Sunday, 25 May 2025
TheStatesTimes

‘พี่จอง’ เคลื่อนไหวหลังดรามาเกาะปันหยี ชี้!! ทุกที่ดีทั้งดี ไม่ดี แต่ขอให้มองแต่สิ่งที่ดีๆ

กลายเป็นประเด็นดรามาร้อนแรงบนโลกออนไลน์ หลังจากพี่จอง-คัลแลน ยูทูปเบอร์ชื่อดัง ช่อง ‘Cullen Hateberry’ ได้ลงคลิปไปเที่ยวที่เกาะปันหยี ซึ่งเมื่อคลิปดังกล่าวเผยแพร่ออกไป ชาวเน็ตต่างพากันออกมาวิพากษ์วิจารณ์ถึงกรณีที่สองหนุ่มถูกเอาเปรียบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าเดินทาง ของฝากที่ระลึก รวมทั้งของกินที่มีราคาแพงจนเกินไป 

ซึ่งกระแสดรามาที่เกิดขึ้น ทางด้านเจ้าของร้านอาหารและหน่วยงานที่เกาะปันหยี ก็ได้ออกมาชี้แจงถึงประเด็นดังกล่าว พร้อมน้อมรับในกระแสข้อวิจารณ์ที่ใช้เหตุผล ส่วนข้อวิจารณ์ที่ไม่เป็นความจริงและกล่าวหามุสลิมเพื่อต้องการเรียกยอดไลก์และสร้างความเสียหายกับพี่น้องชาวไทยมุสลิมบนเกาะปันหยี ก็อาจจะพิจารณาใช้กฎหมายดำเนินการต่อไป

ล่าสุด (25 ก.ค. 67) พี่จอง ก็ได้ออกมาเคลื่อนไหวผ่านทางอินสตาแกรมส่วนตัว (@jung_kt_) โดยได้โพสต์รูปภาพที่นั่งอยู่บนเรือ พร้อมรอยยิ้มที่สดใส และระบุข้อความว่า 

“ผมคิดว่า ทุก ๆ ที่มีทั้งดี และไม่ดี ผมอยากให้ทุก ๆ คน มองแต่สิ่งดี ๆ เราจะเป็นคนที่มีความสุข มองดูที่นี้ครับ”

ทำเอาแฟน ๆ เข้ามาคอมเมนต์กันสนั่น เช่น “หนูรู้นะคะ ว่าพี่จองหมายถึงอะไร พี่จองน่ารักที่สุดในโลกเลย” / “เห็นด้วยค่ะ มองแต่สิ่งดี ๆ เราจะมีแต่ความสุข อันไหนไม่ดีก็ปล่อยผ่าน รักพี่จองมากนะคะ พี่ทำให้พวกเรามีความสุข และพี่สมควรได้ความสุขมาก ๆ เช่นกันนะคะ” / “จริงค่ะ ทุก ๆ ที่มีทั้งดีและไม่ดี แต่สำหรับหนู พี่จองคือสิ่งที่ดีที่สุดเลยค่ะ รอยยิ้มของพี่จองทำให้หนูมีความสุขและเป็นพลังใจในการทำงานทุก ๆ วันเลยนะคะ ใจฟูมากๆๆ”

‘นพ.วรงค์’ ตั้งข้อสังเกต 5 ข้อ 'เงินดิจิทัล' เอื้อทุจริตวงกว้าง ซ้ำร้าย!! รายใหญ่จะรวยขึ้น รายย่อยจะถูกฆ่าอย่างเลือดเย็น

(25 ก.ค. 67) นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ ‘พายุหมุนหรือลมบ้าหมู’ มีเนื้อหาระบุว่า…

วันที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมา พวกเราคงได้ฟังคำแถลงของ ขุนคลัง ‘พิชัย-จุลพันธ์-เผ่าภูมิ’ แถลงเรื่องแจกเงิน ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ 4.5 แสนล้านบาท ให้คนอายุ 16 ปีขึ้นไป 50 ล้านคน ผมมีข้อสังเกตคือ…

