Friday, 23 May 2025
TheStatesTimes

'รมว.ปุ้ย' จ่อขยายโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ชาวไร่อ้อยจ่าย 2% เท่าเดิม พร้อมหนุน 'ซื้อเครื่องจักร-จัดการแหล่งน้ำ-แก้ PM 2.5' เพิ่มคุณค่าอุตฯ อ้อย

(18 ก.ค.67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้มอบนโยบายให้สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) ช่วยเหลือ ตลอดจนพัฒนาศักยภาพเกษตรชาวไร่อ้อยให้มีผลผลิตอ้อยที่ดี ได้น้ำตาลทรายที่มีคุณภาพ เพื่อทำให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยทั่วประเทศมีคุณภาพที่ดีขึ้น โดยล่าสุดได้รับรายงานจาก นายวิฤทธิ์ วิเศษสินธุ์ เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างเดินหน้าโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้กับเกษตรกรชาวไร่อ้อยสำหรับบริหารจัดการแหล่งน้ำและซื้อเครื่องจักรกลการเกษตรในไร่อ้อยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อย และแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ปี 2565 - 2567 และเตรียมขยายโครงการอีกเป็นปี 2568 - 2570 วงเงินปีละ 2,000 ล้านบาท รวม 6,000 ล้านบาท

นายวิฤทธิ์ วิเศษสินธุ์ เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) กล่าวว่า ในการประชุมคณะทำงานดำเนินโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้กับเกษตรกรชาวไร่อ้อย สำหรับบริหารจัดการแหล่งน้ำและซื้อเครื่องจักรกลการเกษตรในไร่อ้อยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อย และแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ปี 2565 - 2567 ครั้งที่ 3/2567 เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2567 ได้มีการหารือถึงการขยายอายุโครงการฯ เนื่องจากกำลังจะหมดอายุในเดือนกันยายน 2567 นี้ และที่สำคัญเป็นโครงการที่ช่วยชาวไร่ในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อย เพิ่มสภาพคล่องทางด้านการเงิน ทั้งด้านการผลิตอ้อย ส่งเสริมการตัดอ้อยสด ลดปัญหาอ้อยไฟไหม้และ PM 2.5 การมีแหล่งน้ำสำรองเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเมื่อเกิดภัยแล้ง ส่งเสริมการนำเครื่องจักรกลมาใช้ในไร่อ้อยแบบครบวงจร ทดแทนการขาดแคลนแรงงานคน รวมไปถึงการรองรับนโยบาย BCG Economy

นายวิฤทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ประชุมจึงได้มีการเสนอขอขยายโครงการอีกเป็นปี 2568 - 2570 มีกรอบวงเงินปีละ 2,000 ล้านบาท รวม 3 ปี เป็นเงิน 6,000 ล้านบาท กรณีที่ใช้วงเงินในแต่ละปีไม่หมด สามารถนำไปทบใช้ในปีถัดไปได้ อัตราดอกเบี้ย MRR 6.975% ส่วนที่รัฐชดเชยดอกเบี้ย 3% ยังต้องหารือในที่ประชุมต่อไป อย่างไรก็ตามจะพยายามให้ชาวไร่รับภาระ 2% เท่าเดิม สำหรับโครงการฯ ปี 2565 - 2567 มีวงเงินกู้ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ปีละ 2,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย MRR 6.975% ชาวไร่จ่ายดอกเบี้ย 2% รัฐบาลชดเชย 3% และ ธ.ก.ส. รับภาระส่วนที่เหลือ 1.975% ปัจจุบันปล่อยสินเชื่อไปแล้ว 706 ราย วงเงิน 2,335.53 ล้านบาท

“ประชุมในครั้งนี้เป็นการพิจารณาสืบเนื่องจากประชุมครั้งก่อนเมื่อเดือนพฤษภาคม 2567 คือ การอนุมัติสินเชื่อให้กับเกษตรกรที่จะนำไปซื้อรถตัดอ้อย หรือรถบรรทุก หรือเอาไปใช้ในการพัฒนาแหล่งน้ำและปรับสภาพแปลงปลูกอ้อย ซึ่งคณะทำงานฯ จะพิจารณาโครงการนี้อีกครั้งในเดือนสิงหาคม 2567 หากโครงการได้รับการอนุมัติแล้ว สอน. จะชงเรื่องเข้า ครม. ต่อไป เพื่อให้โครงการสามารถดำเนินการได้ต่อเนื่องจากที่จะหมดในเดือนกันยายน 2567 นี้” นายวิฤทธิ์กล่าวปิดท้าย

‘กองการกีฬาฯ กทม.’ โต้!! ‘เพจดัง’ กรณีค่าล้างแอร์เครื่องละ 7,000 บาท ยัน!! ไม่จริง ราคาดังกล่าวรวม ‘ค่าแรง-ค่าซ่อมแซม-ค่าอะไหล่-อื่นๆ’

