Sunday, 25 May 2025
TheStatesTimes

'ตชด.ภ.4' ล่อซื้อยาบ้า รวบนายหน้าหาลูกค้าให้กับเอเย่นเสี่ยใหญ่ยึดยาบ้าได้มูลค่ากว่า 7 แสน สั่งเร่งขยายผลล่าตัวเสี่ยนายทุน

เมื่อวานนี้ (24 ก.ค.67) พล.ต.ท.ยงเกียรติ มนปราณีต ผบช.ตชด.เปิดเผยว่า จากนโนบายของรัฐบาล ทั้งข้อสั่งการ ของ ตร. ให้เร่งปราบปราบจับกุมเครือข่ายยาเสพติด วันนี้(24 ก.ค.) ได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่ชุดปราบปรามยาเสพติดของกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 44 ร่วมกับชุดปราบปรามยาเสพติดกองบังคับตำรวจตระเวนชายแดน ภาค 4 ภายใต้การอำนวยการสั่งการของ พล.ต.ต.พิชญ์วุฒิ สงวนสมบัติติศิริ รอง ผบช.ตชด. รรท.ผบก.ตชด.ภาค 4 พ.ต.อ.เสกสรร อินทรสิทธิ์ รอง ผบก.ตชด.ภาค 4 ,พ.ต.อ.มานิต นาโควงศ์ ผกก.ตชด.44 , พ.ต.ท.ธีรศักดิ์ โพธิ์ศรีมา รอง ผกก.ตชด.44 ,พ.ต.ท.เพิ่มศักดิ์ สองแก้ว ผบ.ร้อย ตชด.443 หน.ชปส.กก.ตชด.44 วางแผนล่อซื้อยาบ้าและจับกุม นายฟุรกร อายุ 21 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่หมู่ 1 ต.สะกอม อ.จะนะ จ.สงขลา ซึ่งเป็นนายหน้าค้ายาบ้า

ซึ่งสามารถ จับกุมได้ คาลานจอดรถหน้าร้านไก่ทอด  ถนนกาญจนวนิช เขตเทศบาลเมืองเขารูปช้าง อ.เมืองสงขลาพร้อมยาบ้า จำนวน 70,000 เม็ด ที่ติดต่อซื้อขายกันในราคา 770,000 บาท บริเวณถนนทางหลวงสาย 43 หมู่ 2 ต.บ้านนา อ.จะนะ จ.สงขลา

สำหรับเบื้องหลังการจับกุมเครือข่ายค้ายาบ้าครั้งนี้ซึ่งเป็นหนึ่งในเครือข่ายใหญ่ในพื้นที่ จ.สงขลา เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้ส่งสายลับแฝงตัวเป็นกลุ่มนักค้ายาติดต่อประสานงานกับ นายฟุรกร ซึ่งทำหน้าที่เป็นนายหน้าในการซื้อขายยาบ้าระหว่างเจ้าของยาบ้ากับลูกค้าที่สั่งชื้อ โดยตกลงซื้อขายยาบ้ากัน 35 มัด จำนวน 70,000เม็ด ราคา 770,000 บาท หรือมัดละ 62,000บาท นายฟุรกร ได้นัดจ่ายเงินกันที่หน้าร้านไก่ทอด เขตเทศบาลเมืองเขารูป ส่วนยาบ้าได้ให้คนเดินยานำไปวางไว้ ริมถนนสาย 43 หมู่ 2 ต.บ้านนา อ.จะนะ โดยให้สายลับไปรับของได้เลย เมื่อได้ยาบ้าเจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวเข้าจับกุมนายฟุรกร ทันที

ทั้งนี้ ตำรวจได้คุมตัวมาสอบสวน เบื้องต้นให้การว่าตนเองเป็นเพียงนายหน้าหาลูกค้าให้กับเจ้าของยาบ้ารายหนึ่งแต่ไม่ทราบชื่อจริงและได้จะส่วนแบ่งจากการขายยาบ้าเมื่องานเสร็จ เจ้าหน้าที่จึงได้คุมตัวส่ง สภ.จะนะ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย และจะขยายผลไปยังเจ้าของยาบ้าล๊อตนี้ต่อไป

'พีระพันธุ์' เผย!! ร่าง กม.คุมราคาน้ำมัน เสร็จแล้ว เตรียมปิดฉาก ผู้ค้า 'ขึ้น-ลง' ราคาตามอำเภอใจ

เมื่อวานนี้ (24 ก.ค. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวถึงการดูแลราคาน้ำมันดีเซลในขณะนี้ ว่า ตอนนี้องค์ประกอบต่าง ๆ เป็นไปตามกฎหมายปัจจุบัน อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่าราคาน้ำมันขึ้น-ลง ตามอำเภอใจ ทุกวันนี้ไม่มีใครคุมได้ ผู้ค้าคิดจะขึ้นก็ขึ้น คิดจะลงก็ลง ซึ่งวิธีการแก้ปัญหานี้ คือ การแก้กฎหมาย เพราะที่ผ่านมาหน่วยงานของรัฐไม่มีอำนาจ ได้แต่ขอความร่วมมือ 

โดยกฎหมายฉบับนี้จะเป็นกฎหมายฉบับแรกที่เกี่ยวข้องกับระบบบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งขณะนี้ ร่างเสร็จแล้ว ประชาชนสามารถตรวจสอบได้ โดยหลังจากนี้ จะส่งให้ฝ่ายกฎหมายตรวจสอบและส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจสอบอีกครั้งก่อนประกาศใช้ซึ่งยังไม่ทราบว่าจะทันปีใหม่หรือไม่ แต่จะพยายามให้เร็วที่สุด

สำหรับแต่เดิมการดูแลเรื่องราคาน้ำมันตั้งแต่ปี 2516 เราตั้งกองทุนน้ำมัน แต่ยังไม่มีกฎหมายรองรับ จึงใช้คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 42/2547 โดยให้อำนาจกองทุนดูแลตรึงราคาหรือรักษาระดับน้ำมัน ได้ 2 ขา ขาหนึ่งใช้เงินกองทุน อีกขาหนึ่งให้อำนาจในการกำหนดเพดานภาษี โดยกองทุนน้ำมันไม่มีอำนาจในการจัดเก็บภาษี แต่มีอำนาจในการกำหนดเพดานภาษี เราจึงใช้ตรงนี้ตรึงราคาช่วยดูแลประชาชนได้ นอกจากใช้เงิน ยังใช้เพดานภาษีมาเป็นตัวคุมได้ด้วย โดยเราเป็นคนกำหนดเพดานภาษี แต่คนเก็บคือกระทรวงการคลัง 

