Sunday, 25 May 2025
TheStatesTimes

‘รัฐบาล’ ขอเชิญชวนประชาชนร่วมกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๖ รอบ ๗๒ พรรษา

เมื่อไม่นานมานี้ ‘สำนักพระราชวัง’ ได้ออกแถลงการณ์เชิญชวนประชาชนร่วมลงนามถวายพระพรชัยมงคลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ ผ่านระบบออนไลน์ ที่เว็บไซต์หน่วยราชการในพระองค์ www.royaloffice.th ระหว่างวันที่ ๒๓ - ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๖๗

 นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้กำหนดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อให้ประชาชนร่วมแสดงความจงรักภักดี ถวายเป็นราชสักการะ ซึ่งการจัดงานประกอบด้วย งานพระราชพิธี งานรัฐพิธี งานศาสนพิธี โครงการและกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติฯ ตลอดปี พ.ศ. ๒๕๖๗ โดยในเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๗ มีพิธีเสกน้ำพระพุทธมนต์ศักดิ์สิทธิ์ พิธีเจริญพระพุทธมนต์และตักบาตรถวายพระราชกุศล พิธีปฏิญาณตนเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน เสด็จออกมหาสมาคม พิธีจุดเทียนถวายพระพรข้อมงคล และงานสโมสรสันนิบาต

สำหรับกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ มีดังนี้ 

>>๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๗<<
-เวลา ๐๗.๐๐ น. ขบวนเชิญน้ำพระพุทธมนต์ศักดิ์สิทธิ์ จากกระทรวงมหาดไทย ไปยังวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม

-เวลา ๐๙.๐๐ น. พิธีทางศาสนามหามงคล ๕ ศาสนา ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล โดยมีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธี

-เวลา ๑๔.๓๐ น. พิธีเสกน้ำพระพุทธมนต์ศักดิ์สิทธิ์ ณ พระอุโบสถวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
โดยมี สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฝ่ายฆราวาส โดยจะถ่ายทอดสดผ่านช่องทาง NBT 2 HD ตั้งแต่เวลา ๑๕.๐๐ น. เป็นต้นไป

>>๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗<<

-เวลา ๐๖.๓๕ น. พิธีขบวนอิสริยยศ เชิญน้ำพระพุทธมนต์ จากวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ไปยังพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย พระบรมมหาราชวัง

-เวลา ๐๗.๐๐ น. พิธีเจริญพระพุทธมนต์และทำบุญตักบาตร ถวายพระราชกุศล ณ บริเวณท้องสนามหลวง

-เวลา ๐๗.๔๕ น. ถวายสัตย์ปฏิญาณเป็นข้าราชการที่ดี และพลังของแผ่นดิน ณ บริเวณท้องสนามหลวง

-เวลา ๑๐.๐๐ น. เสด็จออกมหาสมาคมทรงรับการถวาย พระพรชัยมงคล ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย พระบรมมหาราชวัง โดยสามารถรับชมถ่ายทอดสดได้ทาง โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ตั้งแต่เวลา ๐๙.๕๕ น. เป็นต้นไป

-เวลา ๑๒.๐๐ น. ๓ เหล่าทัพ ยิงสลุตหลวง หน่วยละ ๒๑ นัด

-เวลา ๑๗.๐๐ น. เสด็จฯ ไปทรงบำเพ็ญพระราชกุศล ทรงตั้งสมณศักดิ์ จีน ญวน และพระสงฆ์

-เวลา ๑๗.๓๐ น. พิธีถวายเครื่องราชสักการะและวางพานพุ่ม ณ บริเวณท้องสนามหลวง

เวลา ๑๙.๑๙ น. พิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล ณ บริเวณท้องสนามหลวง ส่วนภูมิภาค ณ สถานที่ที่แต่ละจังหวัดกำหนด หรือสถานที่ตามความเหมาะสม โดยสามารถรับชมถ่ายทอดได้ทาง โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ตั้งแต่เวลา ๑๘.๕๐ น. เป็นต้นไป

>>๒๙ กรกฎาคม ๒๕๖๗<<

- เวลา ๐๘.๐๐ น. เชิญเครื่องราชสักการะและพานพุ่มจากท้องสนามหลวงไปทูลเกล้าฯ ถวาย ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน

- เวลา ๑๙.๐๐ น. งานสโมสรสันติบาตร ณ ทำเนียบรัฐบาล โดยสามารถรับชมถ่ายทอดได้ทาง โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ตั้งแต่เวลา ๑๘.๕๐ น. เป็นต้นไป

นอกจากนี้ ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ รัฐบาลได้จัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กว่า ๖๐๐ โครงการ ที่สะท้อนถึงการน้อมนำแนวพระราชดำริ พระราชปณิธาน และพระบรมราโชบายเกี่ยวกับการพัฒนาสิ่งแวดล้อม พัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ให้อยู่ดีมีสุข ซึ่งจะดำเนินการทุกโครงการให้แล้วเสร็จภายในปีนี้ โดยสามารถติดตามข้อมูลได้ที่ WWW.PHRALAN.IN.TH

‘อนุทิน’ มอบบ้านใหม่ 86 หลังคาเรือน ให้ผู้ยากไร้ทั่วประเทศ มุ่งยกระดับด้านที่อยู่อาศัย-พัฒนาคุณภาพชีวิตให้ปลอดภัยยิ่งขึ้น

(24 ก.ค.67) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีส่งมอบบ้าน ‘โครงการซ่อมแซมบ้านให้ผู้ยากไร้ตามผังภูมิสังคม เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567’ จำนวน 86 หลัง พร้อมกันทั่วประเทศ และถ่ายทอดสดผ่านระบบ Web broadcast โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธานส่งมอบในแต่ละจังหวัด พร้อมติดตามความคืบหน้าโครงการเฉลิมพระเกียรติฯ ของกรมโยธาธิการและผังเมือง อีก 5 โครงการ โดยมี นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายโชตินรินทร์ เกิดสม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายสยาม ศิริมงคล อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการปกครอง นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน นายขจร ศรีชวโนทัย อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เข้าร่วม และ นายพงศ์รัตน์ ภิรมย์รัตน์ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง ว่าที่ ร.อ.ธีรพงศ์ ครุธดิลกานันท์ นายสุเมธ มีนาภา นายพรรณรบ เตชะมงคลาภิวัฒน์ รองอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง นายพิศุทธิ์ สุขุม วิศวกรใหญ่ นายชาญวิชญ์ สิริสุนทรานนท์ สถาปนิกใหญ่ คณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ให้การต้อนรับ ในโอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมคณะผู้บริหาร ได้ร่วมกันปลูกต้นรวงผึ้ง พรรณไม้อันทรงคุณค่าและมีเกียรติที่ถูกยกให้เป็นพรรณไม้ประจำพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีและเป็นการเชิดชูถึงพระมหากรุณาธิคุณที่สูงสุดของพระองค์ และร่วมประชุมติดตามความก้าวหน้าโครงการเฉลิมพระเกียรติฯ ของกรมโยธาธิการและผังเมือง ณ ห้องประชุมนริศรานุสรณ์ ชั้น 11 อาคาร 11 ชั้น กรมโยธาธิการและผังเมือง ถนนพระรามที่ 6 กรุงเทพมหานคร

โดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า กระทรวงมหาดไทย ได้มอบนโยบายให้ทุกส่วนราชการในสังกัด จัดโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 72 พรรษา 28 กรกฎาคม 2567 เพื่อน้อมนำพระราชปณิธาน พระราชดำริ พระบรมราโชวาท พระราชกรณียกิจ มาประยุกต์ใช้หรือเป็นการสืบสาน รักษา และต่อยอด โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โดยต้องคำนึงถึงความเหมาะสมและสมพระเกียรติ มีความจำเป็นและเป็นประโยชน์ต่อสังคมโดยรวม ซึ่งกรมโยธาธิการและผังเมือง เป็นหน่วยงานหลักที่ได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ขับเคลื่อนโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จำนวน 6 โครงการ ได้แก่

