Saturday, 24 May 2025
TheStatesTimes

‘นายกฯ’ ติดตามใกล้ชิด สถานการณ์ความรุนแรงในบังกลาเทศ แนะ!! ‘คนไทย’ ที่นั่น ติดตามข่าวสถานทูตและคำแนะนำต่อเนื่อง

(20 ก.ค. 67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านแอปพลิเคชัน X ถึงสถานการณ์ในประเทศบังกลาเทศ โดยระบุว่า…

“ผมรู้สึกกังวลใจอย่างยิ่งกับสถานการณ์ที่ทวีความรุนแรงขึ้นในบังกลาเทศ ซึ่งติดตามสถานการณ์ความตึงเครียดนี้อย่างใกล้ชิด และขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องใช้ความอดทนอดกลั้น เพื่อให้สถานการณ์คลี่คลายโดยสันติวิธี ขอแสดงความเสียใจกับทุกคนที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งขอให้พี่น้องคนไทยในพื้นที่ ติดตามประกาศต่าง ๆ และคำแนะนำของสถานทูตอย่างใกล้ชิด”

สำหรับคนไทยในบังกลาเทศ สามารถติดต่อเบอร์ Hotline สถานทูตฯ ธากา ได้ที่ 
(+880 17) 0964 0808 ตลอด 24 ชั่วโมง 

I am deeply concerned about the escalating situation in Bangladesh. I am closely monitoring the rising tension.  We call on all parties concerned to exercise restraint and come to a peaceful resolution. Our thoughts are with all those affected. Thai nationals in Dhaka are to stay alert and follow updates and guidance from the Thai Embassy closely.

For Thais in Bangladesh, please contact the Embassy's hotline at (+880 17) 0964 0808 for any assistance

อุทาหรณ์!! ‘สตรีมเมอร์ชาวจีน’ เสียชีวิตกลางไลฟ์สด หลังโชว์กินแบบ ‘ม็อกบัง’ ทำอาหารไม่ย่อย ช่องท้องผิดรูปรุนแรง

(20 ก.ค.67) รายงานข่าวระบุว่า รัฐบาลจีนเริ่มปราบปรามเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ที่เปิดช่องไลฟ์สดกินอาหารในปริมาณมากๆ มาตั้งแต่ปี 2020 เพื่อไม่ให้คนจีนติดนิสัยกินมากเกินไปและกินทิ้งกินขว้าง โดยผู้ฝ่าฝืนมีโทษปรับสูงสุดถึง 10,000 หยวน

อย่างไรก็ตาม การไลฟ์สดกินอาหารแบบ ‘ม็อกบัง’ ก็ยังคงเป็นที่นิยมอย่างสูงในจีน และยังมีสตรีมเมอร์เป็นพันๆ รายที่ยอมเอาสุขภาพตัวเองไปเสี่ยงกับการกินอาหารแบบยัดทะนานเพียงเพื่อเรียกยอดไลก์ยอดวิว

หนึ่งในนั้นคือ พาน เสี่ยวถิง (Pan Xiaoting 潘晓婷) อดีตพนักงานเสิร์ฟผู้ผันตัวเองมาเป็นม็อกบังเกอร์ระดับมืออาชีพ ก่อนที่เธอจะเสียชีวิตลงเมื่อต้นเดือนนี้ระหว่างกำลังไลฟ์สดกินอาหาร เนื่องจากร่างกายรับไม่ไหว

ผลการชันสูตรร่างของเธอพบว่า ภายในท้องมีอาหารที่ไม่ย่อยเป็นจำนวนมาก และช่องท้องของเธอ ‘ผิดรูป’ อย่างรุนแรง

พาน เคยทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟอาหาร แต่พอมาเห็นพวกสตรีมเมอร์ม็อกบังสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ แถมยังได้รับ ‘ของขวัญ’ จากบรรดาแฟนคลับเพียงแค่ไลฟ์สดตัวเองกินอาหารกองมหึมา เธอจึงตัดสินใจลองเข้าวงการนี้ดูบ้าง

ตอนแรก พาน แค่ไลฟ์สดเป็นงานอดิเรก แต่เมื่อยอดผู้ชมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เธอจึงตัดสินใจทำอาชีพสตรีมเมอร์จริงจัง เธอลาออกจากงานประจำ และมาเช่าบ้านอีกหลังทำเป็นสตูดิโอไลฟ์สดม็อกบัง เนื่องจากพ่อแม่ไม่เห็นด้วยและห่วงว่าสุขภาพของเธอจะแย่ลง

ยิ่งคนดูมากเท่าไหร่ พาน ก็ยิ่งละเลยสุขภาพร่างกายตัวเองมากเท่านั้น และพยายามสรรหา ‘ความท้าทายใหม่ ๆ’ ที่สุดโต่งมาดึงดูดผู้ชม และเมื่อพ่อแม่หรือผู้ชมบางคนแสดงความเป็นห่วงว่าการกินหนักขนาดนี้อาจทำให้เธอตายเร็ว แต่ พาน ก็จะตอบพวกเขาด้วยรอยยิ้มเสมอว่า “ไม่ต้องห่วง ฉันไหว”

โดยปกติ พาน เสี่ยวถิง ก็ไม่ใช่สาวรูปร่างผอมอยู่แล้ว และการผันตัวมาเป็นสตรีมเมอร์ม็อกบังก็ทำให้น้ำหนักของเธอเพิ่มขึ้นไปถึง 300 กิโลกรัม แต่เจ้าตัวก็ไม่กังวล และยังคงไลฟ์สดกินอาหารโชว์ผู้คนต่อไป

