Friday, 23 May 2025
TheStatesTimes

‘นายกฯ’ อวดโฉม ‘ชุดนักกีฬาไทย’ ลาย ‘มรดกโลกบ้านเชียง’ ชี้!! เป็นโอกาสชูความเป็นไทย สู่สายตาชาวโลก ในโอลิมปิก 2024

(17 ก.ค.67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านแอปพลิเคชันเอ็กซ์ ถึงชุดนักกีฬาไทยจะใช้ใส่แข่งโอลิมปิก 2024 ว่า…

ชุดที่นักกีฬาไทยจะใช้ใส่แข่งโอลิมปิก 2024 นี้ ได้นำลวดลาย ‘มรดกโลกบ้านเชียง’ มาออกแบบชุด ถือเป็นการส่งต่อจิตวิญญาณ จากบรรพบุรุษผสมผสานกับความเป็นสากลในปัจจุบัน

ซึ่งก่อนจะออกมาเป็นลายสวย ๆ บนชุดอย่างนี้ แกรนด์สปอร์ตได้ทำการวิจัยค้นคว้า และประชุมร่วมกับผู้อำนวยการศูนย์ออกแบบสร้างสรรค์ผ้าและสิ่งทอ (FTCDC) มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี รวมทั้งได้ขอข้อมูลและคำแนะนำจากพิพิธภัณฑ์บ้านเชียง กรมศิลปากร และไปคุยกับชาวบ้านชุมชนเชียงที่ยังสืบสานการทอผ้า การย้อมคราม และทำเครื่องปั้นลายบ้านเชียงอยู่

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หลังจากรวบรวมข้อมูลจนครบถ้วนแล้ว ทีมงานออกแบบจึงนำลวดลาย สีผ้าคราม และความรู้ที่ได้รับมาประยุกต์ออกแบบชุด ทั้งชุดที่จะใช้แข่งขัน และชุดใส่เดินทาง ให้ดูเท่ เหมาะกับเวทีระดับโลก และที่สำคัญที่สุดคือ ได้นำนวัตกรรมเสื้อโปโลรีไซเคิลจากขวดพลาสติก ซึ่งจะช่วยลดปัญหาโลกร้อนอย่างยั่งยืนมาใช้ในการทำชุดด้วย

“กว่าจะไปถึงสนามแข่งขัน เราคิดกันขนาดนี้เพื่อใช้โอกาสทั้งหมดที่มี พาทั้งนักกีฬาไทย และความเป็นไทย ไปสู่สายตาชาวโลกครับ” นายกรัฐมนตรีกล่าว

‘อีลอน มัสก์’ เล็งย้าย สนง.ใหญ่ SpaceX และ X ออกจากแคลิฟอร์เนีย หลังฉุน ‘ผู้ว่าฯ’ ผ่านกม. ห้าม รร.แจ้งเปลี่ยนเพศสภาพ นร.ต่อผู้ปกครอง

‘อีลอน มัสก์’ ประกาศจะย้ายสำนักงานใหญ่ของตน ทั้ง SpaceX และ X ออกจากแคลิฟอร์เนียไปปักหลักที่เท็กซัสแทน หลังรู้ข่าวว่า ‘เกวิน นิวซอม’ ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย เซ็นผ่านร่างกฎหมายใหม่เมื่อวันจันทร์ (15 ก.ค.67) ที่ผ่านมา ซึ่งระบุว่าห้ามทางโรงเรียนแจ้งผู้ปกครองเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงเพศสภาพของนักเรียนภายในโรงเรียน หากไม่ได้รับความยินยอมจากตัวนักเรียน

‘อีลอน มัสก์’ โพสต์เดือดผ่านบัญชี X ของเขาว่า "นี่เป็นฟางเส้นสุดท้ายแล้ว" หลังจากที่ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียลงนามในร่างกฎหมายดังกล่าว ที่เขามองว่าเป็นการจุด ‘ฉนวนสงครามทางวัฒนธรรม’ ท่ามกลางความวุ่นวายในปีที่มีการเลือกตั้งผู้นำสหรัฐฯ

เขาเห็นว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้ และ ฉบับอื่น ๆ ที่ออกมาก่อนหน้านี้เป็นการบ่อนทำลายสถาบันครอบครัว และ บริษัทต่าง ๆ ด้วยเหตุนี้ เขาจึงตัดสินใจย้ายสำนักงานใหญ่ของ SpaceX จากเมืองฮอว์ธอร์น รัฐแคลิฟอร์เนีย ไปยังเมืองสตาร์เบส ในรัฐเท็กซัสแทน

นอกจากนี้ มัสก์ ยังบอกอีกว่าเขากำลังจะย้ายสำนักงานใหญ่ของโซเชียลมีเดีย X จากเมืองซานฟรานซิสโก ไป เมืองออสติน ของเท็กซัส ซึ่งเขาเคยขู่มาก่อนแต่ยังทำไม่สำเร็จ 

แต่ก่อนหน้านี้ เขาได้ย้ายสำนักงานใหญ่ของ Tesla จากเมือง ปาโล อัลโต ใน ซิลิคอน วัลลีย์ ไปยังเมืองออสติน รัฐเท็กซัส เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ยังคงสำนักงานแผนกวิศวกรรมไว้ในแคลิฟอร์เนีย 

อภิมหาเศรษฐีระดับโลกรายนี้ออกมาต่อต้านการใช้สรรพนามแทนตนตามใจฉัน และมักจะล้อเลียนการกระทำดังกล่าวบนโซเชียลมีเดีย เขามองว่าการเรียกร้องเรื่องการเปลี่ยนสรรพนามเป็นเพียงส่วนหนึ่งของกระแส ‘Woke’ ที่เป็นอันตรายต่อสังคม 

ด้านชีวิตส่วนตัว อีลอน มัสก์ มีลูกสาวข้ามเพศคนหนึ่ง ที่ต่างก็เหินห่างกัน ซึ่งเขากล่าวโทษโรงเรียนเอกชนในแคลิฟอร์เนีย ที่ปลูกฝังแนวคิดการเมืองฝ่ายซ้ายให้กับลูกของเขา และมีส่วนทำให้ลูกมีพฤติกรรมต่อต้านเขา

