Saturday, 24 May 2025
TheStatesTimes

เปิดประวัติ ความสำคัญของ 'วันอาสาฬหบูชา' วันแรกที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศพระศาสนาแก่ชาวโลก

วันอาสาฬหบูชา เป็นวันสำคัญทางศาสนาพุทธนิกายเถรวาทและวันหยุดราชการในประเทศไทย คำว่า อาสาฬหบูชา ย่อมาจาก ‘อาสาฬหปูรณมีบูชา’ แปลว่า ‘การบูชาในวันเพ็ญเดือนอาสาฬหะ’ อันเป็นเดือนที่สี่ตามปฏิทินของประเทศอินเดีย ตรงกับวันเพ็ญ เดือน 8 ตามปฏิทินจันทรคติของไทย ซึ่งมักจะตรงกับเดือนกรกฎาคมหรือเดือนสิงหาคม แต่ถ้าในปีใดมีเดือน 8 สองหน ก็ให้เลื่อนไปทำในวันเพ็ญเดือน 8 หลังแทน

วันอาสาฬหบูชาได้รับการยกย่องเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เนื่องจากเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นเมื่อ 45 ปี ก่อนพุทธศักราช ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 คือวันอาสาฬหปุรณมีดิถี หรือวันเพ็ญเดือนอาสาฬหะ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี แคว้นกาสี อันเป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาคือ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตรแก่ปัญจวัคคีย์

การแสดงธรรมครั้งนั้น ทำให้พราหมณ์โกณฑัญญะ 1 ในปัญจวัคคีย์ ประกอบด้วย โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ เกิดความเลื่อมใสในพระธรรมของพระพุทธเจ้า จนได้ดวงตาเห็นธรรมหรือบรรลุเป็นพระอริยบุคคลระดับโสดาบัน ท่านจึงขออุปสมบทในพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา พระอัญญาโกณฑัญญะจึงกลายเป็นพระสาวกและภิกษุองค์แรกในโลก และทำให้ในวันนั้นมีพระรัตนตรัยครบองค์สามบริบูรณ์เป็นครั้งแรกในโลก คือ มีทั้งพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้วันนี้ถูกเรียกว่า ‘วันพระธรรม’ หรือ วันพระธรรมจักร อันได้แก่วันที่ล้อแห่งพระธรรมของพระพุทธเจ้าได้หมุนไปเป็นครั้งแรก และ ‘วันพระสงฆ์’ คือวันที่มีพระสงฆ์เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก และจัดว่าเป็น ‘วันพระรัตนตรัย’ อีกด้วย

เดิมนั้นไม่มีการประกอบพิธีการบูชาในเดือน 8 หรือวันอาสาฬหบูชาในประเทศพุทธเถรวาทมาก่อน จนมาในปี พ.ศ. 2501 การบูชาในเดือน 8 หรือวันอาสาฬหบูชาจึงได้เริ่มมีขึ้นในประเทศไทย ตามที่คณะสังฆมนตรี ได้กำหนดให้วันนี้เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาของประเทศไทยอย่างเป็นทางการเมื่อ พ.ศ. 2501 โดยคณะสังฆมนตรีได้มีมติให้เพิ่มวันอาสาฬหบูชาเป็นวันสำคัญทางศาสนาพุทธในประเทศไทย ตามคำแนะนำของ พระธรรมโกศาจารย์ (ชอบ อนุจารี) โดยคณะสังฆมนตรีได้ออกเป็นประกาศสำนักสังฆนายกเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2501 กำหนดให้วันอาสาฬหบูชาเป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนาพร้อมทั้งกำหนดพิธีอาสาฬหบูชาขึ้นอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยมีพิธีปฏิบัติเทียบเท่ากับวันวิสาขบูชาอันเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาสากล

อย่างไรก็ตาม วันอาสาฬหบูชาถือเป็นวันสำคัญที่กำหนดให้กับวันหยุดของรัฐเพียงแต่ในประเทศไทยเท่านั้น ส่วนในต่างประเทศที่นับถือพุทธศาสนานิกายเถรวาทอื่น ๆ ยังไม่ได้ให้ความสำคัญกับวันอาสาฬหบูชาเทียบเท่ากับวันวิสาขบูชา

สำหรับความสำคัญ ‘วันอาสาฬหบูชา’ ถือเป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาประกาศพระธรรมจักร (ฟัง) เป็นครั้งแรกแก่ปัญจวัคคีย์และ ‘เป็นวันที่บังเกิดมีพระสงฆ์ครบเป็นองค์พระรัตนตรัยครั้งแรกในโลก’

วันอาสาฬหบูชา หรือวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมที่ตรัสรู้เป็นครั้งแรก จึงถือได้ว่าวันนี้เป็น 'วันเริ่มต้นประกาศพระพุทธศาสนาแก่ชาวโลก  และด้วยการที่พระพุทธเจ้าทรงสามารถ แสดง เปิดเผย ทำให้แจ้ง แก่ชาวโลก ซึ่งพระธรรมที่ตรัสรู้ได้ จึงถือได้ว่าพระองค์ได้ทรงกลายเป็นสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยสมบูรณ์ คือทรงสำเร็จภารกิจแห่งการเป็นพระพุทธเจ้าผู้เป็น ‘สัมมาสัมพุทธะ’ คือเป็นพระพุทธเจ้าผู้สามารถแสดงสิ่งที่ตรัสรู้ให้ผู้อื่นรู้ตามได้ ซึ่งแตกต่างจาก ‘พระปัจเจกพุทธเจ้า’ ที่แม้จะตรัสรู้เองได้โดยชอบ แต่ทว่าไม่สามารถสอนหรือเปิดเผยให้ผู้อื่นรู้ตามได้ ด้วยเหตุนี้วันอาสาฬหบูชาจึงมีชื่อเรียกว่า ‘วันพระธรรม’

วันอาสาฬหบูชา เป็นวันที่ท่านโกณฑัญญะ ได้บรรลุธรรมสำเร็จพระโสดาบันเป็นพระอริยบุคคลคนแรก และได้รับประทานเอหิภิกขุอุปสมบทเป็นภิกษุองค์แรกในพระศาสนา และด้วยการที่ท่านเป็นพระอริยสงฆ์องค์แรกในโลกดังกล่าว พระรัตนตรัยจึงครบองค์สามบริบูรณ์เป็นครั้งแรกในโลก ด้วยเหตุนี้วันอาสาฬหบูชาจึงมีชื่อเรียกว่า ‘วันพระสงฆ์’

ดังนั้น วันอาสาฬหบูชา จึงถูกจัดขึ้นเพื่อเป็นการระลึกถึงวันคล้ายวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญของพระพุทธศาสนาดังกล่าว ซึ่งควรพิจารณาเหตุผลโดยสรุปจากประกาศสำนักสังฆนายกเรื่องกำหนดพิธีอาสาฬหบูชา ที่ได้สรุปเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในวันอาสาฬหบูชาไว้โดยย่อ ดังนี้...