1.ทำไมต้องเอาเงินสด ที่กว่าจะรวบรวมมาได้ มาแปลงเป็นเงินดิจิทัล และสุดท้ายจึงแปลงเป็นเงินสดอีกรอบ ทำไมไม่แจกเงินสด ทำแบบนี้ทำให้ระบบเงินบาทไทย มีเงินบาทสองระบบ นั่นคือเงินบาทดีกับเงินบาทเลว

2.การที่รัฐบาลกำหนด negative list คือรายการสินค้าที่ห้ามซื้อ ห้ามใช้หนี้ เท่ากับว่าพวกท่านได้สร้างกำแพงต้านพายุหมุนที่คาดว่าจะเกิด มันจะทำให้พายุหมุน กลายเป็นแค่ลมบ้าหมู

3.ผลของการกำหนด negative list และห้ามใช้หนี้ จะนำไปสู่การทุจริตในวงกว้าง นั่นคือนำเงินดิจิทัลหรือเงินบาทเลว ไปแลกเป็นเงินบาทดี และถูกหักหัวคิว ด้วยเทคนิคศรีธนญชัย ที่คนไทยคุ้นเคย เป็นโอกาสที่ นำเงินสีเทามาฟอกขาว

4.สุดท้ายแล้ว ผู้ค้าตลาดนัด รายย่อย แผงลอย จะเป็นผู้เสียประโยชน์ ประโยชน์ต่าง ๆ สิทธิการแลกเป็นเงินสด ซึ่งคือเงินบาทดี จะไปกองที่รายใหญ่ นายทุนธุรกิจใหญ่ จะร่ำรวยมากขึ้น รายย่อยจะจนและลำบากมากขึ้น นโยบายนี้คือการฆ่ารายย่อยอย่างเลือดเย็น

5.สิ่งที่ต้องถามไปยังรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ขนาดให้คาดการณ์ผลต่อจีดีพี การเก็บภาษี ท่านยังตอบไม่ได้ ดังนั้นปัญหาต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น จากความผิดพลาดในนโยบาย เงินดิจิทัลครั้งนี้ ท่านจะรับผิดชอบอย่างไร ช่วยประกาศความรับผิดชอบล่วงหน้าไว้ด้วย

4 สิงหาคม พ.ศ. 2426 ‘ในหลวง ร.5’ โปรดเกล้าฯ สถาปนา ‘กรมไปรษณีย์’ จุดกำเนิดกิจการไปรษณีย์ในประเทศไทย

เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2426 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สถาปนา ‘กรมไปรษณีย์’

อย่างไรก็ตาม หากย้อนกลับไป จุดเริ่มต้นของการสื่อสารในสมัยก่อนนั้น เกิดจากการสร้างเส้นทางคมนาคมและเส้นทางการค้า โดยมีการติดต่อข่าวสารกันอย่างง่าย ทั้งผ่านทางพ่อค้า ใช้ม้าเร็ว จนถึงการจัดตั้งคนเร็วไว้ตามเมืองสำคัญ ก็ถือเป็นพัฒนาการทางการส่งข่าวสารอย่างง่ายอีกช่องทางหนึ่งและเป็นเช่นนี้เรื่อยมาจนถึงยุคสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น

รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถือเป็นยุคแรกของ ‘การไปรษณีย์ไทย’ ด้วยการจัดตั้ง ‘กรมไปรษณีย์’ ในประเทศไทย และการผลิต ‘แสตมป์ชุดโสฬส’ แสตมป์ชุดแรกของประเทศ รวมไปถึงจัดพิมพ์ไปรษณียบัตรครั้งแรก เพื่อรองรับกิจการไปรษณีย์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น

