยือนนครเซี่ยงไฮ้แล้วมากกว่า 2 ล้านคน คิดเป็น 2.8 เท่าจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ส่วนในช่วงครึ่งปีแรก มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาจีนกว่า 14 ล้านคนเพิ่มจากเมื่อปีที่แล้วกว่า 150% ในจำนวนนี้ มากกว่า 8 ล้านคนเข้าประเทศด้วยนโยบายวีซ่าฟรี

เอกลักษณ์แห่งรัชสมัย ตราพระราชลัญจกรประจำรัชกาล ความหมายนัยแห่งองค์พระประมุข

‘ตราพระราชลัญจกร’ คือตราประจำพระองค์ของพระมหากษัตริย์แต่ละรัชกาล ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเมื่อเริ่มต้นรัชกาลในแต่ละรัชกาล เพื่อทรงใช้ประทับกำกับพระปรมาภิไธยในเอกสารสำคัญที่เกี่ยวกับราชการแผ่นดิน เช่น รัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ พระราชกำหนด พระราชกฤษฎีกา นอกจากนี้ยังรวมไปถึงเอกสารสำคัญส่วนพระองค์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานราชการแผ่นดิน 

พระราชลัญจกรประจำรัชกาลปรากฏหลักฐานว่ามีใช้มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งพระราชลัญจกรนี้ประกอบด้วยพระเอกลักษณ์อันเป็นนัยของแต่ละพระองค์ เป็นสัญลักษณ์อันแสดงถึงความเป็นพระประมุขของชาติ พระอิสริยยศ พระบรมเดชานุภาพ โดยผมได้เรียบเรียงมานำเสนอ เพื่อร่วมเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาที่ทรงเจริญพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ ก.ค. ๒๕๖๗ ไล่เรียงจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ มาจนถึงรัชกาลปัจจุบัน ดังนี้…

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ รัชกาลที่ ๑

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ รัชกาลที่ ๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นรูปปทุมอุณาโลมมีลักษณะเป็นม้วนกลม คล้ายลักษณะความหมายของพระปรมาภิไธยว่า ‘ด้วง’ จึงได้ใช้อักขระ ‘อุ’ เป็นมงคลแก่พระปรมาภิไธยอยู่กลางล้อมรอบด้วยกลีบบัว อันเป็นพฤกษชาติที่เป็นสิริมงคลในพุทธศาสนา โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นใช้ประทับในต้นเอกสารสําคัญทั้งทางราชการและส่วนพระองค์ ปรากฏมีใช้ประทับในเงินพดด้วงสําหรับซื้อขาย ชําระหนี้ ผลิตออกใช้คราวพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พ.ศ. ๒๓๒๘ 

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ รัชกาลที่ ๒

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ รัชกาลที่ ๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เป็นรูปครุฑยุตนาค เป็นพระราชสัญลักษณ์ของพระปรมาภิไธยว่า ‘ฉิม’ ตามความหมายของวรรณคดีไทย คือพญาครุฑในเทพนิยาย เทวะกำเนิดเป็นเทพองค์หนึ่งที่ทรงมหิทธานุภาพยิ่งแต่ยอมเป็นเทพพาหนะสำหรับพระนารายณ์ ปกติสถิตอยู่ ณ วิมานฉิมพลี ดังนั้นจึงทรงพระกรุณาให้ใช้รูปครุฑยุตนาคเป็นสัญลักษณ์ประจำพระองค์แทนพระปรมาภิไธย พระราชลัญจกรนี้พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อใช้ประทับในต้นเอกสารสำคัญทั้งทางราชการและส่วนพระองค์ นอกจากนั้นยังปรากฏมีใช้ประทับในเงินพดด้วงสำหรับซื้อขาย ชำระหนี้ เช่นเดียวกับในครั้งสมัยรัชกาลที่ ๑