พาน เคยล้มป่วยเลือดออกในกระเพาะ (gastric bleeding) จากการกินมากเกินไป แต่หลังจากที่รักษาตัวจนหายดี สิ่งแรกที่เธอทำก็คือกลับมาเปิดกล้องไลฟ์สดกินอาหารอีก

ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ก่อนเสียชีวิต พาน เริ่มหันมาใช้วิธีสุดโต่งมากขึ้นเพื่อเรียกคนดู เช่น กินต่อเนื่องไม่หยุดอย่างน้อย 10 ชั่วโมงขึ้นไป และกินอาหารเกินกว่า 10 กิโลกรัมในการไลฟ์สดแต่ละครั้ง กระทั่งเมื่อวันที่ 14 ก.ค. ร่างกายของเธอทนรับไม่ไหว และหญิงสาวเสียชีวิตลงท่ามกลางความตกตะลึงของผู้คนที่กำลังชมไลฟ์สด

แม้สาเหตุการเสียชีวิตของ พาน จะไม่ถูกเปิดเผย แต่เว็บไซต์ข่าว Sohu อ้างผลชันสูตรที่พบว่าช่องท้องของเธอผิดรูป และในกระเพาะก็เต็มไปด้วยอาหารที่ไม่ย่อย

การเสียชีวิตของ พาน เสี่ยวถิง ถูกยกให้เป็นอุทาหรณ์เตือนใจสำหรับพวกสตรีมเมอร์ม็อกบังทั้งหลายที่กำลังทำลายสุขภาพตัวเองเพียงเพื่อเงิน และความสนใจจากชาวเน็ต

'ก้าวไกล' จอด!! 'ทักษิณ' คุมเกมใหญ่ 'ป้อม-เหลิม' จับมือดับจันทร์ส่องหล้า

นับถอยหลังสู่เดือน ส.ค.2567...อย่างที่เคยเกริ่นนำไว้ว่า จะเกิดไทม์ไลน์การเมืองที่จะเป็นจุดเดือด จุดหักเปลี่ยน...แบบได้เสีย...

1) กรณียุบพรรคก้าวไกล ศาลรัฐธรรมนูญรวบรวมพยานหลักฐานเอกสารคู่กรณี (กกต.-พรรคก้าวไกล) ยุติการไต่สวน นัดฟังคำวินิจฉัย 7 ส.ค.2567 พรรคก้าวไกลหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการได้ ศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ อดีตอธิการบดี มธ.มาเป็นพยานปากเอก ช่วยขยี้ประเด็นการดำเนินการขั้นตอนการยุบพรรค ตามมาตรา 92 และ 93 ของพ.ร.ป.พรรคการเมือง 2560 และระเบียบการดำเนินการการสอบสวน 2566 ของกกต. รวมทั้งประเด็นอื่น ๆ จะช่วยให้รอดจากการถูกยุบได้...

แต่แหล่งข่าวระดับสูงระดับลึกของ 'เล็ก เลียบด่วน' ยังฟันธงว่า 'รอดยาก' โอกาสที่กกต.จะแพ้ฟาวล์มีน้อย ดังนั้นไม่แปลกที่คอการเมืองเขามองไปที่หัวหน้าพรรคคนใหม่ รุ่นที่ 3 ของก้าวไกลแล้ว ว่าจะเป็นใครระหว่าง 'ไหม' ศิริกัญญา ตันสกุล กับ 'ดร.ต้น' วีระยุทธ กาญจนชูฉัตร เพื่อนของเอก ธนาธร...

2) กรณีถอดถอนเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี  คาดว่าช่วงกลางเดือนหรือปลายเดือนส.ค.ก็จะได้รู้กันว่า จะมีการเปลี่ยนนายกฯ หรือไม่...ราคาต่อรองบนโต๊ะกาแฟของหลายวงการตอนนี้อยู่ที่ 50/50   สำหรับ 'เล็ก เลียบด่วน' นาทีนี้ให้รอด/ไม่รอด ที่ 50.5 ต่อ 49.5

แต่ไม่ว่า 'เศรษฐา' จะรอดหรือไม่รอด หน้าการเมืองหลังการตัดสินคดีจะต้องเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่...ถ้ารอดก็จะปรับโฉมหน้าครม.ครั้งสำคัญ แต่หากหวยออกมาว่า 'ไม่รอด' ก็ต้องเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี  

เรื่องใหญ่ของประเทศ...หลายคนคาดว่า หวยนายกฯ คนใหม่ อาจจะไหลไปถึง น.หนู-อนุทิน ชาญวีรกูล แต่ 'เล็ก เลียบด่วน' ฟังพี่ ๆ น้อง ๆ ชาวเพื่อไทยมาล่าสุด เขาบอกว่า...นาทีนี้ พ่อ-ลูก ชินวัตร ตกผลึกแล้วที่จะให้คนชื่อ 'แพทองธาร ชินวัตร' หรือ 'อุ๊งอิ๊ง' นั่งนายกฯ เลย...

เว้นแต่มี 'ข้อมูลใหม่' เท่านั้น...ถึงจะไม่ขึ้น...

3) กรณีทักษิณ ชินวัตร ก็นับถอยหลังที่จะได้รับใบสุทธิหรือใบบริสุทธิ์จากการพ้นโทษ 22 ส.ค. (โดยไม่ต้องนอนคุกแม้แต่วันเดียว)...ก็ชัดเจนว่า หลังวันพ้นโทษ แม้ทักษิณจะมีคดีมาตรา 112 ผูกแข้งอยู่ แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคที่จะเป็นพยัคฆ์ติดเทอร์โบ...เป็นผู้ทรงอิทธิพลในการช่วยนายกฯ บัญชาการ...

