Saturday, 24 May 2025
TheStatesTimes

'โพลมะกัน' ชี้!! 'แฮร์ริส' ยังเป็นรอง 'ทรัมป์' อยู่หลายขุม เพราะถูกมองเป็นเพียงภาพเงาสะท้อนไบเดน-ไร้บารมี

ข่าวใหญ่ที่สุดของวันนี้ หนีไม่พ้นการยอมสละตำแหน่งตัวแทนพรรคเดโมแครต ในการชิงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ 2024 ของ 'โจ ไบเดน' และขอส่งไม้ต่อให้กับ 'กมลา แฮร์ริส' รองประธานาธิบดีคู่หูของเขา ขึ้นไปแข่งขันกับ 'โดนัลด์ ทรัมป์' แทน  

ถึงจะเป็นข่าวดังทั่วโลก แต่ไม่ได้สร้างความประหลาดใจเท่าใดนัก หากได้ติดตามข่าวการเดินสายหาเสียง และปฏิบัติภารกิจในฐานะผู้นำสหรัฐฯ ของไบเดน ในปีที่ผ่านมาก็สามารถจับสัญญาณถึงความร่วงโรยสังขารของผู้นำวัย 81 ปีได้ และจากผลงานการดีเบตระหว่างเขา และ โดนัลด์ ทรัมป์ ล่าสุดที่ผ่านมา เป็นการตอกตะปูย้ำอย่างชัดเจนเป็นประจักษ์ว่า ไบเดนควรถอยให้คนรุ่นใหม่จะดีกว่า

โดย โจ ไบเดน ประกาศสนับสนุน กมลา แฮร์ริส ให้ขึ้นมาทำหน้าที่ตัวแทนพรรคเดโมแครตแทนที่เขาอย่างสุดกำลัง เพื่อหวังที่จะดึงคะแนนเสียงทั้งกลุ่มสตรี กลุ่มคนผิวสี กลุ่มชาวเอเชีย หรือแม้แต่กลุ่มผู้สนับสนุนไบเดนเดิม ด้วยการชูประเด็นที่จะสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ด้วยการเลือกประธานาธิบดีหญิงคนแรก และ ประธานาธิบดีผิวสีคนที่ 2 ให้กับสหรัฐฯ

แม้จะได้รับการสนับสนุนจากประธานาธิบดีในตำแหน่งคนปัจจุบัน แต่ กมลา แฮร์ริส ก็ยังไม่ถือว่าเป็นตัวแทนพรรคอย่างเป็นทางการ จนกว่าจะมีการลงมติโดยผู้แทนในการประชุมใหญ่ของพรรคเดโมแครตในเดือนสิงหาคมที่จะถึงนี้เสียก่อน ที่ไม่รู้ว่าจะพลิกโผหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ ในวันนี้คือ โพลมาแล้ว 

โดยสำนักโพล Decision Desk HQ (DDHQ) ร่วมกับสำนักข่าวสายการเมือง The Hill ได้สำรวจกลุ่มตัวอย่างชาวอเมริกันผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทั่วประเทศ ว่าระหว่าง กมลา แฮร์ริส และ โดนัลด์ ทรัมป์ ใครนำ? ใครตาม? อย่างไร?

จากผลโพลจาก DDHQ ชี้ว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ยังนำ กมลา แฮร์ริส ในสัดส่วน 47% ต่อ 45%  ซึ่งแทบไม่ต่างจากผลโพลล่าสุดระหว่างทรัมป์ และ ไบเดน เลย ที่ทรัมป์ ยังนำ ไบเดน ด้วยคะแนน 46% ต่อ 43.5%

นี่เป็นคะแนนสูงสุดที่ กมลา แฮร์ริส ทำได้ในเวลานี้ ที่ยังไม่ประกาศว่าใครจะมาเป็นคู่หูของเธอในศึกเลือกตั้งครั้งนี้ แต่จากผลสำรวจล่าสุดพบว่า ถ้า โรเบิร์ต เคนเนดี จูเนียร์ กระโดดเข้าร่วมการแข่งขันอีกคนในฐานะผู้สมัครอิสระ จะยิ่งฉุดคะแนนของ กมลา แฮริส และทรัมป์ มีโอกาสนำผู้สมัครของเดโมแครตสูงถึง 6% เลยทีเดียว 

ส่วนโพลด้านคะแนนความนิยมส่วนตัวของกมลา แฮร์ริส ก็ดูยังน่าเป็นห่วง 

จากโพลสำรวจกว่า 102 สำนักพบว่าแฮร์ริสมีคะแนนความนิยมอยู่ที่  37.7% แต่คะแนนความไม่นิยมในตัวเธอกลับสูงกว่าเกือบเท่าตัวที่ 55.5% 

สก็อต แทรนเตอร์ ผู้อำนวยการสำนักโพล DDHQ กล่าวว่า ความนิยมในตัวแฮร์ริสนั้นเป็นเพียงภาพเงาสะท้อนตัวตนของไบเดน ซึ่งไม่เป็นผลดีกับเธอเท่าไหร่ เพราะ โจ ไบเดน ออกจากสนามแข่งด้วยภาพลักษณ์ที่ไม่ค่อยดีนัก และ กมลา แฮร์ริส ก็ยังไม่มีบารมีเทียบเท่าไบเดน ซึ่งสิ่งที่ผู้ลงคะแนนเสียงอยากจะเห็นคือ เธอมีอะไรสดใหม่มานำเสนอให้กับชาวอเมริกันบ้าง

