Friday, 23 May 2025
TheStatesTimes

‘นักวิทย์อิตาลี’ ค้นพบ ‘หลุมถ้ำยักษ์’ บนดวงจันทร์ คาด!! อาจเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ในอนาคตได้

(18 ก.ค.67) นักวิทยาศาสตร์ยืนยันการค้นพบถ้ำแห่งหนึ่งบนดวงจันทร์ อยู่ไม่ไกลจากจุดที่ ‘นีล อาร์มสตรอง’ และ ‘บัซ อัลดริน’ สองนักบินอวกาศสหรัฐฯ ลงจอดบนดวงจันทร์เมื่อ 55 ปีก่อน และคาดว่าน่าจะยังมีถ้ำลักษณะนี้อยู่อีกหลายร้อยแห่ง ซึ่งอาจใช้เป็นที่อยู่อาศัยสำหรับนักบินอวกาศได้

โดยเรื่องราวมีอยู่ว่า ทีมนักวิทยาศาสตร์อิตาลีรายงานเมื่อวันจันทร์ (15 ก.ค.) ว่า พบหลักฐานการมีอยู่ของถ้ำขนาดใหญ่ในบริเวณจุดที่เรียกว่า ‘ทะเลแห่งความสงบเงียบ’ (Sea of Tranquility) ซึ่งอยู่ห่างจากจุดลงจอดของยานอะพอลโล 11 ไปราว 400 กิโลเมตร

หลุมถ้ำดังกล่าวเกิดขึ้นจากการพังถล่มของท่อลาวา (lava tube) เช่นเดียวกับถ้ำลักษณะเดียวกันอีกกว่า 200 จุดที่พบในบริเวณนั้น

ทีมนักวิจัยได้วิเคราะห์ผลการตรวจวัดด้วยเรดาร์โดยยาน Lunar Reconnaissance Orbiter ขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐฯ (NASA) จากนั้นก็นำข้อมูลมาเปรียบเทียบกับท่อลาวาที่มีอยู่บนโลก โดยผลการศึกษานี้ถูกตีพิมพ์ลงในวารสาร Nature Astronomy

ข้อมูลจากเรดาร์เปิดเผยให้เห็นเฉพาะพื้นที่ส่วนหน้าของถ้ำใต้ดินซึ่งมีความกว้างอย่างน้อย 130 ฟุต (40 เมตร) และยาวหลายสิบเมตร หรืออาจจะมากกว่านั้น

“ถ้ำบนดวงจันทร์ยังคงเป็นปริศนามานานกว่า 50 ปี ดังนั้น การที่เราสามารถพิสูจน์ว่ามันมีอยู่จริงได้จึงเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นมาก” ลีโอนาร์โด คาร์เรอร์ และโลเรนโซ บรุซโซเน จากมหาวิทยาลัยเทรนโต ระบุในบทสัมภาษณ์ผ่านอีเมล

นักวิทยาศาสตร์ชี้ว่า หลุมถ้ำส่วนใหญ่ดูเหมือนจะตั้งอยู่บนที่ราบลาวาโบราณบนดวงจันทร์ และอาจจะมีอยู่บ้างบนขั้วใต้ของดวงจันทร์ ซึ่งเป็นจุดที่นาซาเตรียมส่งนักบินอวกาศไปสำรวจในช่วงปลายทศวรรษนี้ ขณะที่หลุมในเงามืดที่เชื่อกันว่าอาจมีน้ำแข็งสะสมอยู่ก็อาจเป็นแหล่งน้ำดื่มและใช้เป็นพลังงานเชื้อเพลิงสำหรับจรวดได้

ผลการศึกษายังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า หลุมถ้ำลักษณะนี้อาจมีอีกหลายร้อยแห่งบนดวงจันทร์ รวมถึงท่อลาวาอีกหลายพันจุด ซึ่งบางแห่งอาจใช้เป็นสถานที่พักพิงตามธรรมชาติสำหรับนักบินอวกาศเพื่อช่วยป้องกันพวกเขาจากรังสีคอสมิกและรังสีสุริยะ รวมไปถึงการตกของอุกกาบาตขนาดเล็ก

อย่างไรก็ตาม การสร้างที่อยู่อาศัยสำหรับมนุษย์บนดวงจันทร์อาจต้องใช้เวลานานและเป็นเรื่องท้าทายพอสมควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงความจำเป็นที่จะต้องเสริมความแข็งแกร่งของผนังถ้ำเพื่อป้องกันการพังถล่ม

หินและแร่ธาตุต่าง ๆ ที่พบในถ้ำเหล่านี้ยังอาจช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจวิวัฒนาการของดวงจันทร์ได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะในแง่ของกิจกรรมภูเขาไฟ

‘สสส.’ จับมือพันธมิตร มอบรางวัลเชิดชูบุคคล-องค์กรต้นแบบ สร้างสังคมแห่งการเรียนรู้และการรู้เท่าทันสื่อ ประจำปี 2567

เนื่องจากปัจจุบัน เด็กและเยาวชนกำลังเผชิญปัญหากับภัยคุกคามบนสื่อออนไลน์ที่มุ่งแสวงหาผลประโยชน์ทางเพศ เกม พนัน และการโฆษณาชวนเชื่อ โดยเฉพาะเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าที่มุ่งเป้าไปยังกลุ่มเยาวชนอย่างชัดเจน 

สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ สมาคมวิทยุและสื่อเพื่อเด็กและเยาวชน (สสดย.) จัดงานประกาศรางวัลดีเด่นด้านการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ และการรู้เท่าทันสื่อ ประจำปี 2567 ณ โรงแรมแกรนด์ริชมอน จังหวัดนนทบุรี หวังมุ่งพัฒนากลไกเฝ้าระวังสื่อที่สร้างผลกระทบเชิงลบต่อสังคม ยกระดับนวัตกรรมการสื่อสารให้เกิดระบบสื่อสุขภาวะ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดพลังบวกในการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ และการรู้เท่าทันสื่อสู่ทุกภาคส่วน 

ภายในงานประกอบด้วยกิจกรรมมากมาย ทั้งการแสดง และกิจกรรมเสวนาในหัวข้อ ‘แนวทางการสร้างการรู้เท่าทันสื่อ เพื่อสุขภาวะในสังคมไทย’ รวมถึงพิธีมอบรางวัล โดยการประกาศผลการประกาศระดับรางวัลโล่เกียรติยศ 4 ประเภท ได้แก่ 

1.) ประเภทบุคคล 
2.) ประเภทสถานศึกษา 
3.) ประเภทภาครัฐ 
4.) ประเภทภาคประชาสังคม 

โดยรางวัลการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ และการรู้เท่าทันสื่อประเภทบุคคลดีเด่นระดับรางวัลโล่เกียรติยศได้แก่ พลตำรวจตรีนิเวศน์ อาภาวศิน รอง.ผบช.สอท. 

รางวัลการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ และการรู้เท่าทันสื่อประเภทสถานศึกษาดีเด่นระดับรางวัลโล่เกียรติยศผู้ได้รับรางวัลได้แก่ โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ธนบุรี 

รางวัลการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ และการรู้เท่าทันสื่อประเภทองค์กรภาครัฐ ดีเด่นระดับรางวัลโล่เกียรติยศผู้ได้รับรางวัลได้แก่ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบูรณ์ เขต 3 

รางวัลการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ และการรู้เท่าทันสื่อประเภทภาคประชาสังคมดีเด่นระดับรางวัลโล่เกียรติยศผู้ได้รับรางวัลได้แก่ มูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทย

นอกจากนี้ผู้ได้รับรางวัลการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ระดับเกียรติบัตรประเภทบุคคลดีเด่น ได้แก่ 
1.รศ.ดร.พนม คลี่ฉายา 
2.อาจารย์เจนจิรา โพธิ์ชัย 
3. รองศาสตราจารย์ ดร.กุลทิพย์ ศาสตระรุจิ 
4. ดร.สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน 
5. ดร.ดนัย หวังบุญชัย 

รางวัลการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ระดับเกียรติบัตรประเภทสถานศึกษาดีเด่น ได้แก่ 
1. โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ธนบุรี จังหวัดกรุงเทพมหานคร 
2. โรงเรียนมัธยมสาธิตมหาวิทยาลัยนเรศวร จังหวัดพิษณุโลก 

รางวัลการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ระดับเกียรติบัตรประเภทองค์กรภาครัฐดีเด่น 
1. บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดมหาสารคาม กรมกิจการเด็กและเยาวชน ได้แก่ 
2. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบูรณ์ เขต 3 
3. สำนักงานส่งเสริมดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือดีป้า 
4. สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดศรีสะเกษ

รางวัลการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ระดับเกียรติบัตรประเภทภาคประชาสังคมดีเด่น ได้แก่
1. ศูนย์สร้างสรรค์ เพื่อเด็กเยาวชนและครอบครัว 
2. กลุ่ม Critizen 
3. สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแพทย์แห่งประเทศไทยในพระอุปถัมภ์ฯ

หลังจากนั้นได้มีกิจกรรมพิเศษสุดท้ายจากตัวแทนภาคเยาวชนนำโดยที่ได้มาเสนอความรู้สึกภายในงานฝากถึงภาคีเครือข่ายผ่านในงานให้นำเสียงที่เยาวชนนำเสนอ หวังสร้างความตระหนักรู้ในเรื่องความสำคัญของรู้เท่าทันกับสถานการณ์โลกยุคดิจิทัลต่อไป

โดยในงานประกาศรางวัลการรู้เท่าทันสื่อ ประจำปี 2567 ในครั้งนี้นั้นได้เปิดงานร่วมกันระหว่าง 3 ผู้จัดสำหรับผ่านคอนเซปต์ในการเปิดงานในครั้งคือเป็นการต่อจิ๊กซอว์สานพลังของทั้งสามหน่วยงานเติมเต็มความสมบูรณ์แบบร่วมกันพัฒนา โดยสีฟ้า ได้แก่ สสดย. สีส้มได้แก่ สสส. และสีน้ำเงินได้แก่ สช.

วิเคราะห์!! ชัยชนะ 'ฟอกขาวต่างด้าว' กระบวนการสมคบคิดของคนบางกลุ่ม ถ้าหากสำเร็จ!! หนี้บุญคุณจะถูกตอบแทนจากต่างด้าวอีกหลายรุ่น

คงปฏิเสธไม่ได้แล้วว่า วันนี้มีกลุ่มที่เคลื่อนไหวทางการเมืองบางกลุ่มร่วมมือกับ NGO และสื่อบางสื่ออย่างเป็นขบวนการ 'สมคบคิด' ที่จะผลักดันแผนฟอกขาวให้คนต่างชาติเข้ามามีสิทธิ์ในประเทศไทยโดยแลกกับคะแนนเสียงที่จะได้ในอนาคต  

โดยไม่นานมานี้ มีกลุ่มเรียกร้องทางการเมืองบางกลุ่มพยายามเคลื่อนไหวให้ต่างด้าวสามารถเลือกตั้งได้ ซึ่งหลังจากนั้นทาง กกต. ก็ได้ออกมาแถลงทันทีว่าต่างด้าวที่สามารถเลือกตั้งได้นั้น จะต้องผ่านการแปลงเป็นสัญชาติไทยหรือมีใบต่างด้าวเท่านั้น

ตรงนี้ถือเป็นการจุดประเด็นให้รู้ว่า หากเราต้องการให้ต่างชาติมาเลือกตั้งได้ ต้องมีข้อกำหนดอะไรบ้าง...

ต่อมาคือ 'กระบวนการฟอกขาว' การที่กลุ่ม NGO บางกลุ่มที่มีความสัมพันธ์กับพรรคการเมืองบางพรรค พยายามผลักดันให้เปิดศูนย์ CI เป็น 1 ในกระบวนการที่พยายามจะเอาคนต่างชาติบ้านใกล้เรือนเคียงประเทศไทยเข้ามาให้มากที่สุด โดยพยายามกดดันให้กระทรวงมหาดไทยรับรอง ด้วยการเปิดให้ต่างด้าวได้รับบัตรชมพูแบบไม่ได้สนใจว่า คนเหล่านั้นจะมีเอกสารถูกต้องหรือไม่ โดยอ้างเหตุผลในเรื่องลดความซ้ำซ้อนของแรงงาน 

แต่ก่อนอื่นทุกคนต้องเข้าใจก่อนว่า 'บัตรชมพู' เป็นความรับผิดชอบโดยกระทรวงมหาดไทย ไม่ใช่กระทรวงแรงงาน...