เมื่อวันที่ 19 ก.ค. เห็นทักษิณควงครอบครัวอุ๊งอิ๊งและโอ๊ค พานทองแท้ไป Rancho Charnvee Resort and Country Club ของอนุทิน...เล่นกอล์ฟ กินข้าว ร้องเพลง โดยมีเสี่ยหนูมาร่วมวงด้วยแล้ว...ก็พอจะเห็นทิศทางการเมืองใหญ่ได้ระดับหนึ่ง ยังไง ๆ ระหว่างทักษิณกับอนุทินนั้นไม่ยากที่จะพูดคุย...ตกลงทางอำนาจในฉากหรือนาทีสำคัญ...!!

นั่นว่าด้วย 3 วาระสำคัญที่น่าจับตา...แต่เฉพาะหน้าเรื่องเล็ก ๆ แต่ไม่เล็กที่ต้องขีดเส้นใต้หมายเหตุไว้สักนิดคือ...กรณีพ่อลูกบ้านบางบอน 'ร.ต.อ.เฉลิม-วัน อยู่บำรุง'

วัน อยู่บำรุง หลั่งน้ำตาลาออกจากสมาชิกพรรคเพื่อไทยเรียบร้อยแล้ว ข่าวล่าสุดระบุว่าบ่ายหน้าไปซบตัก 'ลุงป้อม' พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ...บ้านป่ารอยต่อ ที่ถูกทักษิณเปลี่ยนชื่อเป็น 'บ้านในป่า'

แว่วว่าผู้พ่อ...เฉลิม อยู่บำรุง ก็ได้เปิดอกพูดคุยกับลุงป้อมเป็นที่เรียบร้อย...ด้วยความเข้าใจในฐานะที่ตอนนี้มีคู่กรณีเป็นคน ๆ เดียวกัน...ลุงป้อมนั้นถูกหาว่าเป็น 'บ้านในป่า' อยู่เบื้องหลัง 40 สว.ให้ยื่นถอดถอนนายกฯ ส่วนพ่อลูกอยู่บำรุงนั้น กรณี 'บิ๊กแจ๊ส' เป็นพิษ...

งานนี้ฟันธงได้ล่วงหน้า เมื่อบ้านในป่าจับมือกับบ้านบางบอน...รับรองบ้านจันทร์ส่องหล้าจะต้องหนาวยะเยือก หรือไม่ก็ร้อนด้วยไฟประลัยกัลป์...เพราะอ่านทางได้ไม่ยากว่า...แม้จะชราวัยไปบ้าง แต่เฉลิมนั้นยังเป็นฉลาม ได้กลิ่นเลือดเมื่อไหร่ ก็ต้องกระโจนใส่...ข้อมูลเก่า ๆ ที่ยังไม่ถูกเปิดมีอีกเป็นกะตั้ก...แว่วว่าจะถูกงัดมาใช้ในสงครามสั่งสอนรอบใหม่ เร็ว ๆ นี้...

'เล็ก เลียบด่วน' ฟังหนังตัวอย่างมาแล้ว...หนาวแทน!!

ผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน สั่งกำลังพล ตชด.ลงพื้นที่เร่งช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม พื้นที่ อ.เกษตรวิสัย จ.ร้อยเอ็ด 

วันนี้ (20 กรกฎาคม 2567) พล.ต.ท.ยงเกียรติ มนปราณีต ผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน (ผบช.ตชด.) สั่งการด่วนถึง ผบก.ตชด.ภาค 2 และ ผกก.ตชด.22-23 ให้จัดกำลังเข้าตรวจสอบและให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ หลังเกิดเหตุมวลน้ำเข้าท่วมพื้นที่ไร่นาของชาวบ้านในพื้นที่บ้านท่าม่วง ต.โพนสูง อ.ปทุมรัตน์ และบ้านดอนแคน ต.ฝาง อ.เกษตรวิสัย จ.ร้อยเอ็ด

ผบช.ตชด. กล่าวว่า ตามนโยบายของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กำชับให้ตำรวจใส่ใจดูแลบรรเทาทุกข์ของประชาชนให้ทันท่วงที จึงได้สั่งการตำรวจตระเวนชายแดนในพื้นที่ ระดมกำลังเข้าตรวจสอบและให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ดังกล่าวโดยเร่งด่วน พร้อมติดตามสภาพอากาศซึ่งได้มีการแจ้งเตือนร่องมรสุมกำลังแรงพัดผ่านภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และติดตามสถานการณ์ฝนตกหนักและน้ำท่วมฉับพลับ เพื่อเข้าให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนได้อย่างทันท่วงที

‘ราชกิจจานุเบกษา’ เผยแพร่พระบรมราชโองการ ประกาศโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ‘มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก-มหาวชิรมงกุฎ’ แก่ ‘นายกรัฐมนตรี’

เมื่อวานนี้ (20 ก.ค.67) ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ ประกาศ เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ความว่า ...

พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่ง ช้างเผือก ชั้น มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก และเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้น มหาวชิรมงกุฎ แก่ นายเศรษฐา ทวีสิน

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑๒ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗

ประกาศ ณ วันที่ ๒๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ เป็นปีที่ ๙ ในรัชกาลปัจจุบัน

‘รมว.ปุ้ย’ นำทีมเยือนญี่ปุ่น ศึกษาโมเดล ‘นิคมอุตสาหกรรม Circular’ เน้น!! นำระบบอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ มาปรับใช้ในไทย เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

(21 ก.ค.67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ในระหว่างวันที่ 21 – 27 กรกฎาคม 2567 มีภารกิจเดินทางไปเยือนประเทศญี่ปุ่น โดยนำคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมศึกษาดูงานการพัฒนาการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม Circular ซึ่งนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ร่วมกันจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม Circular เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) โดยเฉพาะรถยนต์ EV ตามมาตรการสนับสนุนของรัฐ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่สำคัญในการดึงดูดนักลงทุนเข้ามาตั้งฐานการผลิตและลงทุนในประเทศไทย โดยโครงการนิคมอุตสาหกรรม Circular จะตอบโจทย์ในโครงการศูนย์ธุรกิจอีอีซีและเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะ ภายใต้แนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

นอกจากนี้ คณะผู้แทนจากกระทรวงอุตสาหกรรม ยังมีกำหนดการหารือกับองค์การพัฒนาพลังงานใหม่และเทคโนโลยีอุตสาหกรรมประเทศญี่ปุ่น (NEDO) และองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และระดมความคิดไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) เศรษฐกิจหมุนเวียน และความเป็นกลางทางคาร์บอน นอกจากนี้ คณะผู้แทนยังจะได้เยี่ยมชมกระบวนการรีไซเคิลรถยนต์และการกำจัดของเสียในโรงงานของบริษัท Eco-R Japan และศึกษาเทคโนโลยีของบริษัท ไอเอชไอ คอร์ปอเรชั่น (IHI Corporation) รวมถึงการใช้แอมโมเนียแทนก๊าซธรรมชาติ ลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล พร้อมทั้งเยี่ยมชม กระบวนการรีไซเคิลหลอดฟลูออเรสเซนต์ของบริษัท J-Relights และกระบวนการรีไซเคิล แผงโซล่าเซลส์ บริษัท Shinryo Corporation ด้วย

อีกหนึ่งไฮไลท์ของการเยือนครั้งนี้ คือ การศึกษาดูงานเมืองเชิงนิเวศคิตะคิวชู (Kitakyushu Eco-Town) ซึ่งเป็นต้นแบบในการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศที่ประสบความสำเร็จและสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาพื้นที่อุตสาหกรรมในประเทศไทยได้ รวมทั้งหารือกับสำนักสิ่งแวดล้อมเทศบาลเมืองคิตะคิวชู เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการทรัพยากรแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ภายใต้ BCG Model

“การเดินทางเยือนญี่ปุ่นในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการกระชับความร่วมมือระหว่างไทยและญี่ปุ่น เพื่อการขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมไทยสู่ความยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งถือเป็นการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกที่ทุกประเทศมีเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน และมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน” นางสาวพิมพ์ภัทรา กล่าว

สำหรับการเยือนประเทศญี่ปุ่นครั้งนี้ คณะผู้บริหารของกระทรวงอุตสาหกรรม ประกอบด้วย นายดนัยณัฏฐ์ โชคอำนวย ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายภาสกร ชัยรัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นางวรวรรณ ชิตอรุณ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม นางนิภา รุกขมธุ์ รองผู้ว่าการ กนอ. สายงานยุทธศาสตร์ นางบุปผา กวินวศิน รองผู้ว่าการ กนอ. สายงานพัฒนาที่ยั่งยืน และคณะผู้บริหารกระทรวงฯ ที่เกี่ยวข้อง

ทั้งนี้ ประเทศญี่ปุ่นถือเป็นคู่ค้าสำคัญอันดับ 3 ของไทย ขณะที่ไทยเป็นอันดับ 6 ของญี่ปุ่น โดยเศรษฐกิจญี่ปุ่นไตรมาสแรกปี 2566 โตถึง 1.6% มีสินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปญี่ปุ่น ได้แก่ รถยนต์ เครื่องจักรกล เครื่องจักรไฟฟ้า สินค้าโภคภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ ในขณะที่ญี่ปุ่นนำเข้าสินค้าสำคัญ ได้แก่ น้ำมันเชื้อเพลิง เครื่องจักรไฟฟ้า เครื่องจักรกล เภสัชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นยังคงเป็นแหล่งลงทุนสำคัญของไทย โดยในปี 2565 มีโครงการลงทุนถึง 293 โครงการ คิดเป็นมูลค่ากว่า 50,000 ล้านบาท

‘ยามาฮ่าเอ็กซ์แม็กซ์’ จัดชุดแต่งครบทั้งคัน ‘คาร์บอนไฟเบอร์’  เพื่อตอบโจทย์ความต้องการ ผู้ที่ชอบแต่งรถ ในสไตล์ของตัวเอง

(21 ก.ค.67) ยามาฮ่าเอ็กซ์แม็กซ์ ส่งอุปกรณ์ตกแต่งของแท้จากยามาฮ่าจัดเต็มครบทั้งคันกับชุดแต่ง YAMAHA XMAX Connected ใหม่ กับ 3 ไอเทมคาร์บอนไฟเบอร์ของแท้คุณภาพเยี่ยม เพิ่มความหล่อแบบเต็มแม็กซ์ ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ที่ชื่นชอบการตกแต่งรถในสไตล์ของตัวเอง โดยราคาเริ่มต้นที่ 1,200 บาท ได้แก่ 

ชิ้นฝาครอบถังน้ำมันคาร์บอนไฟเบอร์ ราคา 1,200 บาท 

ชิ้นชิลหน้าเพียวคาร์บอนไฟเบอร์ทรงสปอร์ต งานดี น้ำหนักเบา คุณภาพอัดแน่น ในราคา 3,500 บาท 

