Sunday, 25 May 2025
TheStatesTimes

‘Rockstar’ ของ ‘ลิซ่า’ ทำสถิติยอดสตรีมมิ่ง Spotify แตะร้อยล้านเร็วที่สุด หลังใช้เวลาเพียงแค่ 23 วัน แซงหน้า ‘จีซู’ ที่สร้างผลงานไว้ 31 วัน

(24 ก.ค.67) เป็นเจ้าแม่สถิติตัวจริงสำหรับ 'ลิซ่า ลลิษา มโนบาล' หรือ 'ลิซ่า BlackPink' ที่ล่าสุดสามารถพาเพลง Rockstar สร้างสถิติใหม่ทำยอดสตรีมมิ่งแตะ 100 ล้านได้เร็วที่สุด

ทั้งนี้ ตามรายงานระบุว่าเพลง Rockstar ของ ‘ลิซ่า’ สามารถทำยอดสตรีมมิ่ง 100 ล้านครั้งได้ในเวลาเพียง 23 วัน กลายเป็นศิลปินเดี่ยวหญิงเค-ป็อปที่ทำยอดสตรีมมิงถึง 100 ล้านครั้งได้ไวที่สุด โดยใช้เวลาทั้งสิ้นเพียงแค่ 23 วัน แซงหน้าสถิติเดิมของเพื่อนร่วมวงอย่าง ‘จีซู’ ที่ผลงานเพลง Flower เคยทำไว้ด้วยสถิติ 31 วัน

อย่างไรก็ตาม ผลงานเพลงของ ‘ลิซ่า’ ก่อนหน้านี้ ก็ครองสถิติยอดสตรีมสูงเช่นกัน โดย MONEY แตะ 100 ล้านใน 38 วันอยู่ที่อันดับ 3 ตามด้วยอันดับ 4 LALISA อยู่ที่ 46 วัน ในขณะที่ On The Ground ของ ‘โรเซ่’ และ Spot! ที่ ‘เจนนี่’ ร่วมงานกับ ‘Sico’ ก็อยู่ที่อันดับ 5 ในเวลา 71 วัน

ส่วนยอดสตรีมมิ่งเพลงของ ‘ลิซ่า’ ใน Spotify นั้นนับว่าได้รับความนิยมอย่างมาก

- Money 1.2 พันล้านสตรีม
- Lalisa 521 ล้านสตรีม
- SG ที่ร่วมงานกับ ดีเจสเนค, โอซูนา, เมแกน ที สตอลเลียน 294 ล้านสตรีม
- Shoong! ร่วมงานกับ แทยัง 164 ล้านสตรีม
- Rockstar 103 ล้านสตรีม

'ธนกร' ชื่นชม!! 'นายกฯ-พีระพันธุ์' คงมาตรการตรึงค่าไฟ-ดีเซล ช่วย 'กลุ่มเปราะบาง-ประชาชน' ได้มากในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ

(24 ก.ค.67) นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สส.แบบบัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงมาตรการตรึงค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมันช่วยลดค่าครองชีพประชาชน ว่า ประชาชนฝากขอบคุณนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล โดยเฉพาะนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงานที่เสนอ ครม.ให้มีมติขยายมาตรการตรึงค่าไฟฟ้าให้กับพี่น้องประชาชนคนไทยที่หน่วยละ 4.18 บาท โดยเฉพาะช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ที่ใช้ไฟไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน อยู่ที่หน่วยละ 3.99 บาท และค่าน้ำมันดีเซล ที่ลิตรละ 33 บาท ออกไปอีก 4 เดือน ตั้งแต่ ก.ย.-ธ.ค.67 นี้

โดยต้องขอชื่นชมและขอบคุณนายพีระพันธุ์ ที่มุ่งมั่นสานต่อแนวทางและมาตรการเดิมตั้งแต่สมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกฯ ให้เป็นมาตรการลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือนของพี่น้องประชาชน นอกจากนั้นทราบว่ากำลังร่างกฎหมายออกมาเพื่อปรับโครงสร้างราคาพลังงานของประเทศแบบระยะยาวให้เกิดความยั่งยืน ตามแนวทาง 'รื้อ ลด ปลด สร้าง' พลังงานของไทย ซึ่งเชื่อว่า จะได้รับความร่วมมือและสนับสนุน จากกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างแน่นอน เพราะเป็นประโยชน์ต่อประเทศและประชาชนโดยตรง

“การจะรื้อโครงสร้างพลังงานของไทยที่ใช้ระบบเก่าทำกันมายาวนานเกือบ 50 ปี ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอาศัยความมุ่งมั่นตั้งใจและการสนับสนุนจากทุกภาคส่วนอย่างมาก จึงขอเป็นกำลังใจให้นายกฯ และนายพีระพันธุ์ รวมถึงรัฐบาล โดยพรรครวมไทยสร้างชาติในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล พร้อมร่วมมือผลักดันกฎหมายให้เกิดขึ้น เพื่อแก้ปัญหาพลังงานของบ้านเราให้เกิดความเป็นธรรม ช่วยเหลือประชาชนมากก่อนกลุ่มทุนภาคเอกชน“ นายธนกรกล่าว

‘ก.พลังงาน-หน่วยงานเกี่ยวข้อง’ จัดทำโครงการยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย เฉลิมพระเกียรติ ‘ในหลวง ร.10’ เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ

(24 ก.ค.67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วยคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) รวมทั้งคณะผู้บริหารระดับสูงส่วนราชการและการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงพลังงาน ร่วมกันถวายราชสักการะแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมกับแถลงข่าว กิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ณ บ้านพิบูลธรรม กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กรุงเทพฯ

นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า เนื่องในโอกาสมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระชนมพรรษาครบ 6 รอบ 72 พรรษา 28 กรกฎาคม 2567 กระทรวงพลังงาน รัฐวิสาหกิจในสังกัด และ กกพ. น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยได้ดำเนินโครงการและกิจกรรมเพื่อสืบสานพระราชปณิธานของพระองค์ท่านในการจะ ‘สร้างประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป’ ด้วยการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในหลากหลายด้าน
ได้แก่ ด้านส่งเสริมสุขภาพประชาชน กกพ. ในฐานะหน่วยงานในกำกับฯ ได้จัดสรรงบประมาณจากกองทุนพัฒนาไฟฟ้าติดตั้งผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ให้กับสถานพยาบาล 73 แห่ง เพื่อลดค่าใช้จ่ายค่าไฟฟ้าและนำงบประมาณที่เหลือใช้ไปดูแลประชาชนให้เข้าถึงการให้บริการทางการแพทย์และการสาธารณสุขที่มีคุณภาพได้อย่างทั่วถึงเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังเป็นการสนองพระบรมราโชบายที่ทรงต้องการสืบสาน ต่อยอด โครงการในพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ได้ทรงริเริ่มการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนมาใช้ประโยชน์อีกด้วย

ด้านส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ในส่วนของกระทรวงพลังงาน ทั้งจากสำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน กฟผ. และ ปตท. ได้เข้าร่วมโครงการและกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อาทิ 10 โครงการสืบสานพระราชปณิธานองค์ราชัน ของ กฟผ. และกิจกรรมปลูกป่า จำนวน 72,000 ไร่ ซึ่งถือเป็นการเพิ่มพื้นที่สีเขียวนำมาซึ่งอากาศสะอาดและความชุ่มชื้นให้กับประเทศอย่างกว้างขวาง