สำหรับประเด็นเรื่องกฎหมายใหม่ของรัฐแคลิฟอร์เนียกำลังเป็นที่ถกเถียงกันอย่างร้อนแรงระหว่างกลุ่มที่ต่อสู้เพื่อสิทธิของผู้ปกครอง กับนักเคลื่อนไหวกลุ่ม LGBTQ ในเรื่องการคุ้มครองสิทธิเด็กที่มีอัตตาลักษณ์ทางเพศที่หลากหลาย และกำลังเป็นปัญหากับโรงเรียนในเขตอนุรักษ์นิยม ที่เคยให้ครูต้องแจ้งผู้ปกครองหากนักเรียนขอเปลี่ยนสรรพนามนำหน้าชื่อของตน หรือขอใช้สิ่งอำนวยความสะดวก หรือเข้าร่วมกิจกรรมที่ไม่ตรงกับเพศตามธรรมชาติของตน

ด้าน เกวิน นิวซอม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย ผู้รับรองร่างกฎหมายดังกล่าว สังกัดพรรคเดโมแครต ที่ถูกมองว่าเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าจับตาของพรรคในการลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ต่อจากโจ ไบเดน 

และมักแสดงความเห็นตอบโต้กลุ่มอนุรักษ์นิยมเกี่ยวกับประเด็นเรื่องความหลากหลายทางเพศในโรงเรียนรัฐ และเมื่อปีที่แล้ว นิวซอม ได้ลงนามในกฎหมายกำหนดค่าปรับสำหรับโรงเรียนที่ห้ามใช้หนังสือเรียนที่มีบรรยายถึงกลุ่ม LGBTQ หรือกลุ่มคนชายขอบผู้ด้อยโอกาสทางสังคม

ซึ่ง ‘อีลอน มัสก์’ ก็เคยมีเรื่องบาดหมางกับ ‘เกวิน นิวซอม’ มาก่อน เมื่อครั้งที่นิวซอม ยังดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองซานฟรานซิสโก ในประเด็นเรื่องมาตรการการควบคุมการระบาด Covid-19 ในช่วงที่การระบาดกำลังอยู่ในภาวะวิกฤติ 

และเมื่อเห็นท่าจะอยู่ด้วยกันไม่ได้ ‘อีลอน มัสก์’ จึงตัดสินใจย้ายบริษัทหนีเสียเลย นับเป็นข้อดีอย่างหนึ่งของสหรัฐอเมริกา ดินแดนแห่งเสรีภาพที่กว้างใหญ่ ถ้ามีเงินเสียอย่างก็สามารถย้ายบ้านไปอยู่ในรัฐที่ออกกฎหมายที่ถูกจริตเราได้เสมอ

‘Huawei’ เผยโฉมศูนย์ R&D เฉียด 5 หมื่นล้าน ปูฐานสู่ผู้นำโลกนวัตกรรม ปลดล็อกอำนาจกีดกันจากสหรัฐฯ ทั้ง 'ชิป-มือถือ-OS-เน็ตเวิร์ก-อื่นๆ'

(17 ก.ค. 67)  Huawei Technologies ผู้ผลิตอุปกรณ์โทรคมนาคมรายใหญ่ที่สุดของโลก เดินหน้าก่อสร้างศูนย์วิจัยและพัฒนา (R&D) มูลค่า 10,000 ล้านหยวน (ราว 49,776 ล้านบาท) ในเซี่ยงไฮ้ จนแล้วเสร็จ ท่ามกลางการถูกสหรัฐอเมริกากีดกันทางการค้าอย่างหนัก

Lianqiu Lake R&D Center ของ Huawei ศูนย์ R&D ตั้งอยู่ในศูนย์นวัตกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเป็นโครงการริเริ่มที่สำคัญของเมืองเซี่ยงไฮ้ เพื่อสร้างตัวเองให้เป็นผู้นำระดับโลกด้านนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีภายในปี 2568 ประกอบด้วย 8 โซน มีอาคาร 104 หลัง เป็นที่ตั้งของห้องปฏิบัติการ สำนักงาน 40,000 แห่ง และพื้นที่พักผ่อนที่เชื่อมต่อกันผ่านระบบรถไฟภายในศูนย์

แม้ว่าการก่อสร้างสะพานและโครงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมบางโครงการยังคงอยู่ในระหว่างดำเนินการ แต่การพัฒนาป้าย ถนน และการบริการรถไฟสำหรับศูนย์วิจัยและพัฒนานี้ก็เสร็จสมบูรณ์แล้ว

คาดว่าบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนาประมาณ 35,000 คน จะย้ายไปยังศูนย์แห่งนี้ เพื่อทำงานเกี่ยวกับเซมิคอนดักเตอร์ เครือข่ายไร้สาย และ Internet of Things (IoT)

Lianqiu Lake R&D Center ของ Huawei ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 2,400 เอเคอร์ (ราว 6,072 ไร่) และพื้นที่ก่อสร้างรวม 2.06 ล้านตารางเมตร (มีขนาดใหญ่กว่า Apple Park และสำนักงานใหญ่ Redmond Campus ของ Microsoft ในซีแอตเทิล รวมกัน) จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการวิจัยและพัฒนาระดับโลก และเริ่มดำเนินการในปีนี้ ตามประกาศก่อนหน้านี้ของรัฐบาลท้องถิ่น

“เรามุ่งมั่นที่จะสร้างบรรยากาศที่เหมาะสมสำหรับนักวิทยาศาสตร์ชาวต่างชาติในการทำงานและอยู่อาศัย” Ren Zhengfei ผู้ก่อตั้งบริษัทและผู้บริหารระดับสูงของบริษัท บอกกับพนักงานในการประชุมภายในปี 2021 ซึ่งหัวเว่ยเปิดเผยต่อสาธารณะในเวลาต่อมา ตามรายงานของ South China Morning Post

Ren Zhengfei คาดหวังว่าจะดึงดูดนักวิทยาศาสตร์ต่างชาติด้วยสิทธิพิเศษต่าง ๆ เช่น ร้านกาแฟมากกว่า 100 แห่ง ที่เปิดให้บริการภายในศูนย์ฯ

ศูนย์ R&D นี้ จะรวมความพยายามด้านการวิจัยของ Huawei ในด้านเซมิคอนดักเตอร์ เทคโนโลยีไร้สาย การพัฒนาสมาร์ทโฟนเรือธง การขับขี่อัจฉริยะ/ส่วนประกอบยานยนต์ พลังงานดิจิทัล และด้านอื่น ๆ ความเคลื่อนไหวที่น่าจับตานี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้การสนับสนุนที่เป็นประโยชน์สำหรับธุรกิจที่กำลังขยายตัวของ Huawei เช่น 5G/6G พลังงานดิจิทัล และโซลูชันยานยนต์อัจฉริยะ