แต่ก็มีผลสำรวจของบางสำนักที่สนับสนุน กมลา แฮร์ริส ด้วยเช่นกัน อาทิ โพลของ Economist/YouGov ที่ชี้ว่า 8 ใน 10 ของชาวเดโมแครตสนับสนุน แฮร์ริส และมีโอกาสที่จะเอาชนะทรัมป์ได้ ในขณะที่โพลจากสำนักข่าว CBS และ CNN เผยว่า ทั้งไบเดน และ แฮริส ล้วนมีคะแนนตามหลังทรัมป์ แต่ แฮร์ริส มีส่วนต่างของคะแนนที่ตามหลังทรัมป์น้อยกว่าไบเดน และยังมีโอกาสได้เงินสนับสนุนหาเสียงมากกว่าผู้สมัครคนอื่น ๆ ของพรรค 

แต่เมื่อมองมาที่ฟากฝั่งของพรรครีพับลิกัน ต่างมองว่าโดนัลด์ ทรัมป์ ยังมีภาษีเหนือกว่า กมลา แฮร์ริส อยู่มาก และสามารถเอาชนะได้ง่ายกว่าแข่งกับไบเดนเสียอีก  

จุดเสียเปรียบของแฮร์ริส คือ เธอต้องแข่งกับ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ไม่ใช่คนเดิมเมื่อ 4 หรือ 8 ปีก่อน แต่เป็นนักการเมืองที่ผ่านสนามรบมาอย่างหนักหน่วงทั้งนิติสงคราม และ การลอบสังหารอย่างจริงจังมาแล้ว

นอกจากนี้ เธอยังต้องต่อสู้กับค่านิยมการเหยียดเพศ เหยียดเชื้อชาติ และสีผิว ที่ยังฝังรากลึกในสังคมอเมริกัน ในขณะที่เธอมีเวลาเหลือเพียง 4 เดือนสำหรับแคมเปญหาเสียงที่ต้องปรับกลยุทธ์ใหม่ทั้งหมด 

ดังนั้น แฮร์ริส 2024 ไม่ใช่งานง่ายจริง ๆ 

เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์

‘คาราบาว’ ลั่น!! ไม่ยุบวง พร้อมผนึกกำลังใจให้ ‘นักกีฬาทีมชาติไทย’ ฮึดสู้ จัดคอนเสิร์ต ‘คาราบาว และผองเพื่อน รีเทิร์น’ ดันให้ไทยคว้าชัย ในกีฬาโอลิมปิก

(22 ก.ค.67) ทุกบทเพลงเพื่อชีวิตในตำนาน และเพลงฮิตของทัพศิลปิน บนเส้นทางมิตรภาพที่ยาวนานกว่า 4 ทศวรรษ ของผองเพื่อนศิลปินเพลงที่ยังรัก เชื่อมั่น ศรัทธา และจะไม่มีวันเปลี่ยนไป จะถูกกลับมาเล่าขานอีกครั้ง พร้อมผนึกกำลัง น้องพี่ศิลปินที่เป็นที่สุดของตำนานเพลงอย่าง หินเหล็กไฟ, เสือ ธนพล, พลพล พลกองเส็ง, คาราวาน, หมู พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ, ทอม ดันดี พร้อมระเบิดความมัน ณ ราชมังคลากีฬาสถาน ในวันที่ 3 สิงหาคมนี้

มหกรรมคอนเสิร์ต ‘เพื่อชีวิต – เพื่อคนกีฬา’ ทุกบทเพลงร่วมส่งกำลังใจ ให้นักกีฬาทีมชาติไทย โดยรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายจากคอนเสิร์ต ส่วนหนึ่งมอบให้การกีฬาแห่งประเทศไทย และสมาคมกีฬาคนพิการแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ 

ร่วมเป็นส่วนหนึ่งเพื่อสร้างปรากฏการณ์ที่น่าจดจำโดยการกีฬาแห่งประเทศไทย , สมาคมกีฬาคนพิการแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ , ผลิตภัณฑ์ เกร็กคู  และ บริษัท วิคทอรี่ เอท จำกัด

‘สสวท.’ ปลื้ม ‘6 หนุ่มเยาวชนไทย’ คว้ารางวัลใหญ่ ‘เหรียญ-เกียรติคุณประกาศ’ รายการแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ จากสหราชอาณาจักร

(22 ก.ค.67) รองศาสตราจารย์ ดร.ธีระเดช เจียรสุขสกุล ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) เปิดเผยว่า ตามที่ได้คัดเลือกและจัดส่งผู้แทนประเทศไทยไปแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ ประจำปี พ.ศ. 2567 ระหว่างวันที่ 11 - 22 กรกฎาคม 2567 ณ เมืองบาธ สหราชอาณาจักร ผลปรากฏว่านักเรียนไทยสามารถทำได้ 3 เหรียญเงิน 1 เหรียญทองแดง 2 เกียรติคุณประกาศ ดังนี้

๐ นายสิรภพ ขาวพลัด โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กรุงเทพฯ เหรียญเงิน
๐ นายกฤติธี นวลขาว โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กรุงเทพฯ เหรียญเงิน
๐ นายพัฒนแสง พินิจพิชิตกุล โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กรุงเทพฯ เหรียญเงิน
๐ นายเอกกวิน วิศิษฎ์เกียรติชัย โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กรุงเทพฯ เหรียญทองแดง
๐ นายเกียรติภูมิ สิเจริญ โรงเรียนเซนต์คาเบรียล กรุงเทพฯ เกียรติคุณประกาศ
๐ นายสิรวิทย เฮงสุวนิช โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กรุงเทพฯ เกียรติคุณประกาศ 

