Saturday, 24 May 2025
TheStatesTimes

'สมเด็จพระสังฆราชฯ' ประทานพระคติธรรม เนื่องในวันอาสาฬหบูชา แนะ!! คนไทยปลูกฝังสั่งสมค่านิยมในการครอง 'สัมมาอาชีวะ'

(20 ก.ค.67) เฟซบุ๊กเพจ ‘สำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช’ โพสต์ข้อความว่า ‘เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก’ ประทานพระคติธรรม เนื่องในวันอาสาฬหบูชา วันเสาร์ ที่ 20 กรกฎาคม 2567 ความว่า…

ดิถีอาสาฬหบูชาได้เวียนมาบรรจบอีกคำรบหนึ่งแล้ว ควรที่สาธุชนจักได้น้อมรำลึกถึงเหตุการณ์ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงปฐมเทศนาโปรดปัญจวัคคีย์ ณ อิสิปตนมฤคทายวัน อันเป็นการเริ่มประกาศพระศาสนา กระทั่งบังเกิดมีพระอริยสงฆ์ ครบถ้วนพร้อมเป็น ‘พระรัตนตรัย’ ซึ่งเป็นสรณะนำทางชีวิตของพุทธบริษัท ให้มุ่งหน้าดำเนินไปสู่หนทางดับเพลิงกิเลสกองทุกข์ได้อย่างสิ้นเชิง

ปฐมเทศนาที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้นั้น คือ ‘ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร’ ทรงประกาศวิถีทางดับทุกข์ด้วยมรรคมีองค์ ๘ ที่เรียกอีกอย่างว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา หรือการลงมือปฏิบัติเพื่อให้พ้นจากทุกข์ ทั้งนี้ ท่ามกลางสถานการณ์โลกปัจจุบัน อันเต็มไปด้วยมิจฉาชีพ มีการฉ้อโกง หลอกลวง ประทุษร้ายกัน ประกอบกับเทคโนโลยีการติดต่อสื่อสารเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว มิจฉาชีพจึงสบช่องทำอันตรายต่อผู้คนในสังคมทุกระดับอย่างรวดเร็วและร้ายแรงมากขึ้น 

ท่านทั้งหลายควรเร่งหันมาศึกษาพิจารณาธรรมะหมวด ‘อริยมรรค’ โดยดำเนินไปบนหนทางแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุประการหนึ่ง กล่าวคือ การปลูกฝังสั่งสมให้สมาชิกในสังคม มีค่านิยมในการครอง ‘สัมมาอาชีวะ’ ซึ่งหมายถึง ‘การเลี้ยงชีพชอบ’ ไว้ให้ได้อย่างมั่นคง ขอให้ช่วยกันเชิดชูสุจริตชนผู้แสวงหาปัจจัยมาบริโภคโดยชอบ ขอให้งดเว้นการคิดคดโกง หลอกลวง ประจบสอพลอ บีบบังคับขู่เข็ญ และต่อลาภด้วยลาภโดยไม่ประกอบด้วยความเพียร ไม่อาศัยกำลังกายและกำลังปัญญาของตน ขอให้หยุดและเลิกการกระทำบนพื้นฐานของความโลภที่เกินประมาณ ถึงขั้นทำลายวัฒนธรรม ศีลธรรมอันดีงาม สิ่งแวดล้อม ตลอดจนสวัสดิภาพของส่วนรวม อันจัดเข้าข่ายว่าเป็นมิจฉาชีพทั้งสิ้น

วันอาสาฬหบูชา นอกจากจะเตือนใจให้รำลึกถึงคุณพระรัตนตรัย อันเป็นสรณะสูงสุดของพุทธบริษัทแล้ว ยังอาจเตือนใจให้ทุกท่าน ตระหนักแน่วแน่ในอริยมรรคข้อ ‘สัมมาอาชีวะ’ เพราะฉะนั้น หากท่านประสงค์ให้สังคมไทยร่มเย็นเป็นสุข จงหมั่นเพียรศึกษาอบรมและปฏิบัติธรรม มีน้ำใจกล้าหาญที่จะละทิ้งความเป็นมิจฉาชีพ แล้วสู้อุตสาหะประกอบสัมมาชีพด้วยกันทุกคน เพื่อให้ทุกครอบครัว และทุกชุมชน เป็นสถานที่ปลอดจากทุจริตชน นับเป็นการเกื้อกูลตนเอง และสรรพชีวิตทั่วหน้า ให้สามารถพ้นจากภยันตราย ได้สมตามความมุ่งมาดปรารถนาอย่างแท้จริง อนึ่ง ขอความเจริญงอกงามในพระสัทธรรม จงพลันบังเกิดมีแด่สาธุชนผู้เลี้ยงชีพชอบ โดยทั่วหน้ากัน เทอญ

‘โซเชียล’ ชื่นชม ‘พีระพันธุ์’ สั่งตรึงค่าไฟ 4.18 บาท แม้ลดราคาให้ไม่ได้ แต่ก็ไม่ยอมให้ขึ้นโดยเด็ดขาด

(20 ก.ค.67) เพจเฟซบุ๊ก ‘เชียร์ลุง’ ได้โพสต์ข้อความกล่าวถึงนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในรัฐบาล เศรษฐา ทวีสิน และหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ กรณีการตรึงราคาค่าไฟ โดยมีเนื้อความระบุว่า…

“ยืนหยัดต้านสุดกำลัง ‘ไม่ยอมให้ค่าไฟขึ้น’ ไม่ใช่พีระพันธุ์พังไปนานแล้ว!!”