โดยปี พ.ศ. 2423 เจ้าหมื่นเสมอใจราช หัวหมื่นมหาดเล็กเวรสิทธิ์ ได้ทำหนังสือกราบบังคมทูล พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถวายคำแนะนำให้เปิดบริการไปรษณีย์ขึ้นในประเทศไทย โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริเห็นชอบ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมหลวงภาณุพันธุวงศ์วรเดช ผู้ทรงมีประสบการณ์เกี่ยวกับการจัดส่งหนังสือพิมพ์รายวัน ‘ข่าวราชการ’ ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการกรมไปรษณีย์

เมื่อสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมหลวงภาณุพันธุวงศ์วรเดช ทรงวางโครงการและเตรียมการไว้พร้อมที่จะเปิดบริการไปรษณีย์แล้ว ได้ประกาศเปิดรับฝากส่งจดหมายหรือหนังสือ เป็นการทดลองในเขตพระนครและธนบุรีขึ้น เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2426 มีที่ทำการตั้งอยู่ ณ ตึกใหญ่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาตอนปากคลองโอ่งอ่าง ด้านทิศเหนือ (ปัจจุบันถูกรื้อเพื่อใช้ที่สร้างสะพานคู่ขนานกับสะพานพระพุทธยอดฟ้า) ที่ทำการแห่งแรกนี้ใช้เป็นที่ทำการไปรษณีย์สำหรับจังหวัดพระนคร ด้วยเรียกกันว่า ‘ไปรษณียาคาร’

ต่อมาในปี พ.ศ. 2441 เสนาบดีกระทรวงโยธาธิการกราบบังคมทูลเสนอความเห็นว่าราชการของกรมไปรษณีย์และราชการของกรมโทรเลข ซึ่งตั้งขึ้นก่อนกรมไปรษณีย์แล้วนั้นเป็นงานในด้านสื่อสารด้วยกัน ควรรวมเป็นหน่วยราชการเดียวกันเสีย เพื่อความสะดวกแก่การดำเนินงาน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นเป็นการสมควรจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้รวมหน่วยงานทั้งสองเข้าด้วยกันเรียกว่า ‘กรมไปรษณีย์โทรเลข’

ต่อมาได้ย้ายไปใช้อาคารและที่ดินริมถนนเจริญกรุงเป็นที่ทำการและเรียกกันโดยทั่วไปว่า ‘ที่ทำการไปรษณีย์กลาง’ การไปรษณีย์เป็นบริการสาธารณะ จำเป็นต้องมีระเบียบข้อบังคับเพื่อให้ประชาชนผู้ใช้บริการและเจ้าหน้าที่ผู้ดำเนินบริการทราบและถือปฏิบัติ เมื่อเปิดการไปรษณีย์โทรเลขได้ประมาณ 2 ปีแล้ว รัฐบาลจึงได้ตรากฎหมายขึ้นในปี พ.ศ. 2428 เรียกว่า ‘พระราชบัญญัติการไปรษณีย์ไทย จุลศักราช 1248’

ทั้งนี้ เพื่อระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ที่ได้ทรงมีแก่กิจการไปรษณีย์ไทย คณะรัฐมนตรีจึงมีมติ เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2526 กำหนดให้ วันที่ 4 สิงหาคมของทุกปีเป็น ‘วันสื่อสารแห่งชาติ’ และจัดงานวันสื่อสารแห่งชาติ ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2526 โดยจัดร่วมกับงานครบรอบ 100 ปี การสถาปนากรมไปรษณีย์โทรเลข และการเฉลิมฉลองปีการสื่อสารโลกของสหประชาชาติ

‘กมลา แฮร์ริส’ ขึ้นแท่นเจ้าแม่มีม 2024 หลังเปลี่ยน ‘มุกแป้ก’ กลายเป็น ‘ปัง’ พร้อมกวาดคะแนนเสียงชาว Gen Z ที่แม้แต่ ‘ไบเดน-ทรัมป์’ ก็ทำไม่ได้

‘กมลา แฮร์ริส’ กลายเป็นจุดสนใจของสื่ออเมริกันทันทีที่ ‘โจ ไบเดน’ ยอมถอนตัวออกจากสนามเลือกตั้งผู้นำสหรัฐ เพื่อดัน กมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีคู่หูของเขาขึ้นชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 47 ในสมัยหน้า 