แต่ต่อมาปี 2562 มีกฎหมายมารองรับยกฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง แต่ไปตัดอำนาจในการกำหนดเพดานภาษีของกองทุนออก เหลือแต่ใช้เงินอย่างเดียว ฉะนั้นนับตั้งแต่ปี 2562 ตัวเลขกองทุนจึงเป็นหนี้ขึ้นมาจำนวนมากและติดลบเป็นต้นมา เพราะการกำหนดเพดานภาษีซึ่งเป็นอำนาจของกองทุนไม่มีแล้ว 

ทั้งนี้ ตนได้พยายามขอให้กระทรวงการคลัง พิจารณาปรับลดเพดานภาษีสรรพสามิต แต่เขาไม่เห็นด้วย ทั้งที่เดิมเป็นอำนาจของกองทุนที่ระบุว่าอย่าเก็บเกินเท่านี้ ดังนั้นตรงนี้เป็นสิ่งที่ต้องแก้ไข โดยที่ผ่านมามีเพียง 3 ประเทศเท่านั้น ที่เก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมัน คือ ไทย เก็บภาษีสรรพสามิต 5.99 บาทต่อลิตร รวมกับภาษีท้องถิ่นอีก 0.51 บาท รวมเป็นภาษีน้ำมัน 6.50 บาทต่อลิตร เวียดนามเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันลิตรละ 1.70 บาท สิงคโปร์เก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันลิตรละ 5.54 บาท แต่สิงคโปร์มีรายได้ต่อหัวประชากรสูงกว่าไทยประมาณ 10 เท่า

ส่วนอีกคำถามที่พบเจอบ่อย คือ ทำไมราคาน้ำมันในประเทศมาเลเซียจึงมีราคาถูกเพียงลิตรละ 10 กว่าบาทเท่านั้น

นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาราคาน้ำมันในมาเลเซียมีราคาถูกเนื่องจากรัฐบาลมาเลเซีย มีรายได้จากปิโตรเลียม จึงนำเงินรายได้ตรงนี้มาอุดหนุนชดเชยปีละ 3-4 แสนล้านบาท ทำให้ราคาน้ำมันในประเทศมาเลเซียมีราคาถูกแต่หลังจากนี้ไปการอุดหนุนชดเชยเริ่มลดลง จะส่งผลทำให้ราคาน้ำมันในมาเลเซีย เริ่มปรับตัวสูงขึ้น ในส่วนของไทย ราคาต้นทุนน้ำมันจริง ๆ จะอยู่ที่ราคาประมาณ 21 บาท แต่เราต้องจ่ายจริง 30-40 บาท ก็เพราะมีเรื่องภาษีน้ำมันเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

นายพีระพันธุ์ ย้ำด้วยว่า การช่วยเหลือประชาชน คือ การเอาปัญหาของประชาชนมาเป็นปัญหาของเราแทน เพื่อช่วยเหลือประชาชนไม่ให้เดือดร้อน ส่วนเรื่องการชำระหนี้กับ กฟผ. ถ้าต่อไปมีปัญหา รัฐจะต้องเข้าไปช่วยเหลือดูแล

‘เนทันยาฮู’ ประณามผู้ประท้วงให้หยุดยิงในกาซา ต่อสภาคองเกรส พร้อมวอนสหรัฐฯ หนุนสงคราม ลั่น!! ศัตรูของเรา คือศัตรูของคุณ

เมื่อวานนี้ (24 ก.ค. 67) เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ประณามพวกผู้ประท้วงเรียกร้องข้อตกลงหยุดยิงในกาซา และเรียกร้องจัดให้พันธมิตรโลกต่อต้านระบอบอิหร่าน ที่เขากล่าวหาว่าเป็นผู้ให้เงินทุนสนับสนุนบรรดาผู้ชุมนุมเหล่านั้น ระหว่างกล่าวสุนทรพจน์ต่อสภาคองเกรสสหรัฐฯ

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเนทันยาฮู กำลังตกอยู่ภายใต้แรงกดดันหนักหน่วง หลังวอชิงตันแสดงความกังวลมากขึ้นเรื่อย ๆ ต่อวิกฤตด้านมนุษยธรรม อันสืบเนื่องจากปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอลในฉนวนกาซา ที่ยืดเยื้อมานานกว่า 9 เดือน ท่ามกลางการประท้วงต่อต้านทั้งในอิสราเอลและสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม เนทันยาฮู ใช้โอกาสกล่าวสุนทรพจน์ต่อสภาคองเกรส ตอบโต้เสียงวิพากษ์วิจารณ์ และกล่าวหาเตหะรานให้เงินทุนและสนับสนุนการประท้วงต่อต้านอิสราเอลในสหรัฐฯ และเรียกบรรดานักเคลื่อนไหวเรียกร้องสันติภาพในกาซาว่าเป็น ‘พวกงี่เง่าที่ทำตัวเป็นประโยชน์กับอิหร่าน’

"อเมริกาและอิสราเอล ในวันนี้สามารถหล่อหลอมพันธมิตรด้านความมั่นคงในตะวันออกกลาง เพื่อตอบโต้ภัยคุกคามที่มากขึ้นเรื่อย ๆ จากอิหร่าน" เขากล่าวกับสมาชิกสภาคองเกรส ในขณะที่อีกด้านหนึ่งบรรดาผู้ประท้วงได้ทำการเผาหุ่นของเขาบนถนนที่อยู่ด้านนอกอาคารรัฐสภา

"ทุกประเทศที่ล้วนมีสันติกับอิสราเอล และทุกประเทศเหล่านี้ที่จะสร้างสันติภาพร่วมกับอิสราเอล ควรได้รับเชิญเข้าร่วมพันธมิตรนี้" เขากล่าว

นอกจากนี้ เนทันยาฮู ยังกล่าวเพิ่มเติมว่าอิหร่านคือ ‘อักษะก่อการร้าย’ ที่อยู่เบื้องหลังนิกายเข่นฆ่าเกือบทั้งหมดในตะวันออกกลาง พร้อมกับเรียกร้องสหรัฐฯ และอิสราเอลต้องยืนหยัดร่วมกันเพื่อต่อกรกับอิหร่านและเหล่ากลุ่มตัวแทนของเตหะราน