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ รัชกาลที่ ๓

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ รัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นรูปปราสาท เป็นพระราชสัญลักษณ์ของพระบรมนามาภิไธยว่า ‘ทับ’ หมายความว่า ที่อยู่หรือเรือน ดังนั้น จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้สร้างรูปปราสาท เป็นพระราชสัญลักษณ์ประจำพระองค์ แทนพระปรมาภิไธย ทรงใช้ประทับในต้นเอกสารสําคัญทั้งทางราชการและส่วนพระองค์ และมีปรากฏใช้ประทับในเงินพดด้วงสําหรับซื้อขาย ชําระหนี้ เช่นเดียวกัน 

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ รัชกาลที่ ๔

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ รัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีลักษณะเป็นรูปกลมรี ลายกลางพระราชลัญจกรเป็นรูป ‘พระมหาพิชัยมงกุฎ’ เป็นพระราชสัญลักษณ์ของพระบรมนามาภิไธยว่า ‘มงกุฎ’ ซึ่งเป็นศิราภรณ์สำคัญของพระมหากษัตริย์ อยู่ในเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ มีฉัตรบริวารตั้งขนาบข้างที่ขอบทั้งสองข้าง มีพานทองสองชั้นวางพระแว่นสุริยกานต์หรือเพชรข้างหนึ่ง วางสมุดตำราข้างหนึ่ง พระแว่นสุริยกานต์หรือเพชรมาจากฉายา ที่ทรงผนวชว่า ‘วชิรญาณ’ ส่วนสมุดตำรามาจากเหตุที่ได้ทรงศึกษาเชี่ยวชาญในทางอักษรศาสตร์และดาราศาสตร์ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นใช้ประทับกํากับพระปรมาภิไธยในต้นเอกสารสําคัญทั้งทางราชการและส่วนพระองค์ ปรากฏในเงินพดด้วงและเงินเหรียญกษาปณ์ นอกจากนี้ยังอัญเชิญพระราชลัญจกรไปสลักหรือปั้นนูนเพื่อประดิษฐานที่หน้าบันพระอุโบสถพระอารามหลวงที่พระองค์ทรงสร้างหรือทรงปฏิสังขรณ์ 

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ รัชกาลที่ ๕ 

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ รัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีลักษณะเป็นรูปกลมรี กลางพระราชลัญจกรมีพระราชสัญลักษณ์สำคัญคือ ‘พระเกี้ยว’ คือพระจุลมงกุฎเปล่งรัศมี ประดิษฐานบนพานแว่นฟ้าเป็นสัญลักษณ์ของพระปรมาภิไธย ‘จุฬาลงกรณ์’ ซึ่งแปลความหมายว่า ‘ศิราภรณ์ชนิดหนึ่งอย่างมงกุฎ’ มีฉัตรบริวารตั้งขนาบข้าง ที่ริมขอบทั้งสองข้างมีพานแว่นฟ้าวางพระแว่นสุริยกานต์ ข้างหนึ่งวางสมุดตำราข้างหนึ่ง พระแว่นสุริยกานต์และสมุดตำรานั้นเป็นการเจริญรอยจำลองพระราชลัญจกรประจำพระองค์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งเป็นสมเด็จพระชนกนาถ ในหลวงรัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นสําหรับใช้ประทับกํากับพระปรมาภิไธยในต้นเอกสารสําคัญส่วนพระองค์ ซึ่ง ‘ไม่เกี่ยวด้วยราชการแผ่นดิน’ เช่น ใช้ประทับกํากับพระปรมาภิไธยในประกาศนียบัตรเหรียญรัตนาภรณ์ของพระองค์ ใช้ประทับในเงินพดด้วงและเหรียญกษาปณ์ ใช้เป็นตราหน้าหมวกทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์และประดิษฐานที่หน้าบันพระอุโบสถพระอารามหลวงที่ได้ทรงสร้างและทรงปฏิสังขรณ์