การแข่งขันครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมการแข่งขันจำนวน 609 คน จาก 108 ประเทศ โดยคณะอาจารย์ผู้ควบคุมทีมไทยประกอบด้วย ดร.นิธิ รุ่งธนาภิรมย์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หัวหน้าทีม ผศ.ดร.ธีระเดช กิตติภัสสร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รองหัวหน้าทีม ดร.สริตา บุญย์ศุภา บริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด ผู้ช่วยหัวหน้าทีม ผศ.ดร. ลี ศาสนพิทักษ์ มหาวิทยาลัยบูรพา ผู้ช่วยหัวหน้าทีม (ตัวแทนจากมูลนิธิ สอวน.) นายกฤษฏ์ บุญศิริเศรษฐ นักศึกษาปริญญาโท MIT ผู้ช่วยหัวหน้าทีม นายจเร ปานเมือง สสวท. ผู้จัดการทีม 

คณะผู้แทนคณิตศาสตร์โอลิมปิกจะเดินทางกลับถึงประเทศไทยวันอังคารที่ 23 กรกฎาคม 2567 เที่ยวบิน TG 917 เวลา 15.00 น. สสวท.จะมีพิธีแสดงความยินดีเวลา 16.00 น. ณ อาคารผู้โดยสารขาเข้า ชั้น 2 ด้านใน ประตู 1 สนามบินสุวรรณภูมิ 

ร่วมเป็นกำลังใจให้ผู้แทนประเทศไทยโอลิมปิกวิชาการที่เฟซบุ๊ก Olympic ipst

ผบ.ตร.สั่ง บช.น.ตรวจสอบที่มาของป้ายโฆษณารับทำหนังสือเดินทางและสัญชาติต่างๆ กำชับ สตม. ตรวจสอบ คัดกรองคนต่างด้าว หากพบการกระทำผิดใดให้ดำเนินการตามกฎหมายในทุกมิติ

(22 ก.ค.67) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า กรณีมีป้ายโฆษณาภาษาจีน ระบุเกี่ยวกับการรับทำหนังสือเดินทางและขอสัญชาติตามกฎหมายประเทศต่างๆ บริเวณสี่แยกห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร และมีการเผยแพร่ลงในโลกสื่อออนไลน์ มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากนั้น

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้สั่งการให้กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ตรวจสอบกรณีดังกล่าวโดยด่วน ถึงที่มาของป้ายโฆษณาดังกล่าว ผู้ใดเป็นเจ้าของ และมีความผิดตามกฎหมายในเรื่องใดบ้าง และติดตามผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายในทุกมิติโดยเร็ว โดยล่าสุดตรวจสอบพบว่าได้มีการปลดป้ายดังกล่าวลงมาแล้ว 

ตลอดจนกำชับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ให้ตรวจสอบคัดกรองคนต่างด้าวที่เข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรไทยให้เป็นไปตามกฎหมายคนเข้าเมือง รองรับและสอดคล้อง สร้างสมดุลด้านการท่องเที่ยวกับความมั่นคง

ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอเตือนว่า การเข้าเมืองจะต้องมีหลักเกณฑ์ เงื่อนไขหรือเอกสารถูกต้องตามกฎหมาย เป็นไปตามกฎหมายคนเข้าเมือง ซึ่งมีโทษทางอาญา ผู้กระทำความผิดไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือต่างชาติ ต้องได้รับโทษตามกฎหมายทุกกรณี

'พล.ต.ท.ประจวบ ฯ' ชื่นชมตำรวจ ภ.4 ที่สามารถจับกุมแก๊งตบทรัพย์ได้อย่างรวดเร็ว และชมเชยตำรวจทางหลวงที่เตือนประชาชนระวังแก๊งตบทรัพย์ พร้อมแนะ 5 วิธีป้องกันตนเอง

(22 ก.ค.67) พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร.) ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานขับเคลื่อนงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (คจร.ตร.) กล่าวว่า ปัจจุบันพบพฤติการณ์คนร้ายที่ขับรถเบียด จงใจให้รถถูกชนแล้วลงมากรรโชกขอเงิน ทุบกระจก ขู่ยิง เรียกเงิน โดยก่อเหตุมาแล้วหลายครั้งในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี ซึ่งกรณีดังกล่าวสร้างความเดือดร้อนและหวาดกลัวให้กับพี่น้องประชาชน จึงได้กำชับให้ตำรวจจราจร ตำรวจทางหลวง และสายตรวจทุกพื้นที่ดูแลป้องกันเหตุ หากมีเหตุเกิดขึ้นให้รีบติดตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีโดยเร็ว