"ศัตรูของเราคือศัตรูของคุณ การต่อสู้ของเราคือการต่อสู้ของคุณ และชัยชนะของเราคือชัยชนะของคุณ" เนทันยาฮูกล่าว

อย่างไรก็ตาม การเชิญเนทันยาฮูในครั้งนี้ เกิดขึ้นท่ามกลางความเห็นต่างอย่างรุนแรงในหมู่ประชาชนชาวอเมริกาต่อการกระทำของอิสราเอลในกาซา ท่ามกลางจำนวนผู้เสียชีวิตที่พุ่งสูง โดยการชุมนุมบริเวณด้านนอกอาคารรัฐสภา มีผู้เข้าร่วมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนแตะหลักหลายพันคน ก่อนหน้าที่นายกรัฐมนตรีจะปรากฏตัว

บรรดานักเคลื่อนไหวถูกตำรวจสกัดให้อยู่ห่างออกไปอย่างน้อย 1 ช่วงตึก ก่อนถูกพวกเจ้าหน้าที่ยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่ จนท้ายที่สุดก็สลายตัวไป ส่วนภายในอาคารสภาผู้แทนราษฎร ซีกหนึ่งของอาคารรัฐสภาหลักมีผู้ประท้วง 6 คนถูกจับกุม ก่อน เนทันยาฮู เริ่มกล่าวปราศรัย

การเดินทางเยือนของผู้นำอิสราเอล มีขึ้นตามหลังเหตุมือปืนพยายามลอบสังหาร โดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนพรรครีพับลิกันลงชิงเก้าอี้ประธานาธิบดี และประธานาธิบดี โจ ไบเดน ถอนตัวจากการเลือกตั้ง และหันไปรับรอง กมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดี ในฐานะตัวแทนพรรคเดโมแครตแทน

ไบเดน และแฮร์ริส ต่างมีกำหนดพบปะกับ เนทันยาฮู แยกกันในวันพฤหัสบดี (25 ก.ค.) แต่กระนั้นฝ่ายรีพับลิกันวิพากษ์วิจารณ์แฮร์ริส ที่ไม่เข้าร่วมรับฟังการกล่าวสุนทรพจน์ของเนทันยาฮูในวันพุธ (24 ก.ค.) แม้ว่า เจ.ดี.แดนซ์ คู่ชิงรองประธานาธิบดีของรีพับลิกันเอง ก็ไม่ได้เข้าร่วมเช่นกัน

ทั้งนี้ มีรายงานว่า เนทันยาฮู จะพบกับ ทรัมป์ ในฟลอริดา ในวันศุกร์ (26 ก.ค.)

กระนั้น สำหรับการปราศรัยของเนทันยาฮูในวันพุธ (24 ก.ค.) ทำให้นายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดของอิสราเอลรายนี้ กลายเป็นผู้นำต่างชาติคนแรกที่ได้กล่าวทุนทรพจน์ต่อที่ประชุมร่วมของสภาคองเกรส 4 ครั้ง แซงหน้า วินสตัน เชอร์ชิลล์ ของอังกฤษเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

อย่างไรก็ตาม คราวนี้เขาสูญเสียแรงหนุนหลังจากบรรดาสมาชิกสภาหัวเสรีหลายสิบคนและจากเดโมแครตประมาณ 68 คน ในนั้นบางส่วนเป็นแกนนำระดับสูง ที่บอกว่าพวกเขาจะไม่เข้าร่วม

เนทันยาฮู อ้างว่ามีเพียงแรงกดดันทางทหารเท่านั้นที่จะสามารถปลดปล่อยตัวประกันและเอาชนะฮามาส ซึ่งเปิดฉากจู่โจมอิสราเอลอย่างไม่ทันตั้งตัวเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม สังหารผู้คนไป 1,197 ราย ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน

ทั้งนี้ เนทันยาฮู แสดงความเชื่อมั่นต่อความพยายามช่วยเหลือตัวประกันราว 114 คน ที่ฮามาสยังคงควบคุมตัวในกาซา ดินแดนที่อิสราเอลเปิดปฏิบัติการทางทหารแก้แค้น สังหารชาวปาเลสไตน์ไปแล้วอย่างน้อย 39,145 ราย ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน

สหรัฐฯ แสดงความกังวลใหญ่หลวงต่อการทิ้งบอมบ์ถล่มพื้นที่พลเมืองพักอาศัยอยู่หนาแน่นในกาซา แต่ขณะเดียวกันก็ปกป้องผลประโยชน์ของอิสราเอล พร้อมรับบทบาทสำคัญในความพยายามเป็นคนกลางไกล่เกลี่ย

เจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลไบเดน เปิดเผยในวันพุธ (24 ก.ค.) การเจรจาสำหรับข้อตกลงหยุดยิงในกาซาและปล่อยตัวประกัน อยู่ในขั้นสุดท้ายแล้ว

แต่ในสภาคองเกรส เนทันยาฮู เรียกร้องวอชิงตันให้เร่งรัดมอบเงินช่วยเหลือด้านการทหารแก่ประเทศของเขา เพื่อทวีความรวดเร็วในการยุติสงครามในกาซาและป้องกันไม่ให้เกิดสงครามลุกลามบานปลายในตะวันออกกลาง

อย่างไรก็ตาม เสียงเรียกร้องของเขาโหมกระพือไฟย้อนศรจากบรรดาสมาชิกเดโมแครตผู้โกรธกริ้ว ที่แสดงความไม่พอใจต่อเนื้อหาสาระในคำกล่าวสุนทรพจน์ของเนทันยาฮู ซึ่งแทบจะไม่พูดถึงการรับประกันสันติภาพใด ๆ เลย

ด้าน แนนซี เพโลซี อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎรผู้ทรงอิทธิพล เรียกคำกล่าวสุนทรพจน์ของเนทันยาฮู ว่าเป็น ‘การนำเสนอที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่เคยมีมา จากแขกผู้ทรงเกียรติต่างชาติรายหนึ่งรายใดที่ได้รับเชิญให้มากล่าวสุนทรพจน์ต่อสภาคองเกรส’

เชียงใหม่-ขอเชิญร่วมพิธีทำบุญครบรอบ 52 ปี คณะพยาบาลศาสตร์ มช.