1. โครงการ 72 พรรษา 7,300 โครงการ พัฒนาตามผังภูมิสังคมเพื่อการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน 2. โครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตแบบอารยเกษตรตามแนวพระราชดำริ 3. โครงการเพื่อพัฒนาพื้นที่อำเภอเกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี 4. โครงการจัดทำซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 5. โครงการซ่อมแซมบ้านให้ผู้ยากไร้ตามผังภูมิสังคม และ 6. โครงการ ‘10 คลองสวย น้ำใส คนไทยมีสุข’ ซึ่งในวันนี้ กรมโยธาธิการและผังเมืองได้จัดพิธีส่งมอบบ้านหลังใหม่ ในโครงการซ่อมแซมบ้านให้ผู้ยากไร้ตามผังภูมิสังคมฯ พร้อมกัน 76 จังหวัดทั่วประเทศ ช่วยยกระดับด้านที่อยู่อาศัยให้ผู้ด้อยโอกาส พัฒนาคุณภาพชีวิตให้มีความเป็นอยู่ที่ดีมีความปลอดภัย เพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศล และเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567

ด้าน นายพงศ์รัตน์ ภิรมย์รัตน์ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง กล่าวว่า จากพระราชปณิธานอันมุ่งมั่นของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สู่พระราชกรณียกิจนานัปการที่ช่วยยกระดับและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนทั่วแผ่นดินไทย และด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทยในฐานะหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนภารกิจ ‘บำบัดทุกข์ บำรุงสุข’ ให้กับพี่น้องประชาชน ได้ขานรับนโยบายของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในการจัดทำโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 72 พรรษา 28 กรกฎาคม 2567 เพื่อดำเนินตามรอยพระยุคลบาทในการยกระดับและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยมีโครงการที่สำคัญ ได้แก่ ‘โครงการซ่อมแซมบ้านให้ผู้ยากไร้ตามผังภูมิสังคม เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567’ ซึ่ง กรมฯ ได้น้อมนำหลักการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในด้าน ‘จิตอาสา’ มาบูรณาการความร่วมมือของภาคีเครือข่ายและจิตอาสาในพื้นที่ โดยไม่ใช้งบประมาณจากภาครัฐ แต่ใช้งบประมาณที่ได้จากการบริจาคของภาคีเครือข่ายและจิตอาสาในพื้นที่ ร่วมมือร่วมแรงปรับปรุงซ่อมแซมบ้านให้ผู้ยากไร้ ให้มีความมั่นคง แข็งแรง ปลอดภัย ซึ่งมีเป้าหมายจำนวน 86 หลังคาเรือน จากข้อมูลของผู้ยากไร้ในระบบ Thai QM ตามผังภูมิสังคม โดยดำเนินการ 76 จังหวัดทั่วประเทศ โดยแบ่งเป็น ซ่อมแซมบ้านให้ผู้ยากไร้ตามผังภูมิสังคม 1 จังหวัด 1 หลังคาเรือน และบ้านผู้ยากไร้ที่ต้องซ่อมแซมเร่งด่วน จำนวน 10 จังหวัด 10 หลังคาเรือน ได้แก่ จังหวัดลำพูน เชียงราย สุราษฎร์ธานี ตรัง นนทบุรี นครนายก นครราชสีมา สุรินทร์ สระแก้ว และประจวบคีรีขันธ์ ทั้งนี้ กรมฯ ได้ดำเนินการ KICK OFF เพื่อขับเคลื่อนโครงการแล้ว เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2567 ปัจจุบัน ดำเนินการแล้วเสร็จ 86 หลังคาเรือน และส่งมอบพร้อมกันทั่วประเทศ ในวันที่ 24 กรกฎาคม 2567 โดยได้รับเกียรติจาก นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานส่งมอบโครงการดังกล่าว

สำหรับ ‘โครงการ 72 พรรษา 7,300 โครงการ พัฒนาตามผังภูมิสังคมเพื่อการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567’ ดำเนินการขึ้นด้วยตระหนักว่าน้ำเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต กรมฯ จึงได้น้อมนำศาสตร์พระราชา มาเป็นกรอบแนวคิดในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และใช้ข้อมูลสภาพความเป็นจริงทางภูมิประเทศทั้ง ‘ภูมิประเทศด้านภูมิศาสตร์’ และ ‘ภูมิประเทศทางสังคมศาสตร์ในสังคมวิทยา’ มาจัดทำข้อมูลในรูปแบบ ‘ผังภูมิสังคม’ ด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ เพื่อให้ผังภูมิสังคมฯ เป็นข้อมูลสะท้อนปัญหาด้านต่าง ๆ และความต้องการของประชาชนในพื้นที่ ซึ่งหน่วยงานภาครัฐสามารถนำไปใช้วางแผนงานและดำเนินโครงการหรือกิจกรรมที่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่ พร้อมทั้งผลักดันให้มีการขับเคลื่อนโครงการในทุกจังหวัดให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม โดยดำเนินโครงการ/กิจกรรมพัฒนาตามผังภูมิสังคมฯ (เฉพาะโครงการที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำขนาด S M และ L) อย่างน้อย 7,300 โครงการ ครอบคลุมพื้นที่ 76 จังหวัด 878 อำเภอ 7,255 ตำบล ซึ่งปัจจุบันดำเนินการพัฒนาแล้ว 9,028 โครงการ สามารถกักเก็บน้ำได้เพิ่มขึ้น 25,349,097 ลบ.ม. พื้นที่ป่าไม้เพิ่มขึ้น 13,980 ไร่ พื้นที่น้ำท่วมลดลง 260,866 ไร่ พื้นที่เกษตรได้รับประโยชน์ 312,801 ไร่ และประชาชนได้รับประโยชน์ 1,555,982 ครัวเรือน

‘โครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตแบบอารยเกษตรตามแนวพระราชดำริ เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567’ กรมฯ ได้น้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ทฤษฎีประยุกต์ใหม่ และอารยเกษตรของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการนำที่ดินสาธารณประโยชน์หรือที่ดินของหน่วยงานภาครัฐมาดำเนินการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตแบบอารยเกษตร ตามแนวพระราชดำริ ขับเคลื่อนพระราชปณิธาน ‘สืบสาน รักษา และต่อยอด’ เพื่อช่วยบรรเทาและแก้ไขปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้งของประชาชน ให้เป็นพื้นที่ที่มีแหล่งน้ำกินน้ำใช้เพียงพอ มีความมั่นคงทางอาหาร เป็นศูนย์แห่งการเรียนรู้ และพัฒนาคุณภาพชีวิต เพื่อให้เกิดการพัฒนาแบบบูรณาการอย่างยั่งยืน โดยมีพื้นที่นำร่อง 6 พื้นที่ (1 พื้นที่เป้าหมาย ต่อ 1 ภาค) และจะขยายผลให้ครบทุกจังหวัด โดยแต่ละพื้นที่มีแนวคิดในการพัฒนา และมีผลการดำเนินการแตกต่างกัน ได้แก่

- ภาคเหนือ : บริเวณหนองเล็งทราย ตำบลป่าแฝก อำเภอแม่ใจ จังหวัดพะเยา มีแนวคิดประยุกต์ใช้ตามบริบทพื้นที่เป็น “การสืบสานอาชีพเลี้ยงควายไทยอย่างยั่งยืน” เพื่อรักษา อนุรักษ์ควายไทยพื้นถิ่น ต่อยอดให้การเลี้ยงควายไทยอย่างเป็นระบบ มีประสิทธิภาพ สามารถสร้างรายได้และมีความยั่งยืนทางอาชีพแก่ประชาชนได้

- ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : บริเวณชุมชนวังอ้อ ตำบลหัวดอน อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี มีแนวคิดประยุกต์ใช้ตามบริบทพื้นที่เป็น ‘วิชชาลัยอารยเกษตรบ้านวังอ้อ’ เพื่อให้เกิดการพัฒนาแหล่งน้ำ คลังยาคลังอาหาร เป็นที่สาธารณะ และศูนย์การเรียนรู้ของประชาชน

- ภาคกลาง : บริเวณคลอง 15 ตำบลคลองใหญ่ อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก มีแนวคิดประยุกต์ใช้ตามบริบทของพื้นที่เป็น ‘ลานธรรมกลางใจป่า ปลูกป่ากลางใจคน พุทธอารยเกษตร’

- ภาคตะวันออก : บริเวณตำบลท่าหลวง อำเภอมะขาม จังหวัดจันทบุรี มีแนวคิดประยุกต์ใช้ตามบริบทของพื้นที่เป็น ‘เกษตรประณีต’ เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนโดยปลูกพืชที่กินได้เป็นยาได้ ปลูกไม้ไว้สร้างบ้านเรือนในอนาคต ขุดบ่อเลี้ยงปลา ทำทุกอย่างในพื้นที่โดยไม่ใช้สารเคมี

- ภาคตะวันตก : บริเวณตำบลหนองบัว อำเภอเมืองกาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรี มีแนวคิดประยุกต์ใช้ตามบริบทของพื้นที่เป็น ‘ดินดี มีน้ำ ป่าชุ่มชื้น’ เพื่อบริหารจัดการน้ำ บริหารจัดการดิน บริหารจัดการป่า และบริหารจัดการคน

- ภาคใต้ : บริเวณศูนย์สารภี ตำบลละงู อำเภอละงู จังหวัดสตูล มีแนวคิดประยุกต์ใช้ตามบริบทพื้นที่เป็น ‘ต้นแบบทฤษฎีใหม่ประยุกต์ สู่การท่องเที่ยวจังหวัดสตูล’ นำไปสู่การพัฒนาในพื้นที่ ได้แก่ สวนป่ามีชีวิต แก้มลิง แปลงสาธิตแกล้งดิน พื้นที่อนุรักษ์พันธุกรรมพื้นอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

‘โครงการเพื่อพัฒนาพื้นที่อำเภอเกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567’ เป็นโครงการที่จัดทำขึ้นเพื่อน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ โดยบูรณาการความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งกรมฯ ได้ดำเนินการจัดทำผังแม่บทแนวคิดเพื่อการพัฒนาพื้นที่เกาะสีชัง โดยมีแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การพัฒนาสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ การพัฒนาระบบน้ำประปา การพัฒนาสภาพแวดล้อมและภูมิทัศน์ชุมชน และการพัฒนาด้านการท่องเที่ยว เป็นต้น โดยในระยะเร่งด่วน กรมฯ ได้ดำเนินการพัฒนาสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ พัฒนาระบบน้ำประปา เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำให้กับประชาชนบนเกาะ ทำให้ประชาชนมีน้ำกินน้ำใช้ตลอดทั้งปี และลดค่าใช้จ่ายในการซื้อน้ำประปาบนฝั่ง รวมทั้งการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวบริเวณอ่าวจ๊อกค่อก เพื่อให้เกาะสีชังเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติที่ยั่งยืนที่สามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้มากยิ่งขึ้น ปัจจุบันการปรับปรุงระบบจ่ายน้ำประปาได้ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จ โดยในวันที่ 28 กรกฎาคม 2567 โครงการฯ ได้เริ่มปล่อยน้ำประปาให้บริการ 2 จุดแรกที่มีความพร้อมก่อน ได้แก่ โรงพยาบาลเกาะสีชัง และ สำนักงานเทศบาลตำบลเกาะสีชัง ในขณะเดียวกัน เทศบาลตำบลเกาะสีชัง ได้ประสานไปยังประชาชนในพื้นที่ เพื่อขอความร่วมมือในการจัดเตรียมระบบท่อประปาภายในบ้านให้พร้อม เพื่อให้เทศบาลฯ เข้าดำเนินการติดตั้งมิเตอร์ประปาให้กับทุกครัวเรือน ซึ่งคาดว่าจะสามารถดำเนินการแล้วเสร็จ พร้อมปล่อยน้ำประปาให้บริการประชาชนได้ทั่วพื้นที่เกาะสีชัง ภายในเดือนตุลาคม 2567 ซึ่งจะสามารถช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำประปาสำหรับอุปโภค บริโภคของประชาชนบนเกาะสีชังได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประชาชนได้รับประโยชน์ จำนวน 2,261 ครัวเรือน

‘โครงการจัดทำซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567’ กรมฯ ได้ดำเนินการออกแบบซุ้มเฉลิมพระเกียรติฯ เพื่อเป็นต้นแบบให้ทุกจังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นำไปก่อสร้างอย่างถูกต้องตามแบบแผน สวยงามสมพระเกียรติ โดยการออกแบบซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติฯ มีองค์ประกอบสำคัญ 3 อย่าง ประกอบด้วย 1) พระบรมฉายาลักษณ์ ในหลวง ร.10 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ซึ่งทรงเป็นศูนย์รวมดวงใจของคนไทยทั้งชาติ 2) ตราสัญลักษณ์พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 และ 3) เอกลักษณ์สำคัญของแต่ละภูมิภาคที่แสดงถึงความรักความเทิดทูนพระองค์ท่าน นำมาเป็นองค์ประกอบของซุ้มแต่ละภูมิภาค ประกอบกับลายก้านขดและลายดอกรวงผึ้ง รวมทั้งหมด 443 ซุ้ม ทั่วประเทศ

‘โครงการ 10 คลองสวย น้ำใส คนไทยมีสุข’ กรมฯ ได้น้อมนำแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) ในด้านการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะพระราชดำริการบริหารจัดการน้ำในระบบลุ่มน้ำ “จากนภา ผ่านภูผา สู่มหานที” และพระราชดำรัส “อารยเกษตร” ของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มาพัฒนาแม่น้ำ คู คลอง และแหล่งน้ำทั่วประเทศ โดยออกแบบพื้นที่ให้เข้ากับภูมิสังคมควบคู่กับการพัฒนาพื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อพี่น้องประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการกลไกการขับเคลื่อนงานสืบสานศาสตร์พระราชาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ตั้งแต่การออกแบบจัดทำผังแม่บท การพัฒนาในระดับลุ่มน้ำตลอดลำคลอง และแหล่งน้ำ เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมและสร้างภาพอนาคตของ การพัฒนาในระดับพื้นที่ การขุดลอกคู คลอง และแหล่งน้ำ ปรับภูมิทัศน์และทัศนียภาพ รวมถึงพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนตลอดสองฝั่งคลอง ได้แก่ การจัดระเบียบที่อยู่อาศัยใหม่ ความสะอาดของทางเดิน และถนน การกำจัดขยะ การพัฒนาระบบสาธารณูปโภค การเพิ่มพื้นที่สีเขียว และระบบการระบายน้ำ ฯ นำร่องโดย กรุงเทพมหานคร และ 9 จังหวัด ได้แก่ 1) คลองรอบกรุง (คลองโอ่งอ่าง-บางลำพู) กรุงเทพมหานคร 2) ลำน้ำโจ้ จังหวัดเชียงใหม่ 3) คลองแม่สุก จังหวัดพะเยา 4) คลองแม่รำพัน จังหวัดสุโขทัย 5) คลองบางพระ จังหวัดตราด 6) ลำตะคอง จังหวัดนครราชสีมา 7) ลำห้วยพระคือ จังหวัดขอนแก่น 8) คลองปากบาง จังหวัดภูเก็ต 9) คลองหาดส้มแป้น จังหวัดระนอง และ 10) คลองลัดพลี จังหวัดราชบุรี และขยายผลไปยังจังหวัดอื่น ๆ ทั่วประเทศ

อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้วยพระราชปณิธาน พระราชดำริ พระบรมราโชวาท และพระราชกรณียกิจ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงทุ่มเทพระวรกายเพื่อพสกนิการชาวไทยมาโดยตลอด กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ขอตั้งปฏิญาณ จะมุ่งมั่นดำเนินตามรอยพระยุคลบาท จะแน่วแน่สนองพระราชปณิธาน ‘สืบสาน รักษา ต่อยอด’ ด้วยความมุ่งมั่น ตั้งใจ และความใส่ใจทุกขั้นตอนในการดำเนินภารกิจต่าง ๆ เพื่อ ‘บำบัดทุกข์ บำรุงสุข’ ช่วยเหลือประชาชนให้ผ่านพ้นความทุกข์ยาก มีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และสร้างประโยชน์สุขสู่แผ่นดินไทยอย่างยั่งยืนตลอดไป

อีกด้าน ‘ญี่ปุ่น’ ใช้ระบบราคาสองมาตรฐาน ‘นทท.ต่างชาติ-คนท้องถิ่น’ เหตุ!! ต้นทุนเพื่อ นทท.เพิ่ม ต้องเติมราคาให้คุ้มค่ากับประสบการณ์

(24 ก.ค. 67) สำนักข่าวเกียว​โด​นิวส์​ รายงานว่า ในขณะที่ญี่ปุ่นต้อนรับนักท่องเที่ยวจำนวนมากซึ่งหลั่งไหลเข้ามาโดยได้รับแรงหนุนจากค่าเงินเยนที่อ่อนลง ผู้ประกอบการร้านอาหารและสถานที่ท่องเที่ยวจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ต่างก็ต้องการเรียกเก็บเงินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติมากขึ้น การแยกมาตรฐาน​โดยขึ้นราคาสำหรับนักท่องเที่ยวอาจขัดแย้งกับวิธีที่ประเทศต้องการทำการตลาด

การที่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติถูกเรียกเก็บเงินในราคาที่สูงกว่าคนในท้องถิ่นนั้น ส่วนใหญ่มักพบเห็นตามสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศกำลังพัฒนา ทำให้เกิดความกังวลว่าญี่ปุ่นอาจต้องสูญเสียภาพลักษณ์ของตนในฐานะจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวระดับไฮเอนด์

แต่ธุรกิจและหน่วยงานบางแห่งแย้งว่าระบบราคาคู่ไม่ได้หมายถึง ‘โกงหรือเอาเปรียบ’ นักท่องเที่ยว แต่ทำไปเพราะ ‘ความจำเป็นเร่งด่วน’ โดยอ้างถึงค่าแรงที่เพิ่มขึ้นและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น

“เราจะตั้งราคาเมนูเดียวกันสำหรับคนท้องถิ่นที่พูดภาษาญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ต้องการความช่วยเหลือพิเศษเป็นภาษาอังกฤษได้อย่างไร” โชโกะ โยเนมิตสึ เจ้าของร้านอาหารทะเลสไตล์บุฟเฟต์ทามาเทบาโกะ ตั้งอยู่ในย่านชิบุยะอันพลุกพล่านในกรุงโตเกียว กล่าว

นับตั้งแต่เปิดทำการในเดือนเมษายน ร้านอาหารได้เรียกเก็บเงินนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 7,678 เยนสำหรับเมนู​บุฟเฟต์อาหารทะเลแบบทานได้ไม่อั้นสำหรับมื้อเย็นวันธรรมดา ในขณะที่ชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในญี่ปุ่นสามารถรับประทานเมนู​เดียวกันได้ในราคา​ 1,100 เยน

โยเนมิตสึกล่าวว่าร้านฯ​ จำเป็นต้องขึ้นค่าจ้างเพื่อจ้างพนักงานที่พูดภาษาอังกฤษได้ และยังต้องมีค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมพนักงานเพื่อให้บริการลูกค้าชาวต่างชาติอีกด้วย

“โดยที่เรามีลูกค้าวันละ 100 ถึง 150 คน ในขณะที่ร้านอาหารจุได้ 35 ที่นั่ง ต้องใช้เวลามากขึ้นไปเอาใจใส่ลูกค้าต่างชาติ เช่น การอธิบายว่า บุฟเฟต์ วิธีย่างและกินอาหาร​ ในภาษาอังกฤษ” โยเนมิตสึกล่าว

"ข้อเสนอที่ดี" สตรีชาวญี่ปุ่นที่ทำงานร้านอาหารไทยในโตเกียวยินดีกับระบบนี้ โดยเรียกว่าเป็น ‘ข้อเสนอที่ดี’

“เมื่อพิจารณาจากค่าเงินเยนที่อ่อนค่าอย่างน่าตกใจ ฉันคิดว่าการเรียกราคาจากชาวต่างชาติเพิ่มอีกสักหน่อยก็ไม่เสียหาย” ผู้หญิงคนนั้นกล่าว

“ฉันได้ยินจากเพื่อนร่วมงานว่ามีการตั้งสองราคาในวัดของไทย เราพูดว่า อ่า ในที่สุดญี่ปุ่นก็เป็นด้วย (เรียกเก็บเงินเพิ่มสำหรับชาวต่างชาติ)” เธอกล่าวเสริม

ผู้ประกอบการสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในญี่ปุ่นกำลังชั่งน้ำหนักทางเลือกในการเรียกเก็บเงินจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมากขึ้น เนื่องจากการไหลเข้าของนักท่องเที่ยวทำให้ค่าธรรมเนียมการบำรุงรักษาและการตกแต่งใหม่เพิ่มขึ้น

เมื่อเร็ว ๆ นี้ นายกเทศมนตรีเมืองฮิเมจิกล่าวว่าเมืองทางตะวันตกของญี่ปุ่นกำลังพิจารณาค่าธรรมเนียมแรกเข้า ‘สี่เท่า’ สำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มาเยือนปราสาทฮิเมจิ ซึ่งเป็นมรดกโลกขององค์การยูเนสโกโดยเฉพาะ เพื่อตอบสนองต่อการท่องเที่ยวขาเข้าที่เพิ่มขึ้น

ค่าเข้าชมปราสาทซึ่งเป็นสมบัติประจำชาติซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างไม้ที่มีอายุตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 17 ปัจจุบันกำหนดไว้ที่ 1,000 เยน สำหรับผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

แต่นายกเทศมนตรีกล่าวว่าเมืองนี้ต้องเรียกเก็บเงินประมาณ 30 ดอลลาร์สำหรับชาวต่างชาติ และประมาณ 5 ดอลลาร์สำหรับคนท้องถิ่น แม้ว่าผู้เยี่ยมชมจำนวนมากเกินไปอาจสร้างความเสียหายให้กับการบำรุงรักษาปราสาท แต่เขาต้องการหลีกเลี่ยงการขึ้นค่าธรรมเนียมการเข้าชมสำหรับคนในท้องถิ่นที่มองว่าปราสาทเป็น ‘สถานที่พักผ่อน’

รัฐบาลประจำจังหวัดโอซาก้ากำลังหารือเกี่ยวกับการบังคับใช้ภาษีที่กำหนดเป้าหมายนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติโดยเฉพาะ ซึ่งอาจเป็นไปได้ในช่วงเริ่มต้นของงานนิทรรศการโลก​ เอ็กซ์โป​โอซาก้าในเดือนเมษายน พ.ศ. 2568 เพื่อเป็นเงินทุนสำหรับมาตรการในการจัดการกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าธุรกิจและผู้ประกอบการสถานที่ท่องเที่ยวที่เรียกเก็บเงินนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมากขึ้นนั้นควรระมัดระวังในการอธิบายเหตุผลและวิสัยทัศน์ของตน