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ รัชกาลที่ ๖

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ รัชกาลที่ ๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีลักษณะเป็นรูปกลมรี ประกอบด้วย ‘วชิราวุธ’ มีรัศมีเป็นสัญลักษณ์ของพระปรมาภิไธยว่า ‘วชิราวุธ’ ซึ่งหมายความถึง ‘ศัตราวุธของพระอินทร์’ เรียกว่าพระราชกัญจกรพระวชิระประดิษฐานบนพานแว่นฟ้า ตั้งอยู่เหนือตั่ง มีฉัตรกลีบบัวบริวาร ๒ ข้าง ในหลวงรัชกาลที่ ๖ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นสําหรับใช้ประทับกํากับพระปรมาภิไธยในต้นเอกสารสําคัญส่วนพระองค์ซึ่งไม่เกี่ยวด้วยราชการแผ่นดิน และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นเครื่องหมายราชอิสริยาภรณ์รัตนวราภรณ์ ทั้งยังใช้ประทับกํากับพระปรมาภิไธยในประกาศนียบัตรเครื่องราชอิสริยาภรณ์รัตนวราภรณ์ ตราวชิรมาลา เหรียญรัตนาภรณ์ของพระองค์ ทรงให้ใช้ปักบนธงเครื่องหมายประจํากองเสือป่า ปักผ้าทิพย์หน้ามุขเด็จพลับพลาที่ประทับในงานพระราชพิธีต่าง ๆ ทั้งยังเชิญไปประดิษฐานที่หน้าบันโรงเรียนวชิราวุธ อีกด้วย

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ รัชกาลที่ ๗

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ รัชกาลที่ ๗ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว มีลักษณะเป็นรูปกลมรีเรียกว่า ‘พระราชลัญจกรพระแสงศร’ รูปพาดพระแสงศร ๓ องค์ คือ พระแสงศรพรหมาสตร์ พระแสงศรอัคนีวาต พระแสงศรประลัยวาต พระแสงศร ๓ องค์นี้เป็นสัญลักษณ์ของพระปรมาภิไธยว่า ‘ประชาธิปกศักดิเดชน์’ ซึ่งมาจากความหมายของศัพท์วรรคสุดท้ายที่ว่า ‘เดชน์’ แปลว่า ‘ลูกศร’ ส่วนเบื้องบนมีรูปพระแสงจักรและพระแสงตรีศูลอยู่ภายใต้พระมหาพิชัยมงกุฎ มีบังแทรกตั้งอยู่ ๒ ข้าง กับมีลายกนกแทรกอยู่ระหว่างพื้น พระราชลัญจกรนี้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น สําหรับใช้ประทับกํากับพระปรมาภิไธยในต้นเอกสารสําคัญส่วนพระองค์ซึ่งไม่เกี่ยวด้วยราชการแผ่นดิน

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ รัชกาลที่ ๘ 

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ รัชกาลที่ ๘ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล มีลักษณะเป็นรูปกลมโดยมีรูปพระโพธิสัตว์ประทับบนบัลลังก์ดอกบัว ห้อยพระบาทขวาเหนือบัวบาน หมายถึง ‘แผ่นดิน’ พระหัตถ์ซ้ายถือดอกบัวตูมและมีเรือนแก้วด้านหลังแทนรัศมี มีแท่นรองรับตั้งฉัตรบริวาร ๒ ข้างเป็นพระราชสัญลักษณ์ของพระบรมนามาภิไธยว่า ‘อานันทมหิดล’ ซึ่งแปลความหมายว่า ‘เป็นที่ยินดีของแผ่นดิน’ พระองค์ขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย โดยความยินดีของประชาชนชาวไทย เปรียบประหนึ่งพระองค์เป็น ‘พระโพธิสัตว์’ เสด็จฯ มาประทานความร่มเย็นเป็นสุขแก่ทวยราษฎร์ทั้งมวล พระราชลัญจกรนี้พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นสําหรับใช้ประทับกํากับพระปรมาภิไธยในต้นเอกสารสําคัญส่วนพระองค์ซึ่งไม่เกี่ยวด้วยราชการแผ่นดิน