ด้านเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับพระราชกรณียกิจ ปตท. ได้การจัดทำหนังสือที่ระลึกเพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งจะรวบรวมพระราชประวัติพระอัจฉริยภาพด้านต่าง ๆ ภาพถ่ายอันทรงคุณค่าจากพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชกรณียกิจการพัฒนาด้านพลังงาน พระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทที่ทรงมีแก่ประชาชนชาวไทย รวมทั้งการดำเนินโครงการต่าง ๆ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลฯ ซึ่งจัดพิมพ์จำนวน 1,072 เล่มด้วย

นายเสมอใจ ศุขสุเมฆ ประธานกรรมการกำกับกิจการพลังงาน กล่าวว่า กกพ. และสำนักงาน กกพ.ได้สนับสนุนงบประมาณจากกองทุนพัฒนาไฟฟ้า ตามมาตรา 97(4) ดำเนินโครงการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ 73 แห่ง เพื่อติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ให้กับโรงพยาบาลของรัฐ จำนวน 73 แห่ง ในวงเงินงบประมาณ จำนวน 457,192,500 บาท มีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 15,597 กิโลวัตต์พีค โดยมุ่งหวังลดค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภคด้านไฟฟ้าและคาดว่าจะประหยัดค่าไฟฟ้าให้กับโรงพยาบาลของรัฐได้ถึง 86,213,686 บาทต่อปี อีกทั้งโรงพยาบาลสามารถนำค่าใช้จ่ายที่ประหยัดได้ดังกล่าวไปสนับสนุนภารกิจในการดูแลประชาชนที่เข้ามารับบริการทางการแพทย์และการสาธารณสุขกับโรงพยาบาลให้ดียิ่งขึ้น การดำเนินโครงการดังกล่าวสามารถลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์รวม 11,872 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี

“กกพ. และสำนักงาน กกพ. มีความมุ่งมั่นที่จะน้อมนำแนวทางพระราชดำริ พระราชปณิธาน และพระบรมราโชบายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนให้อยู่ดีมีสุข โดยจัดสรรเงินกองทุนพัฒนาไฟฟ้า ตามมาตรา 97(4) เพื่อติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ให้กับหน่วยงานของรัฐที่ให้บริการด้านสาธารณสุขอย่างต่อเนื่อง และจะขยายการสนับสนุนไปยังหน่วยงานของรัฐด้านการศึกษา และด้านการคุ้มครองทางสังคมและมีความมั่นคงให้กับประชาชน เช่น โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข โรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการและโรงเรียนสังกัดตำรวจตระเวนชายแดน และหน่วยงานภายใต้กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์” นายเสมอใจ กล่าว

นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย กล่าวว่า กระทรวงพลังงาน ร่วมกับ กฟผ. จัดทำโครงการและกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 จำนวน 10 โครงการ ภายใต้ชื่อ ‘10 โครงการ สืบสานพระราชปณิธานองค์ราชัน’ ประกอบด้วย

1) โครงการสนับสนุนการดำเนินงานโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช 21 แห่งทั่วประเทศ
โดยล้างเครื่องปรับอากาศ ติดตั้งนวัตกรรมระบบหมุนเวียนและบำบัดอากาศ (City Tree)
สร้างอากาศที่ดีให้ผู้ป่วย พร้อมสนับสนุนเลนส์ตาเทียมสำหรับผู้ป่วยและผู้สูงอายุ 
2) โครงการติดตั้งระบบไฟฟ้าโซลาร์เซลล์เบอร์ 5 ในพื้นที่โครงการหลวง ได้แก่ ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงเลอตอ จังหวัดตาก ขนาด 16 กิโลวัตต์ และศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรโครงการหลวง ชนกาธิเบศรดำริ จ.เชียงใหม่ ขนาด 72 กิโลวัตต์
3) โครงการติดตั้งระบบไฟฟ้าโซลาร์เซลล์เบอร์ 5 วัดมหาธาตุวชิรมงคล (วัดบางโทง) จ.กระบี่
ขนาด 72 กิโลวัตต์
4) โครงการออกหน่วยให้บริการแว่นตาในพื้นที่เป้าหมาย 43 แห่ง รวมถึงมอบแว่นตาแก่
กลุ่มเปราะบาง จำนวนรวมทั้งสิ้น 72,000 แว่นตา
5) โครงการโคก หนอง นา ต่อยอด 72 แปลง ด้วยการสนับสนุนนวัตกรรมระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์

6) โครงการจัดตั้งห้องเรียนสีเขียว Smart Green Learning Room และปรับปรุงประสิทธิภาพพลังงาน ณ โรงเรียนมัธยมวชิราลงกรณวราราม จ.นครราชสีมา 
7) โครงการสนับสนุนชุดนักเรียนเบอร์ 5 จำนวน 72,000 ชุด ในกลุ่มโรงเรียนในพระราชูปถัมภ์ 
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร กลุ่มโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ทั่วประเทศ และกลุ่มโรงเรียนในโครงการกองทุนการศึกษา
8) โครงการสนับสนุนการดำเนินงานมูลนิธิกาญจนบารมี สนับสนุนรถตรวจคัดกรองมะเร็งนรีเวชพร้อมอุปกรณ์ทางการแพทย์ จำนวน 1 คัน
9) โครงการสวนสุขภาพเฉลิมพระเกียรติ ในพื้นที่ 72 ไร่ ณ เขื่อนวชิราลงกรณ จ.กาญจนบุรี  
โดยปรับพื้นที่เพื่อสร้างสนามแข่งขันจักรยาน พื้นที่ทำกิจกรรมสร้างเสริมสุขภาพ  
10) โครงการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติฯ ณ เขื่อนวชิราลงกรณ จ.กาญจนบุรี ระหว่างวันที่ 
25 - 28 กรกฎาคม 2567  

คาดว่าจะสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 2,800 ตันต่อปี ลดการใช้พลังงานไฟฟ้าประมาณ 5.3 หน่วยต่อปี ลดค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าประมาณ 26.6 ล้านบาทต่อปี

นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ได้ดำเนินโครงการและกิจกรรมพิเศษเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ได้แก่

1) โครงการพัฒนาพื้นที่กำแพงเพชร 6 ขนานแนวโครงการพัฒนาคลองเปรมประชากรเฉลิมพระเกียรติที่ ปตท. จัดสรรพื้นที่ จำนวน 10 ไร่ ติดคลองเปรมประชากร เพื่อสร้างพื้นที่สีเขียวและอาคารนิทรรศการ รวมถึงท่าเรือและพื้นที่สาธารณประโยชน์ของชุมชน เพื่อสืบสาน และขยายผลต่อยอดพระบรมราโชบายในการพัฒนาแม่น้ำ ลำคลองและแหล่งน้ำต่าง ๆ

2) ผลิตและเผยแพร่ หนังสั้นเฉลิมพระเกียรติฯ 2 เรื่อง คือ เรื่องรูปวาดจากอนาคต และ เรื่องคาเฟ่ เพื่อเผยแพร่พระราชกรณียกิจและผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินโครงการด้านการพัฒนาแหล่งน้ำทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตประชาชน ตามพระบรมราโชบาย จำนวน 10 โครงการทั่วประเทศ เผยแพร่ตั้งแต่วันนี้ถึง 3 สิงหาคม 2567 ทางโทรทัศน์และสื่อออนไลน์