แม้ แฮร์ริส อาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดของพรรคเดโมแครต แต่เธอมีฐานเสียงสนับสนุนอย่างหนาแน่น โดยเฉพาะ ‘กลุ่มสตรี’ และ ‘คนผิวสี’ ที่สร้างปรากฏการณ์ยอดบริจาค 81 ล้านเหรียญเข้าพรรคได้ภายใน 24 ชั่วโมง และยังทำให้คนในพรรคที่เคยเสียงแตกกลับมาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้อีกครั้ง ด้วยจุดประสงค์เดียวกัน คือ เอาชนะ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ให้ได้ 

และล่าสุด…ดูเหมือนว่าความนิยมของแฮร์ริส จะพุ่งสูงยิ่งขึ้นในกลุ่มวัยรุ่น Gen Z ทั้ง ๆ ที่เธอยังไม่ทันได้เริ่มออกหาเสียงในฐานะแคนดิเดตเบอร์ 1 ของพรรคอย่างเป็นทางการด้วยซ้ำ 

เมื่อคลิปบางช่วงที่ตัดมาจากสุนทรพจน์ของเธอ ที่เคยกล่าวไว้ที่ทำเนียบขาวตั้งแต่ปี 2023 กลายเป็นไวรัลไปทั่ว โดยเธอได้ยกคำพูดของแม่มาเล่าให้ฟังว่า "ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเธอ หนุ่ม-สาวทั้งหลาย พวกเธอคิดว่าเพิ่งตกลงมาจากต้นมะพร้าวหรือไง"

และทำให้มุกต้นมะพร้าวที่เคยแป้กของเธอ กลายเป็นมุกปังไปทั่วโลกออนไลน์ ที่มีทั้งชาว X ชาว Tiktok ออกมาปล่อยมุกต้นมะพร้าวกันอย่างพร้อมเพรียงกัน ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่า ‘ต้นมะพร้าว’ ของ กมลา แฮร์ริส หมายถึงอะไร

ยิ่งพรรคคู่แข่งอย่าง ‘รีพับลิกัน’ พยายามโจมตีแฮร์ริส เรื่องมุกตลกฝืด ๆ ของเธอ ก็ยิ่งทำให้กระแสคลิปของเธอดังยิ่งขึ้นไปอีก จนสื่อมวลชนยกตำแหน่ง ‘เจ้าแม่มีม 2024’ ให้แก่ กมลา แฮร์ริส โดยพร้อมเพรียง

ข้อดีของกระแสมีมมุกแป้กของแฮร์ริสนั้น ทำให้เธอสามารถจับฐานเสียงกลุ่ม Gen Z ที่เป็น Young Voter ได้อย่างเหนียวแน่น ซึ่งเป็นกลุ่มฐานเสียงที่ทั้งไบเดน และ ทรัมป์ เจาะไม่ถึง 

จากความเห็นบางส่วนของกลุ่ม Gen Z ที่ชื่นชอบ กมลา แฮร์ริส มองว่า เธอเป็นคนเข้าถึงง่าย มีความเป็นปุถุชนสูง ไม่ถือตัวที่จะปล่อยมุกตลก 5 บาท 10 บาท แม้ส่วนใหญ่จะเป็นมุกฝืด ๆ เพื่อเข้าถึงผู้ฟังทุกกลุ่ม ซึ่งต่างจากผู้นำคนอื่น ๆ ที่มักกล่าวสุนทรพจน์ที่ร่างขึ้นอย่างสวยหรู แต่ห่างไกลผู้ฟัง

และตอนนี้ คนรุ่นใหม่มีเกณฑ์ในการเลือกผู้นำของพวกเขาที่แตกต่างจากคนรุ่นเก่า ๆ อย่างชัดเจน เน้นกระแสออร่าความเป็นเซเลป คนดังก่อน ค่อยพิจารณานโยบายทีหลัง ทั้งนี้อาจเป็นเพราะหลายปีที่ผ่านมาชาวอเมริกันไม่ได้เห็นความแตกต่างของการทำหน้าที่รัฐบาลของพรรคการเมืองมากนัก เมื่อเป็นเช่นนั้น จึงขอเลือกคนที่ถูกใจตัวเองดีกว่า 