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ รัชกาลที่ ๙

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ รัชกาลที่ ๙ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มีลักษณะเป็นรูปกลมรีแนวตั้ง ประกอบด้วยรูป ‘พระที่นั่งอัฐทิศ’ ประกอบด้วยวงจักร ตรงกลางจักรมีอักขระเป็น ‘อุ’ หรือ ‘เลข ๙’ รอบวงจักรมีรัศมีเปล่งโดยรอบ เหนือจักรเป็นรูปเศวตฉัตรเจ็ดชั้น ฉัตรตั้งอยู่บนพระที่นั่ง อัฐทิศ แปลความหมายว่า ทรงมีพระบรมเดชานุภาพในแผ่นดิน โดยมีวันพระบรมราชาภิเษกตามโบราณราชประเพณี ได้เสด็จประทับเหนือพระที่นั่ง อัฐทิศ สมาชิกรัฐสภาถวายน้ำอภิเษกจากทิศทั้งแปด นับเป็นครั้งแรกที่พระมหากษัตริย์ทรงรับน้ำอภิเษกจากสมาชิกรัฐสภาแทนที่จะทรงรับจากราชบัณฑิต ซึ่งแตกต่างจากรัชกาลก่อน ๆ 
.
พระราชลัญจกรนี้พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นสําหรับใช้ประทับกํากับพระปรมาภิไธยในต้นเอกสารสําคัญส่วนพระองค์ ซึ่งไม่เกี่ยวด้วยราชการแผ่นดิน นอกจากนี้ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานตรานี้แก่สถาบันอุดมศึกษากลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏ พร้อมพระราชทานนาม ‘ราชภัฏ’ แก่ มหาวิทยาลัยราชภัฏ ซึ่งหมายถึง ‘คนของพระราชา’ และ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ใช้เป็นตราประจำมหาวิทยาลัยแต่ละแห่งในเครือ ทั้งยังมีพระบรมราชานุญาตให้ใช้เป็นภาพประธานในตราสัญลักษณ์งานพระราชพิธีสำคัญต่าง ๆ ในรัชกาลของพระองค์ ได้แก่ พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก งานฉลองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี และงานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐ อีกด้วย

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ รัชกาลที่ ๑๐

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ รัชกาลที่ ๑๐ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบันแห่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ มีลักษณะเป็นรูปกลมรี โดยประกอบด้วย ‘พระวชิระ’ คือ เทพศาสตราของพระอินทร์ นอกจากนี้ยังแปลว่า ‘สายฟ้าและเพชร’ นอกจากนั้นยังมีแบบตามพระราชนิยมในรัชสมัยล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ โดยด้านบนของพระวชิระมี ‘พระเกี้ยว’ ซึ่งเป็นแบบตามพระราชนิยมในรัชสมัยพระพุทธเจ้าหลวงแทนคำว่า ‘อลงกรณ์’ ซึ่งแปลว่า ‘เครื่องประดับ’ เป็นพระราชสัญลักษณ์ของพระบรมนามาภิไธย ‘มหาวชิราลงกรณ’ เปล่งรัศมีเป็นสายฟ้า ประดิษฐานอยู่บนพานแว่นฟ้า พร้อมด้วยฉัตรบริวารอยู่ทั้ง ๒ ข้าง 

พระราชลัญจกรนอกจากเนื้อหาตามที่กล่าวไว้ข้างต้นแล้วนั้นยังเป็นเครื่องมงคลที่แสดงถึงพระราชอิสริยยศอีกด้วย ดังที่ปรากฏอยู่ในหมวดพระราชสิริซึ่งประกอบด้วย พระสุพรรณบัตร ดวงพระราชสมภพและ พระราชลัญจกรประจำแผ่นดิน ซึ่งจะต้องเชิญขึ้นทูลเกล้า ฯ ถวายในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พร้อมกับเครื่องมงคลอื่น ๆ ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของพระราชลัญจกรประจำรัชกาลต่าง ๆ ในมหาจักรีบรมราชวงศ์


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top