“มติ กกพ. เรื่องค่าไฟ ออกมาคราใดประชาชนสุดแสนจะเจ็บปวด ล่าสุดจะทะลักไปสูงสุดที่ 6 บาทต่อหน่วย!! ช่างร้าวรานหัวใจสิ้นดี”

“มติออกมาแต่ละครั้ง คุณพีระพันธุ์ รมต.กระทรวงพลังงานไม่เคยยอมแพ้ ฝ่ากระแสทวนอำนาจ ตรึงราคาได้ทุกครั้งไป สู้ทุกวิถีทางเพื่อที่จะช่วยประชาชน ล่าสุด กกพ.มีมติให้ขึ้นไปสูงสุดที่ 6 บาทกว่า คุณพีไม่ยอมเช่นเดิม ขอตรึงไว้ที่ 4.18 ลดไม่ได้ก็ไม่ยอมให้ขึ้นเด็ดขาด!!”

“หนึ่งเดียวจริง ๆ กับชายคนนี้ บาดแผลเต็มตัวแต่ก็ไม่ร้องเรียกความสงสาร ถูกเตะถ่วงก็ไม่ท้อเดินหน้าสู้สุดฤทธิ์เพื่อพวกเรา”

“สู้ ๆ ครับ คุณพีระพันธุ์ หน.พรรคแห่งความหวัง ‘รวมไทยสร้างชาติ’!!”

'ครูสาว' แจ้งจับนักการเมืองพรรคก้าวไกล 'กระโดดถีบ-ด่าหยาบ-ท้าแจ้งความ' ปวดใจคดี 5 ปีไม่คืบ!! ซ้ำร้าย!! จนท.บอก "รู้ไหมคนที่คุณแจ้งความเป็นใคร"

(20 ก.ค.67) จากกรณี 'ครูเอ' (นามสมมติ) อายุ 42 ปี ครูสาวท่านหนึ่งแจ้งว่าถูกนักการเมืองดังในอยุธยา (ปัจจุบันเป็นผู้สมัครนายก อบจ.อยุธยา ในนามพรรคก้าวไกล) ทำร้ายร่างกายเมื่อหลายปีก่อน โดยมีการถ่ายคลิปหลักฐานเก็บไว้ และเคยแจ้งตำรวจไปแล้ว แต่คดีไม่คืบ จนได้เห็นนักการเมืองผู้นี้ออกสื่ออีกครั้งและจำได้ จึงต้องการทวงความเป็นธรรมที่ค้างคานานมาร่วม 5 ปี

ทั้งนี้ ครูเอ ได้เล่าว่า ต้นเรื่องวันนั้นตนได้พาเด็กไปทำกิจกรรมทางนาฏศิลป์ในงานแห่งหนึ่ง แล้วทางนักการเมืองคนนี้มาคุยใกล้ๆ เวที ซึ่งครูเอก็แนะนำว่าอย่าคุยกันตรงนี้ เพราะมีน้องๆ ผู้หญิงที่เปลี่ยนเสื้อผ้าแต่งตัวชุดไทยกันอยู่ น้องๆ กำลังโป๊ ซึ่งนักการเมืองคนดังกล่าวก็เดินหายไป แต่พักหนึ่งก็เดินกลับมาพร้อมกับพูดว่า "รู้ไหมว่าฉันเป็นใคร?" 

จากนั้นพอเริ่มเปิดการแสดงไปไม่ถึง 1 นาที นักการเมืองคนดังกล่าว ก็ขึ้นไปบนเวทีและสั่งหยุดการแสดง และเกิดการพูดจาโวยวายทะเลาะกัน สุดท้ายมาจบที่ครูเอไปยืนตรงหน้าศาลาที่พัก แล้วก็โดนนักการเมืองคนดังกล่าวกระโดดถีบ และท้าให้ไปแจ้งความ ซึ่งเธอก็ไปแจ้งความ แต่ก็ไม่มีความคืบหน้าจากตำรวจในพื้นที่ แถมยังถูกตอบกลับมาด้วยว่า "รู้ไหมคนที่คุณแจ้งความเป็นใคร"

ล่าสุดเมื่อวานนี้ (19) ครูสาวคนดังกล่าวได้เข้าให้ปากคำตำรวจที่ สภ.มหาราช จ.พระนครศรีอยุธยา โดยครั้งนี้ได้รับความช่วยเหลือจากแนวร่วมทั้ง 'เค สามถุยส์' และ 'เพจวันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร' ซึ่งครูสาวยืนยันว่าจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด

ด้าน เค สามถุยส์ หลังจากได้ผมพาครูสาวคนดังกล่าวไปแจ้งความดำเนินคดีกับผู้สมัครนายก อบจ.ท่านนี้แล้ว ก็ได้เปิดเผยว่า ตอนนี้ทาง เพชร กรุณพล เทียนสุวรรณ สส.ก้าวไกล ได้รีบออกมาชี้แจงว่า นักการเมืองคนดังกล่าวที่เป็นผู้สมัคร อบจ.นั้น ทางพรรคก้าวไกลไม่ได้ส่งลงสมัคร

"สรุปว่าคุณเทเขาอีกแล้วเหรอ ถ้าบอกว่าไม่ใช่ตามที่ปากพูดจริง รบกวนเพชรไปแจ้งความ เอาผิดผู้สมัครท่านนี้สิครับ ว่าจงใจให้คนเข้าใจผิดว่าเป็นพรรคก้าวไกล ทั้งสี ทั้งโลโก้ ทั้งชื่อกลุ่ม รวมถึง สส.ที่มาสนับสนุนก็ก้าวไกลทั้งนั้น กล้าดำเนินคดีไหมเพชร" เค สามถุยส์ กล่าว

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เสียงอีกด้านจากคนสนิทนักการเมืองคนดังกล่าว ได้เปิดเผยกับสื่อ โดยอ้างว่าเรื่องดังกล่าวผ่านมานานแล้ว ผ่านมาตั้ง 5 ปี ทำไมเพิ่งมาเร่งคดีตอนนี้ ครูสาวไปรับงานใครมาหรือเปล่า เกมการเมืองหรือไม่