เมื่อวานนี้ (17 ก.ค.67) จากกรณีที่เฟซบุ๊กเพจ ‘ชมรม STRONG ต้านทุจริตประเทศไทย’ ออกมาตั้งข้อสังเกตว่า กองการกีฬา สำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว กรุงเทพมหานคร จ้างล้างเครื่องปรับอากาศสูงถึงเครื่องละ 7,000 บาท และระบุว่า เลขที่โครงการ 67059435237 ตรวจสอบได้ ที่ศูนย์กีฬา กทม. ได้แก่ ศูนย์กีฬาเฉลิมพระเกียรติ 21 เครื่อง ศูนย์กีฬาบางขุนเทียน 12 เครื่อง ศูนย์กีฬาบางบอน 24 เครื่อง และศูนย์กีฬาอ่อนนุช 5 เครื่อง

นายดำรงค์ รื่นสุข ผู้อำนวยการกองการกีฬา สำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว เปิดเผยถึงกรณีมีข้อสังเกตโครงการจ้างเหมาล้างและซ่อมเครื่องปรับอากาศ จำนวน 62 เครื่อง โครงการที่ 6705945237 มีค่าล้างราคาเครื่องละ 7,000 บาท ว่า ข้อสังเกตดังกล่าวไม่เป็นความจริง เนื่องจากราคารวมของโครงการดังกล่าวซึ่งเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 455,060.30 บาท นั้น เป็นราคาของค่าแรงล้างเครื่อง รวมกับค่าอะไหล่ ค่าซ่อมแซม และค่าวัสดุอื่นๆ ที่เปลี่ยนด้วยแล้ว ทั้งนี้ สามารถดูรายละเอียดโครงการได้ที่ https://egp.bangkok.go.th/home/detail/67059435237

สำหรับอัตราการจ้างเหมาล้างเครื่องปรับอากาศ จะแตกต่างกันตามขนาดของเครื่อง (บีทียู) ซึ่งเป็นราคาตามท้องตลาดทั่วไป ดังนี้ 

1. เครื่องปรับอากาศแบบแยกส่วนตั้งพื้นหรือแขวน 
- ขนาด 12,000 บีทียู ค่าแรงล้างเครื่องปรับอากาศอยู่ที่ราคา 800 บาท 
- ขนาด 18,000 บีทียู ค่าแรงฯ 1,000 บาท 
- ขนาด 36,000 บีทียู ค่าแรงฯ 1,000 บาท 
- ขนาด 38,000 บีทียู ค่าแรงฯ 1,000 บาท 
- ขนาด 44,000 บีทียู ค่าแรงฯ 2,000 บาท 
- ขนาด 50,000 บีทียู ค่าแรงฯ 2,000 บาท 
- ขนาด 60,000 บีทียู ค่าแรงฯ 2,000 บาท 

2. เครื่องปรับอากาศแบบแยกส่วนชนิดติดผนัง 
- ขนาด 30,000 บีทียู ค่าแรงฯ 1,000 บาท 

3. เครื่องปรับอากาศแบบแยกส่วนชนิด 4 ทิศทาง 
- ขนาด 24,200 บีทียู ค่าแรงฯ 1,500 บาท โดยค่าแรงดังกล่าวยังไม่รวมค่าอะไหล่ ค่าซ่อมแซม และค่าวัสดุอื่นๆ

ผู้ช่วย ผบ.ตร.ชื่นชมสารวัตรตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ ใช้ไหวพริบช่วยนักท่องเที่ยวต่างชาตินำโทรศัพท์มือถือที่ทำตกท่อระบายน้ำขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว นักท่องเที่ยวพากันขอบคุณ สร้างชื่อเสียงให้ตำรวจจราจรไทยดังไกลต่างแดน

วันนี้ (18 กรกฎาคม 2567) พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะรองหัวหน้าคณะทำงานขับเคลื่อนงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (คจร.ตร.) ชื่นชม พ.ต.ต.พีรวุฒิ ใหม่อ่อง สารวัตรงาน 2 กองกำกับการ 6 กองบังคับการตำรวจจราจร (ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ) ช่วยเหลือนักท่องเที่ยวต่างชาติทำโทรศัพท์มือถือตกลงท่อระบายน้ำ ใช้ไหวพริบเฉพาะตัวนำโทรศัพท์ขึ้นมาจากท่อระบายน้ำได้อย่างรวดเร็ว ทั้งชาวไทยและต่างชาติต่างชื่นชมตำรวจจราจรไทย ทำงานฉับไว ไหวพริบดีเยี่ยม 

เหตุการดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ 13 กรกฎาคม 2567 เวลาประมาณ 11.35 น. พ.ต.ต.พีรวุฒิฯ ขณะกำลังปฏิบัติหน้าที่อำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวที่มาร่วมงานมหรสพสมโภช บริเวณศาลหลักเมือง กรุงเทพมหานคร สังเกตเห็นคนมุงกันอยู่บริเวณฟุตบาทริมถนน จึงรีบเข้าไปตรวจสอบเนื่องจากเกรงว่าจะเกิดอุบัติเหตุ พบว่าเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ทำโทรศัพท์มือถือตกลงไปในท่อระบายน้ำ โดยนักท่องเที่ยวและพลเมืองดีพยายามงัดท่อระบายน้ำเพื่อนำโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเป็นเวลากว่า 1 ชั่วโมง แต่ไม่สามารถนำขึ้นมาได้ ทำให้เจ้าของโทรศัพท์ร้อนใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากโทรศัพท์จมอยู่ในน้ำ หากทิ้งไว้นานอาจเสียหายได้ พ.ต.ต.พีรวุฒิฯ จึงใช้ไหวพริบนำท่อนไม้ยาว และใช้ลวดมัดกระถางต้นไม้ที่อยู่ใกล้เคียง มาดัดงอให้เป็นเหมือนขาเกี่ยว ติดไว้ที่ปลายไม้ ก่อนจะช้อนโทรศัพท์ขึ้นมาจากท่อระบายน้ำได้ในเวลาเพียง 5 นาทีเท่านั้น พบว่าโทรศัพท์มือถือยังสามารถใช้งานได้ตามปกติ สร้างความประทับใจเป็นอย่างมากให้กับนักท่องเที่ยวกลุ่มดังกล่าว ได้แสดงความขอบคุณตำรวจจราจรไทยที่เข้าช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็ว

พล.ต.ท.กรไชยฯ กล่าวว่า เหตุการณ์นี้เป็นการแสดงศักยภาพอีกด้านหนึ่งของตำรวจไทย นอกจากติดตามจับกุมคนร้ายแล้ว ยังช่วยเหลือผู้เดือดร้อนด้วยจิตอาสา และใช้ไหวพริบช่วยเหลือชาวต่างชาติ ทำให้ชื่อเสียงตำรวจจราจรไทยโด่งดังไปต่างแดน สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมายังประเทศไทย นับว่าน่าชื่นชมเป็นอย่างมาก 

ทั้งนี้ พล.ต.ท.กรไชยฯ ได้ชมเชยการปฏิบัติหน้าที่ของ พ.ต.ต.พีรวุฒิฯ ที่มีไหวพริบปฏิภาณสามารถนำความรู้มาประยุกต์ใช้ได้อย่างชาญฉลาด เป็นการปฏิบัติหน้าที่อย่างมืออาชีพ มีทักษะคล่องแคล่ว มีไหวพริบ สามารถให้ความช่วยเหลือ เป็นที่พึ่งของประชาชน และสร้างความเชื่อมั่นให้กับพี่น้องประชาชนและนักท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นหนึ่งตัวอย่างของตำรวจจราจรที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยจิตอาสาบริการ มีมาตรฐานสากล ตามแนวทางการสร้าง “สุภาพบุรุษจราจร” ที่คณะทำงานขับเคลื่อนงานจราจรสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กำลังขับเคลื่อนสร้างมาตรฐานตำรวจจราจรทั่วประเทศ เพื่อยกระดับการบริการประชาชน สร้างความเชื่อถือศรัทธา และนำไปสู่การลดอุบัติเหตุบนท้องถนนในที่สุด

ชาวเน็ตเสียงแตก!! หลังไทยเปิดตัวชุด ‘ชุดพิธีการ’ โอลิมปิกปารีส บ้างก็ชมเรียบหรูชูอัตลักษณ์ผ้าไทย บ้างก็ว่าเป็นชุดออกงาน อบต.

(18 ก.ค. 67) จากกรณีที่เพจ 'Stadium TH' ได้โพสต์เปิดตัว 'ชุดพิธีการของทีมชาติไทย' ที่เหล่านักกีฬาทีมชาติ จะสวมใส่ร่วมพิธีเปิดการแข่งขัน โอลิมปิก เกมส์ ปารีส 2024 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส โดยประเทศไทยนั้นผู้ที่สวมใส่เป็นแบบได้แก่ นักแบดมินตันทีมชาติ ปอป้อง ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย พร้อมระบุข้อความว่า…

“เปิดตัวชุดพิธีการ ร่วมพิธีเปิดการแข่งขัน โอลิมปิก เกมส์ ปารีส 2024 ในพิธีเปิดวันที่ 26 กรกฎาคม 2567 นี้ สำหรับการแข่งขันโอลิมปิกในครั้งนี้ ประเทศไทยมีนักกีฬาเข้าแข่งขันทั้งหมด 51 คน จาก 17 ชนิดกีฬา โดยประเทศไทยมากับชุดสีฟ้า ซึ่งมีลายผ้าไทยอยู่บริเวณกระดุม และแถบของเสื้อ ซึ่งแสดงออกถึงความเป็นไทยชัดเจนเป็นอย่างมาก”

หลังจากทางเพจ 'Stadium TH' ได้โพสต์ภาพดังกล่าวออกไป ชาวเน็ตเรียกว่าทั้งกระหน่ำแชร์ และวิพากษ์ วิจารณ์กันเป็นจำนวนมาก มีทั้งพูดถึงความเรียบหรูชูอัตลักษณ์ผ้าไทย ชาวเน็ตบางคนเสียงแตกวิจารณ์แรงถึง ความไม่ก้าวไปไหนของวงการออกแบบชุด อาทิ

“ทำได้แค่นี้หรอ นึกว่างาน อบต.”