3) กิจกรรมแสดง แสง สี เสียง เฉลิมพระเกียรติ 'ลำนำนที วารีสมโภช' ณ สวนสันติชัยปราการ (ป้อมพระสุเมรุ) เพื่อให้ประชาชนได้รับชมหนังสั้นเฉลิมพระเกียรติ พร้อมร่วมกิจกรรม อาทิ การแสดงแสง สี เสียงและ 3D Mapping ที่ป้อมพระสุเมรุ การละเล่นจากชุมชนบางลำพู ดนตรีในสวน กิจกรรม workshop ร้านค้าชุมชน และนิทรรศการโครงการตามพระบรมราโชบาย พระราชกรณียกิจและผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินโครงการด้านการพัฒนาแหล่งน้ำ รวมทั้งล่องเรือในเส้นทางสุดพิเศษจากป้อมพระสุเมรุไปยังป้อมมหากาฬ จัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 26 - 28 กรกฎาคม 2567 เวลา 16.00 น. เป็นต้นไป ณ บริเวณสวนสันติชัยปราการ ถนนพระอาทิตย์

4) กิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิตชุมชนอย่างยั่งยืน โดยพัฒนาการปลูกและการผลิตกาแฟระบบอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ โครงการหลวงเลอตอ อ.แม่ระมาด จ.ตาก ซึ่ง ปตท. โออาร์ และโครงการหลวง ร่วมสืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการสืบสาน รักษา ต่อยอดงานของมูลนิธิโครงการหลวงเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของชาวไทยภูเขา ลดการปลูกฝิ่น และฟื้นฟูป่าต้นน้ำลำธาร  

5) กิจกรรมปลูกป่า จำนวน 72,000 ไร่ เฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ครอบคลุมพื้นที่ป่าทั่วประเทศ เพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศ แหล่งต้นน้ำ ส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพ เพิ่มแหล่งดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยวิธีทางธรรมชาติ และลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ คาดว่าจะสามารถช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ 68,400 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี

โครงการและกิจกรรมพิเศษที่ กลุ่ม ปตท. ร่วมดำเนินการในครั้งนี้ เป็นการเผยแพร่พระราชกรณียกิจและโครงการตามพระบรมราโชบายของของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณีย เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน และสร้างคุณภาพชีวิตของคนไทยให้ดียิ่งขึ้น

นางสาวนันธิกา ทังสุพานิช รองปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า กระทรวงพลังงานมีความยินดีและพร้อมสนับสนุนโครงการเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย

ทั้งนี้ ในส่วนของกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ก็มีโครงการประกวดนวัตกรรมด้านพลังงานและพลังงานทดแทนภาคประชาชน เพื่อพัฒนานักออกแบบนวัตกรรมด้านพลังงานภาคประชาชน พัฒนานวัตกรรมด้านพลังงานที่ใช้งานได้จริง และเชิดชูประชาชนผู้มีแนวคิดสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านพลังงานที่เป็นการช่วยเหลือและสร้างประโยชน์ต่อสังคม นอกจากนั้น จะลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือทางวิชาการและเชิงพาณิชย์ เพื่อการต่อยอดและขยายผลอย่างยั่งยืน ระหว่างเดือนกรกฎาคม - ธันวาคม 2567 คาดว่าผลลัพธ์จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนานวัตกรรมด้านพลังงานของไทยอย่างยั่งยืน นอกจากนั้น กระทรวงพลังงาน ร่วมกับ กฟผ. อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลพระราชกรณียกิจด้านพลังงานและคัดสรรภาพประกอบเพื่อนำมาจัดพิมพ์เป็นหนังสือ เชื่อว่าจะเป็นหนังสือที่ทรงคุณค่า และสมพระเกียรติ

“จะเห็นได้ว่า การดำเนินโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ของกระทรวงพลังงานมีครบทั้งมิติด้านพลังงาน มิติด้านสังคม และมิติด้านสิ่งแวดล้อม และกิจกรรมไม่ได้จัดแค่ช่วงเดือนกรกฎาคมเท่านั้น จะมีการจัดกิจกรรมไปตลอดจนถึงสิ้นปี 2567 ประชาชนสามารถติดตามโครงการต่าง ๆ ผ่านทั้งหน้าเว็บไซต์ และ Facebook ของหน่วยงานต่าง ๆ สุดท้ายนี้ ดิฉันก็ขอขอบคุณอีกครั้ง ทั้งข้าราชการ เจ้าหน้าที่ทุกระดับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ช่วยกันผลักดันโครงการดี ๆ ให้เกิดขึ้น ทำให้ประชาชนได้รับประโยชน์ในโอกาส มหามงคลในครั้งนี้” นางสาวนันธิกา กล่าว

'พิชัย' เผย!! เหตุผล ทำไม ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ จึงจำเป็น ชี้!! แม้จะกลัวหนี้ แต่ปชช.-ร้านค้าเดือดร้อน รัฐก็อยู่ไม่ได้

(24 ก.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล นายพิชัย ชุณหวชิร  รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เป็นประธานการแถลงข่าว ‘ดิจิทัลวอลเล็ต โครงการเพื่อประชาชน พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจแล้ววันนี้’ โดยมีนาย จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง และนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง ร่วมแถลงด้วย

นายพิชัย กล่าวตอนหนึ่งว่า คำถามเรื่องรัฐบาลไม่กลัวเรื่องการก่อหนี้หรือ เพราะรัฐบาลต้องใช้เงินก้อนโต แต่หนี้นั้นอาจจะได้รับการชดใช้จากการเก็บภาษี คำตอบคือโครงการนี้จะเก็บภาษีได้เท่าใด แล้วไปสร้างการเติบโตรูปอื่น ๆ ของการลงทุน เพื่อนำมาซึ่งภาษีที่เพิ่มขึ้นอย่างไร ดังนั้นนี่จึงไม่ใช่โครงการแจกเงินธรรมดา แต่เป็นโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งระบบตามห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ทั้งนี้ ตนอยากย้ำว่า วันนี้มี 3 กลุ่ม

1.ประชาชนที่หนี้สูงถึงใกล้จมูก หายใจจะไม่ออก

2.ร้านค้าขนาดเล็กขายของไม่ได้และอาจปิดตัว ซึ่งอาจต้องดูว่าปิดเพราะไม่มีกำลังซื้อ หรือเพราะกำลังเปลี่ยนถ่ายเข้าสู่ธุรกิจสมัยใหม่ ก็อาจต้องดูอีกตัวเลขหนึ่ง คือการลงทุนในแพลตฟอร์มผลิตภัณฑ์ใหม่ (New Production Platform) โดยเฉพาะจากต่างประเทศที่มาเปิดใหม่ คือต้องดูว่าปิดกิจการเพราะไม่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคกับผู้มาลงทุนใหม่ ต้องดูควบคู่กันไปด้วย

3.รัฐบาล แม้จะกลัวเรื่องหนี้ แต่หากอีก 2 เสาอยู่ไม่ได้ รัฐบาลก็อยู่ไม่ได้ เพราะประชาชนและร้านค้าคือพื้นฐานของระบบเศรษฐกิจ

“ดังนั้นคำว่าวินัยการเงินการคลัง วันนี้เราเดินตามวินัยการเงินการคลังภายใต้ข้อสมมติฐานว่า ไม่อยากเห็นหนี้ของรัฐเกิน 70% ของ GDP เกรงว่าจะผลักภาระนั้นให้ลูกหลาน แต่ถ้าเศรษฐกิจโตได้ รัฐบาลก็สามารถจะมีรายได้ในอนาคตมากขึ้น ก็จะสามารถดูแลภาระนั้นได้ ถ้าเศรษฐกิจไม่โต แน่นอนไม่ว่าจะ 70 หรือต่ำกว่า 70 หรือมากกว่า 70 มีปัญหากันถ้วนหน้า” นายพิชัย กล่าว

รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง กล่าวว่า หลังจากที่ผ่านมารัฐบาลได้มีการพิจารณารายละเอียดโครงการฯ อย่างรอบคอบ สอดคล้องตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ข้อกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง พร้อมนำความเห็นหน่วยงานต่าง ๆ มาประกอบการพิจารณาอย่างรอบคอบและรัดกุมนั้น โครงการฯ มีความพร้อมที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจแล้ว โดยโครงการนี้มีวัตถุประสงค์ที่สำคัญเพื่อส่งเสริมให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในพื้นที่ และช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพ ยกระดับคุณภาพชีวิตให้ประชาชน ส่งเสริมให้ประชาชนและชุมชนมีความเข้มแข็งในด้านเศรษฐกิจ สามารถพึ่งพาตนเองได้ สร้างและเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพ รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาให้เกิดนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งเมื่อเริ่มดำเนินโครงการฯ แล้ว จะก่อให้เกิดพายุหมุนทางเศรษฐกิจจำนวน 4 ลูก ได้แก่

>> พายุหมุนลูกที่ 1 การใช้จ่ายระหว่างประชาชนกับร้านค้าขนาดเล็ก ถือเป็นกระตุ้นเศรษฐกิจไปยังฐานราก กระจายไปพร้อมกันทุกอำเภอทั่วประเทศ ช่วยบรรเทาความเดือดร้อน ลดภาระค่าใช้จ่ายแก่ประชาชน

>> พายุหมุนลูกที่ 2 การใช้จ่ายระหว่างร้านค้าขนาดเล็กกับร้านค้าขนาดใหญ่

>> พายุหมุนลูกที่ 3 การใช้จ่ายระหว่างร้านค้าขนาดใหญ่กับร้านค้าขนาดใหญ่ซึ่งจะทำให้เกิดการต่อยอดกำลังซื้อ การบริโภค หรือสร้างโอกาสในการลงทุนเพื่อประกอบอาชีพ

>> พายุหมุนลูกที่ 4 พลังการใช้จ่ายของประชาชนแต่ละคนจะเกิดผลต่อการหมุนเวียนของกิจกรรมทางเศรษฐกิจเป็นทวีคูณ ช่วยฟื้นฟูภาคการผลิตของประเทศ และสร้างความเชื่อมั่นต่อระบบเศรษฐกิจในภาพรวม

ทั้งนี้ รัฐบาลจะเปิดให้ประชาชนที่สนใจลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ ในระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม ถึง 15 กันยายน 2567 และมีกำหนดการที่จะให้เริ่มใช้จ่ายในโครงการฯ ภายในไตรมาสที่ 4 ของปี 2567

‘กรมประมง’ ชี้!! ‘ไข่ปลาหมอคางดำ’ ทนต่อสภาพแห้งแล้งได้ไม่ถึง 2 เดือน ยัน!! หากนำไข่ขึ้นจากน้ำแล้วทิ้งไว้จนแห้ง จะไม่สามารถฟักเป็นตัวได้อีก

(24 ก.ค. 67) นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำในประเทศไทยพบการแพร่ระบาดแล้ว 16 จังหวัด กรมประมงได้เร่งดำเนินการตามนโยบายของ ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ 5 มาตรการสำคัญ แต่ในขณะนี้ มีข้อสงสัยของสังคม เรื่อง ไข่ปลาหมอคางดำสามารถทนต่อสภาพแวดล้อมนอกปากปลาหมอคางดำได้ถึง 2 เดือน และยังฟักเป็นตัวได้

ทั้งนี้จากหลักวิชาการด้านประมง พบว่า พฤติกรรมของปลาหมอคางดำเป็นปลาที่พ่อปลาอมไข่ไว้ในปาก เพื่อฟักไข่ในปากไข่ปลาต้องได้รับความชุ่มชื้นและออกซิเจนอย่างเพียงพอ จึงจะเป็นสภาพที่พร้อมในการฟักลูกปลา ดังนั้น ไข่ปลาหมอคางดำจึงไม่สามารถทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่แห้งแล้งได้ หากนำไข่ปลาหมอคางดำขึ้นมาจากน้ำแล้วทิ้งไว้จนแห้งจะกลายเป็นไข่เสียทันที ไม่สามารถฟักเป็นตัวได้อีก และในปัจจุบันยังไม่พบรายงานวิจัยว่าไข่ปลาหมอคางดำสามารถทนอยู่ในสภาพแห้งแล้ง ได้ถึง 2 เดือน แล้วกลับมาฟักเป็นตัวได้อีกอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม เมื่อนำปลาหมอคางดำขึ้นจากน้ำแล้ว ไข่ปลาที่อยู่ในปากของพ่อปลาที่ตายแล้ว จะสามารถทนอยู่ได้ในปากประมาณ 10-15 นาที และไข่ที่ออกจากปากปลาสามารถอยู่ในน้ำที่ไม่มีออกซิเจนได้นานถึง 1 ชั่วโมง ในกรณีไข่ปลาหมอที่ตกค้างบริเวณพื้นบ่อที่ตากไว้ และโรยปูนขาวแล้ว ไข่ปลาหมอไม่สามารถฟักเป็นตัวได้

สำหรับไข่ปลาที่มีคุณสมบัติพิเศษที่ทนต่อสภาพแห้งแล้งพบได้ในปลาบางชนิด เช่น ปลาคิลลี่ (Killifish) ที่เป็นปลาขนาดเล็ก มีวงจรชีวิตสั้น ซึ่งตามสัญชาตญาณเพื่อดำรงเผ่าพันธุ์ ทำให้ไข่ปลาชนิดนี้มีความทนทานต่อสภาพที่ไม่เหมาะสมต่าง ๆ โดยในฤดูที่แห้งแล้งปลาคิลลี่จะวางไข่ไว้บนพื้นดิน และเมื่อได้รับน้ำในฤดูฝนก็จะสามารถฟักออกมาเป็นตัวได้ ซึ่งเป็นคนละกลุ่มกับปลาหมอคางดำ

นอกจากนี้ กรมประมงยังมีการสนับสนุนให้หน่วยงานภาครัฐ เกษตรกรชาวประมง และประชาชน จับปลาหมอคางดำขึ้นจากแหล่งน้ำธรรมชาติ และบ่อระบบปิด ซึ่งเมื่อจับขึ้นมาแล้วจำเป็นต้องนำไปใช้ประโยชน์ และกรมประมงเองก็มีการตั้งจุดรับซื้อทุกจังหวัดที่พบการแพร่ระบาด โดยตั้งราคาไว้ที่กิโลกรัมละ 15 บาท

>> ดังนั้น จึงขอแนะนำข้อปฏิบัติในการขนย้ายปลาหมอคางดำ ดังนี้

1.การขนส่งปลาหมอคางดำ ควรทำการขนส่งแบบแห้ง เพื่อไม่ให้มีไข่ปลารอดชีวิต

2.การนำปลาหมอคางดำไปเป็นเหยื่อหรืออาหารสัตว์แบบสด ควรใช้ปลาตายและเช็คให้แน่ใจว่าไม่มีไข่อยู่ในปาก