ไม่แน่ว่า…การเลือกตั้งผู้นำครั้งนี้ของสหรัฐ อาจตัดสินกันที่กระแสมีมก็เป็นได้ 

เรื่อง : ยีนส์ อรุณรัตน์

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม 2567 : ‘สวดมนต์’ หรือ ‘นั่งสมาธิ’ อะไรได้บุญมากกว่า?

จากช่องติ๊กต็อก @dhamma_tv ได้เผยแพร่คำสอนเรื่อง ‘‘สวดมนต์’ หรือ ‘นั่งสมาธิ’ อะไรได้บุญมากกว่า?’ จากรายการ ‘ธรรมะทำไม’ โดย ‘พระครูศรีปริยัติวิสุทธิ์ (หลวงพ่อโกวิท)’ รองเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา เจ้าอาวาสวัดด่านใน

🔔คำถาม: ‘สวดมนต์’ หรือ ‘นั่งสมาธิ’ แบบไหนได้บุญมากกว่ากัน?

📢พระครูศรีปริยัติวิสุทธิ์ (หลวงพ่อโกวิท): ต้องอธิบายความให้เข้าใจก่อนว่า ‘พระพุทธศาสนา’ เกิดในดินแดนนักปราชญ์ ประเทศอินเดีย มีหลากหลายความเชื่อ หลากหลายลัทธิ รวมมาเป็นศาสนา แน่นอนว่าก็จะมีการโจมตีกัน ไม่โจมตีกัน อยู่ร่วมกัน แต่ที่แน่ ๆ ‘พระพุทธศาสนา’ ไม่โจมตีใคร รู้ได้จากหลักโอวาทปาฏิโมกข์ พระองค์ทรงให้หลักการ 3 อุดมการณ์ 4 วิธีการ 6 

หลักการมี 3 ข้อ นำหลักการนี้ไปเผยแพร่ พูดที่ไหนก็พูดให้ตรงกัน ส่วนอุดมการณ์คือเป้าหมายมี 4 ข้อ ได้แก่ อย่ากล่าวร้าย อย่ากล่าวหา / ไม่ใช้กําลัง ไม่ทําร้าย / ระมัดระวังในข้อปฏิบัติ ในศีลของตน / หมั่นทําความเพียรเนือง ๆ ความเพียรนี้จะมาอยู่ในเรื่องของการสวดมนต์และนั่งสมาธิ 

ในสมัยก่อนชาวพุทธฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าโดยตรง หรือถ้าไม่มีโอกาสก็จะฟังจากครูอาจารย์ที่ไปฟังจากพระพุทธเจ้าอีกที วันเวลาผ่านไป ก็เริ่มคิดว่าจะทํายังไงให้จําคำสอนได้ วิธีเดียวคือ ‘การท่อง’ ท่องให้เกิดความจํา เพราะถ้าไม่ท่องก็จะลืม

ส่วนที่ถามว่า ‘สวดมนต์’ กับ ‘ทําสมาธิ’ อันไหนดีกว่า ก็ต้องตอบแบบนี้ว่า ‘การสวดมนต์’ วัตถุประสงค์เพื่อให้ใจสงบ ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า ระลึกถึงพระธรรม ระลึกถึงพระสงฆ์ เป็นองค์พระกรรมฐาน 40 ข้อในคําสอนอยู่แล้ว ส่วนการนั่งสมาธิ โดยไม่สวดมนต์ ก็เป็นการปิดตา เปิดใจ 