ดูคลิปต้นเรื่อง: https://www.facebook.com/share/v/quXKGCtsT8ensHft/?mibextid=oFDknk

คนจีนคิดได้!! เริ่มอายที่จะใช้สินค้าหรู และอยู่กับสิ่งที่จำเป็น ผลพวงจากเศรษฐกิจติดขัด รัฐไล่ขจัดคอนเทนต์บูชาเงิน

(20 ก.ค.67) รายงานข่าวระบุว่า เทรนด์ ‘Luxury Shame’ หรือ ‘อายที่จะใช้สินค้าหรู’ กำลังขยายตัวขึ้นในหมู่ ‘เศรษฐีจีน’ ผู้คนนิยมซื้อสินค้าที่เน้นคุณภาพ เรียบง่าย และหรูหราอย่างเงียบ ๆ แทน ซึ่งเทรนด์นี้กำลังทำให้พฤติกรรมบริโภคแบรนด์เนมเปลี่ยนไปจากเดิม

แม้เศรษฐกิจโลกจะชะลอตัว แต่ดูเหมือนว่า ‘สินค้าแบรนด์เนม’ ยังคงเปล่งประกายความมั่งคั่ง จนเป็นแรงส่งให้ ‘เบอร์นาร์ด อาร์โนลต์’ เจ้าของอาณาจักร LVMH แบรนด์เนมหรูที่ใหญ่ที่สุดในโลก กลายเป็นมหาเศรษฐีอันดับ 3 ของโลก

อย่างไรก็ตาม มีเทรนด์ใหม่สวนกระแส และอาจกระทบต่อการเติบโตของสินค้ากลุ่มนี้ กำลังก่อตัวขึ้นใน ‘จีน’ นั่นคือ ‘เทรนด์ละอายที่จะใช้สินค้าหรู’ โดยเหล่าเศรษฐีจีนเริ่มระมัดระวังการแสดงออกถึงความร่ำรวยอย่างโจ่งแจ้ง

สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า ปรากฏการณ์นี้สืบเนื่องมาจากสภาพเศรษฐกิจจีนที่ซบเซา รายได้หดหาย หนุ่มสาวจีนตกงานจำนวนมาก อีกทั้งความเชื่อมั่นของผู้บริโภคก็อ่อนแอลง

ดิเรก เติ้ง (Derek Deng) หุ้นส่วนระดับอาวุโสของ Bain and Company บริษัทที่ปรึกษาธุรกิจระดับโลกให้ความเห็นว่า “ก็ไม่ได้หมายความว่าเศรษฐีจีนไม่เต็มใจที่จะใช้จ่ายกับสินค้าหรู จริงๆ แล้ว แบรนด์ชั้นนำบางแบรนด์ยังคงมีผลประกอบการที่แข็งแกร่งมากในจีน เพียงแต่ผู้คนระมัดระวังการบริโภคเพื่อแสดงฐานะทางสังคมมากขึ้น”

ด้านคลอเดีย ดี อาร์ปิซิโอ (Claudia D'Arpizio) หัวหน้าด้านแฟชั่นและสินค้าหรูของ Bain & Company กล่าวว่า “ลูกค้าผู้มีฐานะร่ำรวย กลัวที่จะถูกมองว่าโอ้อวดมากเกินไป”

คลอเดียเสริมต่อ “เราเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า ‘Luxury Shame’ หรือ ‘ความละอายที่จะใช้สินค้าหรู’ คล้ายกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในสหรัฐช่วงวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ปี 2008-2009 แม้ว่าคนเหล่านี้สามารถจ่ายกับสินค้าเหล่านี้ได้ แต่ก็มีความเต็มใจที่จะซื้อน้อยลง เพื่อไม่ให้ถูกมองว่าเป็นการซื้อหรือสวมใส่สินค้าราคาแพงจริง ๆ”

เธอเสริมว่า แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ผู้บริโภคชาวจีนกำลังหันไปสู่สไตล์ ‘ความหรูหราอย่างเงียบ ๆ’ เป็นสินค้าหรูที่ใช้ลงทุนได้ และมีความ ‘เรียบง่ายกว่า’ และ ‘เห็นได้น้อยกว่า’ มากขึ้น ซึ่งบ่งบอกถึงรสนิยมที่แท้จริงได้ โดยไม่ต้องตะโกนโฆษณา

📌รัฐบาลปราบพวกอวดรวย

ปรากฏการณ์ลด ‘การอวดรวย’ ของชาวจีน นอกจากมีสาเหตุจากปัจจัยเศรษฐกิจแล้ว ยังได้รับอิทธิพลจากปัจจัยทางการเมืองของประเทศด้วย เพราะรัฐบาลจีนกำลังรณรงค์แนวคิด ‘ความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน’ (Common Prosperity) ให้สังคมมีความเท่าเทียมมากขึ้น และ ‘ต่อต้าน’ วัฒนธรรมการบูชาเงินทองทุกประเภท

เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา จีนได้เริ่มต้นรณรงค์กวาดล้างการ ‘อวดรวย’ บนโลกออนไลน์ และได้ทำการแบนอินฟลูเอนเซอร์บางรายออกจากโซเชียลมีเดียของจีน เนื่องจากพวกเขามักใช้พื้นที่ในการแสดงวิถีชีวิตที่หรูหราเกินงาม

ด้วยเหตุนี้ บรรดาโซเชียลมีเดียจีนจึงปฏิบัติตามระเบียบใหม่นี้ เพื่อแบนคอนเทนต์อวดรวย โดย Douyin หรือติ๊กต๊อกจีนกล่าวว่า ได้ลบข้อความจำนวน 4,701 ข้อความ และบัญชีผู้ใช้ 11 บัญชี ส่วน Xiaohongshu กล่าวว่าได้ลบโพสต์ ‘ผิดกฎหมาย’ จำนวน 4,273 โพสต์ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา และปิดบัญชีผู้ใช้ 383 บัญชี และ Weibo กล่าวว่าได้ลบเนื้อหามากกว่า 1,100 โพสต์