3.การทำความสะอาดอุปกรณ์ที่ใช้เกี่ยวกับกิจกรรมต่าง ๆ ของปลาหมอคางดำ เช่น การนำไปทำปุ๋ยชีวภาพหรือทำเป็นอาหารสัตว์ ควรอยู่ห่างจากแหล่งน้ำธรรมชาติและบ่อน้ำทิ้ง เพื่อป้องกันการหลุดรอด

4.การขนส่งปลาสดในน้ำแข็ง ควรนำปลาใส่ถุงก่อน เพื่อไม่ให้สัมผัสกับน้ำแข็งที่อาจละลายในระหว่างการขนส่ง

>> สำหรับเกษตรกรที่เตรียมบ่อสำหรับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ กรมประมงมีข้อแนะนำ ดังนี้

1.ลงปูนขาว หรือ กากชา เพื่อฆ่าศัตรูปลา ในการเตรียมบ่อก่อนลงลูกปลาที่เลี้ยงทุกครั้ง

2.ใช้ถุงกรองเพื่อกรองน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติเข้าสู่บ่อ ป้องกันไม่ให้ปลาหมอคางดำ ปลาผู้ล่าอื่น ๆ รวมถึงศัตรูปลาเข้าสู่บ่อเลี้ยง

3.หากพบปลาหมอคางดำในบ่อต้องรีบดำเนินการจับขึ้น โดยใช้แห อวน ลอบ หรืออุปกรณ์อื่น ๆ เพื่อควบคุมและกำจัดไม่ให้แพร่ระบาดจำนวนมาก

4.หากพบปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำใกล้เคียงบ่อเลี้ยงให้รีบกำจัด และแจ้งกรมประมงเพื่อหาทางควบคุมและกำจัดออกจากแหล่งน้ำทันที

5.หากบ่อเลี้ยงเคยพบการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำมาแล้ว ควรทำการตากบ่อ จนกว่าดินจะแห้งสนิทก่อนสูบน้ำเข้าบ่อ เพื่อเพาะเลี้ยงใหม่อีกครั้ง

3 สิงหาคม พ.ศ. 2565 ‘ในหลวง-พระราชินี’ เสด็จฯ เปิด ‘สวนป่าเบญจกิติ’ ระยะ 2-3 พื้นที่สาธารณะสีเขียวที่ช่วยแก้ไขปัญหาน้ำท่วมชาวกรุงฯ

เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2565 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดสวนป่าเบญจกิติ ระยะที่ 2-3 ณ สวนสาธารณะเบญจกิติ ถนนรัชดาภิเษก เขตคลองเตย กรุงเทพฯ โดยมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายสันติ พร้อมพัฒน์รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง นายประภาศ คงเอียด อธิบดีกรมธนารักษ์ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมข้าราชการ เฝ้า ฯ รับเสด็จ

ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระรัตนตรัย ทรงศีล จากนั้นเสด็จออกจากพลับพลาพิธี ไปยังแท่นพิธีทรงกดปุ่มไฟฟ้าเปิดแพรคลุมป้ายสวนเบญจกิติ โดยถ่ายทอดผ่านจอมอนิเตอร์ แล้วเสด็จเข้าพลับพลาพิธี ทรงประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมถวายพระสงฆ์ ทรงหลั่งทักษิโณทก พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง นายประภาศ คงเอียด อธิบดีกรมธนารักษ์ เข้าเฝ้าฯ ทูลเกล้าฯ ถวาย เหรียญกษาปณ์ที่ระลึก และเหรียญเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง (เหรียญที่ระลึกประดับแพรแถบ) ในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา 12 สิงหาคม 2565

ต่อมา เสด็จฯ ไปยังบริเวณจัดนิทรรศการ ‘สวนป่าเบญจกิติ’ ทอดพระเนตรนิทรรศการเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของสวนป่าระยะที่ 2-3 ในสวนสาธารณะเบญจกิติ จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จฯ ไปทรงปลูกต้นรวงผึ้ง จำนวน 1 ต้น เมื่อสมควรแก่เวลาเสด็จฯ กลับ

ทั้งนี้ โครงการจัดสร้างสวนป่าเบญจกิติ ระยะที่ 2-3 ดำเนินการออกแบบภายใต้แนวคิดในการสืบสานพระราชปณิธานในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในการปลูกป่าในใจคน ด้วยการเป็นสวนป่าสำหรับคนเมือง (Urban Forest) ที่เชื่อมโยงและเอื้อต่อการเข้ามาทำกิจกรรมและใช้ประโยชน์ในวิถีชีวิตของ คนเมือง เป็นแหล่งเรียนรู้มีชีวิต ที่สร้างความผูกพันและสำนึกรักในคุณค่าของป่า น้ำ ทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อนำไปสู่การมีส่วนร่วม และสำนึกหวงแหนดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสภาพแวดล้อมอย่างยั่งยืน

ในการออกแบบได้เน้นให้มีพื้นที่สวนป่ามากที่สุด มีพื้นที่ป่าและพื้นที่น้ำร้อยละ 85 โดยปลูกต้นไม้เพิ่ม ในพื้นที่โครงการฯ กว่า 7,000 ต้น มีพรรณไม้ประมาณ 350 ชนิด ทั้งไม้ใหญ่ ไม้พุ่ม ไม้คลุมดิน และไม้น้ำ และเพื่อให้สวนป่าแห่งนี้สามารถดำรงอยู่ได้ด้วยตนเองจึงได้ออกแบบให้มีบึงน้ำจำนวน 4 บึง สามารถกักเก็บน้ำได้ถึง 128,000 ลูกบาศก์เมตร ที่จะช่วยแก้ไขปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพมหานครต่อไปในอนาคต

สำหรับการบริหารจัดการน้ำในโครงการได้ใช้ระบบบำบัดน้ำแบบบึงประดิษฐ์ โดยใช้กระบวนการทางธรรมชาติของระบบรากพืชชุ่มน้ำ และได้ออกแบบบ่อดักตะกอน ซึ่งเป็นจุดแรกในการรับน้ำจากคลองไผ่สิงโต มีสารแขวนลอยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบำบัดช่วยปรับปรุงคุณภาพน้ำจากคลองไผ่สิงโต เพื่อนำมาใช้รดน้ำต้นไม้ในโครงการ อีกทั้งมีเส้นทางเดิน ทางวิ่ง ทางจักรยาน ระยะทางรวม 4 กิโลเมตร มีทางเดินศึกษาธรรมชาติลัดเลาะไปตามต้นไม้ใหญ่และบึงน้ำ มีการออกแบบทางเดินลอยฟ้า (Sky Walk) ความสูง 5-8 เมตร ที่สามารถมองเห็นมุมมองในระยะสูงเป็นอีกหนึ่งจุดไฮไลท์ของสวนที่สามารถให้ทุก ๆ คน เดินเชื่อมไปยังส่วนอื่น ๆ ของพื้นที่สวนป่าได้ในส่วนของงานสถาปัตยกรรมได้ออกแบบอาคารโรงงานผลิตยาสูบเดิมให้เป็นพิพิธภัณฑ์มีชีวิต การเรียนรู้ที่หลากหลาย

มีพื้นที่สำหรับการจัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สำหรับอาคารโกดังเดิมจำนวน 3 หลัง ได้ปรับปรุงเป็นอาคารกีฬา และได้เปิดพื้นที่กลางอาคารทั้ง 4 หลัง ให้โปร่งโล่งและปลูกต้นไม้เพิ่มกลางอาคารโดยใช้แนวคิดออกแบบอาคารเขียว เป็นพื้นที่ที่ประชาชนได้ใช้ทำกิจกรรมร่วมกัน

