Sunday, 25 May 2025
TheStatesTimes

‘พีระพันธุ์’ เผยความตั้งใจ วันนี้มุ่งมั่นปรับปรุงแก้ไขกฎหมายน้ำมันใหม่

'พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค' รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานตอบทุกประเด็น 'นายศุภโชค ไชยสัจ' สส.พรรคก้าวไกล หลังตั้งกระทู้ถามสดด้วยวาจาถึงปมปัญหาด้านราคาพลังงานไทยในปัจจุบัน ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร

‘นายกฯ’ มองเป็นเรื่องธรรมดากระแส ‘คิดถึงลุงตู่’

(25 ก.ค. 67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีปัญหาที่มีการสะท้อนว่าเศรษฐกิจไม่ดี อยู่ในยุคข้าวยากหมากแพง ต้องมีการกำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างไร ว่า เรื่องนี้กระทรวงพาณิชย์และกรมการค้าภายในก็มีการกำกับดูแลให้สินค้ามีราคาที่เหมาะสม ส่วนเรื่องของราคาค่าไฟและราคาน้ำมัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของต้นทุน วันอังคารที่ผ่านมา (23 ก.ค.) ก็ได้ประชุมคณะรัฐมนตรีไป ก็มีมาตรการออกมาแล้ว

เมื่อถามต่อว่าปัญหาที่เกิดขึ้น จึงทำให้มีกระแสคิดถึงลุงตู่ (พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี) ขึ้น นายกรัฐมนตรี มองว่า ก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะพล.อ.ประยุทธ์ ท่านก็อยู่มา 8 ปี ทำให้ประเทศชาติหลายอย่าง ตนก็ไม่ได้คิดอะไร 

ธุรกิจ OR ขึ้นแท่นส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 ใน สปป.ลาว เล็งขยายปั๊มเพิ่มเป็น 77 แห่ง-เข็นนอนออยล์รุกเต็มสูบ

(25 ก.ค.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายรชา อุทัยจันทร์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ด้านธุรกิจต่างประเทศ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยภายหลังนำสื่อมวลชนเยี่ยมชมสถานีบริการน้ำมันใน สปป.ลาว.ว่า กลยุทธ์หลักของ OR ยังคงเน้นการขยายเครือข่ายสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น (PTT Station) และคาเฟ่ อเมซอน (Café Amazon) รวมทั้งการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานในประเทศที่มีศักยภาพ โดยมี สปป.ลาว เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ OR ให้ความสำคัญ

ทั้งนี้ OR ได้จัดสรรงบลงทุนระยะ 5 ปี (ปี 2567-2571) สำหรับกลุ่มธุรกิจ Global ไว้ที่ 8,007 ล้านบาท หรือคิดเป็น 12% ของงบลงทุนทั้งหมด สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในตลาดสากล

นายรชา กล่าวว่า สปป.ลาว เป็นประเทศที่มีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ และยังมีโอกาสเติบโตได้อีก OR จึงได้วางกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจทั้งกลุ่มธุรกิจ Mobility ได้แก่ การจำหน่ายน้ำมันผ่านสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น คลังเก็บผลิตภัณฑ์ ธุรกิจหล่อลื่น พีทีที ลูบริแคนทส์ (PTT Lubricants) และศูนย์บริการยานยนต์ ฟิต ออโต้ (FIT Auto) และ ฟิต เอ็กซ์เพรส (FIT Express) รวมถึงการรุกตลาดธุรกิจพลังงานสะอาดด้วยสถานีชาร์จไฟฟ้า อีวี สเตชั่น พลัส (EV station PluZ) และกลุ่มธุรกิจ Lifestyle มีการดำเนินธุรกิจอย่างหลากหลาย ได้แก่ ร้าน Café Amazon ร้านสะดวกซื้อ และร้านอาหารข้าวเปียกปู เป็นต้น

นอกจากนี้ เมื่อต้นปี 2567 OR ยังร่วมกับพันธมิตร ริเริ่มโครงการใช้ระบบวนเกษตรในการพัฒนาไร่กาแฟต้นแบบให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟใน สปป.ลาว (Agroforestry Coffee Plantation) เพื่อเสริมศักยภาพธุรกิจส่งออกเมล็ดกาแฟ (Roasted Coffee and Green Bean Coffee) ให้แก่บริษัทในเครือของ OR ในต่างประเทศ รวมทั้งยังเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้ในกลุ่ม OR อีกด้วย