1.เป็นวันแรกที่พระโคตมพุทธเจ้าทรงประกาศศาสนาพุทธ

2.เป็นวันแรกที่พระบรมศาสดาทรงแสดงพระธรรมจักร ประกาศสัจธรรม อันเป็นองค์แห่งพระสัมมาสัมโพธิญาณ

3.เป็นวันที่พระอริยสงฆ์สาวกองค์แรกบังเกิดขึ้นในโลก คือ พระอัญญาโกณฑัญญะ ได้รับประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทา ในวันนั้น

4.เป็นวันแรกที่บังเกิดสังฆรัตนะ สมบูรณ์เป็นพระรัตนตรัย คือ พระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ พระสังฆรัตนะ

สำหรับกิจกรรมที่ชาวพุทธในประเทศไทย และทั่วโลก นิยมทำในวันอาสาฬหบูชา มีดังนี้...

- ตักบาตรในตอนเช้า
- เวียนเทียนในตอนเย็น 
- ฟังพระธรรมเทศนา
- ถวายสังฆทาน
- ปฏิบัติธรรม

‘เฉลิม’ จ่อแจม 'พลังประชารัฐ' หลัง 'ลูกชาย' เตรียมเปิดตัววีกหน้า ลั่น!! หากถูก 'เพื่อไทย' ขับพ้นพรรคเมื่อไร พร้อมย้ายทันที

เมื่อวานนี้ (19 ก.ค.67) รายงานข่าวจากพรรคพลังประชารัฐเปิดเผยว่า ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง สส. บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ได้เข้าพบหารือกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่บ้านป่ารอยต่อ เพื่อพูดคุยกันถึงสถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ได้เชิญให้ ร.ต.อ.เฉลิม ย้ายไปอยู่ด้วยกันในพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งในเบื้องต้นมีรายงานว่า ร.ต.อ.เฉลิม ได้ตอบตกลงแล้ว อย่างไรก็ตาม ร.ต.อ.เฉลิม ยังย้ายไปร่วมไม่ได้ในขณะนี้เพราะยังเป็น สส. ของพรรคเพื่อไทยอยู่ แต่ถ้าพรรคเพื่อไทยมีมติขับออกจากพรรคก็จะย้ายไปอยู่ในทันที

นอกจากนี้ มีรายงานข่าวว่า นายวัน อยู่บำรุง บุตรชาย ร.ต.อ.เฉลิม ซึ่งได้ลาออกจากพรรคเพื่อไทยไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาจะไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ในสัปดาห์หน้าอีกด้วย

มุกดาหาร​ -​ตชด.234 มุกดาหาร เปิดยุทธการพิทักษ์ริมน้ำโขง ตรวจยึดรถยนต์ขณะเตรียมลักลอบข้ามโขง 4 คัน

เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม ที่กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 234 จังหวัดมุกดาหาร พ.ต.ท.วัฒนพล ดาแก้ว ผบ.ร้อย ตชด.234 แถลงผลการปฏิบัติตามแผนยุทธการพิทักษ์ริมน้ำโขงโดย พล.ต.ท.ยงเกียรติ มนปราณีต ผบช.ตชด. สามารถตรวจยึดรถยนต์ขณะเตรียมลักลอบนำข้ามแม่น้ำโขงส่งนายทุนรถยนต์เถื่อน สปป.ลาว จำนวน 4 คัน 

สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม เวลาประมาณ 20.00 น. พ.ต.ท.วัฒนพล ดาแก้ว ผบ.ร้อย ตชด.234 ได้รับแจ้งจากสายลับว่าพบรถยนต์ต้องสงสัยว่าจะนำมาจอดพักเพื่อรอทำการลักลอบส่งออกนอกราชอาณาจักร จอดอยู่บริเวณลานจอดรถหน้าศูนย์อาหารของปั้มน้ำมัน ปตท.คำป่าหลาย ต.คำป่าหลาย อ.เมืองมุกดาหาร  จะจ.มุกดาหาร  จำนวน 4 คัน จึงได้สั่งการให้ ร.ต.ท.ทองดี แก้วอาจ หน.ชุด ชปข.ร้อย ตชด.๒๓๔ พร้อมเจ้าหน้าที่รวม 12 นาย และหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ออกตรวจสอบตามที่ได้รับแจ้ง กระทั่งเวลาประมาณ 21.00 น. เจ้าหน้าที่ไปถึงจุดที่รับแจ้งพบรถยนต์กระบะ 4 ประตู จำนวน 4 คัน  คือ 1.รถยนต์กระบะ ยี่ห้อ อีซูซุ รุ่น ดีแม็กซ์  สีเทา ทะเบียน ขร 8542 ระยอง 2.รถยนต์กระบะ ยี่ห้อ โตโยต้า รุ่น ไฮลักซ์ รีโว่  ทะเบียน กจ 3614 ชัยนาท  3.รถยนต์กระบะ ยี่ห้อ อีซูซุ รุ่น ดีแม็กซ์  สีขาว ทะเบียน จค 9326 ชลบุรี 4.รถยนต์กระบะ ยี่ห้อ โตโยต้า รุ่น ไฮลักซ์ รีโว่ สีดำ ทะเบียน 5 กฮ 6989 กรุงเทพมหานคร ตรงตามที่สายลับให้ข้อมูลไว้ เจ้าหน้าที่จึงได้วางกำลังเฝ้าตรวจการณ์รอบบริเวณและได้สอบถามพนักงานปั๊มน้ำมันแต่ไม่มีใครทราบว่ารถยนต์ทั้ง 4 คันเป็นของผู้ใดซึ่งจอดอยู่นานแล้ว จนกระทั่งเวลาประมาณ 23.00 น. ไม่มีบุคคลใดมาแสดงตัวเป็นเจ้าของรถยนต์จำนวนดังกล่าว เจ้าหน้าที่จึงได้ร่วมกันทำการตรวจยึดรถยนต์ทั้ง 4 คัน จากการตรวจสอบพบว่า ประตูรถยนต์ทั้ง 4 คันไม่ได้ล็อคไว้ และมีกุญแจรถเสียบอยู่ภายในรถยนต์ทั้ง 4 คัน จึงได้ทำการนำรถยนต์ทั้งหมดกลับมาที่กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 234 เพื่อสืบสวนขยายผลและทำบันทึกการตรวจยึดเพื่อนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.คำป่าหลาย อ.เมืองมุกดาหาร จ.มุกดาหาร ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

‘มูลนิธิรามาธิบดี’ ระดมทุนสร้างอาคาร ‘โรงพยาบาลรามาธิบดี-ย่านนวัตกรรมโยธี’ เพิ่มศักยภาพ การให้บริการมาตรฐานสูง รองรับสถานการณ์โรคภัยในอนาคต

(20 ก.ค.67) มูลนิธิรามาธิบดี ขอเชิญร่วมเช่าบูชา (ลดหย่อนภาษี 2 เท่า) พระพุทธรูปทองคำ พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากรวัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร เพื่อระดมทุนสร้างอาคารโรงพยาบาลใหม่ โรงพยาบาลรามาธิบดี และย่านนวัตกรรมโยธี

ปัจจุบันคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีได้เปิดให้บริการทางการแพทย์และเป็นสถานบ่มเพาะบุคลากรด้านการแพทย์ในฐานะโรงเรียนแพทย์เป็นระยะเวลายาวนานมากกว่า 50 ปี แต่เนื่องด้วยอาคารเดิมของคณะฯ ที่เปิดให้บริการมานาน จึงมีสภาพทรุดโทรมและแออัด โครงสร้างเดิมของอาคารและระบบสาธารณูปโภคเสื่อมสภาพและมีข้อจำกัดด้านการปรับปรุงซ่อมแซม ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการบริการทางการแพทย์ต่อผู้ป่วยนอกที่มาใช้บริการทุกอาคาร ซึ่งปีหนึ่งมีจำนวนประมาณกว่า 2.4 ล้านคน

คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี จึงได้ริเริ่ม 'โครงการอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดี และย่านนวัตกรรมโยธี' โดยวางเป้าหมายเน้นการเพิ่มศักยภาพ และคุณภาพของการให้บริการทางการแพทย์เพื่อให้มีมาตรฐานทางการแพทย์ให้พร้อมรองรับสถานการณ์ความไม่แน่นอนของโรคในปัจจุบัน และในอนาคต โดยฉพาะอย่างยิ่งการเป็นต้นแบบของการรักษาโรคที่ซับซ้อน อาคารแห่งใหม่นี้สามารถรองรับผู้ป่วยได้เต็มศักยภาพของอาคารเดิม แต่มีประสิทธิภาพมากกว่า อีกทั้งให้ความสำคัญกับแนวคิดการทำงานแบบบูรณาการสหสาขาวิชาชีพของทุกภาควิชา และการคิดถึงใจผู้ป่วยว่าต้องการอะไร ตามแนวคิด 'เข้าใจเขา เข้าใจเรา เข้าใจทุก(ข์)คน' เพื่อให้บริการทางการแพทย์ที่ดีที่สุด

ขณะเดียวกันเพื่อยกระดับคุณภาพการบริการด้านสาธารณสุขและสุขภาพให้เข้าสู่ระดับสากล แข่งขันได้และเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community) ด้วยแนวคิดพัฒนาการบริการและนวัตกรรมทางการแพทย์สู่อุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต รองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น จึงเกิดแนวทางการบูรณาการความร่วมมือระหว่างองค์กร “ย่านนวัตกรรมโยธี (Yothi Medical Innovation District) หรือ YMID” เชื่อมโยงสถาบันทางการแพทย์เป็นเครือข่ายเพื่อใช้ทรัพยากรร่วมกันให้เกิดประโยชน์สูงสุด

อาคารโรงพยาบาลรามาธิบดีแห่งใหม่ สูง 25 ชั้น ตั้งอยู่บนพื้นที่ส่วนหนึ่งของด้านหน้าองค์การเภสัชกรรม ขนาด 15 ไร่ 2 งาน 24 ตารางวา มีพื้นที่ใช้สอยกว่า 278,000 ตารางเมตร ซึ่งมากกว่าพื้นที่ใช้สอยอาคารสมเด็จพระเทพรัตน์เกือบ 3 เท่า* การออกแบบและก่อสร้างให้ความสำคัญอย่างมากกับการคิดถึงใจผู้ป่วยว่าต้องการอะไร ตามแนวคิด 'เข้าใจเขา เข้าใจเรา เข้าใจทุก(ข์)คน' เพื่อให้บริการทางการแพทย์ที่ดีที่สุด มีหัวใจหลักในการให้บริการ 3 ส่วน ได้แก่...

1. การบริการรักษาพยาบาลผู้ป่วย (Public Service) สามารถให้บริการผู้ป่วยนอกได้ 2.5 ล้านคนต่อปี ผู้ป่วยใน 55,000 รายต่อปี ประกอบด้วย แผนกอายุรศาสตร์ แผนกศัลยศาสตร์ แผนกกระดูกและข้อ แผนกกุมารเวชศาสตร์ แผนกหูคอจมูก แผนกสูตินารีเวช แผนกรังสีวิทยา ศูนย์มะเร็งวิทยาครบวงจร หน่วยเวชระเบียน แผนกพยาธิวิทยา แผนกผ่าตัด หน่วยตรวจผู้ป่วยนอก หอผู้ป่วยในสามัญ หอผู้ป่วยพิเศษ และหอผู้ป่วยวิกฤต รวมประมาณ 1,000 เตียง (เตียงในห้องรวม ห้องเดี่ยว ห้องแยกโรคสำหรับผู้ป่วยภูมิคุ้มกันต่ำ ห้องความดันลบ และห้องผู้ป่วยวิกฤต) ผู้ป่วยสามารถเบิกจ่ายตามสิทธิ์สามัญเหมือนอาคารเดิม แต่ได้รับการบริการที่มีคุณภาพ และความเป็นส่วนตัวมากขึ้น

ศักยภาพและคุณภาพที่เพิ่มขึ้นด้านการบริการทางการแพทย์ อาทิ...

- ห้องพักผู้ป่วยใน จำนวน 826 เตียง แบ่งเป็น ห้องเดี่ยวสามัญ 185 เตียง ห้องรวม 621 เตียง โดยมีจำนวนเตียงสูงสุดเพียง 4 เตียง ไม่มีห้องรวมสิบหรือยี่สิบเตียง ทำให้ผู้ป่วย มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น ไม่แออัด มีหน้าต่างขนาดใหญ่ทำให้ได้รับแสงจากภายนอกได้อย่างเพียงพอ ทำให้ไม่หดหู่ และสามารถควบคุมหรือลดการแพร่เชื้อได้ดีขึ้น และมีห้องพักเดี่ยวพิเศษ 20 เตียง

- ห้อง ICU เดิมมีประมาณ 100 เตียง ได้ปรับเป็น ICU ห้องเดี่ยวทั้งหมดจำนวนประมาณ 240 เตียง สืบเนื่องจากสถานการณ์สังคมผู้สูงอายุที่ผู้ป่วยมีชีวิตยาวนานขึ้น โรคมีความซับซ้อนมากขึ้น ผู้ป่วยสามารถมองเห็นด้านนอก ตามคอนเซ็ปต์ Healing Environment ทำให้ผู้ป่วยมีกำลังใจช่วยกระตุ้นให้ฟื้นตัวเร็วขึ้น

- ห้องผ่าตัด (OR) เดิมมี 44 ห้อง ได้เพิ่มเป็นประมาณ 50 ห้อง ด้วยพื้นที่มาตรฐานเน้นการบูรณาการผ่าตัดรองรับโรคซับซ้อน ซึ่งเป็นกลุ่มโรคที่รามาธิบดีมีความเชี่ยวชาญ เน้นการผ่าตัดที่ทุกภาควิชาใช้เครื่องมือร่วมกัน (Shared Facility) เช่น...

>> OR Hybrid มี 2 ห้อง Vascular (หลอดเลือด) และ Neuro (เส้นประสาท)
>> Robotic Surgery (การใช้หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด) ดูแลการผ่าตัดศัลยกรรม สูตินรีเวช และหูคอจมูก (ENT)
>> Day Procedure Center ศูนย์การผ่าตัดแบบไม่นอนโรงพยาบาล รองรับแนวโน้มการบริการทางด้านสุขภาพในอนาคตที่เน้น Home Therapy เพิ่มมากขึ้น เช่น แผนกตา กระดูก สูติ หูคอจมูก

- ห้องสวนหลอดเลือดหัวใจ (Cath Lab) มีห้องผ่าตัดเฉพาะทาง และห้อง CCU สำหรับผู้ป่วยวิกฤตที่ป่วยด้วยโรคเกี่ยวกับระบบหัวใจและหลอดเลือดโดยเฉพาะ