การขยายโครงสร้างพื้นฐานด้านการวิจัยและพัฒนาในประเทศจีนของ Huawei ซึ่งถูกขึ้นบัญชีดำในสหรัฐอเมริกาแสดงให้เห็นถึงความไม่ย่อท้อของบริษัทที่มีฐานบัญชาการในเซินเจิ้นแห่งนี้กำลังดำเนินการเพื่อเอาชนะมาตรการคว่ำบาตรทางเทคโนโลยีที่ขัดขวางการเติบโตของบริษัท

ท่ามกลางการแข่งขันด้านเซมิคอนดักเตอร์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน และการคว่ำบาตรต่าง ๆ ของสหรัฐอเมริกา Huawei ยิ่งจะต้องสนับสนุนความพยายามในการวิจัยและพัฒนาของตน การรวมศูนย์การวิจัยหลายแห่งเข้าด้วยกันเช่นนี้ ทำให้ Huawei สามารถปรับปรุงการดำเนินงานและอำนวยความสะดวกในการทำงานร่วมกันระหว่างแผนกต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น และแน่นอนว่าจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถด้านนวัตกรรมของบริษัทได้อย่างมาก

ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา Huawei เผชิญชะตากรรมอันเลวร้าย โดยในปี 2563 TSMC ซึ่งเป็นผู้จัดหาชิปสมาร์ทโฟนของ Huawei มากกว่า 90% ได้หยุดส่งชิ้นส่วนสำคัญนี้ให้กับ Huawei เนื่องจากการควบคุมการส่งออกของสหรัฐอเมริกา ความเคลื่อนไหวดังกล่าวส่งผลให้ Huawei ต้องออกจากสายธุรกิจทั้งหมดที่อาศัยเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูงในที่สุด

ข้อจำกัดดังกล่าวยังส่งผลให้รายได้ของ Huawei ลดลงอย่างมาก โดยลดลง 23% จากปี 2562 ถึง 2564 ซึ่งอาจส่งผลต่อความสามารถของบริษัทในการลงทุนในกิจกรรมการวิจัยและพัฒนา

การคว่ำบาตรยังจำกัดความสามารถของ Huawei ในการร่วมมือกับพันธมิตรระหว่างประเทศและมีส่วนร่วมในโครงการริเริ่มการวิจัยระดับโลก ซึ่งเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่อาจชะลอกระบวนการสร้างนวัตกรรมของบริษัท เพื่อตอบโต้ผลกระทบของการคว่ำบาตร Huawei ต้องลงทุนมหาศาลในการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศและเทคโนโลยีทางเลือก

โครงการเรือธงนี้ จึงแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการลงทุนของ Huawei ในเทคโนโลยีแห่งอนาคต และความไม่ยอมพ่ายแพ้ต่ออุปสรรค

อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดของสหรัฐอเมริกาที่บังคับใช้ในเดือนตุลาคม 2565 ทำให้ผู้บริหารชาวอเมริกันของบริษัทชิปจีนที่เป็นเป้าหมายตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ปลอดภัย เนื่องจากวอชิงตันสั่งห้าม ‘บุคคลในสหรัฐฯ’ ให้การสนับสนุนธุรกิจเหล่านั้น

แม้ว่ากระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐอเมริกาไม่ได้กล่าวถึงการจ้างงาน แต่กฎเกณฑ์นี้ได้จำกัดความสามารถของบุคคลสหรัฐฯ ในการสนับสนุนการพัฒนาหรือการผลิตชิปที่โรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์บางแห่งในจีนโดยไม่มีใบอนุญาต

ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ Huawei เสนอแพ็คเกจเงินเดือนที่แข่งขันได้ และได้จ้างวิศวกรจากประเทศอื่นที่มีประสบการณ์ในการผลิตเครื่องมือผลิตชิปและผู้เชี่ยวชาญในการพัฒนาชิปชั้นนำแล้ว 

"แม้จะถูกไล่บี้อย่างหนัก Huawei สร้างความประหลาดใจอีกครั้งในตลาดสมาร์ทโฟน 5G จากการที่เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว เมื่อเปิดตัวโทรศัพท์มือถือที่ขับเคลื่อนโดยโปรเซสเซอร์ 7 นาโนเมตร ซึ่งเป็นความก้าวหน้าที่ได้รับการยกย่องในแผ่นดินใหญ่ และแน่นอนว่านวัตกรรมนี้ได้จุดประกายการตรวจสอบอย่างเข้มงวดอีกครั้งจากวอชิงตันในแง่ของการเข้าถึงเทคโนโลยีที่มีอยู่"

อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดของสหรัฐอเมริกาที่บังคับใช้ในเดือนตุลาคม 2565 ทำให้ผู้บริหารชาวอเมริกันของบริษัทชิปจีนที่เป็นเป้าหมายตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ปลอดภัย เนื่องจากวอชิงตันสั่งห้าม 'บุคคลในสหรัฐฯ' ให้การสนับสนุนธุรกิจเหล่านั้น

แม้ว่ากระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐอเมริกาไม่ได้กล่าวถึงการจ้างงาน แต่กฎเกณฑ์นี้ได้จำกัดความสามารถของบุคคลสหรัฐฯ ในการสนับสนุนการพัฒนาหรือการผลิตชิปที่โรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์บางแห่งในจีนโดยไม่มีใบอนุญาต

เมื่อปีที่แล้ว Huawei ลงทุน 23% ของรายได้ทั้งหมดหรือ 164,700 ล้านหยวน ในโครงการริเริ่มด้านการวิจัยและพัฒนาต่างๆ ตามรายงานประจำปีของบริษัท พนักงานประมาณ 114,000 คนหรือ 55% ของพนักงาน Huawei ทั้งหมด มีส่วนร่วมในกิจกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา

อย่างไรก็ตาม การที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้เพิกถอนใบอนุญาต 8 ฉบับในปีนี้ ทำให้บริษัทสหรัฐอเมริกาบางแห่งสามารถจัดส่งสินค้าให้กับ Huawei ซึ่งเป็นผู้จำหน่ายอุปกรณ์เครือข่ายโทรคมนาคมรายใหญ่ที่สุดในโลก ตามรายงานของรอยเตอร์เมื่อต้นเดือนนี้