นายพีรเวท ณ ระนอง Managing Director บริษัท พีทีที(ลาว) จำกัด (PTTLAO) กล่าวว่ากลยุทธ์ของ PTTLAO โดยมุ่งเสริมความแข็งแกร่งในตลาด สปป.ลาว พร้อมขยายฐานธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งที่ผ่านมาธุรกิจของ PTTLAO ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี ทั้งนี้ ยังคงเดินหน้าแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ โดยร่วมมือกับพันธมิตรทั้งจากประเทศไทยและพันธมิตรในพื้นที่ที่มีศักยภาพ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน

สำหรับกลุ่มธุรกิจ Mobility PTTLAO มีเครือข่ายคลังเก็บผลิตภัณฑ์ 7 แห่ง รองรับการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยความจุโดยรวมกว่า 7 ล้านลิตร รวมทั้งยังมีสถานีบริการ PTT Station รวม 56 แห่ง ครอบคลุมตลอดเส้นทางการเดินทางในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ นับเป็นสถานีบริการน้ำมันที่ผู้บริโภคของ สปป.ลาว นิยมใช้มากที่สุด โดยตั้งเป้าเพิ่มเป็น 77 ปั๊มในปี 2573 ทั้งนี้ OR มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 อย่างต่อเนื่อง ในปี 2065 -2566 รวมทั้งธุรกิจหล่อลื่น PTT Lubricants และศูนย์บริการยานยนต์ FIT Auto และ FIT Express รวมจำนวน 9 สาขา

ส่วนกลุ่มธุรกิจ Lifestyle มีความโดดเด่นด้วยร้าน Café Amazon เป็นร้านแฟรนไชส์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด มีจำนวนทั้งสิ้น 92 สาขา และตั้งเป้าขยายสาขาให้ครบ 110 สาขา ภายในปี 2567 นี้ และเพิ่มเป็น 150 สาขา ในปี 2573 โดย OR ได้เปิดร้านคาเฟ่ อเมซอน คอนเซ็ป สโตร์ (Café Amazon Concept Store) สาขาโรงกายะสิน ณ เมืองจันทะบูลี นครหลวงเวียงจันทน์ ซึ่งนับเป็น Café Amazon Concept Store แห่งแรกในต่างประเทศ ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคชาวลาวเป็นอย่างดี และยังมีร้านคาเฟ่ อเมซอน สาขาหลวงพระบาง ณ แหล่งมรดกโลก ที่มีความโดดเด่น ด้วยการผสานแรงบันดาลใจจากเอกลักษณ์วัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่นไว้อย่างลงตัว

นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจร้านสะดวกซื้อ และธุรกิจร้านอาหารข้าวเปียกปู ที่ PTTLAO พัฒนาขึ้นเป็นแบรนด์ใหม่ เพื่อรองรับลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการในสถานีบริการ PTT Station รวมทั้งในวันที่ 7 เดือน ส.ค. 2567 จะร่วมกับร้านสะดวกซื้อ 7-11 เปิดสาขาแรกในปั๊ม OR ที่สาขาสามแยกเซโน แขวงสะหวันนะเขต อีกทั้งยังตอบโจทย์การใช้ชีวิตทุกรูปแบบของผู้บริโภคที่ใช้พลังงานไฟฟ้า ด้วยการติดตั้งและเปิดให้บริการสถานีชาร์จ EV Station PluZ จำนวน 6 แห่ง ในสถานีบริการ PTT Station เป็นต้น (ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2567)

PTTLAO ยังให้ความสำคัญกับการสร้างการเติบโต ใน 3 มิติ อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมาย OR 2030 อีกทั้ง ยังเป็นไปตามกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจตามแนวคิด OR SDG ในทุกมิติ ทั้งในด้าน ‘S’ หรือ ‘SMALL’ เสริมสร้างโอกาสเพื่อคนตัวเล็ก ‘D’ หรือ ‘DIVERSIFIED’ การเปิดโอกาสเพื่อการเติบโตทุกรูปแบบ และ ‘G’ หรือ ‘GREEN’ ที่มุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาด เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์ (Healthy Environment)

“บิ๊กต่าย“สั่งเร่งกวาดล้างผู้ค้ารายย่อยในชุมชน ”ผู้ช่วยสำราญฯ“สนองนโยบาย เปิดปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้นทั่วประเทศ”