- หน่วยตรวจผู้ป่วยนอก (OPD) มี 4 ชั้น จำนวนห้องตรวจรวมประมาณ 325 ห้อง ด้วยคอนเซ็ปต์ที่นึกถึงผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง จึงพัฒนาจุดบริการ One Day Service สำหรับผู้ป่วยก่อนผ่าตัด จัดโซนพื้นที่ให้บริการรูปแบบใหม่

>> Imaging Center รวมเครื่อง X-ray, , Ultrasound, CT scan, MRI ให้บริการแบบ 24 ชั่วโมง ไม่มีวันหยุด เพื่อลดระยะเวลารอคอยการตรวจ
>> Patient Operation Center รวมศูนย์การให้บริการผู้ป่วยก่อนการผ่าตัดที่ต้องพบกับแพทย์หลายด้าน เช่น วิสัญญีแพทย์ แพทย์เวชศาสตร์ แพทย์เฉพาะทาง เน้นผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง ลดการเคลื่อนที่ของผู้ป่วยเพื่อเพิ่มความสะดวกและประหยัดเวลา
>> Intervention Center ศูนย์การให้บริการรักษาแบบไม่ต้องผ่าตัด เช่น การสวนขยายหลอดเลือดสมองและหลอดเลือดส่วนอื่นๆ การเจาะชิ้นเนื้อส่งตรวจ เป็นต้น

อีกหนึ่งจุดเด่นคือ มีจุดรับส่งผู้ป่วยที่ยาวมากถึง 140 เมตร ตอบโจทย์การคิดถึงใจผู้ป่วยที่อยากถึงมือหมอโดยเร็วที่สุด มีทางเชื่อม Skywalk เข้าอาคารชั้นสอง เชื่อมต่อกับศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตน์และสะพานลอย ซึ่งในอนาคตมีแผนเชื่อมกับรถไฟฟ้าที่จะมาถึงด้วย

2. การเรียนการสอนบุคลากรการแพทย์ (Education) ทุกตารางนิ้วของโรงพยาบาลแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของห้องเรียนขนาดใหญ่ที่บ่มเพาะผลิตบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข และผลิตนักศึกษา จำนวน 950 คนต่อปี ให้พร้อมด้วยความรู้ และความเชี่ยวชาญในการดูแลผู้ป่วยต่อไปในอนาคต โดยมีการจัดพื้นที่ให้มีการศึกษา พูดคุยระหว่างผู้เรียนกับผู้สอนอย่างเหมาะสมกลมกลืนกับการปฏิบัติงาน และยังเตรียมพื้นที่สำหรับการใช้ชีวิตของบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องตรากตรำทำงานจนเกือบต้องใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ภายในอาคารแห่งนี้ เช่น จัดพื้นที่ห้องทำงานแบบ Co-Working Space ห้องประชุม ห้องรับประทานอาหารและห้องพักสำหรับผู้อยู่เวรอย่างเหมาะสมเพียงพอ

3. การวิจัย (Research) โครงการนี้มุ่งส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการทางการแพทย์แก่ผู้ป่วยทุกระดับชั้น ควบคู่ไปกับการผลิตบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่มีความรู้และเชี่ยวชาญระดับสูงให้มีศักยภาพสูงเพื่อดูแลสุขภาพของประชากรไทย ตลอดจนการผนึกกำลังกับเครือข่ายการแพทย์และวิทยาศาสตร์สุขภาพในย่านนวัตกรรมการแพทย์โยธี (YMID) เพื่อนำมาสู่การสร้างนวัตกรรมด้านการแพทย์ ชีวการแพทย์ และการดูแลสุขภาพที่สามารถนำไปต่อยอดและเป็นประโยชน์ทางด้านสาธารณสุขของประเทศในระยะยาว จึงได้จัดสรรพื้นที่แห่งการวิจัย ประกอบด้วย ศูนย์พัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ (MIND CENTER), Co- Working Space, Clinical Research Center เป็นต้น

ทั้งนี้ คาดว่าโครงจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการได้ในปี 2573 ซึ่งขณะนี้โครงการอยู่ระหว่างการดำเนินการเตรียมก่อสร้าง โดยทางภาครัฐให้การสนับสนุนงบประมาณส่วนหนึ่ง อย่างไรก็ตามยังขาดงบในส่วนค่าก่อสร้างอาคารอีกประมาณ 6,000 ล้านบาท และยังมีอุปกรณ์การแพทย์ที่มีมูลค่าสูงเพื่อเสริมสร้างศักยภาพการให้การบริการในการรองรับผู้ป่วยที่มีความซับซ้อนได้อย่างเหมาะสมนั้นจำเป็นต้องมีอุปกรณ์ทางการแพทย์เหล่านี้ซึ่งขาดงบประมาณอีกกว่า 3,000 ล้านบาท 

ดังนั้นคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีจึงต้องจัดหางบประมาณเพิ่มเติมผ่านการให้บริการทางการแพทย์ในคลินิกต่าง ๆ และการระดมทุนจากผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคกับมูลนิธิรามาธิบดีฯ

***หมายเหตุ: อาคารสมเด็จพระเทพรัตน์ อาคารสูง 9 ชั้น เนื้อที่ 7 ไร่ 2 งาน พื้นที่ใช้สอย 94,584 ตารางเมตร โรงพยาบาลรามาธิบดีจักรีนฤบดินทร์  อาคารสูง 7 ชั้น เนื้อที่ 319 ไร่ 1 งาน พื้นที่ใช้สอย 218,825 ตารางเมตร

ติดตามรายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.ramafoundation.or.th/ramagoldenbuddha?ldtag_cl=hrpQO6xyR8W56ZUd0uGpOAAA_oa

‘นายกฯ’ พร้อมเดินหน้า 10 โครงการเฉลิมพระเกียรติในนามรัฐบาล ครอบคลุม ‘ดิน-น้ำ-ป่า-คน’ เพื่อคนไทย ตามรอยพ่อหลวงแห่งแผ่นดิน

(20 ก.ค.67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ ‘คุยกับเศรษฐา’ ตอนพิเศษ เนื่องในโอกาสปีมหามงคล ถึงการจัดทำ 10 โครงการเฉลิมพระเกียรติในนามรัฐบาล เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 72 พรรษา 28 กรกฎาคม 2567 ผ่านทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย NBT ว่า ในภาคที่เป็นนักธุรกิจเป็นเอกชน หรือเป็นประชาชนธรรมดาคนหนึ่งที่ติดตามข่าว ช่วงเวลา 20.00 น. จะได้ทราบว่ามีโครงการอะไรบ้าง แต่พอลงพื้นที่ในฐานะนายกรัฐมนตรี มีหลากหลายหน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการพระราชดำริ

ได้รับทราบในเชิงลึก ทำให้เราทราบถึงความยากลำบากที่ต้องใส่ใจและใส่เงิน คิดถึงผลกระทบต่อประชาชนเชิงบวก ทั้งเรื่องปากท้อง การเปลี่ยนแปลงอาชีพ เปลี่ยนจากเรื่องถูกกฎหมายมาเป็นถูกกฎหมาย เรื่องของที่ดินทำกิน

นายเศรษฐา กล่าวว่า ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 9 พระองค์เสด็จลงพื้นที่เยอะมาก และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ทรงเป็นห่วงประชาชนที่มีความลำบาก ไกลความเจริญชีวิตความเป็นอยู่ของพสกนิกรต้องพึ่งพาการเกษตร ไม่ใช่การทำมาหากินเพียงอย่างเดียว การประกอบอาชีพไม่เหมือนกัน ฉะนั้นในเรื่องน้ำ การปลูกป่า ระบบสาธารณสุขและการศึกษาสามารถร้อยเรียงให้เป็นเรื่องเดียวกันและทำให้พสกนิกรมีความเป็นอยู่ที่ดีกว่า