ล่าสุดเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สภ.ศรีธาตุ , กก.สส.1 บก.สส.ภ.4 และ กก.สส.ภ.จว.อุดรธานี ได้ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดอุดรธานี ในข้อหา “กรรโชกทรัพย์และทำให้เสียทรัพย์” ซึ่งเป็นหนึ่งในแก๊งตบทรัพย์ที่ก่อเหตุในพื้นที่จังหวัดอุดรธานีตั้งแต่วันที่ 6 กรกฎาคม 2567 จากการสืบสวนพบว่าคนร้ายมักเลือกเหยื่อเป็นผู้สูงอายุ หรือผู้หญิงที่ขับรถตามลำพัง มักใช้ถนนสายรองที่มีการสัญจรน้อยหรือลักษณะเปลี่ยว โดยจะใช้รถ 2 คันในการก่อเหตุ ให้คันหน้าใช้ความเร็วต่ำ เมื่อเหยื่อพยายามแซง จะเร่งเครื่องจนเกิดการเฉี่ยวชน จากนั้นจะเรียกค่าเสียหาย หากเหยื่อไม่ให้จะทำลายทรัพย์สิน ข่มขู่ เพื่อให้เหยื่อเกิดความกลัว  นอกจากผู้ต้องหาที่จับกุมแล้ว ยังมีการออกหมายจับอีก 2 ราย และอยู่ระหว่างสืบสวนเพิ่มเติมอีก 1 ราย ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวนับแต่เกิดเหตุใช้เวลาเพียง 14 วัน นับว่ารวดเร็ว สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน เป็นที่น่าชื่นชม 

พร้อมกันนี้ พล.ต.ท.ประจวบ ฯ ชมเชยกองบังคับการตำรวจทางหลวงที่ออกมาแจ้งเตือนประชาชน ในการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้กรณีดังกล่าวผ่านเพจตำรวจทางหลวง โดยแนะนำประชาชนที่ต้องพบเจอกับเหตุกรรโชกทรัพย์จากแก๊งตบทรัพย์ ดังนี้

1. ตั้งสติและไม่ควรตอบโต้ทันที : เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ควรรักษาความสงบ ไม่ควรตอบโต้หรือเถียงกับผู้ที่อ้างว่าต้องการค่าเสียหายทันที
2. แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง : หากผู้เสียหายรู้สึกว่ามีสิ่งผิดปกติ หรือถูกบีบคั้นให้จ่ายเงิน ควรโทรแจ้งตำรวจเพื่อให้เข้ามาตรวจสอบสถานการณ์
3. ถ่ายรูปและบันทึกเหตุการณ์ : ใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายรูปและวิดีโอเหตุการณ์ รวมถึงการสนทนากับคู่กรณี เพื่อเก็บเป็นหลักฐานในการดำเนินคดีในภายหลัง
4. ตรวจสอบประกันภัย : หากมีประกันภัยรถยนต์ ควรติดต่อบริษัทประกันภัยเพื่อให้เข้ามาดำเนินการและจัดการกับค่าเสียหายตามขั้นตอนที่ถูกต้อง
5. ไม่ควรจ่ายเงินสดทันที : ควรปฏิเสธการจ่ายเงินสดทันที และควรใช้การโอนเพื่อทราบหมายเลขบัญชีของกลุ่มแก๊งดังกล่าว แต่ยังไม่โอนทุกกรณีจนกว่าจะมีเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบว่าไม่ใช่มิจฉาชีพ

ทั้งนี้ หากประชาชนได้รับความเสียหายหรือตกเป็นเหยื่อแก๊งมิจฉาชีพลักษณะดังกล่าว สามารถแจ้งขอความช่วยเหลือได้ที่สายด่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 191 และ 1599 หรือสายด่วนตำรวจทางหลวง 1193 สำหรับในกรุงเทพมหานคร แจ้งได้ที่สายด่วนกองบังคับการตำรวจจราจร 1197 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

‘เศรษฐา’ บุก!! สน.ห้วยขวาง สั่งตรวจสอบ ป้ายโฆษณา ‘ขายพาสปอร์ต’ กำชับ!! จับ ‘จีนเทา-หนี้นอกระบบ-ยาเสพติด’ หากทำผิด ต้องรีบดำเนินการ

(22 ก.ค.67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปที่ สน.ห้วยขวาง เพื่อติดตามกรณีการขึ้นป้ายโฆษณาที่ประกาศขายพาสปอร์ตและให้สัญชาติ เป็นภาษาจีน โดยติดอยู่บริเวณแยกห้วยขวาง ถนนรัชดาภิเษก จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมออนไลน์ และต่อมาได้มีการถอดป้ายดังกล่าวออกไปแล้ว

โดยนายกฯ ยังได้กำชับผกก.สน.ห้วยขวาง เรื่องทุนจีนสีเทา รวมไปถึงเรื่องปัญหายาเสพติดในพื้นที่ ก่อนที่นายกรัฐมนตรี จะออกเดินทางมาร่วมพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ พล.ต.ท.กิตติ์ชนม์ จันยะรมณ์ รองผกก.ป.สน.ท่าข้าม ที่วัดยางสุทธาราม แขวงบ้านช่างหล่อ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ 

ซึ่งก่อนที่นายกรัฐมนตรี จะได้เดินทางออกไปนั้น ก็ยังได้สั่งให้มีการตรวจสอบถึงที่มาที่ไปการขึ้นป้ายโฆษณาดังกล่าวและหากมีความผิดตามกฎหมาย ให้ดำเนินการตามกระบวนการ นอกจากนั้น ยังสั่งให้ทางเจ้าหน้าที่เข้มงวด ในพื้นที่ดังกล่าว เนื่องจากเขตห้วยขวางมีการเข้ามาลงทุนทำธุรกิจของชาวจีนจำนวนมาก จึงอยากให้มีการเข้มงวดตรวจสอบทุกอย่างต้องดำเนินการถูกต้องตามกฎหมาย ขณะเดียวกัน ก็ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้มงวดเรื่องของยาเสพติดและเรื่องหนี้นอกระบบในพื้นที่ ที่รับผิดชอบด้วย