ดี อาร์ปิซิโอกล่าวว่า “เรื่องนี้เชื่อมโยงกับท่าทีของรัฐบาลจีนเป็นอย่างมาก แคมเปญความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันได้สร้างผลกระทบทางจิตวิทยาต่อชาวจีน เนื่องจากเหล่าผู้มั่งคั่งบางส่วนวิตก จนตัดสินใจขนความมั่งคั่งออกนอกประเทศ”

ทั้งนี้ ในปัจจุบัน ผู้บริโภคชาวจีน ‘มีความพิถีพิถัน’ มากขึ้น หลายคนตัดสินใจซื้อสินค้าจากคุณภาพหรือคุณค่าที่แบรนด์มอบให้ ‘มากกว่า’ มองเพียงชื่อแบรนด์อย่างเดียว

นพ.ครรชิต แนะ 5 ข้อ แก้รากเหง้าปัญหาในสังคม 'หยุดโกง-หยุดขอ-เพิ่มทักษะ-ช่วยเหลือ-เก็บออม'

(20 ก.ค.67) จากเฟซบุ๊ก 'ครรชิต ช่อหิรัญกุล' ได้โพสต์ข้อความเตือนสติคนไทยให้ร่วมกันแก้ปัญหารากเหง้าในประเทศเพื่อให้ผ่านพ้นสิ่งเลวร้ายไปด้วยกัน ดังนี้...

รากเหง้าปัญหา อยู่ที่เจตคติ ของทุกคนในสังคม การแก้

1. หยุดโกง ขยัน หารายได้ด้วยสุจริต แก่ตนเองและครอบครัว
2. หยุดขอ อย่าเลือกพวก ที่บอกว่า เลือกแล้วแจก จงเลือกคนที่ให้โอกาส ทำงาน เพิ่มรายได้ 
3. เพิ่มทักษะ เพื่อสามารถ ตอบสนองต่อ ตลาดแรงงาน เพราะเพิ่มค่าตัวเราเอง 
4. ช่วยเหลือ กันเอง ซื้อของผลิตในประเทศ 
5. เก็บออม

‘ปอป้อ’ โต้!! ‘คกก.โอลิมปิค’ ปม ‘ชุดพิธีการ’ โอเวอร์ไซซ์ โพสต์!! ไม่ได้ขออะไรเลย ลั่น!! พร้อมสู้สุดใจในการแข่งขัน

(20 ก.ค. 67) จากกรณีดรามาเกี่ยวกับชุดพิธีการ ของนักกีฬาทีมชาติไทย ที่เดินทางไปแข่งขัน โอลิมปิกเกมส์ ปารีส 2024 อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะงานออกแบบที่ถูกโลกโซเชียล วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก กระทั่ง คณะกรรมการโอลิมปิคฯ นำโดย พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการโอลิมปิคฯ ต้องตั้งโต๊ะแถลงถึงกรณีดราม่าที่เกิดขึ้น ขอน้อมรับความผิด

ทว่า พล.อ.วิชญ์ ระบุตอนหนึ่งว่า "ชุดที่ปรากฏนั้น ในส่วนของ ปอป้อ ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย นักแบดมินตันทีมชาติไทย นั้น เราได้สอบถามไปยัง ทรงสมัย ว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะชุดพระราชทานควรจะเข้ารูป แต่ มาทราบว่า ทรัพย์สิรี บอกให้เอาแขนยาว ตัวยาว มันก็เลยออกมาแบบนี้ ผมได้ถามทรงสมัยอีกที เขาก็พยายามชี้แจง"

ล่าสุด 'ปอป้อ' ได้แชร์ข่าวดรามาดังกล่าว พร้อมโพสต์ข้อความว่า “ไม่ได้ขออะไรเลย… ขอเป็นกำลังใจจากทุกคนแทนนะคะ พร้อมสู้สุดใจในการแข่งขัน” รวมถึงแนบอีโมจิ 🙀🙀🙀

'เปลวสีเงิน' ยกนิ้ว!! 'ทำงานสไตล์พีระพันธุ์' ชัดเจน-เถรตรง-โกงไม่เป็น ยาหอมไม่มี คำหวานไม่พูด มุ่งแต่ทำงานเพื่อชาติ-ประชาชน

(20 ก.ค. 67) เปลวสีเงิน นักหนังสือพิมพ์และคอลัมนิสต์ชื่อดัง ได้นำเสนอบทความ ในหัวข้อพีระพันธุ์ 'คนหวานไม่เป็น' โดยระบุว่า...

ผมชอบรัฐมนตรี 'พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค' แฮะ!

ท่านเป็นคนชัดเจน

ในการทำงาน ไม่ต้องการหวานให้คนรัก ชอบโผงผาง-ตรงไปตรงมา ใครเกลียด ก็เรื่องมึง

งานที่ทำ มีผลสำเร็จ เพื่อสังคมชาติบ้านเมืองและประชาชน นี่เรื่องที่กูปรารถนา!