ดังนั้นการอ้างเรื่องแรงงาน จึงไม่ใช่เหตุผลจริงในการทำบัตรชมพู แต่การทำบัตรชมพูคือ 'การยอมรับว่ามีคนที่ไม่ใช่เป็นคนสัญชาติไทยชื่อนี้ อาศัยอยู่ในประเทศไทย' พูดง่าย ๆ ก็เหมือนเป็นบัตรประชาชนของคนต่างชาติ 

หมายความว่า การได้มาของบัตรชมพู หากไม่ถูกต้องหรือปราศจากพาสปอร์ตที่ออกโดยฝั่งเมียนมาและการเก็บอัตลักษณ์เป็นลายนิ้วมือหรือม่านตาแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นก็จะเป็นอย่างที่ เอย่า เคยกล่าวไปแล้วคือ...

- การเวียนว่ายตายเกิดของคนต่างด้าวคนนั้น กล่าวคือ 1 คนแต่มีบัตรชมพูหลายใบ โดยใช้ตัวสะกดต่างกันแค่อักษรบางคำ เอย่าจะยกตัวอย่างให้ดู เช่น นางอ่อนคำ มีบัตรชมพูใบที่ 1 ชื่อ Nang On Kham ในบัตรชมพูใบที่ 2 จะชื่อ Nann On Kham และบัตรชมพูใบที่ 3 จะชื่อ Nan Orn Kam เป็นต้น

- การเปลี่ยนสัญชาติ หลายคนกล่าวว่า การได้มาซึ่งสัญชาติไทยนั้นยากมาก แต่คนบางกลุ่มการได้มากลับไม่ได้ยากอย่างที่คิด เพราะในการปฏิบัติกับทางกฎหมายที่ระบุมันต่างกัน เอย่าคิดว่าหากถามประเด็นนี้คงไม่ยาก ลองไปดูตามจังหวัดที่ติดชายแดนไทยจะทราบว่า หลายครอบครัวมีการได้มาซึ่งบัตรประชาชนอย่างไร อีกทั้งชาวเมียนมาบนโซเชียลหลายคนก็เคยพิมพ์บอกชาวเมียนมาด้วยกันว่า 'การได้สัญชาติไทยไม่ใช่เรื่องยาก หากมีเงินแสนก็สามารถมีสัญชาติไทยได้'

ปัจจุบันการขอสัญชาติไทยไม่ใช่เรื่องยาก หากดูจากกฎหมายและระเบียบการขอสัญชาติไทยปี 2566 ระบุไว้ว่า ผู้ประสงค์จะขอแปลงสัญชาติเป็นไทยต้องมีคุณสมบัติดังนี้...

• บรรลุนิติภาวะแล้วตามกฎหมายประเทศไทย (อายุ 20 ปี) และกฎหมายที่ผู้สมัครมีสัญชาติ

• ได้รับอนุญาตให้อยู่ในประเทศไทย โดยมีใบสำคัญถิ่นที่อยู่ หรือใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว หรือมีชื่ออยู่ในทะเบียนราษฎร

• อาศัยอยู่ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 5 ปี จากวันที่ระบุไว้ในใบสำคัญถิ่นที่อยู่ หรือใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว หรือทะเบียนราษฎร

• มีอาชีพสุจริต โดยมีใบอนุญาตทำงาน/หนังสือรับรองการประกอบอาชีพที่ออกโดยสำนักบริหารแรงงานต่างด้าว หรือสำนักงานจัดหางานจังหวัด โดยมีรายได้ขั้นต่ำดังนี้

• กรณีที่ผู้สมัครไม่มีความสัมพันธ์ใดกับประเทศไทย จะต้องมีรายได้ไม่น้อยกว่า 80,000 บาท/เดือน

• กรณีที่ผู้สมัครมีคามสัมพันธ์กับประเทศไทย เช่นแต่งงานกับชาวไทย หรือมีบุตรที่มีสัญชาติไทย หรือจบการศึกษาในระดับอุดมศึกษาจากสถาบันศึกษาในประเทศไทย จะต้องมีรายได้ไม่น้อยกว่า 40,000 บาท/เดือน

• มีหลักฐานการจ่ายภาษีเงินได้ไม่ต่ำกว่า 3 ปี

• มีความประพฤติดี โดยผ่านการตรวจสอบประวัติอาชญากรรมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 

• มีความรู้ด้านภาษาไทย สามารถร้องเพลงชาติไทย และเพลงสรรเสริญพระบารมีได้

ลองคิดดูว่า หากวันนี้เรามีการทำบัตรชมพูให้แรงงานเข้ามา แล้วแรงงานเหล่านั้น 'มีลูก' ภายใต้นโยบายของรัฐบาลล่าสุดที่ให้เรียนฟรี 15 ปี ไม่เก็บค่าใช้จ่าย ... เด็กทุกคนที่แค่อาศัยในประเทศไทยมีสิทธิและโอกาสศึกษาเข้าเรียนเสมอภาค ก็จะทำให้ลูกที่เกิดจากแรงงานเหล่านั้น สามารถเข้าเรียนในไทยได้และสามารถเรียนรู้ภาษาไทยได้อย่างชนิดที่เรียกว่าเป็นคนไทยคนหนึ่งเลยทีเดียว ... สุดท้ายพอลูกของแรงงานอายุ 20 ปี พอดีกับมีองค์กรใด ๆ มาโอบอุ้มการขอสัญชาติไทย ก็คงจะไม่ยากเย็นเท่าไรนัก และหลังจากนั้นบุญคุณระยะยาวนี้ จะถูกตอบแทนกลับไปจากคนต่างด้าวเหล่านั้นอีกกี่รุ่น เอย่าคงไม่ขอบรรยายนะ...