‘วปอ.รุ่น 66’ เป็นเจ้าภาพ จัดงานสัมมนาใหญ่ ประสานความร่วมมือ 6 สถาบัน ‘วปอ.-TEPCoT-วตท.-บ.ย.ส.-ปปร.-พตส.’ สานพลังเพื่อแก้ปัญหาให้ประเทศ

(22 ก.ค.67) สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำของประเทศไทย ‘รวยกระจุก จนกระจาย’ ยังคงเป็นปัญหาสั่งสม หนักหน่วง รุนแรงเพิ่มขึ้น ถือเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาประเทศมาอย่างต่อเนื่องในทุกยุคทุกสมัย โดยเฉพาะช่วงหลังวิกฤติโควิด-19 ที่เศรษฐกิจเกิดการชะงักงันชะลอตัว กลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือคนระดับรากหญ้าต่อเนื่องมาถึงคนชั้นกลาง หนี้ภาคครัวเรือนของไทยขยับขึ้นสูงถึงกว่า 90% ของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ความยากจนยิ่งซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำให้ถ่างออกกว้างขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นความเหลื่อมล้ำในด้านเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา รายได้ สาธารณสุข การเมือง รวมไปถึงด้านความยุติธรรม

ปัญหาความเหลื่อมล้ำ จึงยังคงเป็นประเด็นท้าทายที่ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องร่วมมือกันออกนโยบายและหาทางแก้ปัญหาในการลดความเหลื่อมล้ำ เพื่อทำให้สังคมและเศรษฐกิจไทยพัฒนาได้อย่างยั่งยืน สอดคล้องกับเป้าหมายเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG) ขององค์การสหประชาชาติ ที่ต้องลดความเหลื่อมล้ำในหลายมิติ

โจทย์ใหญ่นี้ ยังได้ถูกโยนลงมากลางวงจาก นายกรัฐมนตรี ‘เศรษฐา ทวีสิน’ ในงานปาฐกถาพิเศษ ให้กับนักศึกษาหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) ที่ผู้เข้ารับการอบรมล้วนเป็นผู้นำระดับสูงจากองค์กรต่างๆ โดยขอให้ช่วยเหลือประเทศ ลดความไม่เสมอภาค และความเหลื่อมล้ำของสังคม ช่วยคนตัวเล็กให้ยืนอยู่ในสังคมได้

ทำให้โจทย์นี้ ได้ถูกนำมาขยายวงให้หลักสูตรผู้บริหารระดับสูงที่สำคัญอีก 5 หลักสูตร ได้ร่วมกันจัดทำรายงานการศึกษาปัญหาความเหลื่อมล้ำของไทยในด้านต่างๆ พร้อมข้อเสนอแนะแนวทางแก้ปัญหา

ประกอบด้วย หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ, หลักสูตรผู้บริหารระดับสูงด้านการค้าและการพาณิชย์ (TEPCoT) สถาบันวิทยาการการค้า มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย, หลักสูตรผู้บริหารระดับสูง สถาบันวิทยาการตลาดทุน (วตท.) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, หลักสูตรผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง (บ.ย.ส.) สถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการ ศาลยุติธรรม วิทยาลัยการยุติธรรม, หลักสูตรการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสำหรับนักบริหารระดับสูง (ปปร.) สถาบันพระปกเกล้า, หลักสูตรการพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้งระดับสูง (พตส.) สถาบันพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้ง สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง

ก่อนที่จะนำผลงานทางวิชาการของทั้ง 6 สถาบัน มาเผยแพร่แลกเปลี่ยน สัมมนาและต่อยอดความคิดเห็นระหว่างผู้เข้ารับการอบรมทั้ง 6 หลักสูตร ร่วมมือผนึกกำลังกัน เพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการ และให้เกิดพลังแห่งการพัฒนาประเทศชาติ และสังคมไทยอย่างยั่งยืน โดยปีนี้ สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ วปอ.รุ่น 66 เป็นเจ้าภาพในการสัมมนาร่วม 6 สถาบัน ในหัวข้อ ‘สานพลังลดความเหลื่อมล้ำนำไทยยั่งยืน’ หรือ The POWER Of SIX

ซึ่งในที่นี้ จะขอหยิบยกข้อสรุปรายงานการศึกษาเพื่อลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ มานำเสนอดังนี้คือ

‘ขับเคลื่อนสู่เป้าหมาย ลดความเหลื่อมล้ำ’ หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่น 66

นายวันฉัตร สุวรรณกิตติ
รองเลขาธิการ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

แม้ประเทศไทยมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมมาตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับแรก แต่ปัญหาความเหลื่อมล้ำในมิติต่าง ๆ ยังคงปรากฏอยู่ และส่งผลต่อการพัฒนาประเทศมาทุกยุคทุกสมัย

ผลการศึกษาของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) พบว่า เด็กจากครอบครัวที่มีฐานะดีที่สุด มีโอกาสศึกษาต่อมัธยมศึกษาตอนปลาย และปริญญาตรีสูงกว่าเด็กจากครอบครัวที่มีฐานะต่ำสุดหลายเท่า การเข้าถึงบริการสาธารณสุขยังเหลื่อมล้ำ โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล ส่วนโครงสร้างทางภาษี ที่ยังไม่สามารถกระจายรายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจรุนแรงขึ้น