ที่กระทรวงคมนาคมและการรถไฟฯ ไม่ต้องเสีย ค่าโง่โฮปเวลล์ ๒๔,๐๐๐ ล้านบาท

ก็ฝีมือท่าน 'พีระพันธุ์' สมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์คนนี้แหละ สู้ด้วยการหักล้างกันด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายจนชนะ

'การบินไทย' ที่อยู่ในสภาพศพคาห้องดับจิต หนึ่งในทีมที่ทำให้กลับมีลมหายใจ ฟื้นขึ้นมาและลุกขึ้นวิ่ง เป็นการบินไทย แข็งแรงกระดี๊กระด๊า ทุกวันนี้

ก็รัฐมนตรี 'พีระพันธุ์' ในยุคนายกฯ ประยุทธ์คนเดียวกันนี้แหละ หัวเรี่ยว-หัวแรง 'ฟื้นชีพการบินไทย' ตอนนี้โก้ กินขนมปังแทนกินปาท่องโก๋ยาไส้แล้ว

คนอย่างนี้ ในทางการเมือง ถึง 'งานดี-งานเด่น'

แต่ 'ปากไม่ดี, ประจี๋-ประจ๋อไม่เป็น' แถม 'เถรตรง-โกงไม่เป็น' แบบนี้ด้วยละก็รุ่งในสนามเลือกตั้งยาก ไม่โกงเอามาแบ่งปัน ชาวบ้านไม่ชอบ

นักการเมืองด้วยกันก็เหอะ 'บางพรรค-บางคน' ก็ไม่ชอบ!

แต่ในทาง 'เพื่อบ้าน-เพื่อเมือง'

คนอย่างท่านพีระพันธุ์ ถ้าชาววิไล ส่งเสริมให้มีพื้นที่ยืนในงานบริหารชาติบ้านเมืองต่อเนื่องละก็

ชาติบ้านเมือง รุ่งแน่!

เรื่อง 'ค่าไฟฟ้า' ที่ชาวบ้านกลายเป็น 'ถังขยะ' ให้รัฐบาลเพื่อไทย โกยสารพัดขยะใส่

ลืมสิ้น ที่ตะโกนตอนหาเสียง 'ค่าไฟ..ค่าน้ำมัน ลดทันที' ชนิดคำว่า 'อัปรีย์' ยังสูงเกินไปนั้น!

ไตรมาส ๔ 'กันยา-ธันวา' คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เคาะแล้ว เมื่อ ๑๐ ก.ย. ภายใต้เงื่อนไข ว่า

หากนำ 'ต้นทุน' และการ 'คืนหนี้' ให้  กฟผ. ๙๘,๐๐๐ ล้านบาท มาคำนวณ รวมกับค่าไฟฟ้าฐาน ที่ ๓.๗๘ บาท/หน่วย

จะทำให้ค่าไฟที่ ๔.๑๘ บาท/หน่วย ขณะนี้ เพิ่มขึ้นเป็น ๔.๖๕-๖.๐๑ บาท/หน่วย

คือราคาจะเพิ่มขึ้นจากเดิมอีกประมาณ  ๔๖-๑๘๑ สตางค์/หน่วย!

ชาวบ้านก็เป็นไก่ ถูกรัฐบาลเอาไม้เสียบตูดเผา หมุนไป-ก็หมุนมา ไปเท่านั้น

ไม่แค่ระดับชาวบ้าน 'สภาอุตสาหกรรม' ยังร้องโอ้ก!

แล้ว 'นายกฯ ประเทศไทย' นามว่าเศรษฐา ว่าไง?

ผมสั่งการให้ 'กระทรวงพลังงาน' นำเอามาตรการช่วยเหลือประชาชนจากการปรับขึ้นค่าไฟ เข้า ครม.สัปดาห์หน้า ที่ ๒๓ ก.ค.ที่จะถึงนี้

แล้วรัฐมนตรีพลังงาน 'พีระพันธุ์' ว่าไง...

"เชิญประธานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และประธานคณะกรรมการ บมจ. ปตท. (PTT) มาหารือร่วมกัน

ได้ข้อยุติ ที่จะตรึงค่าไฟงวดใหม่ไว้ที่ ๔.๑๘ บาท/หน่วยตามเดิม...

"ต้องให้เครดิต ปตท...

เพราะทาง ปตท.ไม่รับเงินตอบแทนใดๆ จากค่าไฟฟ้างวดนี้เลย เพื่อช่วยเหลือประชาชน"

รัฐมนตรีพีระพันธุ์ ยังบอกด้วยว่า....

"การช่วยประชาชน ไม่ว่าจะค่าไฟฟ้าหรือน้ำมัน ไม่ได้อยู่ที่กระทรวงพลังงาน เพียงกระทรวงเดียว แต่ต้องประสานทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง...

"รวมถึงราคาน้ำมันที่กระทรวงพลังงานพยายามตรึงไว้ที่ราคาเดิมที่ ๓๓ บาท/ลิตร...

"แต่ปัจจุบัน 'กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง' ภาระหนี้สินมากขึ้น การจะปรับลดราคาน้ำมันลงมาได้ ต้อง 'ปรับลดภาษี' ด้วย...

"ผมพยายามปรับปรุงกฎหมายอยู่....

"ขณะนี้ยกร่าง 'กฎหมายฉบับที่ ๑' เกี่ยวกับการดูแลราคาน้ำมันประจำวันเสร็จแล้ว...

"อยู่ระหว่างทบทวนความถูกต้อง ก่อนเสนอให้นายกฯ รับทราบ"

สรุป ปัญหาเฉพาะหน้า หลุดไปเปลาะ แล้วในระยะยาวล่ะ จะแก้ยังไง?