อันที่จริง เอย่า ก็ไม่ได้ระบุว่า นี่จะเกิดเฉพาะแค่คนเมียนมาเท่านั้น แต่สามารถเกิดขึ้นได้หมดกับคนต่างด้าวที่อยากจะหนีความแร้นแค้นในประเทศตนเองมาหาโอกาสที่ดีกว่าในประเทศไทย เพราะประเทศไทยเป็นประเทศแห่งโอกาส แต่โอกาสนั้นควรเป็นคนต่างด้าวหรือต่างชาติที่เข้ามาอย่างถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น

มิฉะนั้น จะมีกรณีที่เกิดขึ้น ดังที่เคยเป็นข่าวที่ว่า นายจ้างชาวอิหร่านและภรรยาหญิงไทยถูกลูกจ้างชาวเมียนมาฆ่าตาย เสร็จแล้วลูกจ้างก็หนีไปมอบตัวว่าเข้าเมืองผิดกฎหมายให้ ตม. ไทยผลักดันกลับเมียนมา และสุดท้ายก็หนีไปอย่างลอยนวล 

เฉกเช่นเดียวกันกับคดีฆาตกรรมอดีตทูตไทยประจำกรุงโคเปนเฮเกน ที่คนร้ายก็เป็นชาวเมียนมา และเมื่อสังหารแล้วก็หลบหนีข้ามฝั่งไปยังเมียนมาอย่างลอยนวลยังจับไม่ได้จนทุกวันนี้

‘แกร็บ’ ชวนคนไทยเชียร์ ‘นักกีฬาไทย’ สู้ศึกโอลิมปิก-พาราลิมปิกเกมส์ 2024 พร้อมเตรียมรางวัลอัดฉีดผู้คว้าเหรียญทอง สามารถใช้บริการฟรีตลอดทั้งปี

(18 ก.ค.67) แกร็บ ประเทศไทย ประกาศสนับสนุน การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ผุดแคมเปญใหญ่ ‘Grab Your Goal มากกว่าเส้นชัย คือกำลังใจจากคุณ’ เพื่อส่งแรงใจเชียร์ทัพนักกีฬาทีมชาติไทยสู้ศึกการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก และพาราลิมปิกเกมส์ ปารีส 2024 โดยเตรียมจัดขบวนพาเหรด พร้อมด้วยอาหารร้านดังจาก #GrabThumbsUp บน GrabFood และบัตรกำนัล GrabGift เพื่อต้อนรับและแสดงความยินดีกับนักกีฬาทีมชาติไทยหลังเดินทางกลับจากการแข่งขัน เสริมทัพด้วยรางวัลอัดฉีดให้กับนักกีฬาไทยที่คว้าเหรียญทอง ด้วยการมอบบัตรกำนัลมูลค่ากว่า 180,000 บาท เพื่อใช้บริการแกร็บฟรีตลอดปี

นอกจากนี้ ยังชวนคนไทยร่วมส่งแรงเชียร์นักกีฬาทีมชาติด้วยการมอบโค้ดส่วนลดพิเศษสำหรับการสั่งอาหาร ซื้อสินค้า และการเดินทางผ่านแอปพลิเคชัน Grab ตลอดระยะเวลาการแข่งขัน ระหว่างวันที่ 26 กรกฎาคม-11 สิงหาคม 2567 

ด้าน นายวรฉัตร ลักขณาโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า “แกร็บ รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมสนับสนุนการกีฬาแห่งประเทศไทย ในการจัดเตรียมการเฉลิมฉลองต้อนรับนักกีฬาทีมชาติไทยหลังจบเกมส์การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก และพาราลิมปิกเกมส์ ปารีส 2024 นักกีฬาทีมชาติไทยทุกคนถือเป็นตัวแทนประเทศและเป็นไอดอลคนสำคัญที่ได้สร้างความหวังและแรงบันดาลใจให้กับผู้คนมากมาย ทั้งยังมีส่วนในการสร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จักในระดับโลก ในฐานะแพลตฟอร์มที่มุ่งมั่น ยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน แกร็บขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการยกย่องและสนับสนุนบุคคลตัวอย่างเหล่านี้ โดยเราเตรียมจัดขบวนรถต้อนรับทัพนักกีฬาไทยอย่างยิ่งใหญ่ ที่มาพร้อมเซตอาหารไทยจากสุดยอดร้านอาหารจาก #GrabThumbsUp บน GrabFood ไม่ว่าจะเป็น Emily’s เส้นหมี่ไก่ฉีกที่เป็นกระแสไวรัล เจ๊แดง ส้มตำไก่ย่างร้านเด็ด Easy Buddy ข้าวกะเพราวัตถุดิบคุณภาพ ร้านโคตรยำ ยำสุดแซ่บ และ HAAB ขนมไข่เตาถ่านเจ้าดังสูตรต้นตำรับจากสงขลา พร้อมด้วยบัตรกำนัล GrabGift เพื่อให้นักกีฬาสามารถนำไปใช้บริการต่างๆ ของแกร็บได้ นอกจากนี้ เรายังได้เตรียมรางวัลพิเศษให้กับนักกีฬาที่คว้าเหรียญทองกลับมา ด้วยการมอบบัตรกำนัลมูลค่ากว่า 180,000 บาท เพื่อนำไปใช้เรียกรถและสั่งอาหารผ่านแกร็บได้ฟรีตลอดทั้งปี”

ด้าน ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) กล่าวเสริมว่า “การกีฬาแห่งประเทศไทย มีพันธกิจสำคัญในการพัฒนานักกีฬาไทยเพื่อยกระดับขึ้นไปเทียบเท่าระดับสากล โดยในปีนี้ ประเทศไทยส่งตัวแทนนักกีฬาทีมชาติ เพื่อเข้าร่วมการแข่งโอลิมปิกเกมส์ จำนวน 17 ชนิดกีฬา อาทิ เทควันโด มวยสากล และยกน้ำหนัก ในส่วนของพาราลิมปิกเกมส์ จำนวน 13 ชนิดกีฬา อาทิ ยิงธนู แบดมินตัน และจักรยาน นอกจากเสียงเชียร์จากคนไทยนับล้านที่คอยให้กำลังใจนักกีฬาทุกคนระหว่างการแข่งขันแล้ว การสนับสนุนจากทุกภาคส่วนก็ถือเป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนสำคัญที่จะช่วยพัฒนาและส่งเสริมวงการกีฬาไทย กกท. ขอขอบคุณหน่วยงานภาคเอกชนอย่าง แกร็บ ประเทศไทย ที่ได้ให้การสนับสนุนนักกีฬาในครั้งนี้ ทั้งอาหารที่ช่วยให้นักกีฬาได้ฟื้นฟูกำลังอย่างเต็มที่ และขบวนพาเหรดที่จะต้อนรับนักกีฬาอย่างอบอุ่น  ซึ่งถือเป็นการสร้างกำลังใจและความภาคภูมิใจให้กับกองทัพนักกีฬาไทยได้เป็นอย่างดี”