นายกฯ กล่าวว่า เนื่องในปีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 72 พรรษา 28 กรกฎาคม ถือเป็นโอกาสที่ดีที่พสกนิกรจะร่วมกันเฉลิมฉลองในปีมหามงคลโดยที่เราจะน้อมนำโครงการพระราชดำริต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องดิน น้ำ ป่า คน มาบรรจุเข้าไปในโครงการที่รัฐบาลทำขึ้นร่วมกับภาคเอกชนและองค์กรต่าง ๆ มีการพูดคุยและคัดเลือกกว่า 600 โครงการ มาเป็น 10 โครงการหลัก ส่วนอีก 500 กว่าโครงการ ยังทำอยู่ทุกอย่างที่เกี่ยวกับป่า น้ำ คน

ในส่วนของป่า มีการยกระดับบึงหนองบอน และ Pocket Park 72 แห่ง โดยบึงหนองบอน ติดกับสวนหลวง ร.9 รัฐบาลได้เข้าไปสำรวจและพัฒนาให้เป็นสวนสาธารณะใหญ่ เนื่องจากพื้นที่มีต้นไม้และสระน้ำใหญ่ พร้อมในการพัฒนาให้เป็นศูนย์สุขภาพ ซึ่งพื้นที่เหล่านี้จะเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจให้กับประชาชน ที่ปัจจุบันที่มีที่อยู่อาศัยคับแคบให้มีที่ผ่อนคลายและออกกำลังกาย มีสวนสาธารณะและสนามกีฬาเล็ก ๆ ให้เด็กและเยาวชนได้ออกกำลังกาย Pocket Park 72 แห่ง

นอกจากนั้น ยังมีโครงการ 72 ล้านต้นพลิกฟื้นผืนป่า ที่แจกต้นกล้าในหน่วยงานต่าง ๆ นำไปปลูกทุกจังหวัดทั่วประเทศ เนื่องจากสภาพแวดล้อมเป็นเรื่องสำคัญ ที่ผ่านมามีการทำไร่เลื่อนลอยซึ่งรัฐบาลพยายามแก้ไขตรงนี้ควบคู่ไปกับการทำมาหากินเมื่อมีการตัดป่าก็ต้องปลูกทดแทน เพื่อให้ระบบนิเวศสมบูรณ์รักษาหน้าดินและทำให้เกิดฝนธรรมชาติ

โดย ผลสำเร็จที่ประชาชนจะได้รับนอกจากจะทำให้ระบบนิเวศสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ยังรักษาหน้าดินมีฝนตก ทำให้เกิดแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ และมีมิติในการดูแลเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

นายเศรษฐา กล่าวว่า สำหรับปัญหาที่เกี่ยวกับน้ำ รัฐบาลมีเป้าหมายและมีโครงการเฉลิมพระเกียรติหลายมิติ ให้ไม่ท่วม ไม่แล้ง โดยทุกรัฐบาลให้ความสำคัญ รัฐบาลนี้ไม่ได้โฟกัสแค่การสร้างสาธารณูปโภค เช่น สนามบินหรือแลนด์บริดจ์ อย่างเดียว แต่ทำเรื่องน้ำ หากไม่ทำจะกระทบกับประชาชน 10 ล้านคนที่พึ่งการเกษตร เรื่องนี้ถ้าทำได้จะมีมูลค่าทั้งเศรษฐกิจมโหฬาร เราจึงให้ความสำคัญอย่างยิ่ง รวมถึงน้ำบริโภค มี ‘โครงการน้ำบาดาล แก้ปัญหาภัยแล้งอันเนื่องมาจากพระราชดำริ’ ที่ต้องพึ่งพาค่อนข้างมาก เช่น ที่เชียงใหม่ ลำพูน เรื่องน้ำบาดาลจะดูเรื่องสายส่ง เพราะน้ำบาดาลไม่ใช่แค่เจาะเท่านั้น แต่สายส่งเป็นเรื่องสำคัญ บางแห่งทำมาหลายปีแต่สายส่งไม่มีเรื่องนี้ราชเลขาธิการประจำพระองค์ระบุว่ายังขาดงบประมาณ เราลงทุนเจาะน้ำบาดาลไปหลายสิบล้าน แต่เสียหายหลายร้อยล้าน หากทำได้ครอบคลุมจะทำให้มีสายส่งไปที่โรงพยาบาล และโรงเรียนได้ จึงต้องทำเพื่อเฉลิมพระเกียรติ และยังมี ‘โครงการพัฒนา 72 สายน้ำอย่างยั่งยืน’ ที่จะปรับปรุงพัฒนาสายน้ำให้กับเกษตรกรและประชาชนคนไทยได้รับผลประโยชน์จากการมีน้ำอุปโภคบริโภค หรือการท่องเที่ยว ส่วนสายน้ำที่ตื้นเขิน ได้ทำการขุดลอกขยะและตะกอน เพื่อให้ระบายน้ำ เรามีการปรับปรุงทั้ง72สายน้ำ

นอกจากนั้นยังพัฒนา ‘10 คลองสวย น้ำใส คนไทยมีสุข’ เช่น คลองเปรมประชากรมีการขุดลอกคลองและเก็บขยะโดยเฉพาะพื้นที่ชุมชนริมคลองมีการพัฒนาและจัดที่อยู่อาศัยให้เป็นสัดส่วน มีที่สัญจร คลองโอ่งอ่าง ทางกระทรวงกลาโหมและกระทรวงมหาดไทย ช่วยดูแลน้ำใสมีปลา และเกิดเป็นแหล่งท่องเที่ยว สมัยก่อนกรุงเทพเป็นเวนิสตะวันออก แต่ช่วงหลังก่อนที่พระองค์ท่านจะมีพระราชดำริดูแลเรื่องคลองน้ำใส คลองมีความขุ่นและมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ จึงเกิดโครงการนี้ทำให้คลองใสประชาชนริมคลองมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และเป็นแหล่งท่องเที่ยว มีร้านอาหารเกิดขึ้นหลายแห่ง ทั้งนี้การเข้าไปปรับปรุงต้องสร้างความเข้าใจในการเข้าไปปรับปรุงและพัฒนา ต้องพูดคุยกับประชาชนเพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เพราะบางครั้งการมีชีวิตความเป็นอยู่ริมคลอง การที่ไปขอให้ขยับและไร้ที่อยู่ก็ต้องมีปัจจัยเรื่องเงินเข้าไปช่วยเหลือ จึงต้องทำความเข้าใจว่าหากทุกครัวเรือนร่วมมือร่วมใจการพัฒนาพื้นที่ให้เป็นสัดส่วน ชีวิตความเป็นอยู่ก็จะดีขึ้นและมีรายได้เสริมที่ดีขึ้นด้วย