ไม่เพียงเท่านี้ Huawei ต้องการจะทำลายการครอบงำระบบปฏิบัติการมือถือแบบตะวันตกในจีนแผ่นดินใหญ่ เมื่อเปิดตัว HarmonyOS Next ซึ่งจะยุติการสนับสนุนแอปฯ Android แม้จะเป็นเรื่องยากมากก็ตาม

อีกหนึ่งความสำเร็จที่น่าชื่นชมคือในไตรมาสแรกของปีนี้ Huawei แซงหน้า Samsung Electronics กลายเป็นแบรนด์สมาร์ทโฟนจอพับได้ที่ขายดีที่สุดในโลก

'อ.ธรณ์' เผย!! อุณหภูมิน้ำทะเลกลับสู่ภาวะปกติ สิ้นสุดปะการังฟอกขาว แนะ!! ต่อจากนี้คือการประเมินความเสียหายและวางแผนรับมือ

(17 ก.ค.67) มีรายงานว่า ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิทยาศาสตร์ทางทะเลและอาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โพสต์ผ่านแฟนเพจ Thon Thamrongnawasawat โดยระบุว่า…

อุณหภูมิน้ำทะเลกลับสู่ภาวะปกติ สิ้นสุดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาว 🥳 ต่อจากนี้คือการประเมินความเสียหายและวางแผนรับมือสำหรับคราวหน้า

หากเพื่อนธรณ์ดูกราฟอุณหภูมิน้ำทะเลทั้ง 2 ฝั่ง จะเห็นว่าตอนนี้ลดต่ำลงมาเท่ากับปี 23 และอยู่ต่ำกว่าเส้นวิกฤตปะการังฟอกขาว

หมายถึงเราผ่านทะเลเดือดมาแล้ว ปะการังที่ฟอกขาวอยู่ตอนนี้ อีกไม่นานคงจะฟื้น แต่ย่อมมีปะการังตายจากการฟอกขาว จะเยอะจะน้อย ต้องรอการประเมินอีกครั้ง แต่ละที่ไม่เท่ากัน

เมื่อประเมินเสร็จ เราจะรู้ว่าตรงไหนหนักสุด การอนุรักษ์ฟื้นฟูแต่ละพื้นที่ควรเป็นอย่างไร นั่นเป็นอีกงานหนัก แต่จำเป็นมาก เพราะเราจะได้รู้ว่าการตายกับการฟอกขาวสัมพันธ์กันไหม ? 

จุดที่ฟอกขาวเยอะคือตายเยอะหรือเปล่า อาจมีปัจจัยอื่น ๆ มาทำให้ฟอกเยอะแต่ตายน้อย หรือฟอกน้อยแต่ % ตายสูง ฯลฯ

ยังรวมถึงความทนทานของปะการัง (resilience) สัมพันธ์กับการฟอกขาวหรืออัตรารอด/ตายหรือไม่ เพราะเรื่องนั้นจะเกี่ยวโดยตรงกับแผนอนุรักษ์ในอนาคต

อีกอย่างที่ต้องตามดูคือความเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศหลังจากนี้ แนวปะการังจะโทรมลงไหม จะมีอะไรเข้ามาแทน การฟื้นคืนของปะการังจะใช้เวลากี่เดือนกี่ปี ฯลฯ

ทั้งหมดที่เล่ามา จะเห็นเลยว่า เรามีงานยักษ์รออยู่ ปัญหาคือเราจะมีเงินทำไหม? เพราะตอนนี้อะไรก็เดือดร้อนไปหมด

ก็คงได้แต่บอกว่า ต้องพยายามให้ดีที่สุด เพราะทุกเรื่องที่ทำในวันนี้ หมายถึงความอยู่รอดของปะการังในวันหน้า เพราะทะเลเดือดจะกลับมาพร้อมกับเอลนีโญอีกครั้ง ในอนาคตอันใกล้ ตราบใดที่โลกยังร้อนขึ้นเช่นนี้ครับ 🌏

ข้อมูลน้ำ - กรมทะเล 🙏

'พล.ต.ท.ไตรรงค์' ยืนยัน!! ผลพิสูจน์กาแฟผสม ‘สารพิษ’ จริง ส่วน 'กระติก' กลุ่ม 6 คนตาย พกมาเอง ไม่ใช่ของโรงแรม

(17 ก.ค. 67) พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผบช.สพฐ.ตร.) ระบุว่า จากการเก็บหลักฐานในที่เกิดเหตุห้องที่ชาวเวียดนามและอเมริกันเสียชีวิต 6 คน ในห้องโรงแรมดังไปตรวจเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม ซึ่งเป็นกระติกเก็บความร้อนที่เป็นอะลูมิเนียม ไม่ใช่ของโรงแรม กลุ่มผู้ตายพกมาเอง ภายในมีของเหลวสีดำคือ อเมริกาโน และมีแก้วกาแฟที่ดื่มแล้วทั้งหมด 6 แก้ว รวมถึงอาหารบนโต๊ะที่สั่งจากโรงแรมเพื่อรับประทานอีก 3-4 รายการ

ล่าสุดผลการตรวจสอบในเบื้องต้นพบว่า ของเหลวในกาแฟดำในกระบอกน้ำสแตนเลส 1 ใน 2 กระบอก ในที่เกิดเหตุ ซึ่งผู้เสียชีวิตได้นำมาเองไม่ได้เป็นของโรงแรม มีสารพิษปนอยู่ในกาแฟ ส่วนเป็นสารพิษชนิดใดขอแจ้งกับชุดสืบสวนก่อนจะแถลงข่าวอีกครั้ง

ส่วนน้ำในกระติกพบสารโพแทสเซียมไซยาไนด์ หรือ KCN หรือไม่นั้น ตอนนี้ผลตรวจเบื้องต้นออกมา 1 อย่าง แล้วคือของเหลวที่อยู่ในกระติก ซึ่งเป็นผลที่มีความชัดเจน และกระจ่างที่ทำให้เสียชีวิตหากดูด้วยตาเหมือนเป็นกาแฟดำ แต่บอกได้ว่า พบสารพิษชนิดหนึ่ง

ส่วนจะมีความรุนแรงถึงขั้นทำให้เสียชีวิตเฉียบพลันหรือไม่ และมีปริมาณสารพิษมากน้อยเท่าใด พล.ต.ท.ไตรรงค์ระบุว่า ขอยังไม่เปิดเผย เพราะจะรอข้อมูลทั้งหมด และจะมีการแถลงข่าวรายละเอียดทั้งหมดอีกครั้ง