การแก้ปัญหาแบบ 'แก้ผ้าเอาหน้ารอด' ไปแต่ละมื้อ ผมสังเกตว่า นั่นไม่ใช่สไตล์การทำงานของคนชื่อพีระพันธุ์

คงด้วยสายเลือด จากที่เคยเป็น 'ผู้พิพากษา' มาก่อน ทั้งพ่อของท่าน 'พลโทณรงค์ สาลีรัฐวิภาค'

อดีตเป็นทั้ง 'ปลัดกระทรวงพาณิชย์' และ 'เจ้ากรมการพลังงานทหาร' ผู้ริเริ่มขุดเจาะน้ำมันที่อำเภอฝาง เชียงใหม่

เป็นผู้ก่อตั้ง 'ปั๊มน้ำมันสามทหาร'

ฉะนั้น ปัญหาน้ำมัน รัฐมนตรีพีระพันธุ์ จะไม่แก้ปัญหาชนิด 'ตัดตอน' จะต้องแก้ 'ชนิดถาวร' ด้วยการรื้อโครงสร้างแน่

สังเกตจากสไตล์ทำงาน ไม่ว่าปัญหาใด ถ้าจะแก้ ท่านจะสาวจากปลายลงไปจนถึงราก แล้วแก้ปัญหาที่ต้นราก

มิใช่ทำงานแบบ 'ถากหญ้าหน้าดิน'
เรียบชั่วคราว หมาเยี่ยวรด อีกเดือน-ครึ่งเดือน หญ้าก็ท่วมเหมือนเดิมอีก ซึ่งนี่ มิใช่ สไตล์พีระพันธุ์

ปัญหาพลังงาน ว่าด้วย 'ค่าน้ำมัน-ค่าไฟ' นี่เช่นกัน เมื่อเข้ามา

ท่าน 'รื้อกฎหมาย' ที่เกี่ยวกับพลังงานและ 'กลไกสร้างราคา' ขึ้นมาศึกษา มุ่งแก้จากต้นราก เป็นการแก้ถาวร

ทุกวันนี้ ไฟฟ้าแพง คนก็ด่า กฟผ., น้ำแพง-แก๊สแพง คนด่า ปตท. ทั้ง กฟผ.ทั้ง ปตท.ตกอยู่ในสภาพ 'เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง'

แต่ต้อง 'เอากระดูกมาแขวนคอ' ตลอด!

เพราะราคาขาย มันมาจาก 'ระบบภาษี' ภาครัฐและกองทุนต่าง ๆ ซึ่ง ปตท.-กฟผ.ไม่มีสิทธิ์ ไปกำหนดอะไรได้ทั้งสิ้น!

จะแยกให้เห็นคร่าว ๆ ว่าราคา 'น้ำมัน ๑ ลิตร' มีที่มาจากไหนบ้าง?

-๔๐-๖๐% ต้นทุนเนื้อน้ำมันสำเร็จรูปที่ผลิตจากโรงกลั่น

-๓๐-๔๐% เป็นภาษีสรรพสามิต

-๑๐% ภาษีเทศบาล มหาดไทยนำไปใช้พัฒนาท้องถิ่น

-๗% ภาษีมูลค่าเพิ่ม         

-๗% ค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิด

-๕-๒๐% จัดเก็บโดย 'กองทุนต่าง ๆ'

-กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศไม่ให้เกิดความผันผวน

-กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อส่งเสริมสนับสนุนพลังงานทางเลือก พลังงานทดแทน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงาน และ

-๑๐-๑๘% ค่าการตลาด

เนี่ย โครงสร้างราคาน้ำมัน มันเป็นอย่างนี้ จะว่ารัฐบาลก็ยาก ถ้าไม่เก็บภาษี จะเอาเงินที่ไหนไปพัฒนาประเทศล่ะ?

แล้วจะแก้ยังไง?

เป็นคำถาม 'กำปั้นทุบดิน' ก็จริง แต่ปัญหามันก็อยู่ตรงดินนี้แหละ บางอย่างก็ซ้ำซ้อน  บางอย่างก็มากไป บางอย่างก็มักได้เกินไป

ทางที่ดี ก็ต้องนำทั้งหมดมา 'รื้อ' จัดระบบกันใหม่ ส่วนจะจัดแบบไหน-อย่างไร ลองฟังที่ท่านพีระพันธุ์แย้มไว้ละกัน

"สำหรับค่าไฟฟ้า ยืนยัน คงไว้ที่หน่วยละ ๔.๑๘ บาท กลุ่มเปราะบาง ที่หน่วยละ ๓.๙๙ บาท 

"ที่เป็นปัญหาคือ 'ราคาน้ำมัน' รัฐบาลชุดที่แล้วตรึงราคาดีเซลไว้ที่ลิตรละ ๓๐ บาท...

"แต่ปัจจุบันใช้ระบบ 'กองทุนน้ำมัน' รักษาระดับราคาน้ำมันตั้งแต่ปี ๒๕๑๖ ส่วนตัวผมไม่เห็นด้วย กับการเอาเงินไปรักษาระดับราคาน้ำมัน...

"แต่เมื่อรูปแบบเป็นเช่นนี้ 'กระทรวงพลังงาน' จึงพิจารณาศึกษาปรับปรุงแก้ไขปัญหานี้...

"ที่ผ่านมา ผมไม่เคยรู้ 'ราคาต้นทุน' ของน้ำมันเลย...

"จึงออกประกาศกระทรวงพลังงาน ให้ผู้ประกอบการค้าน้ำมัน ต้อง 'แจ้งต้นทุน' ให้กระทรวงพลังงานทราบ ถือเป็นครั้งแรก ที่มีการ 'แจ้งราคา' ต้นทุนน้ำมัน...

"อีกส่วนหนึ่ง 'ภาษีน้ำมัน' มีมูลค่าสูง ไม่ต่างจากราคา 'ต้นทุนน้ำมัน' เช่น หักค่าน้ำมัน ลิตรละ ๔๕ บาท...

"ภาษีน้ำมัน ก็จะอยู่ที่ประมาณ ๔๐ บาท ถือว่า 'สูงมาก'

"อีกทั้งการ 'จัดเก็บภาษีน้ำมัน' คณะกรรมการกองทุนน้ำมันจะมีอำนาจกำหนดเพดานการจัดเก็บ...

"แต่ขณะนี้อำนาจดังกล่าว 'หายไป'...

"จึงต้องแก้ไข ให้กระทรวงพลังงาน มีอำนาจ 'กำหนดเพดาน' การจัดเก็บภาษีน้ำมัน...