นายเศรษฐา กล่าวว่า หัวใจของการแก้ปัญหาเรื่องน้ำอยู่ที่ความเข้าใจของประชาชนทุกคน เพราะเราทุกคนเป็นเจ้าของพื้นที่ตรงนั้น เราเข้าใจวิถีชีวิตการดำเนินชีวิตของเขา และขอความร่วมไปพร้อมกัน เช่น การทิ้งขยะ ที่ต้องช่วยกันในระยะหลังขยะน้อยลงไปมีการจัดเก็บที่ดีขึ้น ทางผู้ว่าฯ กทม.ได้ใช้อุปกรณ์นำเครื่องจากสวิตเซอร์แลนด์ดูดหน้าดินที่มีแก๊สไข่เน่า นำมาเข้ากระบวนการบำบัดน้ำ แยกขยะออกจากดิน และดินนำไปทำเป็นปุ๋ย น้ำกลับคืนสู่แหล่งน้ำโดยใช้เวลาการดำเนินการ 2 เดือนต่อ 1 กิโลเมตร ทำให้สภาพแวดล้อมทุกอย่างดีขึ้นโดยยึดหลัก เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา ในการทำงาน

นายกฯ กล่าวว่า ขณะที่การลดความเหลื่อมล้ำ ยกระดับพัฒนาชีวิต กับโครงการในหมวดของคน จากการที่ตนลงพื้นที่พบว่าประชาชนสะท้อนปัญหาหลายเรื่อง เช่น สาธารณสุข ซึ่งเรามี ‘โครงการยกระดับรพ.สมเด็จพระยุพราช โรงพยาบาลชุมชน เฉลิมพระเกียรติ รพ.ชัยพัฒน์เฉลิมพระเกียรติ และหน่วยบริการปฐมภูมิ 72 แห่ง’ เช่น จ.สระแก้ว ได้เพิ่มอุปกรณ์และต่อเติมอาคาร นอกจากนั้นยังมี ‘โครงการหลอมรวมใจ มอบน้ำใสสะอาดให้โรงเรียน’ เนื่องจากเรื่องน้ำมีความสำคัญและค่าใช้จ่ายในการใช้น้ำดื่มค่อนข้างสูงเราจึงต้องมาทำน้ำให้ใสสามารถใช้อุปโภคบริโภคให้ได้

นายเศรษฐา กล่าวว่า ขณะที่ปัญหาที่ดินทำกิน ซึ่งเป็นปัญหามากและต้นทุนทำอะไรได้หลายอย่างขณะนี้ได้ทำงานร่วมกับกองทัพมอบที่ดิน 72,000 ไร่ให้กับประชาชนโดยจะ click ออฟที่จ.นครพนมเป็นการพัฒนาที่ดินและที่อยู่อาศัย ซึ่งรัฐบาลพยายามดูคนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะคนพิการในการหากายอุปกรณ์ให้กับผู้พิการ 72,000 ชุด นอกจากนั้นยังดูแลและซ่อมแซมอุปกรณ์มอบรถวีลแชร์ จากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อยกระดับคนพิการ ผู้ป่วยติดเตียง หรือทุพพลภาพในบางมิติ สามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีเกียรติมีศักดิ์ศรี

นอกจากนั้นด้านการแพทย์ยังมีโครงการบริจาคโลหิต 10 ล้านซีซี ที่มีคนต้องการโลหิตจำนวนมาก ดังนั้นการที่เราเข้ามาให้เป็นเรื่องสำคัญโดยภาครัฐร่วมกับเอกชน ให้มีจิตสำนึกในตรงนี้ โดยจะเปิดบริจาคโลหิตไปจนถึงสิ้นปี 2567 โดยประชาชนสามารถบริจาคได้ที่โรงพยาบาลรัฐและสภากาชาดไทย

นายเศรษฐา กล่าวว่า รัฐบาลเปิดกว้างให้ประชาชนมีส่วนร่วมกับภาครัฐและภาคเอกชนทั้ง 10 โครงการ หรือโครงการย่อยกว่า 500 โครงการ ขอเชิญชวนให้เข้ามามีส่วนร่วมและขณะนี้ได้รับการตอบรับอย่างดี ทุกหน่วยงานเข้ามามีส่วนร่วมเป็นอย่างดี ทั้งเรื่องของป่า น้ำ คน ทำให้ผู้ที่ด้อยโอกาสยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของตัวเองขึ้นมาได้

“รัฐบาลมีเป้าหมายพัฒนาต่อเนื่องใน 10 โครงการหลัก จะดำเนินการไปต่อเนื่องถึงปลายปีนี้ และในวาระอื่น ๆ รัฐบาลยังช่วยสนับสนุนทั้งเรื่องน้ำ เรื่องป่า และคน ต่อไป โดยน้อมนำหลักการทรงงานของพระองค์ท่าน ที่ทรงงานอย่างหนักลงพื้นที่และลงรายละเอียดด้วยตัวพระองค์เอง รัฐบาลได้ศึกษาและติดตามโครงการพระราชดำริต่าง ๆ เมื่อตนลงไปในพื้นที่ได้เข้าถึงและเข้าใจเช่น เรื่องป่า รัฐบาลจะขับเคลื่อนหน่วยงานต่าง ๆ ที่อยู่ภายใต้รัฐบาล รวมทั้งวิสาหกิจ และภาคเอกชน ให้ร่วมกันต่อยอดโครงการพระราชดำริ ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดไม่ได้” นายเศรษฐา กล่าว

‘ธนกร-รวมไทยสร้างชาติ’ ค้านสุดลิ่ม!! นิรโทษกรรม สอดไส้ ‘ม.110-112’ เชื่อ!! คนทำผิดหาข้ออ้างรอดไม่ยากและสุดท้ายก็ได้นิรโทษกรรม

(20 ก.ค.67) นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สส.แบบบัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรม สภาผู้แทนราษฎร เตรียมจัดทำรายงานเสนอต่อที่ประชุมสภาภายในเดือนก.ค.นี้ 

โดยมองว่า หากจะมีการเสนอสภาให้ตรากฎหมายนิรโทษกรรม แก่การกระทำที่มีเหตุแรงจูงใจทางการเมือง ตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน แต่ไม่นิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำความผิดต่อชีวิต และความผิดที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง 2 ประเด็นแรกนั้น ตนเห็นด้วย หากเป็นการกระทำที่ไม่รุนแรงถึงขั้นชีวิต แต่ควรพิจารณาในรายละเอียดอย่างรอบคอบ ตามหลักกฎหมาย เชื่อว่าจะสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นแก่ทุกฝ่ายได้

ส่วนการกระทำผิดที่เกี่ยวกับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 110 และ มาตรา 112 ที่เกี่ยวกับการหมิ่นประมาท พระมหากษัตริย์ พระราชินี และรัชทายาทฯ นั้น กรรมาธิการมีเสียงแตก เห็นเป็น 3 แนวทาง แนวทางแรก เห็นว่าไม่ควรนิรโทษกรรม แนวทางที่ 2 นิรโทษกรรมให้โดยไม่มีเงื่อนไข และแนวทางที่ 3 นิรโทษกรรมให้แบบมีมาตรการเงื่อนไขนั้น 

โดยนายธนกร เห็นว่า หากจะมีการนิรโทษกรรมให้กับผู้กระทำความผิด ที่ก้าวล่วงสถาบันฯ ตามมาตราดังกล่าว อาจเข้าข่ายขัดต่อรัฐธรรมนูญ หมวด 2 เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ ในหลายมาตรา เช่น มาตรา 6 ที่ระบุชัดว่า ‘องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้’ ซึ่งจะเท่ากับว่ากฎหมายที่สภาจะตราออกมาใหม่เรื่องการนิรโทษกรรม ส่อไปขัดต่อรัฐธรรมนูญเสียเอง และทำให้ไม่ผ่านการพิจารณาถูกตีตกในสภาได้ 