ชิ้นครอบไฟท้ายคาร์บอนไฟเบอร์ หล่อเท่ดูสปอร์ตเต็มขั้น ราคา 2,600 บาท 

โดยยามาฮ่าคัดเกรดคาร์บอนไฟเบอร์ที่มีคุณภาพ กับงานเพียวคาร์บอนที่ผลิตจากช่างทำคาร์บอนไฟเบอร์ฝีมือดีอันดับต้นๆ ของประเทศ ที่ผลิตชิ้นงานได้อย่างประณีต และมีคุณภาพ พร้อมกับของแต่งแท้ต่างๆ ของ YAMAHA XMAX Connected มากกว่า 23 รายการ เอาใจสายการตกแต่งในสไตล์สปอร์ต และสไตล์ทัวร์ริ่ง 

สาวกเอ็กซ์แม็กซ์ สามารถเลือกชมสินค้าได้ทางออนไลน์ที่ https://bit.ly/Yamaha-XMAX-Accessories หรือที่ YAMAHA Premium Service ถ.ศรีนครินทร์ และโชว์รูมจำหน่ายรถจักรยานยนต์ยามาฮ่าทั่วประเทศ

‘นิด้าโพล’ เผยผลสำรวจ คนส่วนใหญ่ ไม่เคยตรวจสอบ ‘คำนำหน้าชื่อ’ แต่ให้เกียรติ ยกย่อง!! เป็นบุคคลพิเศษ ให้ความเคารพ เชื่อถือ 

(21 ก.ค.67) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น ‘นิด้าโพล’ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “คำนำหน้านามนั้น สำคัญไฉน” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 15-17 กรกฎาคม 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาคระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับการให้ความสำคัญกับคำนำหน้านาม การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ ‘นิด้าโพล’ สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0

จากการสำรวจเมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนถึงการให้ความสำคัญเมื่อเห็นชื่อบุคคลที่มีคำนำหน้านาม พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 30.15 ระบุว่า ค่อนข้างให้ความสำคัญ รองลงมา ร้อยละ 28.56 ระบุว่า ไม่ค่อยให้ความสำคัญ ร้อยละ 26.18 ระบุว่า ไม่ให้ความสำคัญเลย และร้อยละ 15.11 ระบุว่า ให้ความสำคัญมาก

สำหรับการให้เกียรติบุคคลที่มีคำนำหน้านามประเภทต่าง ๆ เมื่อพบเจอกัน พบว่า

ผู้มีคำนำหน้านามตามฐานันดรศักดิ์ เช่น หม่อมหลวง หม่อมราชวงศ์ เป็นต้น ตัวอย่าง ร้อยละ 43.28 ระบุว่า ให้เกียรติมาก รองลงมาร้อยละ 36.41 ระบุว่า ค่อนข้างให้เกียรติ ร้อยละ 12.14 ระบุว่า ไม่ค่อยให้เกียรติ ร้อยละ 4.27 ระบุว่า ไม่ให้เกียรติเลย และร้อยละ 3.90 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ

ผู้มีคำนำหน้านามตามวิชาชีพ เช่น นายแพทย์ แพทย์หญิง เป็นต้น ตัวอย่าง ร้อยละ 43.75 ระบุว่า ค่อนข้างให้เกียรติ รองลงมา ร้อยละ 43.05 ระบุว่า ให้เกียรติมาก ร้อยละ 9.01 ระบุว่า ไม่ค่อยให้เกียรติ ร้อยละ 3.66 ระบุว่า ไม่ให้เกียรติเลย และร้อยละ 0.53 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ

ผู้มีคำนำหน้านามตามตำแหน่งวิชาการ เช่น ศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ เป็นต้น ตัวอย่าง ร้อยละ 43.97 ระบุว่า ค่อนข้างให้เกียรติ รองลงมา ร้อยละ 35.27 ระบุว่า ให้เกียรติมาก ร้อยละ 12.37 ระบุว่า ไม่ค่อยให้เกียรติ ร้อยละ 6.10 ระบุว่า ไม่ให้เกียรติเลย และร้อยละ 2.29 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ

ผู้ที่มีคำนำหน้านามตามวุฒิการศึกษา เช่น ดอกเตอร์ เป็นต้น ตัวอย่าง ร้อยละ 41.76 ระบุว่า ค่อนข้างให้เกียรติ รองลงมา ร้อยละ 32.67 ระบุว่า ให้เกียรติมาก ร้อยละ 14.96 ระบุว่า ไม่ค่อยให้เกียรติ ร้อยละ 7.79 ระบุว่า ไม่ให้เกียรติเลย และร้อยละ 2.82 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ

ผู้มีคำนำหน้านามตามยศ เช่น พลเอก พลตำรวจเอก เป็นต้น ตัวอย่าง ร้อยละ 44.12 ระบุว่า ค่อนข้างให้เกียรติ รองลงมา ร้อยละ 29.47 ระบุว่า ให้เกียรติมาก ร้อยละ 17.25 ระบุว่า ไม่ค่อยให้เกียรติ ร้อยละ 7.63 ระบุว่า ไม่ให้เกียรติเลย และร้อยละ 1.53 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ

ผู้มีคำนำหน้านามสตรีที่ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เช่น คุณหญิง ท่านผู้หญิง เป็นต้น ตัวอย่าง ร้อยละ 39.01 ระบุว่า ค่อนข้างให้เกียรติ รองลงมา ร้อยละ 29.31 ระบุว่า ให้เกียรติมาก ร้อยละ 17.56 ระบุว่า ไม่ค่อยให้เกียรติ ร้อยละ 9.01 ระบุว่า ไม่ให้เกียรติเลย และร้อยละ 5.11 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ

สำหรับการตรวจสอบบุคคลที่มีคำนำหน้านาม พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 89.54 ระบุว่า ไม่เคยตรวจสอบใด ๆ เลย ขณะที่ ร้อยละ 10.46 ระบุว่า เคยตรวจสอบผู้มีคำนำหน้านาม เมื่อสอบถามตัวอย่างที่เคยตรวจสอบผู้ที่มีคำนำหน้านาม (จำนวน 137 หน่วยตัวอย่าง) เกี่ยวกับประเภทของคำนำหน้านามที่เคยตรวจสอบ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 49.64 ระบุว่า เคยตรวจสอบผู้มีคำนำหน้านามตามวุฒิการศึกษา รองลงมา ร้อยละ 46.72 ระบุว่า เคยตรวจสอบผู้มีคำนำหน้านามตามยศ ร้อยละ 40.88 ระบุว่า เคยตรวจสอบผู้มีคำนำหน้านามตามวิชาชีพ ร้อยละ 40.15 ระบุว่าเคยตรวจสอบผู้มีคำนำหน้านามตามตำแหน่งวิชาการ ร้อยละ 16.06 ระบุว่า เคยตรวจสอบผู้มีคำนำหน้านามตามฐานันดรศักดิ์ และร้อยละ 11.68 ระบุว่า เคยตรวจสอบผู้มีคำนำหน้านามสตรีที่ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์

ท้ายที่สุดเมื่อสอบถามความคิดเห็นของผู้ที่ระบุว่าเคยตรวจสอบผู้ที่มีคำนำหน้านาม (จำนวน 137 หน่วยตัวอย่าง) เกี่ยวกับผลการตรวจสอบบุคคลที่มีคำนำหน้านาม พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 48.91 ระบุว่า ไม่เคยเจอว่าเป็นการแอบอ้างใช้คำนำหน้านาม รองลงมาร้อยละ 32.85 ระบุว่า เคยเจอว่าเป็นการแอบอ้างใช้คำนำหน้านาม และร้อยละ 18.24 ระบุว่า ตรวจแล้วก็ยังไม่แน่ใจว่าเป็นการแอบอ้างใช้คำนำหน้านามหรือไม่

เมื่อพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 8.55 มีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพฯ ร้อยละ 18.63 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคกลาง ร้อยละ 17.86 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคเหนือ ร้อยละ 33.35 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 13.82 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคใต้ และร้อยละ 7.79 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออก ตัวอย่าง ร้อยละ 48.09 เป็นเพศชาย และร้อยละ 51.91 เป็นเพศหญิง

ตัวอย่าง ร้อยละ 12.37 อายุ 18-25 ปี ร้อยละ 17.94 อายุ 26-35 ปี ร้อยละ 18.24 อายุ 36-45 ปี ร้อยละ 26.64 อายุ 46-59 ปี และร้อยละ 24.81 อายุ 60 ปีขึ้นไป ตัวอย่าง ร้อยละ 95.50 นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 3.36 นับถือศาสนาอิสลาม และร้อยละ 1.14 นับถือศาสนาคริสต์ และศาสนาอื่น ๆ

ตัวอย่าง ร้อยละ 36.18 สถานภาพโสด ร้อยละ 62.14 สมรส และร้อยละ 1.68 หม้าย หย่าร้าง แยกกันอยู่ ตัวอย่าง ร้อยละ 13.97 จบการศึกษาประถมศึกษาหรือต่ำกว่า ร้อยละ 28.63 จบการศึกษามัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 8.09 จบการศึกษาอนุปริญญาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 39.77 จบการศึกษาปริญญาตรีหรือเทียบเท่า และร้อยละ 9.54 จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า

ตัวอย่าง ร้อยละ 13.66 ประกอบอาชีพข้าราชการ/ลูกจ้าง/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 19.54 ประกอบอาชีพพนักงานเอกชน ร้อยละ 22.52 ประกอบอาชีพเจ้าของธุรกิจ/อาชีพอิสระ ร้อยละ 8.24 ประกอบอาชีพเกษตรกร/ประมง ร้อยละ 10.85 ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป/ผู้ใช้แรงงาน ร้อยละ 20.61 เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงาน และร้อยละ 4.58 เป็นนักเรียน/นักศึกษา

ตัวอย่าง ร้อยละ 17.71 ไม่มีรายได้ ร้อยละ 13.05 รายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่เกิน 10,000 บาท ร้อยละ 27.86 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001-20,000 บาท ร้อยละ 13.44 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001-30,000 บาท ร้อยละ 7.86 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 30,001-40,000 บาท ร้อยละ 9.62 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 40,001 บาทขึ้นไป และร้อยละ 10.46 ไม่ระบุรายได้ 

ประชาชนได้อะไร? ตั้งจังหวัดใหม่ 'สว่างแดนดิน' และ 'ทุ่งสง'  ทำไม? ไม่ตั้งเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ 

ในฐานะเป็นคนเกิดอำเภอหัวไทร จ.นครศรีธรรมราช เป็นคนนครศรีฯ โดยกำเนิด ไม่เห็นด้วยกับความพยายามในการแยกจังหวัดนครศรีธรรมราช ออกไปจัดตั้งจังหวัดทุ่งสง

สุธรรม จริตงาม สส.พลังประชารัฐ นครศรีธรรมราช พร้อม สส.พรรคเดียวกัน 20 คน ลงชื่อเสนอให้ญัตติให้สภาตั้งกรรมาธิการขึ้นมาศึกษาแยก อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร และ อ.ทุ่งสง ออกไปจัดตั้งจังหวัดใหม่ เรียกว่าจังหวัดสว่างแดนดิน และจังหวัดทุ่งสง แต่ญัตติยังไม่ได้รับการบรรจุเข้าที่ประชุมสภา เนื่องจากที่ประชุมคณะกรรมการประสานงาน (วิป) เห็นว่า มีเรื่องอื่นที่เร่งด่วนกว่า จึงสลับเอาเรื่องอื่นขึ้นมาพิจารณาก่อนในการประชุมเมื่อวันที่ 18 กรกฏาคมที่ผ่านมา