“ราคาเปลี่ยนแปลงกะทันหันนี้อาจจะเป็นการคิดสั้น ๆ​ เพียงว่าชาวต่างชาติไม่กระทบในช่วงที่เงินเยนร่วงลง แต่อาจกระตุ้นให้เกิดภาวะชะลอจับจ่ายในระยะยาว” โทโมยะ อูเมคาวะ ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยโคคุกาคุอิน ซึ่งเชี่ยวชาญด้านนโยบายการท่องเที่ยว กล่าว

“หากผู้ประกอบการจำเป็นต้องขึ้นราคาเนื่องจากค่าใช้จ่ายสำหรับชาวต่างชาติที่สูงขึ้น ควรส่งเสริมการบริการในลักษณะที่จะโน้มน้าวนักท่องเที่ยวว่าคุ้มค่ากับราคา เช่น โดยการเพิ่มประสบการณ์ที่พิเศษจับต้องได้และแท้จริง” เขากล่าว

การสำรวจเรื่องการกำหนดราคาแบบคู่สำหรับนักเดินทางขาเข้าในญี่ปุ่น ซึ่งจัดทำโดย Loyalty Marketing Inc. ผู้ให้บริการจุดสะสมคะแนนในเดือนกุมภาพันธ์ แสดงให้เห็นว่าเกือบร้อยละ 60​ ของผู้ตอบแบบสอบถามในประเทศเห็นด้วยหรือค่อนข้างเห็นด้วยกับระบบ 2 ราคานี้

แต่การสำรวจยังแสดงให้เห็นว่ามากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามมีความกังวลเกี่ยวกับอิทธิพลเชิงลบที่อาจมีต่อนักเดินทางขาเข้า

ผู้ตอบแบบสอบถามเรียกร้องให้เพิ่มบริการเสริมแก่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเมื่อถูกเรียกเก็บเงินมากขึ้น เช่น การให้บริการในภาษาต่าง ๆ ไกด์ การต้อนรับที่เพิ่มขึ้น หรือของขวัญพิเศษ

นิค ซาเกลลาริโอว ซึ่งเดินทางมาญี่ปุ่นจากสวีเดนกล่าวว่าเขาสนับสนุนแนวคิดที่จะเรียกเก็บเงินจากนักท่องเที่ยวมากขึ้น

“นักท่องเที่ยว ก็ดีในระดับหนึ่ง แต่เมื่อเยอะเกินไปก็อาจเกิดปัญหาได้” ซาเกลลาริโอกล่าว พร้อมเสนอแนะว่าอาจใช้ระบบ​ 2​ ราคาขึ้นอยู่กับช่วงเวลาของปี เช่น ในช่วงที่ไฮซีซั่น​ ที่มีนักท่องเที่ยวมาก

แต่เขายังเสนอว่าหากระบบนี้ถูกนำมาใช้ในประเทศบ้านเกิดของเขา ระบบนี้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็น ‘การเหยียดเชื้อชาติ’ หรือ ‘เลือกปฏิบัติ’

สถานที่ท่องเที่ยวต่างประเทศอื่น ๆ ที่ใช้ระบบ​ 2​ ราคา​ แยกคนในท้องถิ่นและผู้มาเยือน ได้แก่ อุทยานแห่งรัฐไดมอนด์เฮดในฮาวาย ซึ่งผู้อยู่อาศัยของรัฐสามารถเข้าได้ฟรี ในขณะที่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติและนักท่องเที่ยวจากรัฐอื่น ๆ ของสหรัฐฯ จะถูกเรียกเก็บเงินอีกราคา การเคลื่อนไหวดังกล่าวทำให้เกิดเสียงโวยวายเล็กน้อย

อุเมคาวะ​จากมหาวิทยาลัย โคคุกาคุอิน​ กล่าวว่ากลยุทธ์การกำหนดราคาในการท่องเที่ยวกำลังอยู่บนทางแพร่ง​ โดยเรียกร้องให้ธุรกิจและผู้ประกอบการละทิ้งกรอบความคิดที่ว่าพวกเขาจำเป็นต้องคงราคาให้ต่ำและเสนอบริการแบบมาตรฐาน​เดียวกันให้กับลูกค้าทั้งชาวญี่ปุ่นและไม่ใช่ชาวญี่ปุ่น

“พวกเขาควรภาคภูมิใจในการนำเสนอบริการการต้อนรับคุณภาพสูง โดยที่นักท่องเที่ยวสามารถจ่ายค่าใช้จ่ายได้อย่างเพียงพอ” เขากล่าว “บริการพิเศษดังกล่าวเป็นที่ต้องการของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ และจะส่งผลให้มีผู้มาเยี่ยมชมซ้ำ (เพิ่มขึ้น)"

‘500 พนักงาน’ รวมตัว!! ประท้วงหน้าโรงกลั่นน้ำมันดังย่านชลบุรี เรียกร้องค่าแรงตกค้าง 4 เดือนจาก บ.รับเหมาช่วงต่อ ยังไร้ข้อยุติ

(24 ก.ค.67) เพจ ‘นิวส์ชลบุรี-ระยอง ออนไลน์’ โพสต์ภาพและไลฟ์สด เหตุการณ์พนักงานของบริษัทรับเหมาในโรงกลั่นน้ำมันดังในพื้นที่ศรีราชา จ.ชลบุรี กว่า 500 คน ออกมารวมตัวประท้วงบริเวณหน้าโรงกลั่นน้ำมัน หลังบริษัทรับเหมาค้างค่าแรงกว่า 4 เดือน โดยเจรจาแล้วไม่เป็นผล

โดยระบุว่า มีกลุ่มพนักงานบริษัทรับเหมาในโรงกลั่นน้ำมันดัง ในพื้นที่ศรีราชา ชลบุรี รวมตัวเรียกร้องให้ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด ออกมารับผิดชอบปัญหาที่เรื้อรังมานานนั้นคือ ไม่ยอมจ่ายเงินค่าแรงให้พนักงานหลายร้อยชีวิต ตั้งแต่เดือนเม.ย.2567 จนถึงปัจจุบันนี้ พนักงานทุกคนได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก เพราะต้องมีภาระต่อเดือนที่ต้องใช้จ่าย

การเจรจาต่อผู้เกี่ยวข้องดังกล่าวยืดเยื้อมานานหลายเดือนแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้รับการแก้ปัญหาในการไม่จ่ายค่าแรงให้กลุ่มพนักงานหลายชีวิตที่ปฏิบัติงาน ในโรงกลั่นน้ำมันดังกล่าวและไม่ชี้แจงถึงปัญหาว่าเกิดปัญหาในด้านใด จึงสร้างความไม่พอใจให้แก่กลุ่มพนักงานเป็นอย่างมาก และต้องการเรียกร้องให้ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี เข้ามาตรวจสอบ เพื่อหาข้อยุติเรื่องนี้ เพราะกลุ่มพนักงานมีความเดือดร้อนจริง ๆ

ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจ รวมถึงสำนักงานสวัสดิการคุ้มครองแรงงานศรีราชา ลงพื้นที่ร่วมพูดคุยเจรจาถึงปัญหาดังกล่าว

สำหรับปัญหาข้อพิพาทดังกล่าว เกิดจากบริษัทผู้รับเหมาที่ได้โปรเจกต์งานของโรงกลั่นน้ำมันมา ซึ่งทางโรงกลั่นน้ำมันดังกล่าวได้จ่ายเงินให้บริษัทผู้รับเหมาไปแล้ว แต่บริษัทผู้รับเหมาไม่ยอมจ่ายเงินให้แก่พนักงานของตัวเอง และบริษัทผู้รับเหมาอื่น 1-2 บริษัทที่จ้างมาทำงานต่ออีกที เลื่อนจ่ายมาตั้งแต่เดือนเม.ย.67 จนถึงปัจจุบัน ถึงแม้พนักงานจะรวมตัวเจรจามาหลายครั้งแล้ว แต่ไม่เป็นผล ได้รับความเดือดร้อนกันอย่างหนัก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับผลการเจรจาไม่เป็นผล พนักงานกว่า 500 ราย รวมตัวปิดถนนทางเข้าโรงกลั่นน้ำมันในชลบุรี หลังการเจรจาล้มเหลว โดยมีเจ้าหน้าที่เข้าร่วมเจรจาให้ทั้ง 2 ฝ่ายหาทางออกร่วมกัน แต่ไม่เป็นผลและยังหาข้อยุติไม่ได้