นอกจากนี้ เพื่อต้อนรับกระแสเชียร์กีฬาระดับโลก แกร็บชวนคนไทยร่วมส่งแรงใจเชียร์ทัพนักกีฬาไทยในศึกการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก และพาราลิมปิกเกมส์ ปารีส 2024 ด้วยการมอบส่วนลดสุดพิเศษสำหรับผู้ใช้บริการ เพียงใส่โค้ด ‘CHEERTHAI’ เมื่อใช้บริการ GrabFood รับส่วนลดสูงสุด 100 บาท บริการ GrabMart รับส่วนลดทันที 30 บาท และบริการการเดินทาง อาทิ JustGrab และ GrabCar รับส่วนลดสูงสุด 50 บาท ตั้งแต่วันที่ 26 กรกฎาคม - 11 สิงหาคม 2567 นี้ 

อย่างไรก็ตาม แกร็บ (Grab) คือ ผู้นำซูเปอร์แอปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งให้บริการทั้งด้านเดลิเวอรี บริการการเดินทางและบริการทางการเงินดิจิทัล ครอบคลุมกว่า 700 เมืองใน 8 ประเทศ อันได้แก่ กัมพูชา อินโดนีเซีย มาเลเซีย เมียนมาร์ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม ในทุก ๆ วันแกร็บได้ช่วยอำนวยความสะดวกผู้คนนับล้านให้สามารถเข้าถึงบริการต่าง ๆ ได้ภายในแอปพลิเคชันเดียว ไม่ว่าจะเป็น การสั่งอาหาร การสั่งซื้อสินค้าและของชำ การจัดส่งพัสดุเอกสาร การเรียกรถรับ-ส่งหรือแท็กซี่ ไปจนถึงการทำธุรกรรมทางการเงินออนไลน์ ทั้งการขอสินเชื่อและการทำประกัน ทั้งนี้ แกร็บก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2555 ด้วยวิสัยทัศน์ที่มุ่งขับเคลื่อนภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปข้างหน้า ผ่านการสร้างโอกาสและส่งเสริมศักยภาพทางเศรษฐกิจให้กับทุกคน และยึดมั่นเจตนารมณ์ในการดำเนินธุรกิจที่มุ่งสร้างผลประกอบการที่แข็งแกร่งให้กับผู้ถือหุ้น ควบคู่ไปกับการสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อมทั่วทั้งภูมิภาค

‘แรงงาน’ งัดแผนอุ้ม ‘แรงงาน-ผู้ประกอบการ’ อ่วมพิษเศรษฐกิจ-ปิดโรงงาน ดัน 'Expo รับตำแหน่งงานหลักแสน-ลดดอกเบี้ยเงินกู้-ภาษี' แบบเร่งด่วน

(18 ก.ค. 67) นายภูมิพัฒน์ เหมือนจันทร์ โฆษกกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ขณะนี้ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กำลังเร่งผลักดัน มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และ มาตรการเยียวยาแรงงาน รวมไปถึงผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น การเพิ่มขึ้นของดอกเบี้ย การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี การย้ายฐานการผลิต และการนำเข้าสินค้าจากจีน

สำหรับมาตรการเยียวยาผู้ประกอบการและแรงงาน มีทั้งการสนับสนุนทางการเงินและสวัสดิการ เช่น จ่ายเงินทดแทนการขาดรายได้กรณีว่างงาน 50% ของค่าจ้างเฉลี่ย ครั้งละไม่เกิน 180 วันต่อปีปฏิทิน จ่ายเงินสงเคราะห์ลูกจ้างกรณีที่นายจ้างเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าชดเชย

รวมทั้งการลดค่าใช้จ่ายของผู้ประกันตนที่ผ่อนชำระค่าที่อยู่อาศัยกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ให้สามารถใช้สิทธิลดดอกเบี้ยเงินกู้ หรือรีไฟแนนซ์กับสถาบันการเงินอื่น รวมถึงการสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อแก้ปัญหาหนี้สินแก่ผู้ประกันตนตามโครงการ Micro Finance ลดหนี้ เติมทุน สร้างสุขแรงงาน และนำไปลงทุนในธุรกิจแฟรนไชส์ 

อีกทั้งยังได้จัดตั้งสถาบันเฉพาะทางด้านเทคนิคอัจฉริยะ เช่น การผลิตอัตโนมัติและหุ่นยนต์ เทคโนโลยีอัตโนมัติและเทคคาทรอนิกส์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของแรงงานและผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมต่าง ๆ รวมทั้งลดหย่อนภาษีให้กับสถานประกอบการที่ดำเนินการพัฒนาทักษะลูกจ้างในองค์กรด้วย

ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ กระทรวงแรงงาน ได้เร่งสร้างงานในประเทศ จัดมหกรรม Job Expo Thailand 2024 มียอดสมัครงานกว่า 110,000 คน จับคู่การจ้างงานผ่านแพลตฟอร์ม ‘คนทำงาน’ เพื่อรองรับผู้ถูกเลิกจ้างที่ต้องการทำงานแบบฟรีแลนซ์ จับคู่การจ้างงานผ่านแพลตฟอร์ม ‘ไทยมีงานทำ’ มีตำแหน่งงานรองรับทั่วประเทศกว่า 177,000 อัตรา และจัดตลาดนัดแรงงานทุกจังหวัด 

รวมทั้งขยายตลาดแรงงานในต่างประเทศ เช่น ซาอุดิอาระเบีย กาตาร์ จอร์แดน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ โปรตุเกส และเปิดตลาดใหม่ในอิตาลี เพื่อส่งแรงงานไปทำงานภาคเกษตร โดยในปีนี้มีเป้าหมายจัดส่งแรงงานไปต่างประเทศ 100,000 คน คาดว่าจะนำรายได้กลับสู่ประเทศ 385,617 ล้านบาท 