ในมุมของ #นายหัวไทร ถือว่าเป็นการเสนอกฎหมายที่ล้าหลัง ไม่ก้าวหน้า เพราะเป็นการเปิดให้มีการขยายตัวของราชการส่วนภูมิภาค อันเป็นตัวแทนของรัฐบาลกลางที่แบ่งอำนาจไปตามเมืองต่างๆ สวนกระแสสังคมโลกที่เน้นการกระจายอำนาจ (ท้องถิ่น) เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ

เหตุผลของคณะ สส.ผู้เสนอญัตติระบุว่า ด้วยอำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร เป็นอำเภอที่ จัดตั้งมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2406 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ตั้งเมืองภูมิดลสว่าง

เมืองสว่างแดนดิน เป็นเมืองที่ขึ้นกับมืองสกลนคร ต่อมาภายหลังได้เปลี่ยนมาเป็นอำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร

โดยมีสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมมากมาย เช่น พระบรมธาตุเจดีย์ศรีมงคล หลวงปู่คำบ่อ และปราสาทขอม บ้านพันนา เป็นต้น 

ส่วนอำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นอำเภอที่มีความเจริญเป็นอันดับสองของจังหวัดนครศรีธรรมราช รองจากอำเภอเมือง เนื่องจากมีที่ตั้งอยู่ตรงกลางของภาคใต้และเป็นจุดศูนย์กลางคมนาคมทางบกทั้งรถยนต์และรถไฟ อำเภอทุ่งสงมีประวัติความเป็นมายาวนาน 

ปรากฏตามตำนานเมืองนครศรีธรรมราชว่าเคยเป็นแขวง ขึ้นอยู่ในการปกครองของเมืองนครศรีธรรมราชตั้งแต่สมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เมื่อได้มีการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองจากมณฑล เป็นจังหวัด เมื่อ พ.ศ. 2440 ได้จัดตั้ง เป็นอำเภอทุ่งสงขึ้นกับจังหวัดนครศรีธรรมราช 

แต่ปัจจุบันพบว่า อ.ทุ่งสงมีปัญหาภูมิประเทศในเรื่องระยะทาง ทำให้การติดต่อระหว่างอำเภอที่ห่างไกลและจังหวัดเป็นไปด้วยความยากลำบาก และใช้ระยะเวลาในการเดินทางมากเกินควร 

ซึ่งมีความสอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2524 ว่าด้วยหลักเกณฑ์การตั้งจังหวัดใหม่ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ที่ต้องพิจารณาลักษณะพิเศษของจังหวัด ผลดีในการให้บริการประชาชน และหลักเกณฑ์อื่นๆ เช่น เหตุผลทางประวัติศาสตร์ การเมือง และวัฒนธรรมของท้องถิ่นและนโยบายของรัฐบาล เป็นตัน 

จากเหตุผลดังกล่าวคณะ สส.พลังประชารัฐ จึงเห็นสมควร แยกอำเภอสว่างแดนดิน ออกจากจังหวัดสกลนคร และ แยกอำเภอทุ่งสง ออกจากจังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมจัดตั้งขึ้นเป็นจังหวัดสว่างแดนดิน และจังหวัดทุ่งสง เพื่อประโยชน์ในการจัดระเบียบการปกครอง การรักษาความมั่นคงและการอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนในพื้นที่ 

อีกทั้งเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน กระจายความเจริญสู่ภูมิภาค และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนเป็นการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ โดยเป็นศูนย์กลางทางการเงิน การค้า การลงทุน การอุตสาหกรรม การคมนาคม การศึกษา เทคโนโลยีรวมถึงอื่นๆ ได้อย่างยั่งยืนต่อไป 

กล่าวเฉพาะอำเภอทุ่งสง ถ้าแยกไปจัดตั้งเป็นจังหวัด จะมีอะไรเป็นอัตลักษณ์ของความเป็นเมือง ปัจจุบันมีพระบรมธาตุฯ เป็นอัตลักษณ์ที่ชาวนครศรีฯภาคภูมิใจ เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ และกำลังเสนอต่อยูเนสโก เพื่อขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ถามว่าแล้วทุ่งสงมีอะไร มีสถานีรถไฟ มีพ่อท่านคล้ายวาจาสิทธิ์ จะเป็นเมืองที่ขาดอัตลักษณ์

ถามว่าแยกเป็นจังหวัดใหม่ประชาชนได้อะไร? นี่คือธงนำ ประชาชนจะได้งบประมาณจัดตั้งจังหวัดใหม่ 2,000 ล้าน จะได้ศาลากลางหลังใหม่ ได้ผู้ว่าฯ เพิ่มมาอีกคน ได้นายกฯ อบจ. ได้ข้าราชการส่วนภูมิภาคเพิ่มขึ้น แต่ชีวิตความเป็นอยู่ การดำรงชีพของชาวบ้านดีขึ้นไหม และทุ่งสงจะเป็นอีกจังหวัด นอกจากยะลา ที่ไม่ได้อยู่ติดทะเล

การยกเหตุผลว่าห่างไกลจากตัวจังหวัด การคมนาคมยากลำบาก ในสถานการณ์ปัจจุบัน ไม่น่าจะจริง เดี๋ยวนี้ถนนหนทางสะดวกสบาย เกือบทุกบ้านมีรถยนต์ แค่ชั่วโมงเดียวก็ถึงตัวเมืองแล้ว ถ้าเป็นสมัยปี 2529-2530 ที่ 'ถวิล ไพรสณฑ์' เสนอให้จัดตั้งจังหวัดทุ่งสง อ้างเรื่องการคมนาคมเป็นเหตุผลหนึ่ง ยังพอรับฟังได้ แต่ปัจจุบันไม่ใช่