โดยสวนป่าแห่งนี้เป็นสวนที่แสดงให้เห็นถึงการน้อมนำพระราชดำริมาพัฒนาต่อยอดให้เกิดประโยชน์กับปวงชนชาวไทยที่สร้างการตระหนักรู้ถึงการอยู่ร่วมกันระหว่าง คน สัตว์ ป่า การอยู่ร่วมกับธรรมชาติ ที่เกื้อกูลซึ่งกันและกัน สวนแห่งนี้จะเป็นส่วนหนึ่งที่ประชาชนชาวไทยได้มีส่วนร่วมแสดงความจงรักภักดี ต่อสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา 12 สิงหาคม 2565 และกรมธนารักษ์ คาดหวังว่า สวนป่าแห่งนี้จะช่วยให้กรุงเทพมหานครเป็นเมืองแห่งความสุขต่อไปได้

รรท.รอง ผบ.ตร. วางมาตรการ 3 มิติงาน ยกระดับขีดความสามารถงานตรวจคนเข้าเมือง มุ่งตอบสนองนโยบายรัฐบาล รักษาความมั่นคงของประเทศ สร้างความปลอดภัยแก่ประชาชนและสังคม

ที่ อาคารฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรและสวัสดิการ ตร. (เมืองทองธานี) พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร.(มค) เปิดเผยว่า ตามนโยบายของรัฐบาล ที่มุ่งให้ความสำคัญในการรักษาความมั่นคง ความสงบเรียบร้อย และแก้ไขปัญหาภัยคุกคามด้านความมั่นคงในทุกรูปแบบ ควบคู่ไปกับการส่งเสริมและกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้บรรลุผลสำเร็จอย่างสูงสุด โดยมุ่งหวัง ให้ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และหน่วยงานฝ่ายความมั่นคง ดูแลความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว รักษาความมั่นคงของประเทศ และสร้างความสงบเรียบร้อยแก่สังคมอย่างมีประสิทธิภาพ นั้น

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายใต้การนำของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. จึงได้นำนโยบายมาสู่การปฏิบัติ โดยได้มอบหมาย ให้ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร.(มค) ขับเคลื่อนและยกระดับขีดความสามารถงานตรวจคนเข้าเมือง ให้บรรลุผลสำเร็จเป็นรูปธรรมโดยเร็ว       

พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร.(มค) ได้มอบนโยบายพร้อมขับเคลื่อนและกำชับการปฏิบัติงานของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดยมี พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม., รอง ผบช.สตม., ผบก.ตม. และหัวหน้า ตม.จว. ทั่วประเทศ เข้าร่วมรับฟังนโยบาย เพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ใน 3 มิติงาน ดังนี้ 

มิติด้านการบริการ ต้องมุ่งตอบสนองนโยบายรัฐบาล ให้ความสำคัญในการอำนวยความสะดวกในการเข้า - ออก ประเทศ โดยเฉพาะท่าอากาศยานนานาชาติ โดยให้นำระบบเทคโนโลยีที่ทันสมัย และการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ ได้แก่ ระบบ Biometrics เพื่อเก็บอัตลักษณ์ และตรวจสอบคัดกรองบุคคลไม่พึงประสงค์เข้าประเทศ ระบบ Automatic channel ช่วยระบายความหนาแน่นของผู้โดยสาร การลดขั้นตอนต่าง ๆ และพัฒนาระบบคัดกรองด้วย AI  

มิติด้านความมั่นคง ต้องเร่งรัดสืบสวนปราบปรามองค์กรอาชญากรรมทุกประเภท โดยเฉพาะในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยว เช่น กลุ่มแก๊งต่าง ๆ เกี่ยวกับยาเสพติด ผู้มีอิทธิพล เรียกค่าไถ่ คอลเซ็นเตอร์ พนันออนไลน์ ต้องมีระบบการคัดกรอง และควบคุมคนต่างด้าวแบบครบวงจร เน้นการคัดกรองบุคคลที่มีลักษณะต้องห้าม ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 อย่างเข้มงวด โดยเฉพาะบุคคลที่มีหมายจับต่างประเทศ ประกาศตำรวจสากลสีแดง (Red Notice) มีระบบตรวจสอบการแจ้งที่พักของคนต่างด้าว และมีมาตรการเชิงรุกต่อคนต่างด้าวที่อยู่ในประเทศโดยการอนุญาตสิ้นสุด หรือ overstay ต้องตรวจสอบและติดตามจับกุมคนกลุ่มนี้ ส่วนการพิจารณาอนุญาตให้คนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว ให้ตรวจสอบประวัติ หมายจับอย่างเคร่งครัด การปฏิบัติชาวต่างชาติ ต้องรวดเร็วทันสถานการณ์ พิสูจน์ทราบผู้เสียหาย ผู้ก่อเหตุ มีการบูรณาการ สนับสนุนข้อมูล ตร. พื้นที่ และ บก.สส.สตม. ต้องมีข้อมูลสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดโดยเร็ว มีการบูรณาการหน่วยความมั่นคง ร่วมปฏิบัติการตรวจสอบ จับกุม ผลักดัน หากเกิดเหตุต้องจับได้ทันที ควบคู่กับการประชาสัมพันธ์ต่อเนื่อง เพิ่มความเชื่อมั่นว่าประเทศไทยมีความปลอดภัย เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีคุณภาพและปลอดภัยระดับโลก

มิติด้านการพัฒนาและสวัสดิการ ต้องพัฒนาบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญเป็นมืออาชีพ มีมาตรฐานระดับสากล มีความคิดริเริ่ม พัฒนาการให้บริการและสถานที่ทำงาน นำระบบเทคโนโลยีมาแก้ไขปัญหา ลดระยะเวลา ลดขั้นตอน ตลอดจนมีสวัสดิการและคุณภาพชีวิตที่ดี สร้างเสริมขวัญกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไปปฏิบัติหน้าที่ดูแลประชาชน โดยห้ามเรียกรับผลประโยชน์หรือมีส่วนเกี่ยวข้องหรือกระทำผิดกฎหมายโดยเด็ดขาด       

พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวว่า สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เป็นหน่วยงานหลักของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่รับผิดชอบเกี่ยวกับคนต่างด้าวที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยทั้งหมด ต้องมีระบบฐานข้อมูล มีการบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ซึ่งในปัจจุบันจะพบว่า แนวโน้มของอาชญากรรมข้ามชาติเพิ่มสูงขึ้นมาก มีความเชื่อมโยงกับคนร้ายในต่างประเทศ ประเทศไทยเป็นเป้าหมายเข้ามากระทำความผิด หรือกระทำความผิดในต่างประเทศ แล้วใช้ประเทศไทยเป็นที่หลบหนี ความร่วมมือกันระหว่างประเทศเป็นสิ่งที่สำคัญ ต้องประสานงานกับกองการต่างประเทศ ตำรวจสากลและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายอื่น เพื่อติดตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดี และผลักดันออกนอกประเทศ               
   
พล.ต.ท.ประจวบฯ รรท.รอง ผบ.ตร. กล่าวทิ้งท้ายว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความมุ่งหวังว่าการระดมสรรพกำลัง ของตำรวจตรวจคนเข้าเมืองและทุกภาคส่วน ในการรักษาความมั่นคงและความสงบเรียบร้อย ตลอดจนเร่งรัดปราบปรามการกระทำผิดที่เกี่ยวข้องในทุกรูปแบบ จะประสบผลสำเร็จ ตอบสนองนโยบายรัฐบาล ประชาชนและสังคมมีความสงบเรียบร้อย มั่นคงอย่างยั่งยืนสืบไป