นายภูมิพัฒน์ กล่าวว่า รมว.แรงงาน ต้องการให้กระทรวงแรงงานมีบทบาทสำคัญเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ เพราะเราดูแลแรงงานทั้งในระบบและนอกระบบมากกว่า 10 ล้านคน โดยจะทำงานร่วมกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องผลักดันมาตรการเหล่านี้ให้สำเร็จ เพื่อช่วยให้ผู้ใช้แรงงานและผู้ประกอบการก้าวข้ามผ่านวิกฤตต่าง ๆ ไปได้ด้วยดีและสนองนโยบายของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจ 

‘ไทย-มาเลเซีย’ เตรียมกระชับความสัมพันธ์ด้านการค้า-การลงทุน มุ่งการเติบโตระดับภูมิภาค ผ่านการประชุมสุดยอดมาเลเซีย-จีน 67

(18 ก.ค. 67) การประชุมสุดยอดมาเลเซีย-จีน ปี 2567 (Malaysia-China Summit (MCS) 2024) ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นในช่วงปลายปีนี้ จะเป็นเวทีที่นำเสนอโอกาสครั้งสำคัญให้ผู้ประกอบธุรกิจไทยได้ส่งเสริมการค้าและการลงทุน ไม่ใช่แค่เพียงกับมาเลเซียเท่านั้น แต่ยังรวมถึงประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศจีนด้วย

ดาโต๊ะ ดร. ตัน ยู ชอง (Dato’ Dr. Tan Yew Chong) กรรมาธิการจัดงาน MCS 2024 กล่าวว่า อุตสาหกรรมต่าง ๆ ของไทยจะได้รับประโยชน์จากการพบปะพูดคุยกับผู้จัดแสดงสินค้ามากกว่า 500 ราย และผู้แทนการค้า 10,000 รายจากมาเลเซีย จีน และอาเซียน ในการประชุมสุดยอดครั้งนี้

“ทุกท่านไม่ควรพลาดโอกาสในการเข้าร่วมการจับคู่ทางธุรกิจ การประชุมอุตสาหกรรม การเสวนา การพบปะพูดคุยและสานสัมพันธ์ รวมถึงการแบ่งปันความรู้ในการประชุมสุดยอดครั้งนี้ ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมความร่วมมือและการทำงานร่วมกันในภูมิภาค” เขากล่าวในงาน MCS 2024: Networking Engagement Series ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงเทพฯ ในวันนี้ (17 ก.ค.)

สำหรับการประชุมสุดยอดมาเลเซีย-จีน ปี 2567 จะจัดขึ้นในหัวข้อ ‘Prosperity Beyond 50’ ภายในงานประกอบด้วยมหกรรมการค้าและการลงทุนนานาชาติระยะเวลา 3 วัน และการประชุมผู้นำระยะเวลา 2 วัน ซึ่งให้ความสำคัญกับ 5 หัวข้อหลัก ได้แก่ เทคโนโลยีแห่งอนาคต (Future Tech), ความรู้และประสบการณ์แห่งอนาคต (Future Knowledge and Experience), การเดินทางและการเชื่อมต่อแห่งอนาคต (Future Mobility & Connectivity), การเติบโตในอนาคต (Future Growth) และโอกาสในอนาคต (Future Opportunity) โดยมุ่งเน้นไปที่ภาคส่วนหลักมากกว่า 20 ภาคส่วนที่มีความสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาค

อุตสาหกรรมต่าง ๆ ของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์ พลังงานหมุนเวียน ยานยนต์ไฟฟ้า สินค้าโภคภัณฑ์ บริการระดับโลก การท่องเที่ยว การศึกษา โครงสร้างพื้นฐานการเชื่อมต่อระดับภูมิภาค อิเล็กทรอนิกส์ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและการแพทย์ การผลิตขั้นสูง อาหารและเครื่องดื่ม อุตสาหกรรมฮาลาล แฟรนไชส์ และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม จะได้รับโอกาสมากมายในการสร้างความร่วมมือและการเติบโตในการประชุมสุดยอดครั้งนี้

การประชุมสุดยอดมาเลเซีย-จีน ปี 2567 จัดขึ้นโดยบริษัท คิวบ์ อินทิเกรตเต็ด มาเลเซีย (Qube Integrated Malaysia) ร่วมกับบรรษัทพัฒนาการค้าต่างประเทศมาเลเซีย (MATRADE) เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างมาเลเซียกับจีน ขณะเดียวกันก็เป็นการส่งเสริมความร่วมมือระดับภูมิภาคและแสดงจุดแข็งร่วมกันของอาเซียน เนื่องในโอกาสที่มาเลเซียจะได้ดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนในปี 2568 

ทั้งนี้ การประชุมสุดยอดจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 17-19 ธันวาคม 2567 ณ ศูนย์นิทรรศการและการค้าระหว่างประเทศของมาเลเซีย (MITEC) ในกรุงกัวลาลัมเปอร์

นายโมฮาเหม็ด ฮาฟิซ มูฮัมหมัด ชาริฟฟ์ (Mr. Mohamed Hafiz Md Shariff) กรรมาธิการการค้าประจำกรุงเทพฯ ของ MATRADE กล่าวว่า “MCS 2024 มอบโอกาสที่ไม่เคยมีมาก่อนให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจ ในการมีส่วนร่วม การทำงานร่วมกัน และการสำรวจเส้นทางการเติบโตใหม่ ๆ ร่วมกับคู่ค้าจากมาเลเซีย จีน และอาเซียน”

“เนื่องจากมีผู้จัดแสดงสินค้าและผู้เข้าร่วมงานเป็นจำนวนมากจากหลากหลายภาคส่วน ส่งผลให้ผู้ประกอบธุรกิจไทยสามารถขยายขอบเขตการเข้าถึงตลาด สร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ ตลอดจนรับทราบข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มและเทคโนโลยีใหม่ ๆ” เขากล่าว