'ท่องเที่ยวไทย' ไปโลด!! นทท.ทะลุ 19 ล้าน 1 ม.ค. - 21 ก.ค. 2567 ต่างชาติเดินทางเข้ามาเที่ยวไทยต่อเนื่อง ค่าเฉลี่ย 96,643 คนต่อวัน

เมื่อวานนี้ (23 ก.ค. 67) นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-21 ก.ค. 67 ไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศแล้วทั้งสิ้น 19,618,476 คน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้วประมาณ 925,100 ล้านบาท โดยจำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน 3,906,735 คน มาเลเซีย 2,744,253 คน อินเดีย 1,149,039 คน เกาหลีใต้ 1,032,169 คน และรัสเซีย 977,215 คน

ทั้งนี้ ในสัปดาห์ที่ผ่านมา (15-21 ก.ค.) จากการเริ่มเข้าสู่ช่วงวันหยุดปิดภาคเรียน (School holiday) ของนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะใกล้ (Short haul) อาทิ จีน เกาหลีใต้ และฮ่องกง ส่งผลให้นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ เดินทางเข้ามาไทยเพิ่มขึ้น 1.02% โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีใต้ ที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวสะสม แตะระดับ 1 ล้านคน ในขณะที่นักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะไกล (Long haul) เดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้น 0.71% จากการเริ่มเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว (Summer holiday) ของนักท่องเที่ยวภูมิภาคยุโรป อาทิ เนเธอร์แลนด์

สำหรับภาพรวมของสัปดาห์ที่ผ่านมา ไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งสิ้น 709,267 คน เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า 6,597 คน หรือ 0.94% คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยเฉลี่ยวันละ 101,324 คน โดย 5 อันดับแรกของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้แก่ จีน 162,798 คน มาเลเซีย 90,966 คน อินเดีย 37,758 คน เกาหลีใต้ 35,255 คน และลาว 28,482 คน

ส่วนในสัปดาห์นี้ (22-28 ก.ค.) คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาทรงตัว จากปัจจัยส่งเสริมการเดินทาง ได้แก่ การเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว Summer holiday ของตลาดภูมิภาคยุโรป การมีมาตรการ Ease of traveling ของรัฐบาล ช่วยเพิ่มการอำนวยความสะดวกในการเดินทางสู่ไทย การยกเว้นบัตร ตม.6 ในด่านทางบก และการกระตุ้นให้สายการบินเพิ่มจำนวนเที่ยวบิน

‘พานาโซนิค ขอนแก่น’ ปล่อยเพลง-หนังสั้น ‘พระอาทิตย์ขึ้นที่บ้านฉัน’ ตอกย้ำ!! ‘จ.ขอนแก่น’ ฐานการผลิตที่สำคัญ พร้อมเติบโตไปด้วยกัน

(24 ก.ค. 67) เพจ ‘Panasonic Thailand’ โพสต์เปิดตัว MV และ หนังสั้น ชื่อ ‘พระอาทิตย์ขึ้นที่บ้านฉัน’ พร้อมอธิบายว่า…

“พานาโซนิค ขอนแก่น ครบรอบ 20 ปี ส่ง MV และ หนังสั้น สื่อความผูกพันที่มีร่วมกันมาอย่างยาวนาน เพื่อเป็นการขอบคุณพนักงานและเน้นย้ำถึงความผูกพันที่ต่างมีร่วมกันมาตลอด 20 ปี ที่บริษัท พานาโซนิค แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด สาขาขอนแก่น ได้ดำเนินกิจการในประเทศไทย จึงได้มีการจัดทำ MV และ หนังสั้น ชื่อเรื่อง ‘พระอาทิตย์ขึ้นที่บ้านฉัน’ เพื่อสื่อความหมายของ ‘พระอาทิตย์’ หมายถึงประเทศญี่ปุ่น หรือ บริษัทญี่ปุ่น ขึ้นที่บ้านฉัน ‘บ้านฉัน’ หมายถึงบ้าน ท้องถิ่นบ้านเรา ซึ่งก็คือขอนแก่นของเรา

เพราะเราเชื่อว่า ‘ประเทศไทย’ ก็เปรียบเสมือน ‘บ้านหลังที่สอง’ ที่เราจะยืนหยัดพร้อมพัฒนาและเติบโตอย่างยั่งยืนไปด้วยกัน...

รับชมหนังสั้น ‘พระอาทิตย์ขึ้นที่บ้านฉัน’
📍 คลิกเลย https://bit.ly/3Ly5oI3”

สำนักงานตำรวจแห่งชาติแถลงข่าวชี้แจงกรณีปรากฏภาพเสื้อเกราะของ ตร. ในสื่อสังคมออนไลน์ ยืนยัน ตร. จัดหาชุดเกราะกันกระสุนโดยยึดมาตรฐานสากล และคำนึงถึงปลอดภัยเป็นสำคัญ

สืบเนื่องจากกรณีที่ปรากฏภาพเสื้อเกราะของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ในสื่อโซเชียลมีเดีย และมีการเสนอข้อมูลว่าเสื้อเกราะตัวดังกล่าววัสดุภายในทำด้วยไม้นั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.ท.นิรันดร เหลื่อมศรี ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มอบหมายให้ทีมโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ชี้แจงกรณีดังกล่าว วันนี้ (24 กรกฎาคม 2567) เวลา 14.00 น. ณ ห้องสารสิน อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมกับ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ , พล.ต.ต.นิรันดร ศิริสังข์ไชย ผู้บังคับการกองสรรพาวุธ , พล.ต.ต.วาที อัศวุตมางกุร ผู้บังคับการพิสูจน์หลักฐานกลาง พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง แถลงข้อมูลผลการตรวจสอบมาตรฐานของเสื้อเกราะตัวตามภาพที่เป็นข่าว 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) มีนโยบายในการจัดหาเสื้อเกราะกันกระสุนสำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ให้เป็นไปตามคุณภาพและมาตรฐานสากล  โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรฐาน NIJ (National Institute of Justice) ประเทศสหรัฐอเมริกา ในการจัดหาเสื้อเกราะแต่ละครั้งนั้น ผู้ประกอบการที่เป็นคู่สัญญาจะต้องสามารถบอกแหล่งที่มาของแผ่นเกราะว่าผลิตที่ใด เมื่อใด และเป็นไปตามมาตรฐาน NIJ ที่กำหนด ในการตรวจรับก็จะมีการยิงทดสอบด้วยกระสุนปืนในระยะห่างตามมาตรฐานที่ NIJ กำหนดด้วย อายุการใช้งานของเสื้อเกราะตามมาตรฐานของ NIJ ที่ได้กำหนดเพื่อรับรองประสิทธิภาพสูงสุดของแผ่นเกราะอยู่ที่ 5 ปี ทั้งนี้ มิได้หมายความว่าเมื่อเกิน 5 ปีแล้วจะไม่สามารถกันกระสุนได้เลย เพียงแต่ประสิทธิภาพอาจลดลง ขณะเดียวกันก็พบว่ามีบางประเทศหรือผู้ผลิตที่กำหนด Lifespan ของเสื้อเกราะไว้มากกว่า 5 ปี นอกจากนั้น ในการจัดหาเสื้อเกราะ ยังได้กำหนดการประกันคุณภาพเสื้อเกราะ รวมทั้งประกันชีวิตและประกันการบาดเจ็บของผู้สวมใส่ไว้ตามระยะเวลาข้างต้นด้วย หากได้รับบาดเจ็บเป็นเงิน 500,000 บาท หรือเสียชีวิต เป็นเงิน 1,000,000 บาท 