คณะพยาบาลศาสตร์ มช. จัดพิธีทำบุญวันคล้ายวันสถาปนาคณะพยาบาลศาสตร์ มช. ประจำปี 2567 วาระครบรอบ 52 ปี แห่งการสถาปนาและเป็นปีที่ 64 การศึกษาพยาบาล มช. ในวันพฤหัสบดีที่ 15 สิงหาคม 2567 เวลา 09.00-12.00 น. ณ ห้องประชุมชั้น 5 อาคาร 4

ผศ.ดร.ธานี แก้วธรรมานุกูล คณบดีคณะพยาบาลศาสตร์ มช. เปิดเผยว่า คณะฯ เริ่มต้นดำเนินการจัดการศึกษาพยาบาลตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2503 ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา คณะฯ ได้มีการพัฒนาในทุกด้านมาอย่างต่อเนื่องจนได้การยอมรับว่าเป็นสถาบันการศึกษาทางการพยาบาลชั้นนำที่มีคุณภาพ มีมาตรฐานทางการศึกษา โดยดำเนินงานตามพันธกิจหลักสำคัญของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตลอดจนยุทธศาสตร์ตามกรอบแผนพัฒนาการศึกษาระดับอุดมศึกษา

ปัจจุบันคณะฯ จัดการเรียนการสอนที่ตอบสนองความต้องการของสังคมในทุกระดับการศึกษา ตั้งแต่หลักสูตรระดับปริญญาตรี ระดับปริญญาโท และระดับปริญญาเอกที่เปิดควบคู่ทั้งหลักสูตรปกติและหลักสูตรนานาชาติ รวมทั้งหลักสูตรประกาศนียบัตรผู้ช่วยพยาบาล เป้าหมายที่จะขับเคลื่อนไปสู่ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงทางสังคมโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพในอนาคต บัณฑิตทุกระดับที่สำเร็จการศึกษาจากคณะฯ ออกไปรับใช้สังคมทั้งภายในประเทศและภายนอกประเทศ สร้างชื่อเสียงเกียรติคุณและความภาคภูมิใจให้แก่คณะฯ เป็นอย่างมากมาย 

ด้านการวิจัยคณะฯ มุ่งผลิตผลงานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาองค์ความรู้ทางการพยาบาล การเรียนการสอน การปฏิบัติการพยาบาล อีกทั้งด้านนโยบายที่นำไปใช้ประโยชน์ในระดับชาติและระดับนานาชาติ ด้านการบริการวิชาการแก่สังคม คณะฯจัดหลักสูตรและการอบรมสำหรับพยาบาล ผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับสุขภาพทั้งในและต่างประเทศตลอดทั้งปี โดยได้รับการสนับสนุนจากองค์กรชั้นนำหลายแห่งทั้งภายในและภายนอกประเทศ ด้านการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม ส่งเสริมให้ทุกคนในองค์กรตระหนักเข้าใจถึงคุณค่าของขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมท้องถิ่นล้านนา เพื่อสามารถนำไปใช้ในการปฎิบัติงานและดำรงชีวิตอย่างมีคุณธรรม จริยธรรม

โดยความสำเร็จในช่วงระยะเวลาของการบริหารที่ผ่านมา ในปี พ.ศ.2564 คณะฯ ผ่านการรับรองหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต จากสภาการพยาบาลระยะเวลาสูงสุด 5 ปีการศึกษา (พ.ศ.2564-2568) ความสำเร็จดังกล่าวนำมาซึ่งความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งให้แก่องค์กร อีกทั้งในส่วนของพยาบาลสาร (Nursing Journal) ได้รับการจัดอันดับวารสารไทย ในฐานข้อมูล TCI รอบที่ 4 พ.ศ.2564-2567 ในกลุ่มที่ 1 นอกจากนี้เป็นที่น่ายินดีเป็นอย่างมาก คณะฯได้รับรางวัลการบริหารสู่ความเป็นเลิศ (Thailand Quality Class) ประจำปี 2565 รางวัลเกียรติยศแสดงถึงมาตรฐานด้านการบริหารจัดการองค์กรเทียบเท่าระดับมาตรฐานโลก จากสำนักงานรางวัลคุณภาพแห่งชาติ สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ กระทรวงอุตสาหกรรม นับว่าเป็นครั้งที่ 2 ที่ได้รับรางวัลดังกล่าวนี้

ในปี พ.ศ.2566 เป็นที่น่ายินดีอย่างยิ่งคณะฯผ่านการตรวจรับรองหลักสูตรในระดับนานาชาติ โดยใช้เกณฑ์ International Accreditation: Accreditation Commission for Education in Nursing (ACEN) ประเทศสหรัฐอเมริกา (2022-2028) การได้รับการรับรองทำให้มั่นใจได้ว่า 2 หลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต (หลักสูตรปริญญาตรี) และ 10 หลักสูตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต (หลักสูตรปริญญาโท) ของคณะพยาบาลศาสตร์ มช. มีคุณภาพมาตรฐานสากล เราภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่สามารถส่งมอบคุณค่าแก่ผู้เรียนและผู้ใช้บัณฑิตเพื่อพัฒนาสังคมและชุมชนต่อไป

และล่าสุด ในปี พ.ศ.2567 คณะพยาบาลศาสตร์ มช. ได้รับการจัดอันดับจาก QS World University Rankings by Subject 2024 (สาขาวิชา Nursing) ให้อยู่ในลำดับที่ 101-150 ของโลก จากผลการจัดลำดับคณะฯ ถือเป็นสถาบันทางการศึกษาพยาบาลอันดับ 1 ของประเทศ

กว่าจะเดินทางมาถึงวันนี้ได้นั้น ต้องใช้ความมุ่งมั่นทุ่มเทจากกำลังกาย กำลังใจของอดีตคณะผู้ก่อตั้ง คณบดี คณะผู้บริหาร คณาจารย์ บุคลากร ในทุกยุคทุกสมัย ศิษย์เก่า ตลอดจนผู้สนับสนุนอย่างดีทั้งในประเทศและต่างประเทศ นับจากนี้ไปทุกคนในองค์กรต่างพร้อมทำงานด้วยความตั้งใจ เสียสละ อุทิศตนในการที่จะก้าวเดินต่ออย่างท้าทายในยุคสังคมแห่งการเปลี่ยนแปลงรอบด้าน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามวิสัยทัศน์ของคณะฯ “คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นสถาบันชั้นนำระดับสากลด้านการศึกษาและการวิจัย”  