พิจิตร-เหมืองทองอัคราเปิดเผย จ่ายค่าภาคหลวงให้รัฐแล้ว 500 ล้านบาท จ้างคนงานกว่าพันคนจ่ายเงินเดือน ๆ ละ 30 ล้าน

เหมืองทองอัคราพิจิตรเปิดเผยจ่ายค่าภาคหลวงไปแล้วกว่า 500 ล้านบาท มั่นใจไทยมีศักยภาพเป็น 'ฮับทองคำ' ของอาเซียนพร้อมผลักดันสินค้าทองคำและเงินของไทยให้ผ่านเกณฑ์ FTA เพื่อสร้างแต้มต่อให้ผู้ประกอบการไทยคุยฟุ้งช่วยเศรษฐกิจชุมชนจ้างงานคนในพื้นที่ 80-90% แล้วนับพันคน จ่ายเงินเดือนๆละ 30 ล้านบาท ส่งผลให้ชาวบ้านชุมชนคนรอบเหมืองมีงานทำทั่วถึง  

วันที่ 24 กรกฎาคม 2567 นายเชิดศักดิ์ อรรถอารุณ หัวหน้าผู้จัดการทั่วไป บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบการเหมืองแร่ทองคำชาตรี เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทฯ กลับมาเปิดดำเนินการอีกครั้งเมื่อเดือนมีนาคม 2566 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ใช้งบประมาณกว่า 2,600 ล้านบาทในการยกเครื่องซ่อมแซมเครื่องจักรและโรงประกอบโลหกรรมทั้ง 2 แห่ง รวมถึงอาคารสถานที่สิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ภายในเหมือง จนแล้วเสร็จในเดือนพฤษภาคม 2567 ผลให้บริษัทฯ สามารถเดินกำลังการผลิตได้อย่างเต็มรูปแบบ และคาดว่าจะป้อนเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทยได้กว่า 4,000 ล้านบาทต่อปี ผ่านการสนับสนุนผู้ประกอบการธุรกิจในประเทศ การจ้างงานทั้งทางตรงและผ่านผู้รับเหมาในพื้นที่ประมาณ 1,000 คน โดยตั้งเป้าหมายว่าจะจ้างคนในพื้นที่ให้ได้ 90% เพื่อสร้างเสริมเศรษฐกิจฐานรากในชุมชนรอบเหมือง สนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิต และประการสำคัญ การชำระค่าภาคหลวงแร่ให้แก่รัฐนับจนถึงกลางเดือนกรกฎาคม 2567 บริษัทได้ชำระค่าภาคหลวงให้รัฐไปแล้วมากกว่า 500 ล้านบาท

โดยนายเชิดศักดิ์ อธิบายเพิ่มเติมว่า “ค่าภาคหลวงที่บริษัทฯ ชำระนั้น จะถูกจัดสรรเป็นรายได้ของรัฐ 40% และส่วนที่เหลือจัดสรรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโดยเฉพาะองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และ องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ในพื้นที่ที่ประทานบัตรตั้งอยู่” 

ในส่วนของจังหวัดพิจิตรได้รับการจัดสรรเงินค่าภาคหลวงแร่ให้ อบต. 20% และ อบจ. อีก 20% หรือหน่วยงานละ ประมาณ 23 ล้านบาท ซึ่งมากพอที่จะเสริมงบประมาณปกติที่ได้รับจากส่วนกลาง และจะช่วยเสริมศักยภาพของทั้งสององค์กรในการดูแลประชาชนได้เป็นอย่างดี ซึ่งค่าภาคหลวงแร่นี้ช่วยให้เกิดงานและโครงการต่าง ๆ ในพื้นที่จำนวนมาก 

นอกจากนี้ อัครายังได้นำเงินเข้ากองทุนตามที่กฎหมายกำหนด จำนวน 4 กอง อีกประมาณ 100 ล้านบาท ทั้งนี้ ยังไม่นับรวมการสนับสนุนแก่ชุมชนโดยตรงจากงบประมาณของบริษัทในกิจกรรมเกี่ยวกับการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ การศึกษา และกิจกรรมทางกีฬา ศาสนา และสังคม ที่บริษัทฯ ทำด้วยความสมัครใจ 

ต่อจากนี้ บริษัทฯ จะเดินหน้าตามวิสัยทัศน์ที่ต้องการให้ไทยเป็น “ฮับทองคำ” (Gold Hub) ของภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ ร่วมกับพันธมิตรธุรกิจกลางน้ำและปลายน้ำของอุตสาหกรรมทองคำ โดยจะหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการผลักดันให้สินค้าทองคำและเงินของไทยผ่านเกณฑ์ FTA เพื่อรับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ จากประเทศคู่ค้า เช่น การลดหย่อนภาษีนำเข้าของประเทศปลายทางจากการใช้ทองคำและเงินที่สกัดและแปรรูปในไทย ตามหลักเกณฑ์ที่มีสัดส่วนมูลค่าการผลิตและวัตถุดิบในประเทศ (Local Content) อย่างน้อย 40% ของต้นทุน สร้างแต้มต่อให้กับผู้ประกอบการไทยในตลาดต่างประเทศ สอดรับกับนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญในการเข้าทำความตกลงการค้าเสรีกับประเทศต่าง ๆ เพื่อดึงเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติมายังประเทศไทย

โจทย์หนัก 'บิ๊กจ้อน' ประนอมอำนาจบ้านใหญ่-หยุดเกมรื้อ รธน. ในจังหวะ 'สว.พันธุ์ใหม่' ตีปี๊บมาแต่ไกล แต่สุดท้ายไม่ว้าว

ตามโผ...ตามคาด...ตามนัด...ผลการเลือกประธานและรองประธานวุฒิสภา เมื่อวันที่ 23 ก.ค.67 

- ประธานวุฒิสภา นายมงคล สุระสัจจะ (159 คะแนน)
- รองประธานวุฒิสภา คนที่ 1 พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ (150 คะแนน)
- รองประธานวุฒิสภา คนที่ 2 นายบุญส่ง น้อยโสภณ (167คะแนน)

คอลัมน์นี้ ขอบันทึกผลการลงคะแนนอย่างเป็นทางการเฉพาะตำแหน่งประธานไว้ ณ โอกาสนี้

- นายมงคล สุระสัจจะ 159 คะแนน
- ดร.นันทนา นันทวโรภาส 19 คะแนน
- นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ 13 คะแนน
(งดออกเสียง 4 บัตรเสีย 5)

ดูจากคะแนนที่ลงมติก็ต้องยืนยันตามที่ 'เล็ก เลียบด่วน' นำเสนอมาโดยลำดับว่า สว.สีน้ำเงินนั้น...ของแทร่...140 บวกลบ ท่านมงคลประเดิมที่ 159 เสียง (จาก 200) พล.อ.เกรียงไกร 150 เสียง และบุญส่ง 167 

ต้องบอกว่าเหตุที่คะแนนของ บุญส่ง มากกว่าใครเพื่อน ก็เพราะคู่แข่งไม่แข็งแรง และกลุ่มอิสระที่แต่เดิมนายบุญส่งไปเกาะเกี่ยวอยู่ด้วยเทเสียงให้มากเป็นพิเศษ...