นอกจากนั้น อาจเป็นการเปิดช่องให้คนนำเหตุผลมาอ้างว่า ทำลงไปเพราะมาจากแรงจูงใจทางการเมือง ถูกชักจูงโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จนทำให้คนไม่เกรงกลัวกฎหมาย ทำผิดซ้ำอีก เพราะสุดท้ายก็ได้นิรโทษกรรม แบบนี้ถือว่าเป็นความลักลั่นทางกฎหมาย เปิดช่องให้คนทำผิดมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องที่เปราะบาง เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์แล้ว ถือเป็นเรื่องอันตรายมาก เพราะเป็นความมั่นคงของชาติ

“พรรครวมไทยสร้างชาติ นำโดยนายพีระพันธ์ุ สาลีรัฐวิภาค ได้ย้ำจุดยืนมาตลอดแล้วว่า กฎหมายนิรโทษกรรม เราคัดค้าน จะต้องไม่รวมคดีประมวลกฎหมายอาญามาตรา 110 และ 112 เด็ดขาด เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งชาติ ใครจะดูหมิ่นก้าวล่วงไม่ได้ ซึ่งการจะตรากฎหมายใดออกมาก็ตาม ต้องพิจารณาให้รอบคอบ ยึดประโยชน์ประเทศชาติเป็นหลัก ไม่เอาพวกพ้องเป็นใหญ่ หากดันทุรังผลักดันเรื่องนี้ในสภา เชื่อว่าสส.ผู้แทนที่มาจากประชาชนทุกคน ไม่ยอมแน่ หากกระทำความผิดก็ต้องยอมรับและเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม” นายธนกร ระบุ

สมุทรปราการ-เทศบาลเมืองแพรกษาใหม่ ร่วมกับชุมชนแห่เทียนพรรษาเนื่องในวันเข้าพรรษาวัดน้อยสุวรรณาราม

นายอำนวย บุญริ้ว นายกเทศมนตรีเมืองแพรกษาใหม่ เป็นประธาน นำคณะผู้บริหาร คณะสมาชิกสภาเทศบาล หัวหน้าส่วนราชการ พนักงาน และข้าราชการ สำนักงานเทศบาลเมืองแพรกษาใหม่ร่วมแห่เทียนพรรษา โดยมี สจ.ชนะ หงวนงามศรี รองประธานสภา อบจ.สมุทรปราการ สจ.มณิฐกานต์ บุญริ้ว สมาชิกสภาอบจ.สมุทรปราการ กำนันธนสัน วสันต์ กำนันตำบลแพรกษาใหม่ แพทย์ประจำตำบล ชาวชุมชนพฤกษา 15 พฤกษา 28 สมาชิกกลุ่มพัฒนาแพรกษาใหม่ ตลอดจนคณะครู นักเรียนโรงเรียนวัดคลองเก้า โรงเรียนอนุบาลแพรกษาใหม่ กลุ่มแม่บ้านสตรี พี่น้องประชาชน ในพื้นที่ตำบลแพรกษาใหม่ ร่วมแห่เทียนพรรษา พร้อมทั้งถวายผ้าป่าสามัคคี เนื่องในวันเข้าพรรษา ประจำปี 2567 ณ วัดน้อยสุวรรณาราม (วัดคลองเก้า) ต.แพรกษาใหม่ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ 

โดยได้รับความเมตตาจากพระครูสุวรรณสิทธิธาดา เจ้าคณะตำบลบางปู เจ้าอาวาสวัดน้อยสุวรรณาราม เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และสำหรับกิจกรรมแห่เทียนพรรษาและการถวายผ้าป่าสามัคคี ประจำปี 2567 ในครั้งนี้ ทางเทศบาลเมืองแพรกษาใหม่ ร่วมกับชาวชุมชนตำบลแพรกษาใหม่ จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยนำเทียนพรรษาพร้อมทั้งผ้าอาบน้ำฝน เครื่องสังฆทาน จตุปัจจัยไทยธรรม นำมาถวายแด่พระสงฆ์ เพื่อเป็นพุทธบูชาในช่วงเทศกาลวันเข้าพรรษา ตลอดระยะเวลา 3 เดือน 

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการอนุรักษ์ และส่งเสริมประเพณีไทยปลูกฝั่งให้เด็กและเยาวชนได้รู้จักปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ ในวันสำคัญทางพุทธศาสนาอย่างถูกต้องตลอดจนเพื่อเป็นการสร้างความรัก ความสามัคคี ในหมู่คณะ ระหว่างเทศบาลเมืองแพรกษาใหม่ กับคนในชุมชนได้อีกด้วย

สมุทรปราการ- 'สส.ยงยุทธ' ควงคู่ 'นายกอรัญญา' เลี้ยงอาหารกลางวันเด็กนักเรียนร่วม 2,000 คน เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันเกิด

ท่าน ดร.ยงยุทธ สุวรรณบุตร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมัยที่ 25 พร้อมด้วย นางอรัญญา สุวรรณบุตร นายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา ได้เดินทางไปเลี้ยงอาหารกลางวันแก่เด็กนักเรียนโรงเรียนวัดแพรกษา เนื่องในโอกาสครบรอบวันคล้ายวันเกิด ดร.ยงยุทธ สุวรรณบุตร 

ท่าน ดร.ยงยุทธ สุวรรณบุตร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมัยที่ 25 และที่ปรึกษากิตติมศักดิ์นายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา พร้อมด้วย นางอรัญญา สุวรรณบุตร นายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา นำคณะผู้บริหาร คณะสมาชิกสภาเทศบาลตำบลแพรกษา เดินทางไปยังโรงเรียนวัดแพรกษา ต.แพรกษา อ.เมือง สมุทรปราการ โดยได้ร่วมกันแจกอาหารกลางวัน ขนมปัง พร้อมทั้งไอศครีมแก่เด็กนักเรียนโรงเรียนวัดแพรกษา จำนวน 1,622 คน เนื่องในโอกาสครบรอบวันคล้ายวันเกิดท่าน ดร.ยงยุทธ สุวรรณบุตร ซึ่งตรงกับวันที่ 22 กรกฎาคม 2567 ที่จะถึงนี้

โดยมีทางคณะครู ผู้ปกครอง และนักเรียนโรงเรียนวัดแพรกษาร่วมให้การต้อนรับ ทั้งนี้ทางคณะครู ผู้ปกครองและเด็กนักเรียนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลและชั้นมัธยมร่วมร้องเพลงอวยพรวันคล้ายวันเกิดให้กับทางท่าน ดร.ยงยุทธ สุวรรณบุตร ทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเด็กๆ 

อีกทั้งทาง ดร.ยงยุทธ สุวรรณบุตร และนางอรัญญา สุวรรณบุตร นายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา ได้มอบเงินให้แก่นักเรียน นักดนตรีของโรงเรียนวัดแพรกษา จำนวน 10,000 บาท เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้แก่นักเรียนโรงเรียนวัดแพรกษาอีกด้วย พร้อมทั้งได้กล่าวชื่นชมและขอให้เด็กนักเรียนทุกคนจงตั้งใจศึกษาเล่าเรียนและเป็นคนดีของครอบครัวต่อไป