และไม่มีทีท่าว่าความเหลื่อมล้ำจะหมดไป ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการเปรียบเทียบระหว่างคนกลุ่มต่าง ๆ ที่มีความแตกต่างกัน แนวทางการแก้ปัญหานี้ จึงไม่ใช่การทำให้คนทุกกลุ่มเท่ากัน แต่เป็นการดำเนินการบนหลักการของขั้นการพัฒนาคือ “อยู่รอด พอเพียง ยั่งยืน” บนหลักการของการมีส่วนร่วมของภาคีการพัฒนาต่าง ๆ

โดยหลักการของ “การอยู่รอด” คือ ทำให้คนไทยได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานที่พึงมี โดยมีมาตรฐานขั้นต่ำตามแต่ละบรรทัดฐาน เช่น จัดสวัสดิการสังคมให้ทุกคนเข้าถึงได้ “พอเพียง” คือ คนไทยทุกคนได้รับการพัฒนาศักยภาพจนพึ่งพาตนเองได้ หลุดพ้นกับดักความเหลื่อมล้ำ และ ‘ความยั่งยืน’ คือ ไทยมีระบบโครงสร้างที่ไม่สร้างความเหลื่อมล้ำในทุกมิติ และพัฒนาคนไทย สังคมไทยให้มีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลง ที่จะก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำ

คณะนักศึกษาหลักสูตร วปอ. รุ่นที่ 66 จึงนำเสนอแนวทางแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำผ่านการพัฒนาระบบสวัสดิการสังคม ที่ครอบคลุมทุกช่วงวัย การปรับปรุงระบบการศึกษาเพื่อให้เข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม การส่งเสริมการเข้าถึงบริการสาธารณสุข และการปรับปรุงนโยบายภาษี เพื่อให้กระจายรายได้ที่เป็นธรรม

โดย ‘การอยู่รอด’ นั้น จะพัฒนาแอปพลิเคชันการรับรู้สิทธิและการเข้าถึงสิทธิทั้งหมดที่บุคคลพึงมี เพื่อให้เข้าถึงบริการต่างๆ ของรัฐ โดยต่อยอดแอปฯที่มีอยู่คือ ThaiD รวมถึงช่วยสร้างโอกาสเข้าถึงทรัพยากรที่มีผลต่อการสร้างรายได้ ลดรายจ่าย เข้าถึงโอกาสทางการศึกษาและพัฒนาทักษะที่จำเป็นต่อการประกอบอาชีพ เพื่อตัดวงจรความยากจน หลุดพ้นกับดักความยากจนข้ามรุ่น และเป็นบันไดสู่การเลื่อนลำดับชั้นในสังคม

ส่วนการลดความเหลื่อมล้ำในขั้น 'พอเพียง' จะบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างๆ ในการให้บริการ และพัฒนากลุ่มเป้าหมายแบบ ‘พุ่งเป้า’ เช่น ปรับโครงสร้างจัดสรรงบประมาณภาครัฐ โดยให้ความสำคัญกับการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์มากขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพนโยบายการคลังเพื่อลดเหลื่อมล้ำ โดยปรับปรุงระบบจัดเก็บภาษีที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้จัดเก็บทั่วถึงและเป็นธรรม ผลักดันประชาชนทุกกลุ่มเข้าสู่ระบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

นอกจากนี้ ยังทบทวนแนวทางจัดสรรงบประมาณจังหวัดและกลุ่มจังหวัดให้ครอบคลุมองค์ประกอบด้านความเหลื่อมล้ำ เชื่อมโยงกับสภาพปัญหา และความต้องการของพื้นที่ โดยให้ความสำคัญกับสถานะทางเศรษฐกิจของประชาชน เช่น รายได้ครัวเรือน สัดส่วนคนจน จำนวนประชากรกลุ่ม

ส่วนขั้น ‘ยั่งยืน’ กลไกต่างๆต้องไม่เป็นอุปสรรคต่อการลดความเหลื่อมล้ำ เช่น กฎหมาย กฎระเบียบต่าง ๆ ต้องทบทวนให้เป็นไปตามบริบทของการพัฒนาและเอื้อต่อการลดความเหลื่อมล้ำ ใช้มาตรการทางการคลังลดความยากจนและสร้างความเท่าเทียม โดยภาครัฐต้องลงทุนอย่างเหมาะสม เพื่อยกระดับบริการสาธารณะให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งต้องบริหารจัดการงบประมาณอย่างพุ่งเป้า เพื่อให้แก้ปัญหาเหลื่อมล้ำได้อย่างตรงเป้าหมายมากขึ้น

‘แต่การดำเนินการเหล่านี้ จะต้องดำเนินการอย่างบูรณาการ และครอบคลุมทุกมิติของปัญหา เพื่อนำประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง’

'รมว.ปุ้ย' เยือน!! 'Eco R Japan' โรงงานรีไซเคิลรถยนต์ ศึกษากระบวนการเชิงลึก พาไทยสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน

'รมว.พิมพ์ภัทรา' ลุยภารกิจแดนปลาดิบ เยี่ยมชมโรงงานรีไซเคิลรถยนต์ 'Eco R Japan' เพื่อศึกษาการดำเนินมาตรการ ELV (End of Life Vehicle) ผลักดันไทยสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) พร้อมทั้งหารือร่วมกับองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) ในประเด็นความร่วมมือด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนและอุตสาหกรรมสีเขียว ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาประเทศไทยสู่ความยั่งยืน