ตามนโยบายรัฐบาล โดย นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี การแก้ไขปัญหายาเสพติดในทุกพื้นที่ถือเป็นวาระเร่งด่วนของรัฐบาล ซึ่งในด้านการปราบปรามนั้น ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเน้นการใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างเด็ดขาดเพื่อตัดวงจรและท่อน้ำเลี้ยงเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติดทุกระดับ ประกอบกับนโยบายของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. และพล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.ในฐานะ ผอ.ศอ.ปส.ตร.ให้ทุกหน่วยทำงานเชิงรุกในการปราบปรามจับกุมผู้ค้ายาเสพติดรายย่อยในพื้นที่รับผิดชอบ และสืบสวนขยายผลคดียาเสพติดทุกคดีเพื่อจับกุมและยึดอายัดทรัพย์สินของเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติดที่เกี่ยวข้องทุกระดับ

วันนี้ (25 ก.ค. 67) ณ ศูนย์ปฏิบัติการ ห้องประชุมภักดีภูมิ บช.ปส. พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะ รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร.ผู้รับผิดชอบงานปราบปรามยาเสพติด ได้เดินทางมาติดตามการปฏิบัติการระดมปิดล้อมตรวจค้นเพื่อจับกุมและยึดทรัพย์ผู้ค้ายาเสพติดทั่วประเทศ ซึ่งได้สั่งการให้ทุกหน่วยเปิดปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้นพร้อมกันในเช้าวันนี้ โดยเป้าหมายการปิดล้อมดังกล่าวมีที่มาจากข้อมูลการซักถามผู้เสพหรือผู้ต้องหาคดียาเสพติด รวมทั้งข้อมูลการแจ้งเบาะแสของประชาชน จนทำให้ได้ข้อมูลผู้ค้ายาเสพติดในชุมชนมาทำการสืบสวนและกำหนดจุดปิดล้อมตรวจค้นเพื่อกวาดล้างจับกุม โดย ตำรวจภูธรภาค 1 – 9 , กองบัญชาการตำรวจนครบาล, กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ได้ร่วมบูรณาการกับเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่างๆได้แก่ สำนักงานป.ป.ส.,ทหาร,ฝ่ายปกครอง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปฏิบัติการระดมปิดล้อมตรวจค้นเครือข่ายยาเสพติดพร้อมกันทั่วประเทศ โดยมีเป้าหมายเครือข่ายยาเสพติดจำนวน 874 เครือข่าย เป้าหมายปิดล้อมตรวจค้น 2,638 จุดตรวจค้น

ผลการปิดล้อมตรวจค้น สรุปรายละเอียด ดังนี้
- จับกุมคดียาเสพติดรวม 1,757 คดี
- จับกุมผู้ต้องหา 1,645 ราย ผู้ต้องหาตามหมายจับ 112 ราย
- ตรวจยึดของกลาง ได้แก่ ยาบ้า 1,555,902 เม็ด, ไอซ์ 87 กก.,คีตามีน 4.5 กก, เฮโรอีน 35 กก., ยาอี 2,644
เม็ด, อาวุธปืน 152 กระบอก
- ตรวจยึดอายัดทรัพย์สิน 652 รายการ รวมมูลค่า 97,195,645 ล้านบาท (ข้อมูล ณ เวลา 10.48 น.)

จากผลการระดมปิดล้อมตรวจค้นเครือข่ายยาเสพติดทั่วประเทศในครั้งนี้ จะเห็นว่าตำรวจทั่วประเทศได้รุกอย่างหนัก อย่างเป็นรูปธรรม ทำจริง จับจริง และยึดจริง โดยในขณะนี้สำนักตำรวจแห่งชาติมีนโยบายเน้นการปราบปรามผู้ค้ารายย่อยซึ่งมีผลกระทบโดยตรงกับประชาชนในชุมชนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง โดยจะเห็นได้ว่าจากสถิติการจับกุมและยึดของกลางคดียาเสพติดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 66 ถึงปัจจุบัน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีผลการจับกุมผู้ค้ายาเสพติดได้ถึง 72,050 ราย และตรวจยึดยาบ้าได้ 781,341,317 เม็ด, ไอซ์ 15,550 กก. และ คีตามีน 2,641 กก. รวมทั้งการยึดอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องได้รวมมูลค่ากว่า 9,525 ล้านบาท
สายด่วนแจ้งเบาะแสยาเสพติดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โทร  191 , 1599

ฉะเชิงเทรา-บลูเทค ซิตี้ร่วมกับ สพฐ.จังหวัดฉะเชิงเทรา จัดกิจกรรมโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10

เพาะกล้ารักษ์ เพื่อเพาะกล้าไม้ 1,000,000 ต้น แก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อดูดซับคาร์บอน 10ล้านกิโลกรัมคาร์บอน