“ชุดทื่อมาก ๆ ขอบผ้าสวยนะ แต่ทรงไม่เล่นกับหุ่นเลย anyway นักกีฬาน่ารักค่ะ”

“ชุดแบบนี้พบเห็นได้ที่ อบต.วันศุกร์”

ทั้งนี้ เมื่อช่วงค่ำที่ผ่านมา (17 ก.ค.) นั้น เรียกได้ว่าโซเชียลคึกคักเป็นอย่างมาก หลังจากแต่ละประเทศได้ทยอยออกมาอวดโฉมชุดพิธีการ กับชุดที่จะสวมใส่ร่วมพิธีเปิดการแข่งขัน โอลิมปิก เกมส์ ปารีส 2024 และเนื่องจากปีนี้โอลิมปิก 2024 จัดขึ้นที่ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องแฟชั่น ทำให้หลายประเทศไม่ยอมน้อยหน้ากันเลยทีเดียว

‘นักวิจัยอิสราเอล’ พัฒนา AI ช่วย ‘ผู้ป่วยอัมพาต’ ให้สามารถ ‘พูด’ ได้ ใช้วิธีถอดรหัสคลื่นสมอง เปล่งเสียงผ่านความคิด แล้วส่งไปยังคอมฯ

เมื่อวานนี้ (17 ก.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า มหาวิทยาลัยเทลอาวีฟของอิสราเอลเปิดเผยว่าคณะนักวิจัยของอิสราเอลได้พัฒนาวิธีการทางปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยที่เป็นอัมพาตและเป็นใบ้ให้สามารถ ‘พูด’ ผ่านพลังความคิด

โดยผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยฯ และศูนย์การแพทย์ ซูราสกี เทลอาวีฟ ในวารสารนิวโรเซอร์เจอรี (Neurosurgery) ระบุว่า ขั้วไฟฟ้าวัดลึก (depth electrode) ที่ถูกฝังอยู่ในสมองของผู้ป่วยจะส่งสัญญาณไฟฟ้าไปยังคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะเปล่งเสียงสองพยางค์ตามที่ผู้ป่วยจินตนาการถึง

คณะนักวิจัยชี้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่มีการเชื่อมโยงชนิดของคำกับกิจกรรมของเซลล์ในสมอง ซึ่งอาจเป็นความหวังของผู้เป็นอัมพาตโดยสมบูรณ์จากโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง โรคหลอดเลือดสมองตีบ หรืออาการบาดเจ็บทางสมอง ในการแสดงความรู้สึกผ่านคำพูดประดิษฐ์

นอกจากนั้นความก้าวหน้านี้อาจเปิดทางสู่การสร้างคอมพิวเตอร์สำหรับผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงระยะแรก ซึ่งเป็นช่วงที่ผู้ป่วยยังสามารถพูดได้ เพื่อการตีความหมายหลังจากผู้ป่วยสูญเสียการควบคุมกล้ามเนื้อ

คณะนักวิจัยขอให้ผู้ป่วยที่เข้าร่วมการศึกษา ซึ่งเป็นโรคลมบ้าหมูที่มีขั้วไฟฟ้าฝังอยู่ในสมองก่อนผ่าตัด ออกเสียงพยางค์ ‘เอ’ และ ‘อี’ เพื่อบันทึกกิจกรรมของสมองขณะผู้ป่วยเปล่งเสียง ต่อจากนั้นใช้เทคนิคการเรียนรู้เชิงลึกและการเรียนรู้ของเครื่องมาฝึกฝนต้นแบบปัญญาประดิษฐ์เพื่อระบุเซลล์สมองจำเพาะที่เกิดกิจกรรมทางไฟฟ้าอันบ่งชี้ความตั้งใจออกเสียงพยางค์ทั้งสอง

เมื่อคอมพิวเตอร์เรียนรู้การจำแนกรูปแบบของกิจกรรมทางไฟฟ้าในสมองของผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับพยางค์ทั้งสองข้างต้นแล้ว คณะนักวิจัยขอให้ผู้ป่วยจินตนาการการออกเสียงพยางค์ทั้งสองเท่านั้น โดยคอมพิวเตอร์จะแปลสัญญาณไฟฟ้าและเล่นเสียง ‘เอ’ และ ‘อี’ ที่บันทึกไว้ก่อนหน้าตามลำดับ

คณะนักวิจัยกล่าวว่า ขั้นตอนต่อไปคือทำให้การพูดสมบูรณ์แบบ แม้สองพยางค์ที่แตกต่างกันสามารถช่วยให้ผู้เป็นอัมพาตโดยสมบูรณ์ส่งสัญญาณว่า ‘ใช่’ และ ‘ไม่ใช่’ ได้แล้ว โดยนี่ถือเป็นก้าวสำคัญสู่การพัฒนาส่วนต่อประสานสมอง-คอมพิวเตอร์ ที่สามารถผลิตเสียงพูดออกมาได้

ถึงกับไปไม่เป็น!! ผู้สัมภาษณ์งาน อึ้ง!! คำถามจากเด็กจบใหม่ "ถ้าผ่านงาน 2 เดือน ปรับเป็น 15,000 ขอมาทำเดือนที่ 3 เลยได้มั้ย?"