พูดตามหลักแล้ว ‘การสวดมนต์’ กับ ‘การนั่งภาวนา ทําสมาธิ’ คือสิ่งเดียวกัน อยู่ในหมวดบุญ หมวดเดียวกัน (ภาวนามัยกุศล) ส่วนจะให้บอกว่าได้บุญมากน้อยต่างกันอย่างไร อันนี้ตอบยาก เพราะถ้าผู้ปฏิบัติเลื่อมใสทั้งการสวดมนต์และนั่งสมาธิ มีครูอาจารย์คอยชี้แนะ ยังไงก็ก้าวหน้าขึ้นเรื่อย ๆ 

การสวดมนต์ ไม่ได้ทำไปเพื่อให้บรรลุธรรม แต่เป็นการเตรียมตัว เปรียบเสมือนการปรับหน้าดินก่อนสร้างบ้าน เพื่อเตรียมลงเสาเข็ม ดังนั้นการสวดมนต์คือการปรับดิน ปรับพื้นที่จิตใจ ให้ราบเรียบ ให้สงบ

‘อุ๊งอิ๊ง’ ใจถึง!! ดีด ‘เฉลิม’ ออกกลุ่มไลน์พรรค ขจัดความอึดอัดใจสมาชิก ส่วนจะต้องขับใครออกจากพรรคหรือไม่? ยืนยัน!! ไม่มีนโยบายนี้

(25 ก.ค.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ณ ที่ทำการพรรคเพื่อไทย ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ กทม. นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีดีด ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ออกจากกลุ่มไลน์ของพรรคเพื่อไทย ภายหลัง ร.ต.อ.เฉลิม เปิดบ้านริมคลอง แถลงข่าวท้าให้พรรคเพื่อไทยขับออกจากพรรค เมื่อวันที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมา ว่า เป็นเรื่องจริง เพราะไลน์กลุ่มมีไว้สื่อสารเรื่องต่าง ๆ กับสมาชิกพรรคให้รับรู้รับทราบ จากที่ตนเห็นข่าวเมื่อวานแล้ว สิ่งแรกที่รู้สึกคืออยากให้คนในพรรค หรือคนที่อยู่ในกลุ่มไลน์นี้ ไม่อยากให้เกิดความบั่นทอน ตนก็ไม่อยากให้มีประเด็น และทุกคนรู้สึกกังวลไปด้วยว่าข่าวเป็นแบบนี้แล้วในพรรค และในกรุ๊ปไลน์นี้จะคุยกันอย่างไร

“ก่อนหน้านี้ คุณเฉลิม ก็ไลน์มาเรื่องว่าจะย้ายพรรค ซึ่งข้อความต่อ ๆ ไปทุกคนก็เริ่มอึดอัดใจ ซึ่งตนคิดว่าตรงนี้ถ้าตนนำไปปรึกษาใครว่าเอาออกดีไหม ทุกคนก็จะมีความเกรงใจกันเกิดขึ้น ซึ่งตนคิดว่ากรุ๊ปไลน์นี้ต้องเป็นกรุ๊ปของการคุยเรื่องการทำงาน เป็นกรุ๊ปของการนัดแนะ สส.ให้ทราบข้อมูลตรงกัน จึงมีการมูฟ คุณเฉลิม ออกไปดีกว่า ก็แค่นั้น เราก็บอกตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วว่าเราไม่อยากมีดรามามากขึ้น จริง ๆ ก็ไม่ทราบว่าการมูฟ คุณเฉลิม ออกจากกลุ่มไลน์จะเป็นข่าว แค่คิดว่าไม่อยากให้ในกลุ่มอึดอัดใจมากกว่า อันนี้คือความตั้งใจ เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นข่าวก็พร้อมจะอธิบายว่าเราต้องการจบจริง ๆ” นางสาวแพทองธาร กล่าว

เมื่อถามว่ามีการพูดคุยกับ ร.ต.อ.เฉลิม ก่อนหรือไม่ ก่อนที่จะตัดสินใจดีดออกจากไลน์ นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า ไม่ได้ปรึกษาใครก่อน เพราะคิดแล้วว่าก็ต้องทำงานต่อไป นั่นคือสิ่งสำคัญ