ในโอกาสนี้ ขอเชิญทุกท่านร่วมเป็นเกียรติและร่วมแสดงความยินดีในพิธีทำบุญวันคล้ายวันสถาปนาคณะพยาบาลศาสตร์ มช. ประจำปี 2567 วาระครบรอบ 52 ปี แห่งการสถาปนาและเป็นปีที่ 64 การศึกษาพยาบาล มช. ในวันพฤหัสบดีที่ 15 สิงหาคม 2567 เวลา 09.00-12.00 น. ณ ห้องประชุมชั้น 5 อาคาร 4

'นักบิน’ เครื่องบินเนปาล รอดชีวิตเพียงคนเดียว ท่ามกลางเปลวไฟ หลังลุกไหม้ใกล้ส่วนของห้องนักบินที่ขาดจากลำตัวเครื่องบิน

(25 ก.ค.67) รายงานข่าวระบุว่า กัปตันมานิช รัตนา ซาคะยา คือผู้รอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียวจากโศกนาฏกรรมที่คร่าชีวิตคนอื่น ๆ 18 ราย ณ สนามบินตริภูวัน กรุงกาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล และเวลานี้กำลังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล โดยล่าสุดสำนักข่าวบีบีซีสาขาเนปาล ยืนยันว่า เขาสามารถพูดคุยได้แล้วและบอกกับสมาชิกในครอบครัวว่า "เขาปกติดีทุกอย่าง"

ทีมช่วยเหลือเปิดเผยกับบีบีซี ว่า พวกเขาเข้าไปถึงตัวนักบินที่อยู่ในอาการทุกข์ทรมาน ท่ามกลางเปลวไฟที่กำลังลุกไหม้ใกล้ ๆ กับส่วนของห้องนักบินที่ขาดออกมาจากลำตัวเครื่องบิน

"เขามีอาการหายใจลำบาก เราทุบกระจกหน้าต่างและดึงเขาออกมาในทันที" ดัมบาร์ บิชวาคาร์มา ผู้กำกับการอาวุโสแห่งตำรวจเนปาลกล่าว "มีเลือดเต็มใบหน้าเขา ตอนที่เขาได้รับความช่วยเหลือออกมา แต่เราพาตัวเขาส่งโรงพยาบาลในอาการที่ยังสามารถพูดคุยได้"

บาดรี ปันเดย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการบินพลเรือนของเนปาล เปิดเผยว่า เครื่องบินจู่ ๆ ก็หักเลี้ยวขวากะทันหัน ระหว่างเทกออฟขึ้นจากสนามบิน ก่อนพุ่งกระแทกพื้นบริเวณฝั่งซ้ายของรันเวย์

ถ้อยแถลงที่เผยแพร่โดยกองทัพเนปาล ระบุว่านักบินได้รับความช่วยเหลือภายในเวลา 5 นาทีหลังเกิดเหตุ และ "เขาอยู่ในอาการที่น่ากลัวมาก แต่ตอนนั้นยังมีสติอยู่" พร้อมเผยต่อว่าจากนั้นรถฉุกเฉินของกองทัพได้นำตัวเขาส่งโรงพยาบาล

แพทย์มีนา ทีพา ผู้อำนวยการด้านการแพทย์ของโรงพยาบาล เปิดเผยว่า นักบินรายนี้ได้รับบาดเจ็บบริเวณศีรษะและใบหน้า และในไม่ช้าจะมีการผ่าตัดอาการกระดูกหักบริเวณหลัง "เรารักษาอาการบาดเจ็บต่าง ๆ ในหลายส่วนของร่างกายของเขา เวลานี้เขาอยู่ภายใต้การสังเกตการณ์ ภายในแผนกศัลยกรรมประสาทและสมอง"

เมื่อช่วงค่ำวานนี้ นายเคพี ชาร์มา นายกรัฐมนตรีเนปาล เดินทางไปยังโรงพยาบาลเพื่อได้มีโอกาสพบปะกับครอบครัวของนักบิน

เวลานี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการสืบสวนเพื่อสรุปถึงต้นตอของอุบัติเหตุ ในขณะที่ผู้อำนวยการสนามบินนานาชาติตริภูวัน บอกว่า จากคำประเมินเบื้องต้น แสดงให้เห็นว่าเครื่องบินบินไปผิดทิศทาง "ทันทีที่เทกออฟ มันเลี้ยวขวา ทั้งที่ตอนนั้นควรเลี้ยวซ้าย" เขากล่าว

ที่ผ่านมา เนปาลถูกวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับประวัติความปลอดภัยด้านการสัญจรทางอากาศอันย่ำแย่ โดยในเดือนมกราคม 2023 มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 72 ราย ในเหตุเครื่องบินสายการบินเยติลำหนึ่งประสบอุบัติเหตุ ซึ่งต่อมาพบว่ามีต้นตอจากการนักบินไปปิดระบบไฟฟ้าโดยไม่ได้ตั้งใจ

ส่วนอุบัติเหตุทางอากาศครั้งเลวร้ายที่สุดในเนปาล เกิดขึ้นเมื่อปี 1992 โดยคราวนั้นลูกเรือและผู้โดยสารของสายการบินปากีสถาน อินเตอร์เนชันแนล แอร์ไลน์ส เสียชีวิตยกลำ หลังประสบอุบัติเหตุโหม่งก่อน ขณะกำลังเดินทางถึงสนามบินกาฐมาณฑุ

‘บางจากฯ’ ส่งต่อพื้นที่สีเขียว ผ่านกิจกรรม ‘พืชพรรณปันสุข’ แจก ‘กล้าไม้-เมล็ดพันธุ์ผักอินทรีย์’ ที่ปั๊มบางจาก-ร้านอินทนิล

(25 ก.ค. 67) บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เชิญชวนประชาชนรับกล้าไม้จำนวน 36,000 ต้น และเมล็ดพันธุ์ผักอินทรีย์จำนวน 7,200 ชุด ผ่านกิจกรรม ‘พืชพรรณปันสุข’ เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 โดยจะแจกกล้าไม้จาก ‘กรมป่าไม้’ ณ สถานีบริการน้ำมันบางจาก 72 แห่งทั่วประเทศ และแจกเมล็ดพันธุ์ผักอินทรีย์จากมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ณ ร้านอินทนิล 72 แห่งทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 27-29 กรกฎาคม 2567 (หรือจนกว่ากล้าไม้และเมล็ดพันธุ์จะหมด)