สำหรับเสื้อเกราะที่ปรากฏตามภาพในโซเชียลมีเดีย ที่มีหมายเลขซีเรียลนัมเบอร์ 8A154338 นั้น เป็นเกราะที่ ตร. เคยใช้ในราชการ โดยเป็นหนึ่งในเสื้อเกราะที่ได้สั่งซื้อเมื่อเดือนเมษายน 2553  จำนวนทั้งสิ้น 650 ตัว (เป็นเสื้อเกราะพร้อมแผ่นเกราะแข็ง ระดับ 3 จำนวน 500 ตัว และเป็นเกราะอ่อน อีก 150 ตัว) โดยทุกตัวมีมาตรฐานความปลอดภัยตามมาตรฐานของ NIJ และวัสดุที่ใช้เป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดในขณะนั้น ราคาในการจัดซื้อสอดคล้องกับงบประมาณที่มีอยู่ และมีอายุการใช้งาน 5 ปี  ปัจจุบันเสื้อเกราะดังกล่าวเลิกใช้งานแล้ว โดยหมดอายุการใช้งานมาเป็นระยะเวลา 8 ปีแล้ว โดยหมดอายุการใช้งานเมื่อปี 2559 และอยู่ในระหว่างขั้นตอนการจำหน่ายและทำลายตามระเบียบราชการ (ยุทธภัณฑ์ของทางราชการซึ่งหมดอายุการใช้งานแล้วจะต้องนำไปทำลายตามที่ระเบียบกำหนด)  

อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการยืนยันถึงวัสดุและมาตรฐานของเสื้อเกราะข้างต้น ตร. ได้มอบหมายให้สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ (สพฐ.ตร.) นำเสื้อเกราะดังกล่าวไปตรวจทางเคมีในห้องปฏิบัติการ ผลการตรวจสอบพบว่า วัสดุภายในเป็นเส้นใย polyethylene ทับกันเป็นชั้นโดยในแต่ละชั้นใช้ตัวเชื่อมประสาน ซึ่งมีสเปคและคุณลักษณะถูกต้องตามสัญญาการจัดซื้อทุกประการ และเป็นไปตามมาตรฐาน NIJ รวมทั้งยังได้ทดสอบการยิงกระสุนจริงใส่เสื้อเกราะในล็อตเดียวกันที่ซื้อมาเมื่อ พ.ศ. 2553  อีกจำนวน 3 ตัว โดยใช้กระสุนขนาด 9 มม. , ขนาด .357 และ ขนาด .45  อย่างละ 3 นัด รวมจำนวน 9 นัด  ผลปรากฏว่า เสื้อเกราะทั้ง 3 ตัวสามารถกันกระสุนได้ทั้งหมด ไม่มีกระสุนนัดใดทะลุเสื้อเกราะ

การจัดหาเสื้อเกราะกันกระสุนที่มีมาตรฐานเพื่อช่วยดูแลความปลอดภัยในการปฏิบัติหน้าที่ให้กับข้าราชการตำรวจ เป็นนโยบายสำคัญของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้น ที่มีความห่วงใยในสวัสดิการความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงานโดยตลอด  ตร.จึงได้กำหนดแผนการจัดหาเพิ่มเติมหรือการจัดหาเพื่อทดแทนของเก่าอย่างต่อเนื่อง การจัดหาครั้งล่าสุด เมื่อ พ.ศ. 2566 จำนวน 3,200 ตัว เป็นเสื้อเกราะอ่อนป้องกันกระสุนพร้อมแผ่นเกราะแข็ง ระดับ 3 และ ระดับ 4  สามารถป้องกันกระสุนปืนได้ตามมาตรฐาน NIJ  ได้แก่ กระสุนปืนพก ขนาด 9 มม. , .45 , .357 แม็กนั่ม นอกจากนั้น ตร.ได้ทำแผนการจัดหาในอนาคตเพื่อให้ครอบคลุมในการปฏิบัติงานของตำรวจทุกนายระหว่าง ปี 2567 - 2571  อีกปีละประมาณ 13,000 ตัว ซึ่งตามแผนการจัดหานี้ จะทำให้ผู้ปฏิบัติงานมีเสื้อเกราะใช้งานอย่างทั่วถึง

สำนักงานตำรวจแห่งชาติยืนยันว่า ได้ดำเนินการจัดหาชุดเกราะกันกระสุนโดยยึดมาตรฐานสากลและคำนึงถึงความคล่องตัวสะดวกสบายของผู้ใช้งานตามภารกิจเป็นสำคัญ จึงขอแจ้งให้ข้าราชการตำรวจเชื่อมั่น และโปรดสวมใส่เสื้อเกราะกันกระสุนในการปฏิบัติหน้าที่ทุกครั้ง เพื่อสร้างความปลอดภัยและป้องกันมิให้มีการสูญเสียจากการปฏิบัติงาน

สมุทรปราการ- นายก 'อำนวย บุญริ้ว' เปิดโครงการ ฝึกอบรมอาชีพแก่ผู้สูงอายุ คนพิการ มุ่งเน้นสร้างอาชีพสร้างรายได้ให้กับตนเองและชุมชน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวานนี้ เวลา 09:00 น. วันที่ 24 กรกฎาคม 2567 นายอำนวย บุญริ้ว นายกเทศมนตรีเมืองแพรกษาใหม่ ได้ให้เกียรติเป็นประธานเปิดโครงการ “ฝึกอบรมอาชีพแก่ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ใดโอกาส” ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567

โดยมีนาง ศิริพร ทับคล้าย รองนายกเทศมนตรีเมืองแพรกษาใหม่ กล่าวรายงานถึงวัตถุประสงค์ของการจัดโครงการในครั้งนี้ โดยมี คณะผู้บริหาร คณะสมาชิกสภาเทศบาลเมืองแพรกษาใหม่ ตลอดจนกลุ่มผู้สูงอายุในเขตพื้นที่เทศบาลเมืองแพรกษาใหม่ จำนวนกว่า 500 คน ร่วมในกิจกรรมฝึกอบรมอาชีพในครั้งนี้ 

โดยจัดขึ้นภายในอาคารกองสวัสดิการ เทศบาลเมืองแพรกษาใหม่ ต.แพรกษาใหม่ อ.เมือง สมุทรปราการ ด้านนาย อำนวย บุญริ้ว นายกเทศมนตรีเมืองแพรกษาใหม่ กล่าวว่า โครงการฝึกอบรมอาชีพแก่ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส ทางเทศบาลเมืองแพรกษาใหม่เล็งเห็นความสำคัญของพี่น้องประชาชน รวมถึงกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ด้อยโอกาส ทั้งนี้เพื่อต้องการส่งเสริมทั้งด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิต อีกทั้ง เพื่อส่งเสริมการฝึกอบรมด้านอาชีพผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาสในเขตพื้นที่เทศบาลเมืองแพรกษาใหม่ 

เพื่อที่จะได้นำความรู้ที่ได้รับมานำมาพัฒนาอาชีพให้กับชุมชน และนำไปประกอบเป็นอาชีพเสริมสร้างรายได้ให้แก่ตนเองและครอบครัวต่อไป

(สุรินทร์) “ไทย -กัมพูชา” ฝึกร่วมบรรเทาภัย ปฐมพยาบาล และอบรมขยายผลโครงการเกษตร (ทหารพันธุ์ดี) สู่หมู่บ้านเข้มแข็งคู่ขนานตามแนวชายแดน