วันนี้( 25 ก.ค. 67) ที่ โรงเรียนบางปะกง “บวรวิทยายน” อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา คุณกุลพรภัสร์ วงค์มาจารภิญญา ประธานผู้บริหารนิคมอุตสาหกรรมฉะเชิงเทรา บลูเทคซิตี้ มอบหมายให้ นายสุเทพ คล่องโยธา หัวหน้าฝ่ายความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) โครงการนิคมอุตสาหกรรม ฉะเชิงเทรา บลูเทค ซิตี้  เข้าร่วมกิจกรรมโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 เพาะกล้ารักษ์ เพื่อเพาะกล้าไม้ 1,000,000 ต้น แก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อดูดซับคาร์บอน 10ล้านกิโลกรัมคาร์บอน โดยมี รองฯสุกัญญา แสงสุข รองศึกษาธิการจังหวัดฉะเชิงเทรา ประธานเปิดโครงการ พร้อมด้วย คุณสาโรช กิจประเสริฐ ผู้อำนวยการโรงไฟฟ้าบางปะกง , ผอ.กฤษณะ ซื้อสัตย์ ผู้อำนวยการโรงเรียนบางปะกง “บวรวิทยายน”

โรงเรียนบางปะกงบวรวิทยายน ตั้งอยู่ในอําเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มี ความสําคัญทางระบบนิเวศ เนื่องจากเป็นพื้นที่ปากแม่น้ําบางปะกงที่ไหลลงสู่อ่าวไทย การที่เราได้ริเริ่ม โครงการนี้จึงมีความสําคัญอย่างยิ่งต่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูสภาพแวดล้อมในท้องถิ่นของเรา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ทรงเป็นแบบอย่างในด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ทรงสืบสานพระราชปณิธานของพระบรมชนกนาถในการดูแลรักษาป่าไม้และแหล่งน้ํา จึงเป็นการแสดงความจงรักภักดี และสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ ด้วยการน้อมนําแนว พระราชดําริมาปฏิบัติให้เกิดประโยชน์แก่ท้องถิ่น และประเทศชาติ โดย โครงการเพาะกล้ารักษ์ เพื่อเพาะกล้าไม้ 1,000,000 ต้นนี้ นอกจากจะเป็นการเฉลิมพระเกียรติแล้ว ยังเป็นการร่วมแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อทุกชีวิตบนโลก รวมถึงชุมชน ของเราด้วย ต้นไม้จะช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์และปล่อยออกซิเจนกลับสู่อากาศ ช่วยลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศ นอกจากนี้ โครงการเพาะกล้ารักษ์ยังส่งผลอีกหลายประการ อาทิเช่น

1. เพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพในท้องถิ่น
2. สร้างแหล่งอาหารและที่อยู่อาศัยให้กับสัตว์น้ำและนกนานาชนิด
3. ช่วยลดอุณหภูมิในชุมชนและโรงเรียนของเรา
4. สร้างสภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพกายใจของนักเรียนและชาวบางปะกง 5. สร้างงานสร้างอาชีพให้แก่ชุมชน โครงการของเราในวันนี้จึงเป็นการลงทุนเพื่ออนาคตของลูกหลานชาวบางปะกงและประเทศไทย เป็น การสร้างมรดกแห่งความยั่งยืนให้แก่ท้องถิ่นของเรา ขอเชิญชวนให้นักเรียน คณะครู และชุมชนทุกท่านร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ไม่ เพียงแค่การร่วมปลูกต้นไม้ในวันนี้เท่านั้น แต่ขอให้นําความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับไปปรับใช้ใน ชีวิตประจําวัน ด้วยการใช้ชีวิตอย่างพอเพียง ลดการใช้พลาสติก และร่วมกันดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน และชุมชนของเรา

ทั้งนี้ ยังร่วมกันปล่อยพันธ์ปลาสวาย จำนวน 5,000 ตัว กลับลงสู่ธรรมชาติ เพื่อเป็นการเพิ่มปริมาณสัตว์น้ำ รักษาระบบนิเวศ และสร้างรายได้ให้กับชุมชนและโรงเรียน ต่อไป

‘อากาเซ่ทั่วโลก’ ร่วมส่งกำลังใจให้ ‘แบมแบม GOT7’ หลังโพสต์เศร้า ‘อยากหลับไม่ต้องตื่น-กดดัน-เครียด’

(25 ก.ค.67) ทำเอาเหล่าอากาเซ่ (ด้อมแฟนคลับของ GOT7) เป็นห่วงไม่น้อย เมื่อ ‘แบมแบม กันต์พิมุกต์ ภูวกุล’ หรือ ‘แบมแบม GOT7’ ได้โพสต์ข้อความตัดพ้อชีวิต จนทำแฟน ๆ หวั่นใจ