(22 ก.ค.67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังเข้าเยี่ยมชมโรงงานรีไซเคิลรถยนต์ 'Eco R Japan' จังหวัดโทจิหงิ ภูมิภาคคันโตะ ประเทศญี่ปุ่น เพื่อศึกษาและสนับสนุนการดำเนินมาตรการ ELV (End of Life Vehicle) ว่า การศึกษาดูงานในครั้งนี้ เพื่อเป็นการผลักดันประเทศไทยสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) โดยมาตรการ ELV มุ่งเน้นลดปริมาณของเสียจากยานยนต์ การบำบัดซากยานยนต์อย่างถูกวิธี และการนำชิ้นส่วนวัสดุกลับมาใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร และสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการรีไซเคิลและการนำวัสดุกลับมาใช้ใหม่

ทั้งนี้ บริษัท Eco-R Japan เป็นผู้นำด้านรีไซเคิลรถยนต์เพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1959 ด้วยพันธกิจในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและสร้างสังคมรีไซเคิลที่ยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการนำทรัพยากรจากรถยนต์เก่ากลับมาใช้ประโยชน์ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด Eco-R ไม่เพียงแต่ให้ความสำคัญกับการรีไซเคิลและการนำกลับมาใช้ใหม่เท่านั้น แต่ยังมุ่งมั่นในการพัฒนาอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม และดูแลพนักงานให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนองค์กรและสังคม ไปสู่ความยั่งยืน

ต่อมาในช่วงบ่ายได้เดินทางไปยังสำนักงานใหญ่องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) เพื่อหารือร่วมกับ นายอิชิกุโระ โนริฮิโกะ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (Japan External Trade Organization: JETRO) และผู้บริหาร JETRO ในประเด็นความร่วมมือด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนและอุตสาหกรรมสีเขียว ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาประเทศไทยสู่ความยั่งยืน

รมว.พิมพ์ภัทรา กล่าวเพิ่มเติมว่า ประเทศไทยมุ่งมั่นผลักดันนโยบายเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (BCG Economy Model) โดยให้ความสำคัญกับการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า การนำวัสดุกลับมาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด และการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน นโยบาย BCG สอดคล้องกับเป้าหมายของประเทศในการผลักดันมาตรการ ELV ซึ่งจะสำเร็จได้ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน การศึกษาดูงานครั้งนี้ คณะผู้แทนจากกระทรวงอุตสาหกรรมมีโอกาสเยี่ยมชมโรงงานที่มีกระบวนการจัดการของเสียที่เป็นระบบและมีประสิทธิภาพ เช่น การจัดการซากรถยนต์ หลอดไฟ และแผงโซลาร์เซลล์ที่หมดอายุ รวมถึงมีโอกาสได้เยี่ยมชม Eco Town ของจังหวัดคิตะคิวชู ซึ่งเป็นต้นแบบของเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศด้วย

รมว.อุตสาหกรรม กล่าวอีกว่า ประเทศไทยประกาศเจตนารมณ์ในการแก้ไขปัญหาโลกร้อน โดยตั้งเป้าหมายสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี ค.ศ. 2050 และคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี ค.ศ. 2065 กระทรวงอุตสาหกรรมจึงวางนโยบายและมาตรการต่าง ๆ เพื่อขับเคลื่อนการใช้พลังงานทดแทนและพลังงานสะอาด สร้างอุตสาหกรรมสีเขียว และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย นอกจากนี้ รัฐบาลไทยยังมีมาตรการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในปัจจุบันและเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)

"การหารือครั้งนี้จะเป็นก้าวสำคัญในการกระชับความร่วมมือระหว่าง JETRO และกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อร่วมกันผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนและอุตสาหกรรมสีเขียวในภูมิภาค ยืนยันว่า กระทรวงอุตสาหกรรมจะให้การสนับสนุนภาคเอกชนในการดำเนินธุรกิจที่มุ่งสู่ความยั่งยืน และจะเดินหน้าผลักดันให้มาตรการต่าง ๆ เกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับประเทศไทย" รมว.พิมพ์ภัทรา กล่าว 

ด้านนางนิภา รุกขมธุ์ รองผู้ว่าการ กนอ. (สายงานยุทธศาสตร์) กล่าวเสริมว่า รัฐบาลมุ่งมั่นสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน โดยมอบหมายให้ กนอ. และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ร่วมกันพัฒนา นิคมอุตสาหกรรม Circular บนพื้นที่ 5,000 ไร่ในจังหวัดชลบุรี ซึ่งโครงการนี้มีเป้าหมายสำคัญในการสนับสนุนอุตสาหกรรมเป้าหมายS-Curve) โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมสำคัญในการดึงดูดนักลงทุน และส่งเสริมการจัดการซากแบตเตอรี่อย่างมีประสิทธิภาพผ่านการรีไซเคิลและนำกลับมาใช้ใหม่ โดยการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม Circular นี้ เป็นไปตามแนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและลดของเสีย ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติ

ปัจจุบันโครงการอยู่ในขั้นตอนการดำเนินงาน โดยมีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่าง กนอ. และ สกพอ. เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2567 และได้แต่งตั้งคณะทำงานขับเคลื่อนโครงการฯ เพื่อศึกษาความเป็นไปได้และความเหมาะสมในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม คาดว่านิคมอุตสาหกรรม Circular จะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนของประเทศไทย สร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ คณะทำงานขับเคลื่อนการพัฒนาโครงการนิคมอุตสาหกรรม Circular กำหนดนัดประชุมครั้งที่ 1 ในวันที่ 19 สิงหาคม 2567 เพื่อเร่งขับเคลื่อนงานด้าน Circular ร่วมกัน