วันที่ 24 กรกฏาคม 2567 ที่ศูนย์ประสานงานพื้นที่ชายแดนช่องจอม พันเอก จิรัฏฐ์ ช่วงฉ่ำ รองผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี ประธานไทย พร้อมด้วย พลตรี ลัวะ ลัญ ผู้บัญชาการยุทธบริเวณ พื้นที่ 3 ส่วนหน้า ประธานฝ่ายกัมพูชา ร่วมเป็นประธานเปิดการฝึกร่วมในครั้งนี้  ทั้งนี้ กองกำลังสุรนารี ร่วมกับ ภูมิภาคทหารที่ 3 ฝ่ายกัมพูชา หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 26 โรงพยาบาลกาบเชิง ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง สถานีตำรวจภูธรอำเภอกาบเชิง ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง องค์การบริหารส่วนตำบลด่าน และ หัวหน้าส่วนราชการ จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดอุดรมีชัย และประชาชนทั้งสองฝ่ายเข้าร่วมในพิธี โดยในการฝึกร่วม ในครั้งนี้ ได้จัดให้ความรู้ ในเรื่องการบรรเทาสารณภัย, การปฐมพยาบาลช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน การส่งต่อผู้ป่วย ทางบก และทางอากาศ พร้อมกันนี้ พันเอก จิรัฏฐ์ ช่วงฉ่ำ รองผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี ได้มอบสิ่งของ เป็น เมล็ดพันธุ์พืช จากโครงการทหารพันธุ์ดี หน่วยเฉพาะกิจที่ 2 สู่หมู่บ้านเข้มแข็งคู่ขนานตามแนวชายแดนไทย -กัมพูชา โดยได้มอบให้แก่ตัวแทน ผู้นำชุมชน ชาวกัมพูชา พร้อมทั้งจัดวิทยากรอบรมให้ความรู้ การขยายเมล็ดพันธุ์พืชเพื่อต่อยอดแก่ชุมชนรอบข้าง การสาธิตการปฐมพยาบาลเบื้องต้น และ การฝึกอบรม การป้องกันตนเองจากช้างป่า ตามนโยบายกองทัพภาคที่ 2 และกองกำลังสุรนารี เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ ซึ่งจะนำมาถึงความร่วมมือในด้านต่างๆ รวมถึงการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมซึ่งกันและกัน ตลอดจนนำความรู้ที่ได้รับไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในการปฏิบัติงาน การขยายผลไปสู่กำลังพล และประชาชนของทั้งสองประเทศ

ปุรุศักดิ์  แสนกล้า  ข่าว/ภาพ

กองทัพเรือ จัดโครงการอบรมให้ความรู้ โคก หนอง นา โมเดล และโครงการปลูกป่าและต้นไม้ 72,904 ต้น เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ

วันนี้ (24 กรกฎาคม 2567) เวลา 09.00 น. พลเรือเอก อะดุง  พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการอบรมให้ความรู้ “โคก หนอง นา โมเดล” ณ บริเวณพื้นที่ ศูนย์การเรียนรู้เกษตรทฤษฎีใหม่ “โคก หนอง นา โมเดล” กรมรักษาฝั่งที่ 1 หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง และ โครงการปลูกป่าและต้นไม้ 72,904 ต้น เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 บริเวณหาดน้ำหนาว กรมก่อสร้างและพัฒนา ฐานทัพเรือสัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี โดยมี นางกีรตา  พันธุ์เอี่ยม นายกสมาคมภริยาทหารเรือ นายทหารชั้นผู้ใหญ่ของกองทัพเรือ ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี หัวหน้าหน่วยขึ้นตรงกองทัพเรือ หัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่สัตหีบ คณะกรรมการบริหารสมาคมภริยาทหารเรือ ประชาชนและนักเรียนในพื้นที่จำนวน 700 คน เข้าร่วมกิจกรรมเพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดี เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ทรงนำพาประเทศไทยให้ก้าวหน้าในทุกยุคทุกสมัย ทัดเทียมนานาอารยประเทศตราบจนปัจจุบัน

โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญ เพื่อเป็นศูนย์กลางให้ความรู้ หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามศาสตร์พระราชา ในการดำรงชีวิตเพื่อเป็นแบบอย่างแห่งความสำเร็จ ความพอเพียงที่พึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน อีกทั้งส่งเสริมแหล่งการเรียนรู้ในเขตทหาร และเพิ่มพื้นที่การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ดิน น้ำ และป่า โดย “โคก หนอง นา โมเดล” คือ การจัดการพื้นที่ซึ่งเหมาะกับพื้นที่การเกษตร ผสมผสานเกษตรทฤษฎีใหม่เข้ากับภูมิปัญญาพื้นบ้าน บูรณาการให้สอดคล้องกับธรรมชาติในพื้นที่ โคก หนอง นา โดยมีมนุษย์เป็นส่วนส่งเสริมให้สำเร็จเร็วขึ้นอย่างเป็นระบบ อันเป็นแนวทางทำเกษตรอินทรีย์และการสร้างชีวิตที่ยั่งยืน ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

ในการนี้ ผู้บัญชาการทหารเรือ และนายกสมาคมภริยาทหารเรือ ได้ปลูกต้นรวงผึ้ง ปล่อยปลานิล เยี่ยมชมนิทรรศการและศูนย์การเรียนรู้ พร้อมมอบพันธุ์กล้าไม้ และนำปลูกต้นไม้เฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยมี ทัพเรือภาคที่ 2 ทัพเรือภาคที่ 3 และ กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด เข้าร่วมกิจกรรมปลูกต้นไม้ 904 ต้น ในพื้นที่ของแต่ละหน่วย ณ ที่ตั้ง โดยมีการถ่ายทอดสดผ่านระบบการประชุมทางไกล (VTC)

สำหรับโครงการศูนย์การเรียนรู้เกษตรทฤษฎีใหม่ “โคก หนอง นา โมเดล” กองทัพเรือได้ดำเนินการตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ.2563 เป็นต้นมา โดยมีภารกิจที่สำคัญในการให้ความรู้ การทำเกษตรทฤษฎีใหม่ ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยแบ่งออกเป็นฐานการเรียนรู้ต่าง ๆ เช่น ฐานการปลูกต้นไม้ ฐานการเลี้ยงปลา ฐานการเลี้ยงกบ ฐานการเลี้ยงไก่ ฐานการปลูกผักสวนครัวรั้วกินได้ ฐานการเลี้ยงหมู ฐานการทำปุ๋ยหมัก ฐานการปลูกอ้อย เป็นต้น ปัจจุบัน ศูนย์การเรียนรู้ต่าง ๆ ของกองทัพเรือ มีความพร้อมในทุกมิติ เปิดให้กำลังพลและครอบครัว พี่น้องประชาชนผู้สนใจ สามารถเข้าเยี่ยมชมโครงการเพื่อศึกษา และนำไปใช้เป็นแนวทางการดำรงชีวิตแบบพึ่งพาตนเอง ตามวัตถุประสงค์ของโครงการ ต่อไป

ทั้งนี้ กองทัพเรือ ได้น้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มาประยุกต์เป็นต้นแบบ ให้กำลังพลกองทัพเรือและครอบครัว ตลอดจนประชาชนทั่วไป ใช้เป็นแนวทางในการดำรงชีวิต สอดคล้องกับพระปฐมบรมราชโองการของ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ในการสืบสาน รักษา และต่อยอดพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ปรัชญาที่ทรงชี้แนวทางการดำเนินชีวิตให้แก่ปวงชนชาวไทยมาเป็นอย่างยาวนาน เพื่อมุ่งให้พสกนิกรดำรงชีวิตอยู่ได้ อย่างยั่งยืน มั่นคง และปลอดภัย

นิราช ทิพย์ศรี /นันทพล  ทิพย์ศรี  อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี0909535645,0945565622/086-3684323


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top