โดยแบมแบมได้โพสต์ข้อความลงในสตอรี่อินสตาแกรม ระบุข้อความว่า “I just want to sleep and don’t wake up so I can finally rest“ (ผมแค่อยากหลับ และไม่ต้องตื่น ผมจะได้พักสักที )

จากข้อความดังกล่าวทำเอาหลายคนหวั่นใจ จึงรีบส่งข้อความแสดงความเป็นห่วงไปยังเจ้าตัวผ่านทางโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ซึ่งทำให้แบมแบมต้องออกมาโพสต์ข้อความอีกครั้งเพื่อให้แฟน ๆ คลายกังวล โดยระบุว่า

”Is been a long run from last year till now and still long way to go, it was alot of pressure and stress and since my body not really feel so well for a long time now sometimes. I’m getting sensitive and emotional

i'll do my best on this year and will find my time to rest i'll be okay sorry if i caused any worry have a good day“

(มันยาวนานมาตั้งแต่ปีที่แล้วจนถึงตอนนี้และยังคงยาวต่อเนื่องออกไป มันมีแรงกดดันและความเครียดมากมาย และนับตั้งแต่นั้นร่างกายของผมรู้สึกไม่ค่อยดีมาสักพักหนึ่งแล้ว ผมเริ่มอ่อนไหวและสะเทือนใจง่ายมาก ปีนี้ผมจะพยายามทำให้ดีที่สุดและจะพยายามหาเวลาพักผ่อน ผมจะไม่เป็นอะไร ขอโทษด้วยนะครับถ้าทำให้ทุกคนต้องเป็นห่วง ขอให้มีวันที่ดีนะครับ)

ทั้งนี้ ทำเอาหลาย ๆ คนเริ่มโล่งใจแล้ว หลังจากที่แบมแบมโพสต์ล่าสุด ยืนยันว่าจะทำให้ดีที่สุดและหาเวลาพักผ่อน ก่อนจะพร้อมใจส่งกำลังใจให้รัว ๆ กันต่อไป

'อดีตทูตนริศโรจน์' คุมกองถ่าย MV ศิลปินเพลงแร็ปของอินเดีย เจอทีมงานรอยสักที่เคยร่วม MV Rock Star ของ Lisa ด้วย

เมื่อวานนี้ (25 ก.ค. 67) นายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก Fuangrabil Narisroj ว่า…

“มาคุมกองถ่าย MV ศิลปินเพลงแร็ปของอินเดีย เจอทีมงานรอยสักที่เคยร่วม MV Rock Star ของ Lisa ด้วย เลยขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ทีมงานนี้นิสัยดีน่ารักทุกคน

Nicky Rock Star !”

สำรวจ!! ‘ปลาหมอคางดำ’ ย่านสมุทรสาคร ลดลงไปแล้วกว่า 80% ภายใต้ความร่วมมือตามนโยบาย 'จับ-รับซื้อ' เร่งด่วนของภาครัฐ

(25 ก.ค.67) นายปรีชา ศิริแสงอารำพี เจ้าของโรงงานปลาป่น ศิริแสงอารำพี ในจังหวัดสมุทรสาคร กล่าวว่า จากการติดตามและเดินทางไปดูแหล่งรับซื้อปลาหมอคางดำในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร รวมถึงพูดคุยกับชาวประมงพื้นบ้านที่นำปลามาขาย พบว่า ตั้งแต่วันแรกที่กรมประมงเริ่มโครงการรับซื้อปลาหมอคางดำเพื่อนำไปทำปลาป่น พบว่า ปริมาณปลาลดลง 80% โดยโรงงานใช้ปลาหมอคางดำมาผลิตปลาป่นต่อเนื่อง จนถึงวันนี้รับซื้อแล้วมากกว่า 600,000 กิโลกรัม และโครงการนี้เป็นการช่วยเหลือชาวประมงตามนโยบายเร่งด่วนของภาครัฐในการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ

ช่วง 2 วันที่ผ่านมา โรงงานฯ รับซื้อปลาหมอคางดำมาทำปลาป่นเพิ่มขึ้นจากวันละ 5,000-6,000 กิโลกรัม เป็น 10,000 กิโลกรัม สืบเนื่องจากการรณรงค์โครงการจับและรับซื้อปลาของรัฐบาล โดยปลาป่นจากปลาหมอคางดำของโรงงานมี ซีพีเอฟ เป็นผู้รับซื้อทั้งหมดตั้งแต่เดือนเมษายน 2567 เป็นต้นมา ซึ่ง ซีพีเอฟ จะเพิ่มการรับซื้อปลาหมอคางดำจากแหล่งที่มีการระบาดจำนวน 2,000,000 กิโลกรัม ราคากิโลกรัมละ 15 บาท และจะเริ่มซื้อพร้อมกับภาครัฐในวันที่ 1 สิงหาคม 2567