ผบ.ตร.สั่งการทุกหน่วยดูแลความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกการจราจรช่วงวันหยุดยาว เตือนผู้ประกอบการห้ามจำหน่ายสุราในห้วงวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา กำชับตำรวจบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด

เนื่องด้วยห้วงนี้เป็นห้วงวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา โดยวันนี้ (20 กรกฎาคม 2567) เป็นวันอาสาฬหบูชา , วันอาทิตย์ 21 กรกฎาคม 2567 เป็นวันเข้าพรรษา และมีวันหยุดชดเชยในวันจันทร์ที่ 22 กรกฎาคม 2567 จึงทำให้มีวันหยุดต่อเนื่องคือวันที่ 20 - 22 กรกฎาคม 2567 คาดว่าจะมีพี่น้องประชาชนเดินทางไปประกอบศาสนกิจ กลับภูมิลำเนา หรือเดินทางท่องเที่ยวจำนวนมาก สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เตรียมแผนปฏิบัติเพื่อดูแลความปลอดภัย ความสงบเรียบร้อย และอำนวยความสะดวกด้านการจราจร อย่างเข้มข้น

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) สั่งการให้ทุกหน่วยทั่วประเทศ ดำเนินการตามมาตรการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้การป้องกันปราบปรามอาชญากรรม การรักษาความสงบเรียบร้อย การป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน และการอำนวยความสะดวกการจราจร ในช่วงวันหยุดยาว ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดความสงบเรียบร้อยในทุกพื้นที่ และการบังคับใช้กฎหมายในวันสำคัญต่างๆ ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย บังเกิดผลอย่างจริงจัง โดยสั่งการให้ทุกหน่วยเพิ่มความเข้มในการบังคับใช้กฎหมายในความผิดต่าง ๆ เช่น ความผิดเกี่ยวกับผู้มีอิทธิพล มือปืนรับจ้าง ความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืน อาวุธสงคราม เครื่องกระสุนปืน การลักลอบจำหน่ายอาวุธปืนโดยผิดกฎหมาย ยาเสพติด และอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เพิ่มความเข้มในการรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ ป้องกันและปราบปรามคดีประทุษร้ายต่อทรัพย์ที่อาจเกิดขึ้นในเคหสถาน บริเวณสถานีขนส่ง สถานที่พักผู้โดยสาร แหล่งท่องเที่ยว โรงแรม และการตรวจสอบบุคคลตามหมายจับค้างเก่าที่อาจเดินทางกลับภูมิลำเนาหรือท่องเที่ยว ทางบริการขนส่งสาธารณะต่าง ๆ รวมทั้งให้ดูแลอำนวยความสะดวกด้านการจราจรให้กับพี่น้องประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนทุกเส้นทาง ทุกพื้นที่ 

นอกจากนี้ เน้นย้ำในการป้องกันและปราบปรามการแข่งรถในทาง หรือขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อื่น การรวมกลุ่มหรือมั่วสุมในลักษณะหรือโดยพฤติการณ์ที่น่าจะนำไปสู่การแข่งรถในทาง และป้องกันเหตุทะเลาะวิวาททำร้ายร่างกาย โดยเฉพาะการติดตามไปก่อเหตุซ้ำในบริเวณสถานพยาบาล และป้องกันกลุ่มนักเรียนนักศึกษาที่มีพฤติกรรมเสี่ยงอาจก่อเหตุทะเลาะวิวาทในช่วงวันหยุดยาว ให้ใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างเข้มข้น และดำเนินการอย่างเฉียบขาดในทุกฐานความผิดตามกฎหมาย กรณีมีการจับกุมผู้กระทำผิดซึ่งเป็นเด็ก ให้ดำเนินการกับผู้ปกครอง ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 ทุกราย 

ผบ.ตร.ยังได้กำชับให้บังคับใช้กฎหมายตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 อย่างเข้มงวด ห้ามจำหน่ายสุราในเวลาห้าม ห้ามไม่ให้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้บุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี และบุคคลที่มีอาการมึนเมาจนครองสติไม่ได้ ห้ามบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บนทางในขณะขับขี่หรือในขณะโดยสารอยู่ในรถหรือบนรถ รวมทั้งประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนผู้ประกอบการ ร้านค้าทุกประเภท ทั้งร้านค้าในชุมชน ร้านสะดวกซื้อ ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหารที่จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงสถานบริการและสถานประกอบการที่เปิดให้บริการในลักษณะที่คล้ายกับสถานบริการ ให้งดจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด ทั้งชนิดขายส่งและขายปลีกทั่วราชอาณาจักร ตั้งแต่เวลา 00.01 น.ของคืนวันที่ 19 กรกฎาคม 2567 ไปจนถึงเวลา 24.00 น. ของคืนวันที่ 21 กรกฎาคม 2567 ยกเว้นการขายเฉพาะร้านค้าปลอดอากรภายในท่าอากาศยานนานาชาติ หากฝ่าฝืนให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด 

เชียงใหม่-ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ระดมเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกผู้โดยสารอย่างเต็มที่ โดยยังคงให้บริการได้ตามปกติ หลังจากเกิดเหตุระบบไอทีล่มหลายแห่งทั่วโลก

นาวาอากาศโท รณกร เฉลิมแสนยากร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานเชียงใหม่ กล่าวว่า จากกรณีระบบปฏิบัติการของ Microsoft ล่มทั่วโลก ส่งผลกระทบต่อการให้บริการของสายการบินและสนามบินในหลายประเทศ ตั้งแต่เวลาประมาณ 14.00 น. เป็นต้นมา ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ทชม.) ได้ดำเนินการตรวจสอบระบบของสนามบินอย่างละเอียดแล้ว พบว่าไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว แต่มีสายการบินที่ประสบปัญหาในการใช้ระบบเช็กอินคือ สายการบินไทยแอร์เอเชีย ซึ่งได้ปรับเปลี่ยนมาใช้ระบบเช็กอินแบบ Manual แทน ส่งผลให้มีผู้โดยสารรอเช็กอินเป็นจำนวนมาก  ทชม.ได้ระดมเจ้าหน้าที่เข้าช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสาร แจกน้ำดื่ม รวมทั้งได้เปิดเคาน์เตอร์เช็กอินให้กับสายการบินไทยแอร์เอเชียเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการผู้โดยสาร 
          
และล่าสุดเมื่อเวลาประมาณ 21.00 น. ระบบเช็กอินของสายการบินไทยแอร์เอเชีย ก็ยังไม่สามารถใช้งานได้ ส่งผลให้มีเที่ยวบินที่ได้รับผลกระทบแล้วจำนวน 16 เที่ยวบิน เป็นเที่ยวบินขาเข้าจำนวน 6 เที่ยวบิน และเที่ยวบินขาออกจำนวน 10 เที่ยวบิน ซึ่งระยะเวลาที่ล่าช้าอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ 
          
ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ขออภัยในความไม่สะดวก ขอความร่วมมือผู้โดยสารเดินทางมาถึงท่าอากาศยานให้เร็วกว่าปกติ โดยขอให้เผื่อเวลาล่วงหน้าอย่างน้อย 2 ชั่วโมงก่อนเวลาเครื่องบินออก ทั้งนี้ หากผู้โดยสารต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้บริการในด้านต่างๆ 

และหากมีข้อสงสัยหรือต้องการติดต่อสอบถามเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 0 5392 2000 ต่อ 2100 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top