“ยังคิดแยกจังหวัด/ผมว่ามันไม่มีเหตุผลเท่าไหร่ คนเห็นด้วยก็ดราม่าไปเรื่อยโน่นนี่นั่น/เอาเงิน2พันล้านที่จะสร้างศูนย์ราชการใหม่ทำประโยชน์กับคนพื้นที่ก่อนดีมั้ย/เพราะแค่เหตุผลมีศาล มีคุก มีขนส่งใกล้บ้านมันก็มีหมดแล้ว...หลายจังหวัดก็มี นอกจาก 'เหล้าขาว' ที่ต้องซื้อเฉพาะในเขตจังหวัด/ข้าราชการที่ย้ายไปอยู่กิ่งจังหวัดส่วนใหญ่ก็คิดแค่เป็นกระดานหกไปที่อื่นท้างน้าน” ความเห็นจากนิกร จันพรม ชาวไร่ขอนแก่น

แต่ต้องยอมรับความจริงว่า ทุ่งสงมีความเจริญ เป็นรองก็แค่อำเภอเมือง เป็นศูนย์กลางการคมนาคม ศูนย์กลางกระจายสินค้า มีศาลจังหวัด มีสำนักงานอัยการ มีความพร้อมในระดับหนึ่ง

ถ้า สส.หัวก้าวหน้าหน่อย ต้องเสนอให้ทั้งสองอำเภอ ยกฐานะเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ หรือจังหวัดจัดการตนเอง อย่างนี้น่าสนใจกว่า เป็นการกระจายอำนาจให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการเมือง ผ่านการเลือกตั้ง ผู้บริหารเมืองอาจจะเรียกว่า 'นายกเมือง' อย่างพัทยา ก็ได้ หรือ 'นายกนคร' แล้วแต่กฎหมายจะยกฐานะเป็นอะไร หรือจะเรียกว่า 'ผู้ว่าฯ' ก็ได้ แต่มาจากการเลือกตั้ง เหมือนกรุงเทพมหานคร

ถ้าเสนอออกมาในรูปแบบจังหวัดจัดการตนเอง หรือองค์ปกครองท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ ก็จะเป็นกฎหมายที่ก้าวหน้า และสองจังหวัดนี้ก็จะเป็นจังหวัดนำร่องกับการปกครองรูปแบบใหม่

อย่างทุ่งสงอาจจะเรียกชื่อใหม่ว่า 'นครทุ่งสง' อย่างน้อยก็มีร่องรอยของประวัติศาสตร์ว่า เคยขึ้นอยู่กับจังหวัดนครศรีธรรมราช

การเสนอให้มีการจัดตั้งจังหวัดใหม่สะท้อนด้วยว่า พรรคพลังประชารัฐ ไม่มีแนวคิด และไม่จริงจังจริงใจอะไรกับการกระจายอำนาจ แถมยังห่วงอำนาจ ขยายฐานอำนาจออกไปอีก อันเป็นแนวคิด 'อำนาจนิยม'

ไม่ใช่ครั้งแรกในความพยายามแยก อ.ทุ่งสง เพื่อจัดตั้งจังหวัดใหม่ มีรายงานผลการศึกษามากมาย จริงๆไม่ต้องเสนอให้สภาตั้งกรรมาธิการศึกษาให้เสียเวลา เสียงบประมาณ 

ถ้าตั้งใจจริง เสนอ พรบ.จังหวัดทุ่งสง และสว่างแดนดินไปเลย ร่างก็เคยมีให้อ่านกันอยู่แล้ว จะได้เห็นกันว่า สภาเราคิดอะไรกันอยู่ และจะผ่านความเห็นชอบหรือไม่?

แต่ย้ำว่านายหัวไทรชูมือคัดค้านแน่นอน

โซเชียลวิจารณ์ ยับ!! โกยขยะทิ้งลงจากระเบียง ไม่สนใครจะเดือดร้อน ทั้งที่ข้างห้องมี ‘ผ้าซักสะอาด’ ตากอยู่ ชี้!! เป็นพฤติกรรมที่ไร้จิตสำนึก

(21 ก.ค.67) วิจารณ์สนั่น ไม่แคร์ โกยขยะทิ้งลงจากระเบียง ไม่สนใครจะเดือดร้อน เอาสะดวกตัวเอง โลกออนไลน์มีการแชร์ต่อ และวิพากษ์วิจารณ์คลิปที่ผู้พักอาศัยรายหนึ่ง ได้ถ่ายคลิปพฤติกรรมของผู้พักอาศัยอีกราย ที่โกยโกยเศษขยะลงมาจากระเบียง

โดยไม่สนใจผู้พักอาศัยด้านล่าง ซึ่งจากคลิปมีการทั้งปัดฝุ่น ปัดสิ่งสกปรกลงมา โดยในคลิปมีการระบุว่า ‘สงสารคนที่อยู่ของเขาดีๆ’

คลิปดังกล่าวเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในโลกโซเชียลเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้พักอาศัยรายนี้ ซึ่งในคลิปมีการบรรยายพฤติกรรมที่ปัดกวาดสิ่งสกปรกลงมา เอาสะดวกตัวเอง

โดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของผู้อื่น หลังคลิปดังกล่าวถูกแชร์ออกไป ก็ได้มีผู้คนเข้ามาแสดงความคิดเห็นกันอย่างมากมาย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top