และก็ต้องแสดงความเสียใจกับ สว.สีส้ม ที่แปลงโฉมมาในนามกลุ่ม 'สว.พันธุ์ใหม่' นำโดย ดร.นันทนา นันทวโรภาส ที่เอาเข้าจริงเหลือเพียง 15-19 เสียง  จากที่เคยตีปี๊บว่ามี 30 เสียง...แต่เอาเหอะ จะเหลือกี่เสียงก็ไม่สำคัญเท่ากับบทบาทที่จะกระทำนับจากนี้ไป ซึ่งเชื่อว่าหาก ดร.นันทนา ไม่ 'ส้มจี๊ด' จนเกินเหตุ บทบาทของเธอ ก็คงน่าติดตามเหมือนกัน...

ส่วนท่านประธานมงคลนั้น...ฟังจากวิสัยทัศน์ภายใต้คำยืนยันจะปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ แล้ว ก็ต้องบอกว่า 'บิ๊กจ้อน' หรือ 'สหายจ้อน' ที่สื่อมวลชนเริ่มเรียกขานกัน เป็นคนที่นุ่มและลุ่มลึกทางความคิด...เพราะก็อย่างที่รู้ๆ กันว่าช่วงหนึ่งของชีวิตหลังเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ท่านมงคลเคยหลบภัยเผด็จการไปร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) บนเทือกเขาบรรทัด ประมาณ 6-7 เดือน...

ก็เหมือนๆ กับ สหายใหญ่...ภูมิธรรม เวชยชัย, สหายจรัส นพ.พรหมมินทร์ เลิศสุริย์เดช ฯลฯ...นั่นแหละ  

ดังนั้นในมิติประสบการณ์ การตกผลึกทางความคิดที่จะให้วุฒิสภาเป็นสภาที่ประนอมอำนาจแก้วิกฤตประเทศตามที่แสดงวิสัยทัศน์เป็นประเด็นที่น่าติดตามยิ่ง...

อย่างไรก็ตามว่ากันตรงๆ สิ่งที่ประธานมงคลจะต้องเผชิญในชีวิตจริงเฉพาะหน้าก็คือ การประนอมอำนาจกับบ้านใหญ่บุรีรัมย์ที่มีธงทางอำนาจผ่านวุฒิสภาอย่างชัดเจน...ด้านหนึ่งเพื่อหยุดเกมรื้อรัฐธรรมนูญที่เลยเถิดของบางกลุ่ม ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี แต่ธงอำนาจเรื่องการเลือกบุคคลในองค์กรอิสระ...อะไรคือ วาระของชาติ อะไรคือ วาระของบ้านใหญ่ เป็นเรื่องที่สหายจ้อนจะต้องยึดความถูกต้อง-ผลประโยชน์ของชาติให้ได้...

เฉพาะหน้า...วัดกันที่กระบวนท่าการจัดสรรเก้าอี้ประธานกรรมาธิการสามัญประจำวุฒิสภา 20 กว่าคณะ...ข่าวล่ามาเรือระบุว่า สว.สีน้ำเงิน จะกินรวบ แต่ไม่กวาดเรียบ...แปลไทยเป็นไทยว่า กมธ.ที่ตรงกับกระทรวงที่พรรคสีน้ำเงินดูแล และกมธ.เกรดเอ อย่าง กมธ.ปปช., กมธ.คมนาคม, กมธ.สื่อสาร ฯลฯ...สว.สีน้ำเงินขอจอง...

โชคดีครับท่านประธานจ้อน!!

‘ฉางเอ๋อ-5’ เผย!! พบ 'โมเลกุลน้ำ' จากดินบนดวงจันทร์ เปิดโอกาสใหม่ ‘พัฒนา-ใช้ทรัพยากรน้ำ’ ได้ในอนาคต

(24 ก.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ทีมนักวิทยาศาสตร์ที่นำโดยผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันฟิสิกส์ สังกัดสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน ค้นพบแร่ธาตุชนิดหนึ่งที่อุดมไปด้วยน้ำในโครงสร้างโมเลกุล ในตัวอย่างดินดวงจันทร์ที่ยานสำรวจดวงจันทร์ฉางเอ๋อ-5 (Chang'e-5) นำกลับมาสู่โลก โดยประกอบด้วยผลึกน้ำมากถึง 6 โมเลกุล

หลักฐานหลายชิ้นชี้ให้เห็นถึงการมีอยู่ของน้ำหรือน้ำแข็งบนพื้นผิวดวงจันทร์ แต่มีแนวโน้มว่าน้ำและน้ำแข็งอาจจะอยู่ในรูปแบบของหมู่ไฮดรอกซิล (hydroxyl group) มากกว่า

การศึกษาที่เผยแพร่ลงในวารสารเนเจอร์ แอสโทรโนมี (Nature Astronomy) เมื่อไม่นานนี้ แสดงให้เห็นว่าโมเลกุลน้ำในตัวอย่างดินดวงจันทร์นั้นมีน้ำหนักมากถึงราวร้อยละ 41 ของมวลทั้งหมด ซึ่งบ่งชี้ถึงการตรวจจับโมเลกุลน้ำภายในเรโกลิธ (regolith) บนดวงจันทร์ได้โดยตรงเป็นครั้งแรก และช่วยไขกระจ่างถึงการมีโมเลกุลน้ำและแอมโมเนียม (ammonium) อยู่จริงบนพื้นผิวดวงจันทร์

การศึกษาเผยว่าโครงสร้างและองค์ประกอบของแร่ธาตุดังกล่าวคล้ายคลึงกับแร่ธาตุที่เคยพบใกล้ภูเขาไฟบนโลกอย่างมาก ซึ่งสามารถตัดความเป็นไปได้ว่าสิ่งปนเปื้อนหรือไอเสียจากจรวดบนพื้นผิวดวงจันทร์เป็นต้นกำเนิดของสารประกอบที่มีโมเลกุลของน้ำอยู่นี้

การค้นพบครั้งนี้เผยถึงรูปแบบความเป็นไปได้อย่างหนึ่งที่บนพื้นผิวดวงจันทร์จะมีโมเลกุลของน้ำอยู่ นั่นคือการอยู่ในรูปแบบของเกลือไฮเดรต (hydrated salts) ซึ่งแร่ธาตุที่มีโมเลกุลของน้ำประกอบเหล่านี้มีความเสถียรมากในบริเวณพื้นที่สูงของดวงจันทร์ ถึงแม้ในพื้นที่นั้นมีแสงแดดส่องถึงก็ตาม

คณะนักวิจัยกล่าวว่าการค้นพบครั้งนี้เปิดโอกาสใหม่ ๆ สำหรับการพัฒนาและการใช้ทรัพยากรน้ำบนดวงจันทร์เพิ่มเติมในอนาคต

ทั้งนี้ จีนตั้งเป้าจะสร้างแบบจำลองพื้นฐานของสถานีวิจัยดวงจันทร์นานาชาติภายในปี 2035 ซึ่งการใช้ทรัพยากรจากบนดวงจันทร์จะช่วยวางรากฐานสำหรับการก่อสร้างสถานีบนดวงจันทร์ได้ในระยะยาว

(ทีมนักวิทยาศาสตร์ของจีนค้นพบแร่ธาตุชนิดหนึ่งที่อุดมไปด้วยน้ำในโครงสร้างโมเลกุล ในตัวอย่างดินดวงจันทร์ที่ยานสำรวจดวงจันทร์ฉางเอ๋อ-5 (Chang'e-5) นำกลับมาสู่โลก)


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top