‘พืชพรรณปันสุข’ เป็นหนึ่งในการส่งต่อพื้นที่สีเขียว สนับสนุนนวัตกรรมและเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ ในโครงการ ‘เติมสุข สู่สังคม’ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ที่บางจากฯ ร่วมกับพันธมิตรเชิญชวนให้ประชาชนมีส่วนร่วมสร้างพื้นที่สีเขียว โดยเป็นจุดบริการแจกกล้าไม้หลากหลายชนิดจากสถานีเพาะชำกล้าไม้ 29 แห่งและเมล็ดพันธุ์ผักอินทรีย์จากศูนย์ปรับปรุงและผลิตเมล็ดพันธุ์ผักอินทรีย์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้

ทั้งนี้ บางจากฯ ได้ริเริ่ม ‘พืชพรรณปันสุข’ ในปี 2565 เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา และวันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม 2565 โดยใช้พื้นที่สถานีบริการน้ำมันบางจากเป็นจุดบริการแจกกล้าไม้ให้กับประชาชน

ร่วมเพิ่มพื้นที่สีเขียวและปลูกผักเพื่อบริโภคที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพกับ ‘พืชพรรณปันสุข’ รับ ‘กล้าไม้’ ได้ที่สถานีบริการน้ำมันบางจาก 72 แห่งทั่วประเทศ และรับ ‘เมล็ดพันธุ์ผักอินทรีย์’ ณ ร้านอินทนิล 72 แห่งทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 27-29 กรกฎาคม 2567 (หรือจนกว่ากล้าไม้และเมล็ดพันธุ์จะหมด) ตรวจสอบรายชื่อสถานีบริการบางจากและร้านอินทนิลที่ https://www.bangchak.co.th/en/newsroom/bangchak-news/1411/

เก็บทรงไม่อยู่!! ชาวอเมริกัน 39% กังวลไม่มีเงินพอจ่ายค่าบิลต่างๆ ชี้!! แย่กว่าตอนวิกฤตการเงินโลก 'ต้องเริ่มทำงานเสริม-เลิกขับรถ'

เมื่อวานนี้ (24 ก.ค. 67) จากช่องยูทูบ ‘TNN’ ได้เผยผลสำรวจของผู้บริโภคชาวอเมริกัน ที่ตอนนี้แม้ว่าตัวเลขเงินเฟ้อและตัวเลขทางเศรษฐกิจต่าง ๆ จะดูดีขึ้น จนนําไปสู่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่หลายฝ่ายคาดว่าจะเห็นในเดือนกันยายนนี้ แต่ผู้บริโภคชาวอเมริกันยังคงกังวลกับการใช้จ่าย รวมถึงเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับที่เกินกว่าที่คาด ทําให้ 39% ไม่มั่นใจกับเศรษฐกิจในวันข้างหน้า

สำหรับเรื่องนี้ทางสํานักข่าวต่างประเทศได้ออกรายงานผลสํารวจระบุว่า ชาวอเมริกัน 4 ใน 10 คน หรือประมาณ 39% กังวลเกือบตลอดเวลา เกี่ยวกับรายได้ของครอบครัวที่อาจจะไม่พอกับรายจ่าย ซึ่งตอนนี้เพิ่มขึ้นจากเดิมที่เป็น 28% กระโดดมาเป็น 39% ที่เคยกังวลในระดับเดียวกันนี้ในปี 2564 ซึ่งใกล้เคียงกับตอนเกิด ‘วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์’ ในปี 2551 และดูเหมือนว่าคนอเมริกันค่อนข้างกังวลหากเทียบเคียงกันแล้ว สําหรับวิกฤตเศรษฐกิจที่อาจจะมี…

อย่างไรก็ตาม ชาวอเมริกันตอนนี้ ทั้งทํางานเสริม ลดการขับลดลง เพื่อที่จะประหยัดค่าน้ำมัน และยังใช้จ่ายด้วยบัตรเครดิตแทนการซื้อด้วยเงินสด นอกจากนี้ มากกว่าครึ่งหนึ่ง 55% ของผู้ที่มีรายได้ น้อยกว่า 50,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี ก็เกิดความกังวลว่าเงินจะไม่พอใช้

ทั้งนี้ ผลสํารวจนี้สะท้อนว่า แม้สถิติระดับชาติ ทั้งเรื่องตัวเลขการว่างงานต่ำ เงินเฟ้อชะลอตัวลง แต่หลายล้านคนในอเมริกาก็ยังคงได้รับผลกระทบเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยเฉพาะราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาหลายปี

นอกจากนี้ Moody’s Analytics ระบุว่า ครัวเรือนในสหรัฐอเมริกาใช้จ่ายเพิ่มขึ้นก็มาจากตัวราคาสินค้าที่เพิ่ม โดยเดือนนึงมากกว่า 920 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน สําหรับการซื้อสินค้าและบริการแบบเดียวกันกับ 3 ปีก่อนเลย แต่ต้นทุนเพิ่มขึ้นจะเป็นหมื่น และแม้อัตราเงินเฟ้อจะผ่อนคลายลง โดยเงินเฟ้อในเดือนกรกฎาคมอยู่แถว 3% เมื่อเทียบปลายปี จากระดับสูงสุดที่เคยไปถึง 9% ในเดือนมิถุนายนปี 2565 ตอนนั้นราคาน้ำมันก็พุ่ง แต่คนอเมริกันตอนนี้ก็ไม่ได้มองว่าสถานการณ์ดีขึ้นสักเท่าไหร่ เพราะราคาสินค้าไม่ได้ลงไปด้วย เพียงแต่ว่าเพิ่มในอัตราที่ช้าลงเท่านั้น และผู้บริโภคก็ยังคงได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากราคาสินค้าที่เพิ่มในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

‘ประมงสมุทรสาคร’ ยัน!! 'ปลากะพง' กินลูก 'ปลาหมอคางดำ' ได้วันละหลายตัว ไม่ใช่ว่ากินได้ครั้งละตัวและอิ่มไปหลายวัน ตามที่มีการพูดวิพากษ์วิจารณ์กัน