‘เศรษฐา’ ย้ำ!! ต้องดูแลความปลอดภัย ให้เจ้าหน้าที่ ระบุ ‘รัฐบาล’ พร้อมสนับสนุน ทางด้านอุปกรณ์

(22 ก.ค.67) ที่วัดยางสุทธาราม พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วยผบ.ตร.เปิดเผยหลังการพูดคุยกับนายกรัฐมนตรี ว่า นายกได้เน้นย้ำ เรื่องความปลอดภัย เพราะเป็นห่วง การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งนายกฯ พร้อมสนับสนุนอุปกรณ์ที่ขาดเหลือพร้อมที่จะจัดสรรให้ รัฐบาลมีนโยบายที่จะมอบค่าตอบแทนสำหรับการจับกุมโดยเฉพาะเรื่องยาเสพติด โดยนายกฯได้เร่งรัดเรื่องนี้ให้ด้วย นอกจากนั้นได้เน้นย้ำยุทธวิธีในการเข้าควบคุมระงับเหตุ ต้องมีความปลอดภัยสูงสุด

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึง กรณีที่โลกโซเชียล เผยแพร่ภาพเสื้อเกราะที่ภายในเป็นไม้อัด ได้หารือกับนายกฯในเรื่องนี้หรือไม่ พลตำรวจโทสำราญกล่าวว่าประเด็นนี้ยังไม่ได้พูดคุยเนื่องจากเห็นผ่านจากโลกโซเชียลเท่านั้น

และเมื่อถามว่ากรณีที่กรรมาธิการตำรวจสภาผู้แทนราษฎรเตรียมเสนอกฎหมายการเข้าระงับเหตุหรือควบคุมสถานการณ์ ตำรวจได้พูดคุยกันเรื่องนี้หรือไม่ พล.ต.ท.สำราญ กล่าวว่า ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะสำเร็จหรือผิดพลาด จะถอดบทเรียนและนำไปอบรมผู้ใต้บังคับบัญชาที่ปฏิบัติหน้าที่

เมื่อถามว่าจะต้องแก้กฎระเบียบการปฏิบัติงานและการเผชิญเหตุหรือไม่ ผู้ช่วยผบ.ตร. กล่าวว่า การปฏิบัติงานทุกครั้งมีแผนรองรับ และทบทวนทุกครั้งไม่ว่าผลจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จก็ตาม

'อัครเดช-รวมไทยสร้างชาติ' หนุน 'อนุทิน' สั่งตรวจสอบป้ายจีน 'ขายพาสปอร์ต-สัญชาติ' ชี้!! แรงงานจีนผิดกฎหมายฯ ทะลัก หวั่น!! กระทบคนไทยในภาคอุตสาหกรรม

(22 ก.ค.67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานกรรมาธิการการอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยถึง กรณีป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ภาษาจีน มีข้อความเข้าข่ายโฆษณาขายพาสปอร์ต และ ขายสัญชาติโดยติดตั้งอยู่บริเวณแยกห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ

ตนในฐานะประธาน กมธ. อุตสาหกรรม ได้รับข้อร้องเรียนจากผู้ประกอบการอุตสาหกรรมจำนวนมาก ในขณะนี้มีผู้ประกอบการจากจีนมาตั้งกิจการในประเทศไทย มีการจ้างแรงงานผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก จากการโฆษณาขายพาสปอร์ต และ ขายสัญชาติประเทศ ภาษาจีนในย่านกลางเมืองเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่ามีขบวนการคนจีนในการทำผิดกฎหมายเรื่องคนต่างชาติที่จะเข้ามาอยู่ในประเทศไทยจริง โดยจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและที่สำคัญแรงงานผิดกฎหมายจากจีนจะยิ่งไหลเข้ามาในประเทศซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยและผู้ประกอบวิชาชีพรวมถึงแรงงานไทย

นายอัครเดช กล่าวต่อไปว่า ประเทศไทยได้เปิดฟรีวีซ่าไทย-จีน สำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดา จะมีระยะเวลาพำนักแต่ละครั้งไม่เกิน 30 วัน และรวมระยะเวลาไม่เกิน 90 วัน ภายในช่วงเวลา 180 วัน มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มีนาคม 2567 เป็นต้นมา ได้ส่งผลกระทบกับแรงงานไทยและผู้ประกอบการสัญชาติไทยเป็นอย่างมาก มีคนจีนเข้ามาแย่งงานจากคนไทย โดยเฉพาะในวิชาชีพต้องห้ามตามกฎหมายแรงงานที่เป็นข้อควรระวัง ต้องฝากไปยัง กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงแรงงาน ได้เร่งบูรณาการร่วมกัน เพื่อเป็นการเร่งแก้ไขปัญหานี้

"ผมในฐานะ ประธาน กมธ. การอุตสาหกรรม ขอสนับสนุน นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ที่ได้สั่งการตรวจสอบป้ายโฆษณาดังกล่าวโดยเร็ว และสั่งการให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อสอบสวนหาขบวนการในการซื้อขายสัญชาติและหนังสือเดินทางดังกล่าว เพื่อหามาตรการในการปราบปรามและป้องกันปัญหาดังกล่าวอย่างเร่งด่วน ถ้ารัฐบาลไม่รีบดำเนินการในตอนนี้เกรงว่าถ้าปล่อยไว้ในอนาคต ประเทศไทยจะเป็นแหล่งรวมขบวนอาชญากรรมข้ามชาติ และส่งผลกระทบกับคนไทยในหลายภาคส่วนอย่างแน่นอน" นายอัครเดช กล่าวทิ้งท้าย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top