เมื่อถามว่ามองอย่างไรกรณี ร.ต.อ.เฉลิม ออกมาแถลงข่าวท้าให้ขับออกจากพรรคเพื่อไทย นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า ก็เป็นเรื่องของท่าน ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้น ตนพร้อมเสมอที่จะพูดคุย แต่ต้องมาคุยที่พรรคเพื่อไทย และการพูดคุยก็จะต้องมีเลขาธิการพรรค และผอ.พรรค หรือมีคนอื่นอยู่ด้วย เพื่อให้เป็นทางการ เพราะเรื่องของพรรคไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ เพราะฉะนั้นถ้าจะคุยกันเรื่องนี้ก็อยากให้มาคุยกันที่พรรค

เมื่อถามว่ามีโอกาสที่จะขับ ร.ต.อ.เฉลิม ตามที่ร้องขอหรือไม่ นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า เราจะมูฟออกอย่างเดียว ไม่มีนโยบายขับออกจากพรรค

เมื่อถามถึงกรณีที่นายวัน และ ร.ต.อ.เฉลิม ไปสนับสนุน พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ในวันนับคะแนนผู้สมัครนายก อบจ.ปทุมธานี นางสาวแพทองธาร กล่าวว่าตนไม่ทราบเลยว่า ร.ต.อ.เฉลิม ก็ไปด้วย และทั้งหมดนี้ตนก็ไม่เคยไล่ และข้อความก็ไม่เคยพูดสักคำว่าจะให้ ร.ต.อ.เฉลิม และนายวันออกจากพรรคเพื่อไทย และก็ไม่เคยแสดงเจตนาเช่นนั้นด้วย จึงอยากจะชี้แจงให้ชัดเจนตรงนี้

“แต่ว่าทุกคนโตแล้วก็ตัดสินใจเองได้หมดว่าจะทำอย่างไรกับการแพลนชีวิตไปข้างหน้า ก็เคารพเสมอ ก็ขออวยพรให้โชคดีให้ประสบความสำเร็จ เพราะฉะนั้น ขอให้ไม่มีเรื่องนี้ต่อแล้ว ขออนุญาตไม่ให้สัมภาษณ์เรื่องนี้แล้ว ให้ทุกคนทำงานต่อ สำหรับฝั่งนี้ไม่มีดราม่าอะไรทั้งนั้น และขอให้เรื่องนี้จบ” นางสาวแพทองธาร กล่าว

เมื่อถามว่านอกจากเรื่องนี้แล้วมีเรื่องอื่นสะสมอีกหรือไม่ นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า ไม่มี ไม่เคยมีปัญหาอะไร ส่วนที่ ร.ต.อ.เฉลิม จะขอดีเบตกับคุณพ่อ ก็ให้ไปถามคุณพ่อละกัน ตนไม่ทราบ

เมื่อถามว่าแม้พรรคเพื่อไทยไม่ขับออก แต่บทบาทในสภาอาจจะเปลี่ยนไป อาจจะอภิปรายมาทางฝั่งพรรคเพื่อไทย นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า นั่นก็เป็นเรื่องที่พรรคต้องจัดการ และรับมือไปตามเรื่องนั้น

ผู้สื่อข่าวถามว่า วันที่ 26 ก.ค.เป็นวันเกิดของคุณพ่อ จะเปิดบ้านจันทร์ส่องหล้าให้คนสนิทเข้าไปอวยพรหรือไม่ นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า ช่วงเช้าจะมีการทำบุญภายในครอบครัว ตอนเที่ยงคิดว่าจะมีคนสนิทของคุณพ่อมาทานข้าวด้วยกันบ้าง มีคนใกล้ชิด หรือนักการเมืองเข้าไปอวยพรบ้าง ก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย คุณพ่อไม่ได้ทำบุญแบบนี้มานานแล้ว