(25 ก.ค.67) นายเผดิม รอดอินทร์ ประมงจังหวัดสมุทรสาคร ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ได้รับการ แจ้งจากชาวประมงอวนรุนที่ออกไปล่าจับปลาหมอคางดำที่คลองสุนัขหอน โดยได้ปลากะพงติดมา 2 ตัว จึงได้มีการผ่าท้องปลากะพงดู พบว่าภายในท้องปลากะพงซึ่งไซด์ไม่ใหญ่นักสามารถกินลูกปลาหมอคางดำได้ถึง 3 ตัว พิสูจน์ให้เห็นว่าปลากะพงกินลูกปลาหมอคางดำได้ครั้งละหลาย ๆ ตัว ไม่ใช่ว่ากินได้ครั้งละตัวและอิ่มไปหลายวันอย่างที่มีการพูดวิพากษ์วิจารณ์กัน ถือเป็นการช่วยตัดวงจรการขยายพันธ์ุของปลาหมอคางดำได้เป็นอย่างดี 

โดยทางประมงจังหวัดสมุทรสาครจะมีการทยอยปล่อยปลากะพงลงไปในแหล่งน้ำธรรมชาติอีกเรื่อย ๆ เพื่อให้ปลากะพงไปไล่ฮุบลูกปลาหมอคางดำให้เหลือน้อยลงให้ได้มากที่สุด

'น้าเน็ก' เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา พูดถึงความโชคดีของการเป็นคนแก่ในยุคนี้ และความห่วงต่อคนอายุน้อยที่ต้องรับมือในโลกยุคใหม่ ผ่านช่องยูทูบ Rayron : เร่ร่อน ตอน พุฒ ต้า เร VS น้าเน็ก

ไม่นานมานี้ 'น้าเน็ก' เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา ได้พูดถึงความโชคดีของตน จากการเป็นคนแก่ในยุคนี้ และรู้สึกห่วงคนอายุน้อยที่ต้องรับมือกับโลกในยุคปัจจุบัน ผ่านช่องยูทูบ 'Rayron : เร่ร่อน' ตอน 'พุฒ ต้า เร VS น้าเน็ก' โดยมีเนื้อหาระบุว่า…

"รู้สึกโชคดีที่เป็นคนแก่ในยุคนี้นะ เพราะไม่งั้นลองคิดดูดิ ถ้ามึงเป็นคนอายุน้อยในยุคนี้ มึงจะรับมือกับสิ่งรอบข้างยากมาก...

"ตอนพวกเราอายุน้อย ๆ สังคมของเราจะยึดติดกับที่ตั้ง สังคมของเราคือ ในออฟฟิศ ในโรงเรียน ในร้านเหล้า ในซอยหมู่บ้านเท่านั้น เราเห็นเท่าที่เราเห็น เราไม่สามารถเห็นห้องนอนใคร เราไม่สามารถเห็นทรัพย์สมบัติใคร เราไม่เห็นชีวิตคนอื่นเลย ทําให้กิเลสของเรา ความอยากของเราน้อย...

"แต่ผู้คนในวันนี้ มันเห็นทุกอย่าง ทุกคนโชว์ชีวิตดีๆ เด็กอายุน้อยได้เห็นชีวิตคนอื่นจากในไอจี เห็นบ้านเห็นห้อง เห็น Gadget เห็นกองเงิน เห็นโอมากาเสะ เห็นนู่นนี่ เห็นหิมาลัย เห็นทุกที่ที่เขาไป เห็นทุกซอกทุกมุมโลกที่ทุกคนแชร์กัน"

ดังนั้นบทสรุปของเรื่องนี้ จึงสะท้อนให้เห็นว่า กิเลสจะมากหรือน้อย ส่วนหนึ่งล้วนเกิดจากการได้พบเห็น แต่ถ้าเห็นแล้วแยกแยะได้ ว่าอะไรคือ ความเป็นจริง อะไรคือมายา อะไรคือความจำเป็น อะไรคือการโหยหา หรือแค่อยากได้อยากมี ย่อมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับมนุษย์ได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งความโชคดีของคนรุ่นก่อนที่ได้เห็นอะไรไม่มากแบบเด็กยุคนี้ จึงเหมือนเป็นข้อดีหนึ่งในวันโลกที่หมุนเร็วได้เหมือนกัน

'บุ๋ม ปนัดดา' ทุ่มเงินเก็บซื้อที่ดิน สร้างมูลนิธิช่วยเหลือประชาชน เผยจุดเปลี่ยนชีวิตที่หันมาทำงานเพื่อสังคม เพราะ 'ลูก'

(25 ก.ค.67) นักแสดงและพิธีกรมากความสามารถที่มีความสุขในการต่อสู้เพื่อสังคม ‘บุ๋ม-ปนัดดา วงศ์ผู้ดี’ มาเปิดใจในรายการ WOODY FM เล่าจุดเปลี่ยนชีวิตที่ผันตัวทำงานเพื่อสังคมจนก่อได้ตั้งมูลนิธิองค์กรทำดี โดยปัจจุบันขอใช้ชีวิตคู่อย่างเรียบง่าย และล่าสุดได้เปิดเผยว่าทุ่มเงินเก็บซื้อที่ดินช่วยคนอื่น สร้างมูลนิธิให้เป็นสมบัติของประเทศ โดยระบุว่า..

>> จุดเปลี่ยนจากเดิมที่ทำงานเพื่อตัวเอง เปลี่ยนเป็นทำงานเพื่อผู้อื่น คือตอนไหน?
บุ๋ม ปนัดดา : จุดเปลี่ยนคือปี 2557 คือก่อนหน้านั้นก็ทำงานในมุมของนางงามคนหนึ่งที่ช่วยงานการกุศลหรืออะไรอยู่แล้ว คือในปี 2557 มีข่าวข่มขืนบนรถไฟแล้วหันไปมองลูกสาวตัวเองแล้วก็คิดว่าทำไมมีเรื่องร้ายแรงแบบนี้ได้ แล้วอนาคตของลูกสาวจะมีใครปกป้องเขาได้

ถ้าวันหนึ่งเราไม่อยู่ คนที่เป็นแม่อย่างเราจะสามารถทำอะไรเพื่อปกป้องอนาคตเขาได้ ก็เลยหันมาดูกฎหมาย ศึกษาจริงจังทุกอย่างเลย ชีวิตเปลี่ยนเลย ก็เลยมาดูว่ากฎหมายเกี่ยวกับผู้หญิงไม่มีเปลี่ยนมา 30 ปี