“ปริมาณปลาที่ลดลงดังกล่าวเกิดจากการร่วมแรงร่วมใจของหลายฝ่ายที่ตั้งใจรับผิดชอบต่อสังคม ทั้งการจับปลาและนำปลาไปใช้ประโยชน์สูงสุด นับเป็นข่าวดีที่ชาวประมงพื้นบ้านแจ้งว่าปริมาณปลาหมอคางดำลดลงมากถึง 80% และมีมาตรการป้องกันไม่ให้มีการแพร่ระบาดเพิ่มขึ้น นับเป็นการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งวันนี้เรือประมงพื้นบ้านจับปลาหมอคางดำได้น้อยลง” นายปรีชา กล่าว

นายปรีชา กล่าวต่อไปว่า โครงการนี้เป็นการทำงานแบบบูรณาการอย่างรอบคอบระหว่างภาครัฐ เกษตรกร ชุมชน ภาคประชาสังคมและภาคเอกชน ซึ่งมีการวางแผนบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ ทำให้มีการจับปลามากขึ้น ขณะที่ภาครัฐเปิดจุดรับซื้อเพิ่มขึ้นในหลายจังหวัด เพื่อรองรับปลาหมอคางดำที่จับได้อย่างทั่วถึง

ภาครัฐยังมีการตรวจสอบเพื่อความมั่นใจ ว่า ปลาที่รับซื้อมาจากแหล่งน้ำธรรมชาติไม่ใช่มาจากการเลี้ยง โดยผู้ที่จะเข้าร่วมโครงการนี้ ต้องขึ้นทะเบียนกับประมงจังหวัดทั้งเกษตรกรบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำและแพปลาที่จะรับซื้อต่อจากเกษตรกร เพื่อตรวจสอบรับรองปลาว่ามาจากบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำจริง ขณะที่โรงงานปลาป่นจะรับซื้อปลาเฉพาะปลาจากแพปลาที่ผ่านการตรวจสอบจากกรมประมงเท่านั้น

โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ประกาศห้ามเพาะเลี้ยงปลาหมอคางดำ ผู้ใดฝ่าฝืนมีความผิดตามกฎหมายทั้งโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี และปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท เพื่อป้องกันไม่ให้มีการลักลอบเลี้ยงปลามาจำหน่ายในโครงการ อีกทั้งการเลี้ยงปลาหมอคางดำ ที่กินอาหารได้ตลอดเวลา แต่อัตราแลกเนื้อมีน้อย ทำให้ราคาที่ขายได้ไม่คุ้มกับต้นทุนการผลิต  

“ขณะนี้ปลาหมอคางดำขนาดใหญ่ลดลงจำนวนมากเหลือแต่ปลาขนาดเล็ก ตัดวงจรวัยเจริญพันธุ์ของปลาได้มาก และจะช่วยให้การปล่อยปลาผู้ล่าตามแนวทางของภาครัฐเกิดประสิทธิภาพสูง เชื่อว่าการจับปลาและมีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบแบบนี้ จะทำให้ทุกภาคส่วนตื่นตัวเร่งจับปลามากขึ้นและส่งผลให้ประชากรปลาหมอคางดำลดลงอย่างรวดเร็ว”

นอกจากนี้ รัฐบาลควรส่งเสริมให้มีการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์และเมนูอาหารจากปลาหมอคางดำมากขึ้น เพื่อบริโภคในครัวเรือนและส่งเสริมให้วิสาหกิจชุมชนนำไปต่อยอดเพื่อสร้างรายได้ ตลอดจนการสนับสนุนให้มีการสร้างสรรค์เมนูปลาหมอคางดำให้เป็นเมนูท้องถิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละจังหวัด จะเป็นการสร้างการตระหนักรู้ให้กับสังคมและผู้บริโภคให้มีความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากปลาชนิดนี้ได้อย่างถูกต้อง

ทั้งนี้ โรงงานมีแผนจะร่วมมือกับร้านอาหารสร้างสรรค์เมนูปลาหมอคางดำสำหรับครอบครัว เพื่อทำสูตรอาหารแจกจ่ายให้กับประชาชนและชุมชนนำไปทำเมนูตามความนิยม ให้มีการบริโภคปลาชนิดนี้เพิ่มขึ้น หรือแม้กระทั่งการนำไปต่อยอดสร้างเป็นรายได้เสริมให้กับครอบครัวก็สามารถทำได้