(18 ก.ค. 67) จากผู้ใช้เฟซบุ๊ก 'SharePoint Khungkamano' ได้โพสต์ถามชาวเน็ต ว่าควรตอบคำถามเด็กจบใหม่ที่มาสัมภาษณ์งานอย่างไร เมื่อเจอบทสนทนาเช่นนี้ ว่า...

"คำถามสุดท้ายของการสัมภาษณ์พนักงานใหม่ น้องตั้งคำถามว่า ผ่านทดลองงานจ่ายเงินยังไงคะพี่ ผมบอกไปว่า เดือนแรก 12,000 ผ่านงาน 2 เดือน ปรับเป็น 15,000 น้องถามต่อว่า "นู๋ขอมาทำงาน เดือนที่ 3 เลยได้มั้ยคะพี่ หมื่นสองนู๋ไม่เอา" ตอบน้องไงดี?"

ภายหลังจากโพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ ก็มีเสียงสะท้อนจากโลกโซเชียล ดังนี้...

- "โอเคผ่านค่ะ ผ่านประตูออกไปเลยนะคะน้อง ขอบคุณมากค่ะ คนต่อไป เด็กปัจจุบันเขาชอบตอบตรง ๆ ไม่ต้องอ้อมค่ะ"

- "ถ้ามีน้องมาบอกว่า ทดลองงานก่อน ทำไม่ได้ หรือไม่ดี ไม่เอาตังค์ ผมจะรับทันทีเลย 555"

- "ที่เคยโทรสัมภาษณ์เบื้องต้นตำแหน่ง Sale Engineer จบใหม่ไม่มีประสบการณ์ น้องบอกถ้าได้ไม่ถึง 25,000 ก็ไม่เสียเวลาคุย เอิ่มมม…น้องคะงานขายเขามีคอมมิสชัน เพราะฉะนั้นบริษัทส่วนใหญ่จะไม่ตั้งเงินเดือนสูงแต่จะมี Allowance ต่าง ๆ เข้ามาให้ ขอผ่านไปคุยกับคนทัศนคติดี ๆ พร้อมเรียนรู้งานดีกว่า"

- "ว่าไปแล้วเด็กเดี๋ยวนี้ โดนปลูกฝังค่านิยมแบบนี้เกือบทั้งหมด ... ที่บริษัทก็มีครับ ไม่มีประสบการณ์ เพิ่งจบ ภาษาอังกฤษไม่ได้ วิชาการก็น้อยมาก แต่ถามหาเงินเดือนสูงไว้ก่อน"

- "ก็ถ้าน้องคิดว่าน้องเหาะได้ บันไดขั้นที่ 1 ที่ 2 ไม่ต้องเหยียบก็ลองดู แล้วจะรู้ว่า บันไดขั้นที่ 3 ไม่มีอยู่จริง"

- "จ้างคนพม่ามาเลย ส่วนน้องเขาก็ร้องเพลงรอต่อไป"

- "รออีกไม่นานคงไม่มีเคสแบบนี้แล้วค่ะ ผู้ประกอบการหันไปใช้ AI กับหุ่นยนต์หมดแล้ว"

- "อีกมุม น้องเขาอาจมี Mindset (ความคิด) จากรัฐบาลบอกแรงงานขั้นต่ำ ป.ตรี 15.000 บาท จึงอยากได้ตามที่น้องเคยได้ยิน แต่น้องพูดไม่เป็น ทำให้น้องไม่น่าได้งานทำ"

- "น้องอาจจะไม่ได้ทั้ง 12000 กับ 15000 นะ"

ขณะที่เพจ ''สานต่อเจตนารมณ์ อาจารย์สมเกียรติ โอสถสภา' ก็ได้ให้มุมมองกับเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน ว่า...