พร้อมกันนี้ เขาได้ชี้ให้เห็นว่า การประชุมสุดยอดครั้งนี้มุ่งมั่นสร้างโอกาสทางการค้าและการลงทุนคิดเป็นมูลค่าอย่างน้อย 2 พันล้านริงกิต ตลอดจนมอบโอกาสมากมายให้แก่อุตสาหกรรมไทยในการสร้างสรรค์นวัตกรรม สร้างความหลากหลายให้กับธุรกิจ รวมทั้งคว้าประโยชน์จากการประสานความร่วมมือระหว่างตลาดมาเลเซียกับตลาดจีน

ในการกล่าวสุนทรพจน์หลัก ดาตุ๊ก โจจี แซมูเอล (Datuk Jojie Samuel) เอกอัครราชทูตมาเลเซียประจำราชอาณาจักรไทย ได้เชิญชวนอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในประเทศไทยมาร่วมกันเสริมสร้างการค้าทวิภาคีกับมาเลเซีย เพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกันของทั้งสองประเทศ นั่นคือ การสร้างการค้ามูลค่ารวม 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2570

ทั้งสองประเทศต่างให้คำมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ซึ่งตอกย้ำถึงเหตุผลสำคัญที่ทำให้ผู้ประกอบธุรกิจไทยต้องเข้าร่วมงาน MCS 2024 “เป้าหมายอันยิ่งใหญ่นี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของเราในการขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจและสำรวจโอกาสการลงทุนใหม่ ๆ ระหว่างทั้งสองประเทศ” เอกอัครราชทูตมาเลเซียกล่าว

นอกจากนี้ เขาได้เน้นย้ำถึงความสัมพันธ์ทางการค้าทวิภาคีที่แน่นแฟ้นระหว่างมาเลเซียกับไทย โดยกล่าวว่าไทยเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับ 4 ของมาเลเซียในระดับโลก และเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับ 2 ในอาเซียน ขณะที่มาเลเซียเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของไทยในอาเซียน

การพึ่งพาซึ่งกันและกันเช่นนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่มีนัยสำคัญ ตลอดจนโอกาสในการสร้างความร่วมมือที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

“ในช่วงปี 2560-2566 มาเลเซียและไทยยังคงรักษาความสัมพันธ์ทางการค้าทวิภาคีที่แข็งแกร่ง ด้วยมูลค่าการค้าเฉลี่ย 2.473 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี แม้ว่าจะลดลงเล็กน้อยในปี 2566 อันเนื่องมาจากการค้าโลกชะลอตัว แต่มาเลเซียยังคงเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทยในอาเซียน” เขากล่าวเสริม

“สำหรับในช่วงเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2567 การค้าระหว่างมาเลเซียกับไทยมีมูลค่ารวม 9.76 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (4.616 หมื่นล้านริงกิต) โดยมีมูลค่าการส่งออก 5.02 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (2.374 หมื่นล้านริงกิต) และมูลค่าการนำเข้า 4.74 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (2.242 หมื่นล้านริงกิต)” เอกอัครราชทูตมาเลเซียกล่าว

นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตมาเลเซียยังเน้นย้ำถึงจุดแข็งของมาเลเซียในการส่งออกสินค้าจำเป็นให้กับประเทศไทย เช่น อุปกรณ์ไฟฟ้า สินค้าเพื่อสุขภาพ และผลิตภัณฑ์ฮาลาล เพื่อรองรับชาวมุสลิมจำนวนมากในไทย

“การประชุมสุดยอดครั้งนี้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของเราที่อยากเห็นภูมิภาคอาเซียนที่เจริญรุ่งเรืองและเชื่อมโยงกันด้วยการค้าและการลงทุนที่แข็งแกร่ง โดยงานนี้จะเป็นเวทีอันทรงพลังที่ช่วยเพิ่มโอกาสให้กับผู้ประกอบธุรกิจทั่วทั้งภูมิภาค” เขาเน้นย้ำ

นอกจากนี้ เขายังตอกย้ำถึงบทบาทที่สำคัญของประเทศไทยในการผลักดันความร่วมมือระดับภูมิภาคและการเติบโตทางเศรษฐกิจ “ในฐานะสมาชิกผู้ร่วมก่อตั้งอาเซียน มาเลเซียและไทยได้ร่วมมือกันอย่างต่อเนื่องเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ การบูรณาการ และเสถียรภาพของภูมิภาค เมื่อร่วมมือกัน เราสามารถต่อยอดความสำเร็จของอาเซียน ด้วยการส่งเสริมเศรษฐกิจที่มีความยืดหยุ่น ธุรกิจที่มีความสามารถในการแข่งขัน และภูมิภาคที่มีความเป็นเอกภาพ”

สำหรับกิจกรรม MCS 2024: Networking Engagement Series ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงเทพฯ มีผู้เข้าร่วมงานทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชนรวม 200 คน โดยมีนายเย็บ ซู ชวน (Mr. Yeap Swee Chuan) ประธานกิตติมศักดิ์ของสภาหอการค้ามาเลเซีย-ไทย และแอร์เอเชีย (AirAsia) มาร่วมเป็นวิทยากรภายในงาน

ทั้งนี้ แอร์เอเชียเป็นพันธมิตรสายการบินอย่างเป็นทางการของงาน MCS 2024 ส่วนพันธมิตรเชิงกลยุทธ์รายอื่น ๆ ได้แก่ การท่องเที่ยวมาเลเซีย, สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการมาเลเซีย, สภาธุรกิจมาเลเซีย-จีน, สภาหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งชาติมาเลเซีย, สภาหอการค้ามาเลเซีย-จีน, สภาหอการค้าวิสาหกิจจีนในมาเลเซีย, MAYCHAM China, สภาหอการค้าและอุตสาหกรรมอาเซียน และ Persatuan Muafakat One Belt One Road ในขณะที่พันธมิตรสื่อประกอบด้วย เบอร์นามา (Bernama), เดอะสตาร์ (The Star) และ ซินจิวเดลี (Sin Chew Daily)

‘ชาวสมุทรสาคร’ เฮ!! พบฝูงปลากระบอกนับหมื่นตัวในแม่น้ำ เชื่อ!! ‘ปลาหมอคางดำ’ เริ่มน้อยลง-ระบบนิเวศกำลังฟิ้นกลับมา