‘ม.เลสเตอร์’ ยกย่อง ‘อัยยวัฒน์’ หัวเรือ ‘เดอะ ฟ็อกซ์’ บริหารสโมสรฟุตบอลประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง

(17 ก.ค.67) เพจเฟซบุ๊ก ‘MGR SPORT’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า…

อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้ ได้รับปริญญานิติศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ในพิธีสำเร็จการศึกษา ซึ่งจัดขึ้นที่ เดอ มงฟอร์ต ฮอลล์ เมืองเลสเตอร์ เมื่อวันอังคารที่ 16 กรกฎาคมที่ผ่านมา

สำหรับ ‘บิ๊กต๊อบ’ อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา เข้ามารับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ และประธานสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้ ในปี 2018 โดยรับช่วงต่อจากวิชัย ศรีวัฒนประภา

ภายใต้การบริหารงานของ อัยยวัฒน์ ‘เดอะ ฟ็อกซ์’ เลสเตอร์ ซิตี้ คว้าแชมป์ฟุตบอล เอฟเอ คัพ ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสรในปี 2021 ผ่านเข้าไปเล่นในรอบรองชนะเลิศฟุตบอลยุโรปเป็นครั้งแรกในศึก ยูฟ่า ยูโรปา คอนเฟอเรนซ์ ลีก และพาทีมคว้าแชมป์ฟุตบอลแชมเปียนชิพ ในฤดูกาล 2023/24 พร้อมเลื่อนชั้นกลับสู่พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลเดียว

อัยยวัฒน์ กล่าวว่า “ผมขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้รับเกียรตินี้จากมหาวิทยาลัยเลสเตอร์ ซึ่งเป็นสถาบันในเมืองของเราที่มีความมุ่งมั่นต่อความเป็นเลิศ การบริการต่อชุมชนของเรา และการเปลี่ยนแปลงทางสังคมเชิงบวกร่วมกัน”

“การทำงานร่วมกับเลสเตอร์ ซิตี้ ในด้านสุขภาพเด็ก ถือเป็นความร่วมมือที่เราภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง และได้แสดงให้เห็นถึงพลังของผู้คนในชุมชนที่จะทำงานร่วมกันเพื่อประโยชน์ของคนรุ่นต่อ ๆ ไป”

“ผมขอแสดงความยินดีกับผู้สำเร็จการศึกษาทุกคนในปีนี้ สำหรับความสำเร็จของพวกเขา ซึ่งเป็นผลมาจากการอุทิศตนเป็นเวลาหลายปีในสาขาที่มีความเชี่ยวชาญ ผมหวังว่าตลอดเวลาของพวกเขาในเมืองเลสเตอร์ จะสอนพวกเขาว่า ทุกสิ่งเป็นไปได้”

ทั้งนี้ อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมจากโรงเรียนเซนต์คาเบรียล กรุงเทพ ระดับปริญญาตรีสาขาบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ก่อนที่เจ้าตัวจะได้เข้าอุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดเทพศิรินทร์ ในปี 2015 นอกจากนี้ยังเป็นนักโปโลที่มีประสบการณ์ และประสบความสำเร็จมากมาย โดยคว้าเหรียญทองในการแข่งขัน บริติชโอเพ่น และควีนส์คัพในปี 2015 และเหรียญเงินในการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ในปี 2017

มหาวิทยาลัย มีความสัมพันธ์ที่ดีร่วมกับสโมสรเลสเตอร์ ซิตี โดยได้รับเงินบริจาคจากสโมสรเพื่อก่อตั้ง ‘LCFC Professorship’ ซึ่งเป็นตำแหน่งศาสตราจารย์ด้านสุขภาพเด็ก และโครงการวิจัยที่เกี่ยวข้อง เงินบริจาคดังกล่าวจะถูกนำมาใช้เพื่อเป็นเงินทุนสำหรับการวิจัยที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาสุขภาพของเด็กในเลสเตอร์ ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต

มหาวิทยาลัยเลสเตอร์ มอบปริญญากิตติมศักดิ์ให้กับ วิชัย ศรีวัฒนประภา ในเดือนมกราคม 2016 ก่อนที่เลสเตอร์ ซิตี จะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก การที่มหาวิทยาลัยให้การยกย่อง อัยยวัฒน์ เปรียบเสมือนเป็นการยกย่อง วิชัย และทุกสิ่งที่ครอบครัวศรีวัฒนประภา ได้อุทิศเพื่อทั้งสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี และเมืองเลสเตอร์ อีกด้วย

ศาสตราจารย์ นิชาน คานาการาชาห์ อธิการบดี และรองอธิการบดี มหาวิทยาลัยเลสเตอร์ กล่าวว่า “ครอบครัวศรีวัฒนประภาได้สร้างผลงานในทางที่ดี ต่อเมืองเลสเตอร์อย่างไม่อาจมองข้ามได้ ความมุ่งมั่นที่มีต่อสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้ เป็นมากกว่าการลงทุนในสนาม ครอบครัวศรีวัฒนประภา ได้ก่อตั้งมูลนิธิวิชัย ศรีวัฒนประภา ซึ่งทำงานร่วมกับมูลนิธิเลสเตอร์เพื่อให้การสนับสนุน และพัฒนาชุมชนท้องถิ่น

“อัยยวัฒน์ รับหน้าที่บริหารสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ ต่อจาก วิชัย ความเป็นผู้นำและความรักของเขาที่มีต่อเมืองเลสเตอร์นั้นชัดเจนมาก ภายใต้การบริหารงานของ ต๊อบ สิ่งที่ครอบครัวศรีวัฒนประภาได้มอบไว้ให้กับเมืองเลสเตอร์นั้นจะยังคงปลอดภัยและยั่งยืน และผมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับ อัยยวัฒน์ เข้าสู่ครอบครัวมหาวิทยาลัยเลสเตอร์ อย่างเป็นทางการ”

สัญญาณชัด!! ชี้ชะตา 7 สิงหา 'พิธา-ชัยธวัช-หมออ๋อง' ต้องลาโรง

มาตรา 92 เมื่อคณะกรรมการมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าพรรคการเมืองใดกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ ให้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อสั่งยุบพรรคการเมืองนั้น

(1) กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ

(2) กระทำการอันเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ยกมาตรา 92 วรรคแรก (1) และ (2) ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 มาให้อ่านกัน เพราะนี่คือมาตราที่เป็นหัวใจหลักที่คณะกรรมการ (การเลือกตั้ง) มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า...ได้มีมติเอกฉันท์เมื่อ 12 มี.ค. 2567 ยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคก้าวไกล...