"ใครบอกเด็กไทยไม่ฉลาดเพราะได้คะแนนข้อสอบสากลน้อยกว่าเด็กชาติอื่น ไม่จริงนะครับ เด็กไทยฉลาดมาก แต่เป็นความฉลาดแบบไทย ๆ กันไง แถวนี้เราลูกหลานศรีธนญไชยกันทั้งนั้นแหละ"

1 สิงหาคม พ.ศ. 2367 ‘พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว’ ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เถลิงถวัลยราชสมบัติ ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่ 3 แห่งราชวงศ์จักรี

‘พระราชพิธีบรมราชาภิเษก’ เป็นพระราชพิธีราชาภิเษกที่พระมหากษัตริย์ไทยได้รับการสถาปนาอย่างเป็นทางการด้วยการถวายน้ำอภิเษก โดยแบ่งออกเป็น 2 พระราชพิธีสำคัญคือ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก และพระราชพิธีเฉลิมพระราชมณเฑียร

พระราชพิธีบรมราชาภิเษก เป็นการผสมผสานกันระหว่างธรรมเนียมของศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธ ซึ่งต้องย้อนกลับไปหลายศตวรรษ โดยพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ประกอบไปด้วย พระราชพิธีสรงพระมูรธาภิเษก พระราชพิธีถวายน้ำอภิเษก พระราชพิธีถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์ และการสถาปนาพระราชินี และพระราชวงศ์ ส่วนพระราชพิธีเฉลิมพระราชมณเฑียร เป็นพระราชพิธีที่จัดขึ้นโดยเหล่าสมาชิกของราชวงศ์ในพระบรมมหาราชวัง

ภายหลังจากประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเสร็จสิ้นแล้ว พระมหากษัตริย์จะประทับพระที่นั่งราชยานพุดตานทองไปประกาศพระองค์เป็นพุทธมามกะและเสด็จไปสักการะพระบรมอัฐิของสมเด็จพระบรมราชบูรพการี

อย่างไรก็ตาม สำหรับวันที่ 1 ของเดือนสิงหาคมปี 2567 นี้ หากย้อนกลับเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2367 ‘พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว’ รัชกาลที่ 3 ทรงประกอบ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก เถลิงถวัลยราชสมบัติ ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่ 3 แห่งราชวงศ์จักรีอย่างเต็มกระบวนการเยี่ยงอย่างบรรพราชประเพณีสืบ ๆ มา หลังจากที่เสด็จเสวยราชสมบัติต่อจาก พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2367

ทั้งนี้ พระองค์ทรงเป็นราชโอรสพระองค์ใหญ่ใน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 กับ เจ้าจอมมารดาเรียม เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2330 ก่อนที่จะขึ้นครองราชย์ได้ทรงรับราชการหลายตำแหน่ง อาทิ กำกับราชการกรมท่าและกรมตำรวจ ทรงว่าราชการกรมพระคลังมหาสมบัติ เป็นแม่กองกำกับลูกขุน ณ ศาลหลวงและตุลาการทุกศาล ทรงค้าขายทางสำเภาจีน นำเงินรายได้เข้าท้องพระคลังเป็นจำนวนมาก นอกจากนั้นยังได้ทรงฟื้นฟูพระพุทธศาสนา รวบรวมสรรพตำราวิทยาการต่าง ๆ พัฒนาการเศรษฐกิจไทยหลาย ๆ ด้าน โดยการเจริญสัญญาทางพระราชไมตรีกับต่างประเทศ ทำให้รัฐมั่งคั่งเป็นอันมาก

'โพธิ์เงิน กระตุฤกษ์' ยอดนักกินจอมชักดาบ | THE STATES TIMES Story EP.150

ในประวัติศาสตร์ไทย มียอดนักกินจอมชักดาบอยู่ท่านหนึ่ง นามว่า 'โพธิ์เงิน กระตุฤกษ์' ตามประวัติแล้วถือว่าเป็นคนที่เกิดมาในครอบครัวมีฐานะ และมีชีวิตที่ดีกว่าผู้คนมากมายหลายคน แต่ด้วยปัจจัยบางอย่าง ทำให้เขากลายเป็น 'นักกินจอมชักดาบ' และสร้างวีรกรรมมากมายจนร้านอาหารมากมายระอา 

วันนี้ THE STATES TIMES ได้รวบรวมเรื่องราวของผู้ชายคนนี้มาเล่าสู่กันฟัง จะเป็นอย่างไร เชิญรับฟัง

กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ร่วมกับโรงพยาบาลตำรวจ ร่วมใจจัดโครงการ CIB Love รวมใจบอกรักในหลวง นำโปสการ์ดแจกจ่ายให้บุคลากรของโรงพยาบาลตำรวจ ผู้ป่วย และผู้มาใช้บริการ ร่วมลงนามถวายพระพร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ

(18 ก.ค.67) ณ ลานกิจกรรม ชั้น 2 อาคารมหาภูมิพลราชานุสรณ์ 88 พรรษา โรงพยาบาลตำรวจ ร่วมใจ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง จัดกิจกรรม CIB Love รวมใจบอกรักในหลวง โดย คุณรงรอง ภูริเดช ประธานชมรมแม่บ้านตำรวจสอบสวนกลาง/ภริยา พล.ต.ท. จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เป็นประธานในพิธี โดย ร.ต.ท.หญิง สายพิณ สมพงษ์ ภริยานายแพทย์ใหญ่  (สบ 8)/กรรมการบริหาร สมาคมแม่บ้านตำรวจระดับผู้บัญชาการ และ พ.ต.อ.หญิง ศิริกุล ศรีสง่า โฆษกโรงพยาบาลตำรวจให้การต้อนรับ 