ขณะนี้ทุกภาคส่วนเห็นความสำคัญของการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ และการจับปลาทำได้ง่ายขึ้นจากการผ่อนผันกฎระเบียบการจับปลา และเป็นการกระตุ้นการจับปลา ซึ่งขณะนี้ทั้งคนไทย ที่มาจากภาคอีสานและแรงงานพม่าแห่มาจับปลากันมาก ทำให้ปลาหมอคางดำในหลายพื้นที่ลดลงมาก

‘วราวุธ’ ส่งทีม ศรส.บุรีรัมย์ รุดช่วยยาย 66 ปี ฐานะยากจน ‘ถูกตัดน้ำ-ไฟ’ มอบถุงยังชีพบรรเทาทุกข์เบื้องต้น พร้อมหาแนวทางช่วยระยะยาวต่อไป

(25 ก.ค. 67) น.ส.ซาราห์ บินเย๊าะ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในฐานะประธานคณะทำงานขับเคลื่อนศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน (ศรส.) เปิดเผยว่า ตามที่นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) มอบนโยบายให้ศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน (ศรส.) เป็นศูนย์กลางในการเร่งรัดจัดการในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนทั่วประเทศที่ประสบปัญหาความเดือดร้อนทางสังคม พร้อมส่งทีมปฏิบัติการหน่วยเคลื่อนที่เร็วลงพื้นที่ช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน 

กรณีสื่อโซเชียลมีเดียมีการลงข่าวคุณยายประกาศขายตู้เย็น เอาเงินไปจ่ายค่าไฟ 95 บาท ครอบครัวมีฐานะยากจน เลี้ยงหลาน 2 คน ที่ จ.บุรีรัมย์ จึงได้ส่งทีม ศรส. จังหวัดบุรีรัมย์ ร่วมกับอำเภอละหานทราย เทศบาลตำบลละหานทราย และหน่วยงานในพื้นที่ ร่วมลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้การช่วยเหลือ พบว่า ผู้ประสบปัญหาชื่อ นางแพง อายุ 66 ปี บ้านอยู่ใน ต.ละหานทราย อ.ละหานทราย จ.บุรีรัมย์ ได้ให้คนในหมู่บ้านช่วยประกาศขายตู้เย็นในราคา 1,000 บาท เพื่อต้องการนำเงินมาจ่ายค่าไฟ 95 บาท ค่าน้ำ 75 บาท ที่ถูกตัดน้ำ-ไฟ ไปก่อนหน้านี้ ซึ่งนางแพง มีอาชีพรับจ้างทั่วไป และสานไม้กวาดขาย ได้รับเบี้ยยังชีพสูงอายุเดือนละ 600 บาท และเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดของหลาน 2 คน โดยจะฝากบัตรเอทีเอ็มให้เพื่อนบ้านไปกดเงินมาให้ทุกเดือน ซึ่งรายได้ไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่าย ประกอบกับมีสุขภาพไม่แข็งแรง เหนื่อยง่าย และเป็นโรคความดันโลหิตสูง รักษาตัวและรับยาเป็นประจำที่ รพ.ละหานทราย ทั้งนี้ ปัจจุบันอยู่อาศัยกับอดีตลูกสะใภ้ เนื่องจากบ้านตนเองมีสภาพผุพัง และมีหลานต้องดูแลอีก 2 คน ซึ่งหลานชายอายุ 3 ปี หลานสาวอายุ 4 ปี เป็นลูกของลูกชาย ส่วนลูกชายถูกดำเนินคดีและหลบหนีคดีอยู่ในขณะนี้ และลูกสาวมีครอบครัวไม่เคยกลับมาดูแล 

โดย น.ส.ซาราห์ กล่าวว่า สำหรับการช่วยเหลือในเบื้องต้น ทีม ศรส.จังหวัดบุรีรัมย์ และทีมสหวิชาชีพ ได้แนะนำการเลี้ยงดูเด็กที่เหมาะสมสำหรับหลานทั้ง 2 คน และมอบถุงยังชีพเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น พร้อมพิจารณาช่วยเหลือเป็นเงินสงเคราะห์ครอบครัว ซึ่งขณะนี้ได้ผ่านการพิจารณาจากกรรมการเรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างการเบิกจ่ายเงิน พร้อมพูดคุยถึงแนวทางการช่วยเหลือในระยะยาวต่อไป