อันเป็นกรณีต่อเนื่องจากคดีล้มล้างฯ ที่ศาลรธน.วินิจฉัยให้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกลหยุดการกระทำอันเป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลายฯ...ใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตาม รธน.มาตรา 49...

ที่ผ่านมาพรรคก้าวไกลได้ขอขยายเวลาแบบเต็มแม็ก และแถลงข่าวชุดใหญ่ไฟกะพริบมาแล้วสองสามรอบ ต่อมายิ่งฮึกเหิมเหมือนได้โด๊ปยาดี เมื่อ ศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ นายกสภามธ., ที่ปรึกษากฎหมายกกต. และอดีตอธิการบดีมธ. ยอมเป็นพยานปากเอก เขียนเอกสาร 20 กว่าหน้าให้...

โดยนอกเหนือจากคัดค้านการยุบพรรคการเมืองโดยอ้างหลักสากลแล้ว ดร.สุรพล ยังช่วยบดขยี้ประเด็นที่ว่ากกต.ผิดพลาดในกระบวนการสอบสวนข้อเท็จจริง และแยกขาดการดำเนินการมาตรา 92 และ 93 ของ พ.ร.ป.พรรคการเมืองออกจากกัน...

วันที่ 16 ก.ค.ที่ผ่านมา 'เดอะต๋อม' ชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคฮึกห้าว แถลงก่อนศาลรธน.ประชุมหนึ่งวัน เป้าหมายเพื่อให้ศาลรธน.รับหลักการเปิด การไต่สวนพยานปากสำคัญ (ดร.สุรพล)...

แต่เหมือนกับสายฟ้าฟาด...วันที่ 17 ก.ค. ศาลรธน.ประชุมพิจารณาตามปกติในวันพุธ แต่มีมติยุติการไต่สวน เพราะหลักฐานเพียงพอแล้ว หากคู่กรณีประสงค์จะแถลงการณ์ปิดคดีให้ยื่นเป็นหนังสือภายในวันที่ 24 ก.ค. โดยศาลจะประชุมหารือและลงมติวินิจฉัยในวันพุธที่ 7 ส.ค.

ดูเหมือนว่าสัญญาณวันที่ 17 ก.ค. จากศาลรธน.พอจะเห็นเค้าลางชัดเจนแล้วว่า...ก้าวไกลกำลังใกล้เกม...ความพยายามที่จะพลิกเกมโดยขอไต่สวนพยานบุคคลและให้เรียกเอกสารเพิ่มเติมเพื่อขยี้ประเด็นกกต.ไม่ได้ทำตามขั้นตอนกฎหมาย...หวังจะให้กกต.แพ้ฟาวล์...ปิดฉากลงเกือบสนิท

มองไปข้างหน้ากรณีหากยุบพรรค สส.ทุกชีวิตไปหาพรรคใหม่สังกัดได้ใน 30 วัน แต่กรณีกรรมการบริหารพรรคโดนตัดสิทธิ์ 10 ปี ตามมาตรา 94 วรรคสองนั้น...คนที่จะจบข่าวจบชีวิตชั่วคราวไปด้วยคือ 3 กรรมการบริหารพรรคคนดังชุดก่อนคือ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์, ชัยธวัช ตุลาธน และท่านรองหมูกระทะ...ปดิพัทธ์ สันติภาดา...รวมทั้งเบญจา แสงจันทร์ และสุเทพ อู๋อ้น   

พร้อม ๆ กันนั้น การเมืองหลายประเด็นก็คงจะพลิกเปลี่ยนกันไม่น้อย...เอวัง!!

‘ชัยธวัช’ ลั่น!! อย่าเพิ่งด่วนสรุป ‘ยุบก้าวไกล’ เหตุยิ่งสู้ยิ่งมั่นใจขึ้น ย้ำ!! ถ้ายุบจริง ตกผลึกหมดแล้ว ไม่ต้องเตรียมอะไรทั้งสิ้น

(17 ก.ค. 67) ที่รัฐสภา นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล แถลงความคืบหน้ากรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดวินิจฉัยคดียุบพรรคก้าวไกล ในวันที่ 7 ส.ค.นี้ โดยไม่มีการไต่สวน ว่า คดีนี้เหลือประเด็นที่ต้องพิจารณาเป็นปัญหาทางข้อกฎหมายเท่านั้น ส่วนข้อเท็จจริงมีพยานหลักฐานเพียงพอ อย่างไรก็ตาม ศาลมีความเห็นให้ผนวกเอาคำร้องคู่กรณีอยู่ในสำนวนด้วย

ซึ่งน่าจะหมายถึงคำร้องของพยาน คือ นายสุรพล นิติไกรพจน์ นายกสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รวมถึงคำร้องที่พรรคได้ยื่นเป็นข้อโต้แย้งทั้งที่เป็นพยานหลักฐานของ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และศาลรัฐธรรมนูญด้วย แต่อย่างน้อยแม้ไม่มีการไต่สวน แต่เรามีพยานเพิ่มเติม และมีการสรุปข้อเท็จจริงเข้าไปด้วย

นายชัยธวัช กล่าวว่า เราเสียดายที่ไม่มีการไต่สวน ซึ่งในมุมมองเราเห็นว่าข้อเท็จจริงยังมีอยู่ควรไต่สวนให้ถึงที่สุดก่อน ส่วนข้อกฎหมายเรามั่นใจในข้อกฎหมายที่เราสู้ไป ไม่ว่าจะเป็นประเด็นกระบวนการยื่นคำร้องของกกต. ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เราอาศัยเอกสารหลักฐานของ กกต.เอง เพื่อมาเพิ่มน้ำหนักว่ากระบวนการยื่นคำร้องยุบพรรคไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร

ส่วนข้อกฎหมายอื่น ๆ เราก็มั่นใจว่าการกระทำของพรรคก้าวไกลไม่ใช่การล้มล้างหรือเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครอง อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้พรรคก้าวไกลเตรียมทำคำแถลงปิดคดีภายในวันที่ 24 ก.ค.นี้ โดยจะส่งเป็นเอกสารเนื่องจากไม่มีการไต่สวนหน้าบัลลังก์

เมื่อถามว่า วันที่ 7 ส.ค. พรรคก้าวไกลจะเดินทาง ไปที่ศาลหรือส่งทนายไป นายชัยธวัช กล่าวว่า ยังไม่ได้คุยกันว่าจะทำอย่างไร เพราะวันที่ 7 ส.ค. ตรงกับวันพุธซึ่งเป็นวันประชุมสภาฯ