ผบ.ตร.ขานรับนโยบายนายกรัฐมนตรี ประชุมทางไกล จับมือ ผบ.ตร.กัมพูชา หารือ แลกเปลี่ยนข้อมูล เสริมสร้างความร่วมมือปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พร้อมจัดตั้งคณะทำงานร่วมกัน (Task force) เพื่อแก้ไขปัญหา ให้เป็นรูปธรรมเห็นผลภายใน 60 วัน

จากการที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้ประสานไปยัง สมเด็จมหาบวรธิบดี ฮุน มาแนต นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา เพื่อให้มีความร่วมมือในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่ระบาดและสร้างความเสียหายจำนวนมากแก่พี่น้องประชาชนในปัจจุบัน   

วันนี้ (25 ก.ค. 67) เวลา 10.00 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้เข้าร่วมประชุมกับ พล.ต.อ.ซอ เทต ผบ.ตร.กัมพูชา และคณะ โดยผ่านระบบประชุมทางไกล ซึ่งที่ประชุมฝ่ายไทยยังประกอบด้วย พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. และมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี , สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง , ตำรวจภูธรจังหวัดที่มีพื้นที่ติดกับประเทศกัมพูชา , ธนาคารแห่งประเทศไทย , สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) , สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอี เข้าร่วมประชุมด้วย ณ ห้องประชุม ศปก.ตร. อาคาร 1 ชั้น 20 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 

ที่ประชุมได้หารือถึงข้อห่วงใยของนายกรัฐมนตรีที่ต้องการให้ตำรวจทั้งสองประเทศแสวงหาความร่วมมือปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างจริงจัง โดยตำรวจไทยได้นำเสนอคดีอาชญากรรมออนไลน์ที่เกิดขึ้น ซึ่งยังมีแนวโน้มสูงต่อเนื่อง ที่จะต้องอาศัยข้อมูลความร่วมมมือของกัมพูชาในการแก้ไขปัญหา นอกจากนี้ ยังมีการทบทวน ข้อหารือที่ได้เคยตกลงกันไว้ระหว่างสองประเทศให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยจะมีการตั้งคณะทำงานร่วมกัน (Task force) เพื่อแก้ปัญหาปราบปรามอาชญากรรมดังกล่าวอย่างจริงจัง และจะมีการหารือกันอีกครั้งในสัปดาห์หน้าที่ประเทศกัมพูชา 

ผลการประชุมหารือเป็นไปในทิศทางที่ดี ทั้งสองฝ่ายมีความเห็นร่วมกันที่จะดำเนินการทุกวิถีทาง เพื่อปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ระบาดอยู่ในสองประเทศ ให้ได้ผลอย่างจริงจังภายใน 60 วัน ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี

‘พีระพันธุ์’ ตอบ ‘สส.ก้าวไกล’ หลังตั้งกระทู้ถามสดด้วยวาจา ปม ‘ปัญหาราคาพลังงานไทย’ ในปัจจุบัน

'พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค' รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานตอบทุกประเด็น 'นายศุภโชค ไชยสัจ' สส.พรรคก้าวไกล หลังตั้งกระทู้ถามสดด้วยวาจาถึงปมปัญหาด้านราคาพลังงานไทยในปัจจุบัน ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร

‘พีระพันธุ์’ ชี้ ‘ราคาน้ำมัน’ ต้องมีกฎหมายให้อำนาจ ‘ก.พลังงาน’ ควบคุมต้นทาง

'พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค' รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานตอบทุกประเด็น 'นายศุภโชค ไชยสัจ' สส.พรรคก้าวไกล หลังตั้งกระทู้ถามสดด้วยวาจาถึงปมปัญหาด้านราคาพลังงานไทยในปัจจุบัน ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร

‘พีระพันธุ์’ กล่าวถึงกรณีราคาค่าไฟ 4.18 บาท

'พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค' รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานตอบทุกประเด็น 'นายศุภโชค ไชยสัจ' สส.พรรคก้าวไกล หลังตั้งกระทู้ถามสดด้วยวาจาถึงปมปัญหาด้านราคาพลังงานไทยในปัจจุบัน ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top