อย่างไรก็ตาม หากประชาชนประสบปัญหาความเดือดร้อนทางสังคม สามารถโทรแจ้งได้ที่ ศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน หรือ ศรส. กระทรวง พม. ผ่านฮอตไลน์ 1300 บริการตลอด 24 ชั่วโมง โดยหน่วยปฏิบัติการเคลื่อนที่เร็ว พร้อมลงพื้นที่ช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว

'ธนกร' ขอบคุณ 'รัฐบาลเศรษฐา' เดินหน้าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐต่อเนื่อง ชี้!! ดูแลคนจนได้ตรงเป้าสุด แนะ!! ปรับเพิ่มวงเงินรับ ศก.ยุคข้าวของแพง

(25 ก.ค.67) นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สส.แบบบัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้เสนอแนะต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ว่า ตนได้อ่านข้อมูลรายงานประจำปีกระทรวงการคลังอย่างละเอียด ก็ต้องขอบคุณกระทรวงการคลัง เพราะ 'โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ' เป็นโครงการที่เกิดขึ้นในสมัยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีและเกิดขึ้นในปี 2559 ซึ่งเป็นโครงการต้นแบบและไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศไทยที่จะใช้ดูแลพี่น้องประชาชนผู้มีรายได้น้อยอย่างตรงเป้าหมายที่สุด ซึ่งปัจจุบันผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐประมาณ 14 ล้านคน แม้ว่าในช่วงแรกโครงการดังกล่าว จะถูกวิพากษ์วิจารณ์มากมาย ว่าไม่ได้ช่วยพี่น้องคนยากคนจน แต่สุดท้ายโครงการนี้กลับเป็นโครงการที่ประชาชนคนไทยทั้งประเทศชื่นชมมากที่สุด เพราะดูแลคนยากคนจนอย่างตรงเป้าหมายที่สุดแล้ว  

ดังนั้นโครงการนี้ จึงมีความสำคัญและต้องขอขอบคุณรัฐบาลนี้ ภายใต้การนำนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีที่ได้ดำเนินโครงการนี้และดูแลพี่น้องประชาชนกลุ่มเปราะบางผู้มีรายได้น้อยต่างๆ อย่างต่อเนื่อง และตนยังมีข้อเสนอแนะด้วยว่า อยากให้ทางกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการปรับปรุงเงื่อนไข เนื่องจากวันนี้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศมีการเปลี่ยนแปลงไปแล้ว เพราะฉะนั้นบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ควรจะปรับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ให้กับพี่น้องประชาชนเพิ่มขึ้น เพราะวันนี้ราคาสินค้าต่าง ๆ ก็ปรับขึ้น สิ่งที่พี่น้องประชาชนต้องแบกรับค่าครองชีพ ค่าอาหาร ค่าบริโภค ค่าเดินทางเหล่านี้ ภาครัฐต้องมีการปรับเปลี่ยนเพิ่มวงเงินให้กับพี่น้องประชาชนไม่มากก็น้อย ซึ่งได้มีการสำรวจข้อมูลออกมาแล้วจึงขอให้ไปดูรายละเอียดและปรับเงื่อนไขให้เกิดความเหมาะสม 

ขณะเดียวกัน ข้อมูลผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐกว่า 14 ล้านคน มีข้อมูลอาชีพ การศึกษา รายได้ และต่าง ๆ เหล่านี้ จึงขอให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำข้อมูลเหล่านี้ไปปรับปรุงและออกแบบเพื่อนำไปสู่การช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในแต่ละด้านให้ตรงเป้าหมาย นอกจากนั้นยังมองว่าการอบรมสัมมนาผู้ที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐควรจะมีการเพิ่มอบรมด้านอาชีพให้ตรงกับตลาดของแรงงานเกี่ยวกับทักษะการศึกษาและให้สามารถเข้าถึงแหล่งการบริการของภาครัฐให้มากยิ่งขึ้น

"วันนี้รัฐบาลนี้เป็นมืออาชีพและมีการดำเนินการต่อหลายโครงการในสมัยรัฐบาลชุดที่แล้ว ที่เป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชน สามารถนำมาปรับปรุงต่อยอดให้ดีขึ้นกว่าเดิม ต้องขอขอบคุณพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือ ลุงตู่ที่ทำโครงการดี ๆ นี้ ไว้ให้กับพี่น้องประชาชนและเชื่อว่า ทุกวันนี้พี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศ ต่างก็คิดถึงลุงตู่ที่ได้ทำโครงการดี ๆ ไว้มากมาย" นายธนกร กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top