เมื่อถามว่า มีความกังวลหรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า หากมีการเปิดไต่สวนจะทำให้เรามีโอกาสต่อสู้ทั้งข้อกฎหมาย และข้อเท็จจริง ให้ได้สัดส่วนของข้อกล่าวหา และโทษในคดีนี้ แต่อย่างน้อยตอนนี้ได้รวบรวมคำร้องเพิ่มเติม ก็น่าจะเพิ่มน้ำหนักในการต่อสู้ของเราได้ จึงยังไม่กังวลอะไร และเรายังมั่นใจการต่อสู้ทางข้อกฎหมายอยู่

เมื่อถามว่า การที่ศาลไม่เปิดไต่สวนมองว่าเป็นการเร่งรัดหรือไม่ นายชัยธวัชกล่าวว่า อยู่ที่ดุลพินิจของศาล เราก้าวล่วงไม่ได้ เพียงแต่เสียดายโอกาส เรามองในแง่ดีของทุกฝ่ายด้วยว่าหากเปิดไต่สวนเพื่อให้คู่กรณีได้มีการต่อสู้กันอย่างเต็มที่ ก็จะเป็นผลดีต่อการยอมรับคำวินิจฉัยด้วย

เมื่อถามว่า มีการเตรียมพร้อมที่จะรับผลหากออกมาทางลบหรือไม่ นายชัยธวัชกล่าวว่า ยังไม่เตรียมอะไร ต้องหารือในพรรคก่อนว่าวันที่ 7 ส.ค.นี้ ซึ่งเป็นวันฟังคำวินิจฉัยจะทำอย่างไร แต่ไม่มีใครหวั่นไหว เพราะระยะเวลานานแล้ว คดีนี้ใช้เวลาหลายเดือนแล้ว ทุกคนนิ่งหมดแล้ว จึงไม่ได้เตรียมใจยอมรับอะไร ยังเตรียมมาทำงานในวันที่ 8 ส.ค.อยู่

“ขณะนี้ทุกอย่างภายในพรรคนิ่ง แม้ว่าศาลจะวินิจฉัยเฉพาะข้อกฎหมาย และยิ่งใครได้เห็นเอกสารหลักฐานที่ทางพรรคได้ทำไปเมื่อวานนี้ (16 ก.ค.) ก็จะยิ่งมั่นใจ อย่าเพิ่งสรุปว่าจะเป็นอย่างไร เพราะยิ่งสู้คดีเรายิ่งมั่นใจมากขึ้น” นายชัยธวัชกล่าว

เมื่อถามว่า มีการเตรียมตั้งพรรคใหม่เอาไว้หรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า ยังไม่ถึงเวลาที่จะคุยกันเรื่องนี้ ขอรอคำวินิจฉัยของศาลก่อน ตอนนี้ยังมีโอกาสอยู่ ยิ่งต่อสู้ก็ยิ่งมีโอกาส และถ้ายุบจริงเราตกผลึกหมดแล้ว ไม่ต้องเตรียมอะไรทั้งสิ้น เราเตรียมทำงานอย่างเดียว

‘สส.รวมไทยสร้างชาติ’ จี้!! กทม. เร่งแก้ปัญหา ‘คลองช่องนนทรี’ หลังปล่อย ‘เน่า-รก-ร้าง’ ไม่สมเป็นสวนแลนด์มาร์กกลางกรุง

(17 ก.ค.67) นายเกรียงยศ สุดลาภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ และอดีตรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ตามที่ตนได้ลงพื้นที่สวนสาธารณะคลองช่องนนทรี โดยการลงพื้นที่ในครั้งนี้มาจากการรับข้อร้องเรียนจากประชาชน ผู้ประกอบการในพื้นที่ ประกอบกับสื่อต่าง ๆ ได้มีการเผยแพร่ข่าวเกี่ยวกับการขาดการบำรุงรักษาของคลองช่องนนทรี 

โดย นายเกรียงยศ เปิดเผยว่า ในการพัฒนาคลองช่องนนทรีมีเป้าหมายในการพัฒนาให้เป็นแลนด์มาร์กสำคัญของกรุงเทพมหานคร เป็นจุดหมายสำคัญของนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้ยังมีศักยภาพเป็นจุดถ่ายทำภาพยนตร์ โดยมีโมเดลจากคลองชองกเยชอน กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ที่ฟื้นฟูจากคลองที่ถูกเมินเป็นแลนด์มาร์กของเมือง 

ทั้งนี้ จากการลงพื้นที่ พบว่าคลองช่องนนทรีขาดการดูแลรักษาหลาย ๆ ประการ อาทิ น้ำเน่าเสียซึ่งปรากฏการเผยแพร่ผ่านสื่ออย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา การปรับปรุงภูมิทัศน์ผ่านต้นไม้ต่าง ๆ ถูกปล่อยรกร้าง ขาดการดูแลรักษาทำให้พืชบางส่วนแห้งตาย มีหญ้าและวัชพืชขึ้นรก เห็นได้ชัดว่าขาดการดูแลความสะอาดของพื้นที่ในภาพรวม

“เมื่อสภาพภูมิทัศน์โดยรวมของสวนสาธารณะคลองช่องนนทรีขาดเสน่ห์ จึงไม่มีผู้เข้ามาใช้งาน ดังนั้น หากไม่มีการแก้ปัญหาย่อมจะทำให้สวนสาธารณะคลองช่องนนทรีกลายเป็นสวนสาธารณะที่ไม่เป็นสาธารณะเพราะไม่มีผู้ใช้งาน จึงขอฝากไปยังกรุงเทพมหานครให้บำรุงรักษาโครงการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้งบประมาณจากภาษีประชาชนที่ใช้ไปในโครงการต่าง ๆ อย่างคุ้มค่า โดยตนจะนำปัญหาที่เกิดขึ้นตั้งกระทู้ถามในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อติดตามความคืบหน้าในการดำเนินการแก้ไขปัญหา”

ทั้งนี้ สวนสาธารณะคลองช่องนนทรีได้มีการศึกษาและเริ่มทำสัญญาในสมัยที่ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โดยมีเจตนารมณ์ทำให้พื้นที่คลองช่องนนทรีเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์กกลางเมืองไม่แพ้คลองชองกเยชอนของเกาหลีใต้