ซึ่งก่อนหน้าบุ๋มไม่ใช่ว่าไม่มีใครขอเปลี่ยนนะ เขาไปประท้วงหน้าสภา คือเขาพยายามทำแล้ว เพียงแต่ว่าในมุมของบุ๋มวันนั้น เรามีพลังของสื่อ ความเป็นดาราด้วยก็เลยทำให้พลังมันแรงมาก กลายเป็นว่าน่าจะเป็นดาราคนแรกเลยมั้งที่ทำเรื่องเปลี่ยนกฎหมาย ก็เลยมีเรื่องอื่น ๆ ตามมา ความช่วยเหลือจากผู้หญิงด้วยกัน เรื่องของคดีความอะไรอย่างนี้เข้ามา

กลายเป็นว่าเราเริ่มอินกับมัน แล้วรู้สึกดีที่ได้ช่วย รู้สึกดีที่เป็นพลังให้พวกเขา รู้สึกดีที่บางทีเขาแจ้งความมาเป็นปีแต่ไม่ได้รับการช่วยเหลือเลย กลับกลายเป็นว่าแสงสว่างที่เรามี หรือเสียงดังที่เรามีมันกลายเป็นพลังให้กับเขา หาความยุติธรรมเพิ่มเติมให้กับเขา รู้สึกดีจัง เราเลยต้องทำในวันที่ฉันยังดังอยู่ เลยกลายเป็นมูลนิธิที่ใหญ่ระดับประเทศ ชื่อว่า มูลนิธิองค์กรทำดี

>> ใช้เวลากี่เปอร์เซ็นต์ของชีวิตเรา?
บุ๋ม ปนัดดา : ตอนนี้ 70% เลยค่ะ เพราะว่าตื่นมาหรือขณะที่นอน มันกลายเป็นว่าเคสวันนี้วิ่งรถกี่คัน ไปต่างจังหวัดโรงพยาบาลขอความร่วมมือมา หรือมีเคสขมขื่นจัดการยังไง มันหลายอย่างมากเลย

>> เวลาเอาเรื่องของชาวบ้านมาใส่สมองของเรา มีวิธีระบายยังไงได้บ้าง เพราะคุณก็อินกับทุกเรื่อง?
บุ๋ม ปนัดดา : อินจริงแต่ตัดได้เร็วค่ะ เพราะว่าถ้าตัดไม่เร็วนะ ซึมเศร้าแน่นอนค่ะ เหมือนน้องหลาย ๆ คนที่เคยเข้ามาช่วย พอรับฟังเรื่องราวเยอะ ๆ ตัดไม่ได้ แม่หนูขอหยุดนะ มีเยอะเลย แต่สำหรับตัวเรากลับกลายเป็นว่าตัดได้ง่ายมาก เพราะว่าเรารู้สึกว่าทุกเคสสำคัญหมด

เราแสดงความเสียใจนะ แต่ชีวิตยังต้อง Go On ยังต้องมีเคสอื่นที่เราต้องมีสติในการดูแลรักษาเขา และดูแลครอบครัวของเราเองด้วย มองว่าเรื่องเกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดา

>> ทำไมคุณถึงกลายเป็นคนที่เรียบง่าย ทั้งที่สมัยก่อนต้องเป็นข่าว?
บุ๋ม ปนัดดา : สมัยก่อนหรือสมัยนี้บางทีโพสต์อะไรก็เป็นข่าวแล้ว เพียงแต่ว่าพอเป็นเรื่องของคุณก๊อต (สามี) เขาบอกว่าเขาเป็นคนนอกวงการบันเทิง ไม่อยากอยู่ในแสงสีเท่าไหร่ ขอใช้ชีวิตเงียบ ๆ ขอเลี้ยงลูกด้วยความสงบ เราก็เข้าใจ มันขึ้นอยู่กับอีกฝ่ายหนึ่งด้วย ว่าเขาอยากอยู่ในแสงสีมากแค่ไหน ไม่ใช่ว่าไม่มีรายการเชิญเขาไปนะ มีเยอะมากเลย

>> ที่ผ่านมาบุ๋มทำเพื่อคนอื่นเยอะมาก เคยให้อะไรกับตัวเองไหม?
บุ๋ม ปนัดดา : พอเอาจริง ๆ ก็นึกไม่ออกว่าตัวเองอยากได้อะไรกับชีวิต เคยนั่งมองนาฬิกาหรู ๆ นั่งมองแบรนด์เนม สวยนะยากซื้อ แต่เรากลับรู้สึกว่าเอาตังค์ไปช่วยเด็กดีกว่า ลูกบุญธรรมยังต้องเรียน มูลนิธิยังต้องสร้าง เอาไปตรงนั้นก่อนคิดอย่างนี้ เดี๋ยวของฉันไว้ทีหลัง

คือเหตุผลหนึ่งที่คุณสามีที่เขามาขอเราแต่งงาน เพราะเขาบอกว่าชีวิตบุ๋มเหมือนทำเพื่อคนอื่นเยอะมากเลย เพื่อครอบครัวของบุ๋มเอง เพื่อคนรอบข้าง เพื่อลูกน้อง เพื่อมูลนิธิ และเพื่อประชาชนอีก แต่ไม่มีอะไรเลยที่บุ๋มเคยพูดว่าจะทำอะไรเพื่อตัวเอง แต่มาวันนี้บุ๋มมีแล้วนะ

>> ทีมงานบอกว่าวันนี้บุ๋มจะประกาศให้พี่น้องชาวไทยรับทราบเกี่ยวกับเรื่องอนาคตที่วางเอาไว้และตัดสินใจว่าจะทำ?
บุ๋ม ปนัดดา : บุ๋มเพิ่งเอาเงินเก็บก้อนที่เก็บเอาไว้ไปซื้อที่ดินตรงรังสิตคลอง 8 จะทำมูลนิธิองค์กรทำดี แบบที่มี Shelter สำหรับผู้หญิง มีโรงทาน มีสวนปฏิบัติธรรม แล้วก็เป็นมูลนิธิที่ใช้วิ่งรถช่วยเหลือประชาชน จะทำตรงนั้นแล้วก็ทิ้งไว้ให้เป็นสมบัติของประเทศชาติค่ะ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top