โอกาสนี้ พ.ต.อ.อรรถวิทย์ เพียรเลิศ รอง ผบก.อก.บช.ก พร้อมคณะกรรมการชมรมแม่บ้านตำรวจสอบสวนกลาง ร่วมกิจกรรมด้วย

โดยทางโรงพยาบาลตำรวจ เปิดโต๊ะแจกโปสการ์ดให้บุคลากรของโรงพยาบาล ประชาชน ผู้มาใช้บริการ และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล ร่วมลงนามถวายพระพร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ ลานกิจกรรม ชั้น 2 อาคารมหาภูมิพลราชานุสรณ์ 88 พรรษา โรงพยาบาลตำรวจ จากนั้นประธานชมรมแม่บ้านตำรวจสอบสวนกลาง พร้อมคณะเดินไปจุดต่าง 4 จุด คือหอผู้ป่วยข้าราชการตำรวจที่บาดเจ็บ, ห้องผู้ป่วยฉุกเฉินและอุบัติเหตุ, หน่วยเวชระเบียน แผนกการเงิน ศูนย์เวรเปล และ ห้องตรวจกุมารเวชกรรมและหอผู้ป่วยกุมารเวชกรรม แจกโปสการ์ดให้ผู้ที่ไม่สามารถร่วมกิจกรรม ได้ลงนามถวายพระพร ผู้ป่วยบางคนที่ไม่สามารถเขียนได้ ใช้คำพูดให้นางพยาบาลช่วยเขียนแทน โดยเฉพาะเด็กๆร่วมลงนามถวายพระพรจำนวนมาก

ร.ต.ท.หญิง สายพิณ สมพงษ์ ภริยานายแพทย์ใหญ่ (สบ 8)/ กรรมการบริหาร สมาคมแม่บ้านตำรวจระดับผู้บัญชาการ กล่าวว่า รู้สึกยินดีและเป็นเกียรติที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง มาประชาสัมพันธ์โครงการนี้ให้กับข้าราชการตำรวจ บุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล ผู้ป่วย และประชาชนที่มาใช้บริการได้เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม ร่วมลงนามถวายพระพร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 

พ.ต.อ.หญิง ศิริกุล ศรีสง่า โฆษกโรงพยาบาลตำรวจ กล่าวว่าโรงพยาบาลตำรวจจะเปิดโต๊ะนำโปสการ์ดให้ประชาชน ผู้มารับบริการ และประชาชนทั่วไป ร่วมลงนามถวายพระพร ณ ลานกิจกรรม ชั้น 2 อาคารมหาภูมิพลราชานุสรณ์ 88 พรรษา ถึงวันที่ 25 กรกฎาคม 2567 

ศูนย์ประชาสัมพันธ์ สื่อสารองค์กร และโฆษกโรงพยาบาลตำรวจ ขออนุญาตเผยแพร่ภาพและข่าวประชาสัมพันธ์ที่มีภาพบุคคลในกิจกรรมดังกล่าว

"ศูนย์กลางข่าวสาร ประสานฉับไว ใส่ใจบริการ เพื่อตำรวจและประชาชน"

‘สส.รัฐบาล 2 พรรค’ ร่วมค้าน ‘ปุ๋ยคนละครึ่ง’ ลั่น!! ชาวนาขอคง ‘ไร่ละพัน’ ตอบโจทย์กว่า

(18 ก.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ณ รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม โดยก่อนเข้าสู่วาระการประชุม ได้เปิดให้สมาชิกหารือปัญหาความเดือดร้อนในพื้นที่ โดยนายกรวีร์ ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย หารือถึงปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกร ว่า… 

“เรื่องแมลงหวี่ขาว ซึ่งตอนนี้ระบาดหนักใน 7 อำเภอ ของ จ.อ่างทอง มีพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายนับหมื่นไร่ ปกติชาวนาจะเจอเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลหนักอยู่แล้ว ตอนนี้มาเจอแมลงหวี่ขาวอีก แม้จะฉีดยาฆ่าแมลง 2-3 รอบแล้วก็ยังแก้ปัญหาไม่ได้ บวกกับภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากค่าปุ๋ย ค่ายา และความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายต่อผลผลิต จึงขอฝากไปยังกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เร่งแก้ไขปัญหาระยะสั้น และระยะยาว ในการให้ความรู้กับเกษตรกร”

นายกรวีร์ กล่าวต่อว่า เรื่องโครงการปุ๋ยคนละครึ่ง ซึ่งเป็นโครงการหลักของรัฐบาลที่จะช่วยลดต้นทุนการผลิตให้กับชาวนาที่จะช่วยเหลือค่าปุ๋ย ไร่ละไม่เกิน 500 บาท สูงสุด 20 ไร่ เป็นเงิน 1 หมื่นบาท ซึ่งมีปัญหามากมาย ทั้งการลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน สูตรปุ๋ยที่อาจจะไม่ตรงใจกับชาวนา ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ ที่สำคัญคือ เงินที่พี่น้องเกษตรกรจะต้องนำไปซื้อปุ๋ยและต้องสำรองจ่ายก่อนครึ่งหนึ่ง