"หากกระทรวงพลังงาน 'กำหนดเพดาน' ได้เอง ก็จะมีเงินเพียงพอสำหรับการ 'อุดหนุนราคาน้ำมัน'...

"แต่ปัจจุบัน เมื่อยังไม่สามารถทำได้ ก็จำเป็นต้องใช้เงินอุดหนุนจาก 'กองทุนน้ำมัน' แทน"

ที่เห็นท่านหายไปหลายวัน โน่นครับ รัฐมนตรีกับปลัดพลังงาน เดินทางไปเจรจาเรื่องน้ำมันที่ประเทศซาอุดีอาระเบีย

เห็นแว่ว ๆ ด้วยว่า ท่านรัฐมนตรีพีระพันธุ์ กำลังคุยกับรัฐมนตรีพลังงานรัสเซีย หาช่องทางด้านธุรกิจน้ำมันกันอยู่

เรื่องน้ำมันกับรัสเซีย มีคนจำนวนมากคิดว่า ทำไมไทยไม่ซื้อน้ำมันรัสเซียล่ะ ราคาถูกกว่าด้วย 

ใครก็อยากซื้อ แต่มันมีอะไรหลาย ๆ อย่าง ที่ไม่เอื้อให้ทำได้สะดวกราบรื่นตามที่คิด

อีกอย่าง การซื้อ-ขายน้ำมัน ไม่ใช่หน้าที่ของรัฐบาล

การเป็น 'สว่านนำร่อง' เพื่อทางอนาคต

นั่นพูดได้ว่า เป็นภารกิจ 'ทางจิตสำนึก' คนเป็นรัฐมนตรีพลังงาน ซึ่งยังไง ๆ ก็ดีกว่า

'คนใช้เงินหลวง'

แต่ไปเป็นเซลส์แมน 'ขายคอนโดฯ-ขายแผ่นดิน' ให้ต่างชาติ ๙๙ ปี จิมิ..จิมิ!

'วิทยุการบินฯ' ชี้!! 'ไอทีล่มทั่วโลก' ไม่กระทบบริการจราจรทางอากาศ เหตุ!! ใช้เทคโนโลยีแบบระบบปิด ที่มีความปลอดภัยขั้นสูงสุด

(20 ก.ค.67) ดร.ณพศิษฏ์ จักรพิทักษ์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ตามที่นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ได้ติดตาม สั่งการ และตรวจสอบการปฏิบัติงานของวิทยุการบินฯ ซึ่งเป็นหน่วยงานในการกำกับดูแล กรณีเกิดเหตุการณ์อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ (Windows) ของ Microsoft จำนวนมาก เกิดอาการ 'จอฟ้า' (Blue Screen of Death: BSOD) เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา จนส่งผลกระทบต่อระบบคอมพิวเตอร์ของธนาคาร สายการบิน สถานีโทรทัศน์ ร้านค้า และทุกภาคส่วนทั่วโลก โดยมีสาเหตุมาจากการอัปเดตระบบที่เรียกว่า 'คราวด์สไตรต์' (CrowdStrike) นั้น

ในส่วนของวิทยุการบินฯ ไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว และยังคงสามารถให้บริการจราจรทางอากาศได้ตามปกติ เนื่องจากระบบอุปกรณ์ควบคุมจราจรทางอากาศ (ATM System) เป็นระบบปิด และมีระบบรักษาความปลอดภัยขั้นสูงสุด ส่วนคอมพิวเตอร์ระบบปฏิบัติการ Windows อื่นที่ใช้งานอยู่ ก็ไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด 

ด้าน ดร.ณพศิษฏ์ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากเหตุการณ์ดังกล่าว ส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบสำรอง/ยืนยันที่นั่ง ซึ่งต่อเชื่อมข้อมูลให้ระบบตรวจรับผู้โดยสารขึ้นเครื่อง (Check-in System) ของบางสายการบิน ไม่สามารถใช้การได้ โดยแต่ละสายการบินต้องทำการตรวจรับผู้โดยสารขึ้นเครื่องแบบ Manual Check-in ทำให้เกิดผลกระทบต่อการล่าช้าของเที่ยวบิน ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง จำนวน 20 เที่ยวบิน ๆ ละ 1-2 ชั่วโมง 

ส่วนท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มีจำนวน 8 สายการบิน ที่ได้รับผลกระทบและมีจำนวน 8 เที่ยวบิน เกิดการล่าช้าของเที่ยวบิน ๆ ละ 1-2 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม วิทยุการบินฯ ได้บูรณาการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับทางสายการบิน และท่าอากาศยาน เพื่ออำนวยความสะดวกและให้เกิดความปลอดภัยสูงสุดแก่ผู้โดยสารและอากาศยาน ตามที่กระทรวงคมนาคมได้ให้นโยบายเรื่องการอำนวยความปลอดภัยให้ประชาชน

ดร.อักษรศรี ชี้!! ระบบ Microsoft ล่ม สร้างความปั่นป่วนไปทั่วโลก แต่ไม่ทำให้ 'จีน' เกิดโกลาหล

(20 ก.ค.67) รองศาสตราจารย์ ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

วันที่ 19.07.2024 ปัญหาระบบ Microsoft  ล่ม !! สร้างความปั่นป่วนไปทั้งโลก 🌎 รวมทั้งไทย 🇹🇭แต่ไม่ได้ส่งผลกระทบสร้างความโกลาหลในประเทศจีน 🇨🇳 เนื่องจากบริการคลาวด์ของ Microsoft ในประเทศจีน เป็นการดำเนินการโดยบริษัทของจีน คือ 21Vianet  ซึ่งมีการตั้งค่าแยกจากโครงสร้างพื้นฐานระดับโลกของ Microsoft ดังนั้น การทำงานของ Microsoft's services ในจีน จะแตกต่างไปจาก global version   