'ซีอีโอ GAC' ลั่น!! ไทยไม่ใช่แค่ฐานประกอบรถยนต์ แต่เป็นฐานสำคัญ 'เพิ่มยอดขาย-ขยายบริการทั่วประเทศ'

(17 ก.ค.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเจิง ชิ่งหง ประธานบริษัท GAC กรุ๊ป เปิดเผยว่า หลังจากบริษัทตัดสินใจเข้ามาตั้งโรงงานผลิตรถยนต์แห่งแรกในต่างประเทศและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จ.ระยอง ในเขตโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC บนพื้นที่ 85,000 ตารางเมตร เพื่อมุ่งมั่นผลักดันประเทศไทยให้ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

และส่งออกไปยังประเทศที่ใช้รถพวงมาลัยขวาทั่วโลก โดยโรงงานแห่งนี้ จะช่วยดึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาด้านการขาย การจัดจำหน่ายและการส่งเสริมศักยภาพความแข็งแกร่งของแบรนด์ เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มาพร้อมเทคโนโลยีที่มีคุณภาพและมาตรฐานการผลิตเช่นเดียวกับโรงงานในประเทศจีน ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงที่เป็นไปตามมาตรฐานระดับโลก สามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการ โดย AION ได้ปรับปรุงแผนพัฒนาทั้งหมด 6 แนวทาง ซึ่งรวมถึงการเพิ่มความสามารถในการผลิต การขยายสายผลิตภัณฑ์ และการกำหนดแนวทางของตลาดในเรื่องฐานการผลิตและจำหน่ายทั่วประเทศ

โรงงานผลิตรถยนต์ GAC AION ในประเทศไทย ถือเป็นฐานการผลิตรถยนต์แห่งแรกในต่างประเทศของ GAC AION จากปัจจุบันมีโรงงานผลิต 2 แห่งในประเทศจีน มีกำลังการผลิต 500,000 คันต่อปี และมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีมากกว่า 120% ทั้งยังมียอดการผลิตและจำหน่ายอยู่ใน 3 อันดับแรกของอุตสาหกรรม

“เมื่อเปิดโรงงานแห่งนี้ขึ้นอีก 1 แห่ง จะช่วยเสริมสร้างศักยภาพให้กับบริษัท ในการเป็นผู้ผลิตรถยนต์พลังงานทางเลือกที่สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก และยังมีแผนสร้างฐานการผลิตและการจำหน่ายใน 7 พื้นที่ทั่วโลก และไม่เพียงแค่การประกอบรถเท่านั้น แต่เราจะนำเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ที่ทันสมัยที่สุดเข้ามาในประเทศไทย พร้อมวางรากฐานที่แข็งแกร่ง เพื่อให้การจำหน่ายและการบริการเป็นไปได้อย่างครอบคลุมทั่วประเทศ” 

ด้านนายหม่า ไห่หยาง ผู้จัดการทั่วไป GAC AION ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดเผยถึงแนวคิดหลักว่า ‘คุณภาพต้องมาก่อน’ และมุ่งมั่นที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการผ่านยานยนต์พลังงานใหม่ที่มีคุณภาพและชาญฉลาดแก่ผู้บริโภคทั่วโลก ด้วยจุดเด่นด้านการผลิตที่ก้าวหน้าระดับโลก 4 ประการ ได้แก่ ความอัจฉริยะทางเทคโนโลยีขั้นสูง คุณภาพสูง ประสิทธิภาพสูง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ทั้งนี้บริษัทพร้อมแนะนำรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุด อย่าง AION V เจเนอเรชั่นที่ 2 ที่มาพร้อมกับความสามารถที่รอบด้าน เทคโนโลยีอันเหนือชั้น และมีความปลอดภัยสูง โดยเป็นการเผยโฉมในครั้งนี้ พร้อมกันกับการเผยโฉมรถ AION V เจเนอเรชั่นที่ 2 ในประเทศจีนด้วย

เพื่อตอกย้ำความสำคัญของตลาดในประเทศไทย รวมถึงนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ล้ำสมัยและทันสมัยที่สุดสู่ตลาดโลก โดยผลิตขึ้นตามหลักการ 8 จุดเด่นหลัก ได้แก่ ดีไซน์ที่โดดเด่น, พื้นที่ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง, เหมาะสมสำหรับการท่องเที่ยว, ระบบขับขี่อัจฉริยะระดับโลก, เทคโนโลยี AI อัจฉริยะ, มีระยะทางวิ่งไกลและทนทานต่อสภาพอากาศ, เทคโนโลยีชาร์จเร็วอัจฉริยะ, แบตเตอรี่มีความปลอดภัยสูง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคทั่วโลก

สำหรับโรงงานผลิตรถยนต์เชิงนิเวศอัจฉริยะแห่งนี้ ถือว่ามีข้อได้เปรียบด้านการผลิตอัจฉริยะชั้นนำของโลก 4 ประการ ได้แก่ ความอัจฉริยะทางเทคโนโลยีขั้นสูง คุณภาพสูง ประสิทธิภาพสูง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีการใช้หุ่นยนต์ร่วมกับเทคโนโลยี AI ในการผลิตเพื่อให้แน่ใจว่ารถยนต์ไฟฟ้าของ GAC AION จะไม่มีข้อบกพร่อง และมีการสลับแบบเรียลไทม์ของการกำหนดค่า 10W+ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้หลายพันคน เราใช้ ‘การรวมการจัดเก็บแสง การชาร์จ และการเปลี่ยน’ การใช้พลังงานอย่างครอบคลุมเพื่อมอบ ‘โซลูชั่น AION’ สำหรับการเปลี่ยนแปลงสีเขียวของอุตสาหกรรมการผลิตของไทย

และคาดว่าในอนาคต โรงงานแห่งนี้จะกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้การพัฒนาขึ้นในประเทศไทย ผลักดันให้เกิดการจ้างงาน สร้างบุคลากรด้านเทคโนโลยีชั้นสูงสำหรับประเทศไทย และช่วยให้เกิดการหมุนเวียนของเศรษฐกิจของประเทศไทยอีกทางหนึ่ง

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้ GAC AION ประกาศว่า บริษัทได้ใช้งบประมาณสำหรับการลงทุนโรงงานแห่งนี้ไว้ที่ 2,300 ล้านบาท โดยเฟสแรกจะมีกำลังผลิตที่ 20,000 คันต่อปี และสามารถเพิ่มสูงสุดเป็น 70,000 คันต่อปีในอนาคต


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top