“พี่น้องชาวนาฝากให้ผมมาพูดว่าอยากให้รัฐบาลได้ทบทวน และถ้าเป็นไปได้พี่น้องเกษตรกรอยากได้การช่วยเหลือแบบไร่ละพันเหมือนเดิมที่ผ่านมา เอาปุ๋ยคนละครึ่งคืนไป เอาไร่ละพันกลับมา” นายกรวีร์ กล่าว

นายฉลาด ขามช่วง สส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย หารือว่า ถ้ารัฐบาลมีความจริงใจต่อเกษตรกร ขอให้ยกเลิกโครงการปุ๋ยคนละครึ่ง แต่โครงการเยียวยาชาวนาไร่ละ 1 พันบาทขอให้คงไว้ตามเดิม

ด้าน นายทินพล ศรีธเรศ สส.กาฬสินธุ์ พรรคเพื่อไทย หารือว่า ขอยืนยันว่าชาวนาในจังหวัดของตน ก็เป็นกังวลกับโครงการปุ๋ยคนละครึ่งของรัฐบาลว่าจะตอบโจทย์ช่วยเหลือชาวนาจริงหรือไม่ ถ้าชาวนาไม่มีเงินสมทบเติมเพื่อซื้อปุ๋ยจะทำอย่างไร ตามปกติถ้าชาวนาไม่มีเงินก็จะเชื่อปุ๋ยมาก่อน หรือไม่ก็นำปุ๋ยจากกองทุนหมู่บ้านมาใช้ เมื่อขายผลผลิตได้แล้วจึงนำเงินไปใช้หนี้ แต่สำหรับโครงการนี้กลับต้องนำเงินไปใส่สมทบไว้เสียก่อน นี่คือข้อกังวลของชาวนา

“ซ้ำร้ายกว่านั้นได้ยินมาว่าหากมีโครงการปุ๋ยคนละครึ่งแล้ว จะไม่มีโครงการไร่ละพัน ยิ่งทำให้ชาวนาทุกข์ใจเพิ่มมากขึ้น หากรัฐบาลยังยืนยันจะทำโครงการปุ๋ยคนละครึ่งอยู่ ชาวบ้านขอเรียกร้องอยากให้โครงการไร่ละพันอยู่เหมือนเดิม เพราะตอบโจทย์ชาวนามากกว่า จึงฝากไปยังรัฐบาลและรมว.เกษตรและสหกรณ์ทบทวนพร้อมชี้แจงให้ประชาชนทราบด้วย” นายทินพล กล่าว

ด้านนายสนอง เทพอักษรณรงค์ สส.บุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย หารือว่า ได้รับการร้องเรียนจากชาวนาเกี่ยวกับปุ๋ยคนละครึ่ง ที่รัฐบาลกำลังดำเนินโครงการ เนื่องจากโครงการนี้แทนที่จะเป็นการช่วยเหลือกลับเป็นการซ้ำเติม เพราะประชาชนจะต้องไปกู้เงินมาล่วงหน้าเพื่อมาสมทบก่อน และปุ๋ยที่ได้ไม่แน่ใจว่าจะมีคุณภาพ ถูกต้องตรงตามที่ต้องการหรือไม่ และไม่สามารถที่จะนำเงินเหล่านี้ไปใช้ช่วยลดปัจจัยการผลิตด้านอื่น ๆ ได้

และยังกล่าวต่อว่า ไม่เหมือนโครงการไร่ละ1 พันบาท ซึ่งเกษตรกรได้รับเงินโดยตรงไม่ต้องมีหนี้สิน สามารถนำเงินเหล่านั้นไปใช้ลดต้นทุนการผลิต ทั้งค่าเก็บเกี่ยว ค่าไถ ค่าหว่าน ค่าปุ๋ย ได้ทุกอย่างครบวงจร จึงขอให้รัฐบาลทบทวนโครงการนี้ เพื่อให้มีประสิทธิภาพและชาวนาได้รับประโยชน์สูงสุดตามนโยบายของรัฐบาล

ส่วนนายวินัย ภัทรประสิทธิ์ สส.พิจิตร พรรคภูมิใจไทย หารือว่า เมื่อวันที่ 14 ก.ค.ที่ผ่านมา พี่น้องเกษตรกร อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร ได้ทำหนังสือถึงตนไม่เห็นด้วยกับโครงการปุ๋ยคนละครึ่ง แต่อยากได้โครงการเดิมที่รัฐบาลเคยช่วยเหลือพี่น้องชาวไร่ชาวนา ในการเพิ่มผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าวไร่ละ 1 พันบาท จึงอยากฝากหนังสือดังกล่าวไปยังคณะรัฐมนตรี (ครม.) และรัฐมนตรี ให้รับทราบด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top