ทั้งหมดนี้ เกิดจากรัฐบาลจีนออกกฎเหล็ก China's regulations on foreign cloud services กำหนดให้บริการคลาวด์จากต่างประเทศ ต้องดำเนินการโดยบริษัทของจีนเท่านั้น 
 
ดังนั้น จีนรอดและไม่เดือดร้อนเหมือนคนอื่นจากปัญหาระบบ Microsoft ล่ม ก็เพราะมี Separate infrastructure และมี Independent configurations นะคะ

FYI ไม่ใช่ไม่กระทบจีนเลย แม้ว่าสายการบินจีนที่บินระหว่างประเทศอาจจะโดนกระทบบ้าง แต่ระดับดีกรีของความเดือดร้อนจะไม่ลามเป็นวงกว้างปั่นป่วน  ไม่ทำให้คนจีนเดือดร้อนไปทั่วแบบที่คนในประเทศอื่น ๆ ต้องเจอกับความโกลาหลนะคะ (เมืองไทยโดนเป็นวงกว้าง ลามไปถึงระบบในโรงพยาบาล เช่น โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์)

ไม่พลาด!! ‘บริดจสโตน’ คว้าแบรนด์ยอดนิยมอันดับ 1 ประเภทยางรถยนต์ รางวัลแห่งความภาคภูมิจาก Marketeer No.1 Brand Thailand 2024

(20 ก.ค. 67) รายงานข่าวระบุว่า บริดจสโตนคว้ารางวัล ‘แบรนด์ยอดนิยมอันดับ 1 ของประเทศไทยประจำปี พ.ศ. 2567’ หรือ ‘Marketeer No.1 Brand Thailand 2024’ ประเภทยางรถยนต์ นับเป็นรางวัลแห่งความภาคภูมิใจและตอกย้ำความแข็งแกร่งของบริดจสโตนซึ่งครองอันดับหนึ่งในใจผู้บริโภคมาอย่างยาวนานเป็นปีที่ 13 จากการสํารวจความคิดเห็นของผู้บริโภคทั่วประเทศ โดยคุณโชทาโร่ คิตะมุระ ผู้อำนวยการสายงานธุรกิจยางรถยนต์นั่งและรถบรรทุกขนาดเล็ก บริษัท บริดจสโตนเซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เข้ารับรางวัลอันทรงเกียรติจากคุณเพิ่มพล โพธิ์เพิ่มเหม บรรณาธิการและผู้ก่อตั้งนิตยสาร Marketeer ณ ห้องฉัตราบอลรูม โรงแรมสยามเคมปินสกี้ กรุงเทพฯ

“นับเป็นเกียรติอย่างยิ่งจากเสียงสะท้อนของผู้บริโภคทั่วประเทศที่สนับสนุนให้บริดจสโตนเป็นแบรนด์ยางรถยนต์ยอดนิยมอันดับหนึ่ง ผมขอขอบคุณทุกความเชื่อมั่นและไว้วางใจที่มอบให้บริดจสโตนเสมอมา ความสำเร็จดังกล่าวยังต่อยอดเป็นแรงผลักดันให้ทีมงานของเราไม่หยุดยั้งพัฒนามาตรฐานการดำเนินงานต่อไปด้วย ‘ความมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศ’ บนพื้นฐานลูกค้าเป็นศูนย์กลางสำคัญ ควบคู่กับการสร้างคุณค่าร่วม เราพร้อมมุ่งมั่นพัฒนาและส่งมอบผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์พรีเมียม บริการ และโซลูชั่นที่ทันสมัยและหลากหลายให้ตอบสนองกับไลฟ์สไตล์การเดินทางอย่างลงตัว พร้อมกันนี้ เรายังพัฒนาเทคโนโลยียางสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อร่วมยกระดับการเดินทางที่ยั่งยืนและส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้คนไทย โดยทั้งหมดนี้ ถือเป็นความตั้งใจของเราที่จะยกระดับแบรนด์บริดจสโตนสู่ความพรีเมียมที่ยั่งยืน” คุณโชทาโร่ คิตะมุระ เผยหลังจากรับรางวัล

พิธีมอบรางวัล ‘แบรนด์ยอดนิยมอันดับ 1 ของประเทศไทย ประจำปี พ.ศ. 2567’ หรือ ‘Marketeer No.1 Brand Thailand 2024’ จัดขึ้นโดยนิตยสาร Marketeer อ้างอิงจากผลสำรวจของบริษัท มาร์เก็ตติ้ง มูฟ จำกัด ผู้ให้บริการด้านงานวิจัยและที่ปรึกษาทางธุรกิจ ในการสำรวจแบรนด์ยอดนิยมในสินค้าและบริการประเภทต่างๆ ของผู้บริโภคชาวไทย ประจำปี พ.ศ. 2567

>> เกี่ยวกับบริดจสโตน ประเทศไทย: บริดจสโตน ผู้นำระดับโลกด้านยางรถยนต์และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับยาง พร้อมนำเสนอโซลูชั่นด้านการเดินทางที่ปลอดภัยและยั่งยืน และสำหรับประเทศไทย บริษัท ไทยบริดจสโตน จำกัด คือหนึ่งในผู้ผลิตชั้นนำในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย และบริษัท บริดจสโตนเซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำด้านการนำเข้า จัดจำหน่าย และทำการตลาดยางรถยนต์ภายใต้แบรนด์บริดจสโตน, ไฟร์สโตน และเดย์ตันแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย บริดจสโตนเป็นแบรนด์ที่ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้า ตัวแทนจำหน่าย และพันธมิตรทางธุรกิจ เรานำเสนอกลุ่มผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์พรีเมียมที่หลากหลายและโซลูชั่นขั้นสูงซึ่งพัฒนาจากนวัตกรรมทางเทคโนโลยี เพื่อพัฒนาการเดินทาง, การใช้ชีวิต, การทำงาน และการพักผ่อนของผู้คนทั่วโลก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top