(18 ก.ค. 67) รายงานข่าวระบุว่า นายเผดิม รอดอินทร์ ประมงจังหวัดสมุทรสาคร ได้ออกเรือตรวจผ่านมาบริเวณหน้าวัดกำพร้า อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร พบฝูงลูกปลากระบอกฝูงใหญ่จำนวนมากนับหมื่น ๆ ตัวว่ายล้อมโป๊ะหน้าวัดกำพร้า และว่ายลอยตัวอยู่ในแม่น้ำ สร้างความดีใจให้กับทุกคนที่ได้เห็นฝูงปลากระบอกกลับคืนสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ

ลุงเล็ก ประธานประมงพื้นบ้าน บอกว่า การที่เห็นปลากระบอกจำนวนหลายหมื่นตัวว่ายให้เห็นแบบนี้ ชี้ให้เห็นว่าปลาหมอคางดำ ได้ลดน้อยเบาบางลงแล้ว เพราะถ้าปลาหมอคางดำ ยังมีจำนวนมากอยู่ปลากระบอกจะไม่ออกมาว่ายลอยให้เห็นอย่างนี้แน่นอน ปลากระบอกฝูงนี้ถือเป็นฝูงแรกที่กลับมาให้เห็นกัน เราไม่ได้เห็นอย่างนี้กันมานานแล้ว การที่ปลากระบอกเข้ามาอยู่บริเวณปากอ่าวนี้แล้ว อีกหน่อยก็จะกลับเข้าคืนสู่แม่น้ำลำคลองซอกซอยได้ต่อไประบบนิเวศก็จะได้กลับคืนมา

นายเผดิม รอดอินทร์ ประมงจังหวัดสมุทรสาคร ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า การที่เราได้พบฝูงปลากระบอกเป็นตัวบ่งชี้อย่างหนึ่งว่าความอุดมสมบูรณ์ส่วนหนึ่งที่เราพยายามทำมาตลอด 5-6 เดือนที่ผ่านมามันเริ่มกลับมาแล้วถ้าเราทำต่อเนื่องตนเชื่อนะว่าบ้านเราต้องกลับมาอุดมสมบูรณ์เหมือนเดิมระบบนิเวศต้องกลับคืนมาโดยเร็ว

‘ดร.หิมาลัย’ เผย ‘พีระพันธุ์’ ทุ่มเทแก้ปัญหาพลังงานให้เป็นธรรม ชูกลยุทธ์ ‘ระบบสำรองน้ำมัน’ ไว้ใช้ยามเกิดวิกฤตนาน 90 วัน

เมื่อวานนี้ (17 ก.ค.67) ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เปิดเผยว่า นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พลังงาน และหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นผู้ทุ่มเทในการแก้ปัญหาราคาพลังงาน ที่ต้นเหตุ เพื่อทำให้เป็นพลังงานที่มั่นคงเป็นธรรมและยั่งยืน โดยได้มีการแก้ไขกฎหมายและจะแก้ไขหลายฉบับเพื่อทำให้ระบบต้นทุนพลังงานมีความโปร่งใสมากขึ้น โดยโครงสร้างราคาน้ำมันที่ผู้ประกอบต้องแจ้งต้นทุนน้ำมันจริง และกองทุนน้ำมันสำรอง ช่วยลดภาระค่าน้ำมันเชื้อเพลิงรายวัน แก้น้ำมันราคาแพงที่ประชาชนต้องแบกรับตามภาวะขึ้นลงของราคาน้ำมันโลก สร้างระบบราคาน้ำมันเป็นธรรมที่ช่วยเหลือประชาชนอย่างแท้จริง

ดร.หิมาลัย กล่าวว่า นายพีระพันธุ์ มีแผนจะทำระบบสำรองน้ำมันเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อความมั่นคงด้านพลังงาน และจะแก้ไขปรับเปลี่ยน จากที่เคยเก็บภาษีเข้ากองทุนน้ำมันพลังงานเป็นเงิน แต่จะเปลี่ยนเป็นการจ่ายเป็นน้ำมันแทน เพื่อนำมาเก็บสำรองในคลังน้ำมันสำรอง เพื่อความมั่นคง เพื่อมีไว้ใช้หากเกิดวิกฤต นาน 90 วัน

โดย นายพีระพันธ์ เล็งที่จะใช้ศูนย์ปิโตรเลียมภาคเหนือ กรมการพลังงานทหาร สำนักปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็นบ่อน้ำมันทหาร และทำเรื่องน้ำมันทหารมายาวนาน ที่อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นพื้นที่สร้างคลังสำรองเพื่อความมั่นคง

ทั้งนี้ มีรายงานว่า นายพีระพันธ์ุ ได้เคยเดินทางลงพื้นที่ไปตรวจสอบพื้นที่และระบบการทำงาน ของตลาดน้ำมัน อาหาร และสถานที่มาแล้ว และมีแผนที่จะพัฒนาโรงกลั่นทหาร โดยใช้งบ 300 ล้านบาท เพื่อทำให้โรงกลั่นน้ำมันทหารสามารถกลั่นน้ำมันดีเซล ที่ได้มาตรฐาน Euro 5 ของกรมธุรกิจพลังงาน เนื่องจากปัจจุบันน้ำมันทหาร ซึ่งเป็นน้ำมันดีเซล แต่มีค่ากำมะถันสูง

ดร.หิมาลัย เปิดเผยว่า ขณะนี้ นายพีระพันธุ์ เดินทางไปยังซาอุดีอาระเบีย เพื่อชวนให้มาลงทุน ธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน

“เรื่องนี้ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการทำให้สำเร็จ และอาจจะเป็นเรื่องเข้าใจยาก ท่านพีระพันธ์ุ เป็นสุภาพบุรุษทางการเมือง ไม่เคยโอ้อวดตนเอง มุ่งมั่นตั้งใจทำงานเพื่อพี่น้องประชาชนอย่างเดียว” ดร.หิมาลัย กล่าว

‘รมว.ปุ้ย’ กำชับ ‘กรมโรงงานฯ’ ติดตามสถานที่เก็บไซยาไนด์ต่อเนื่อง ย้ำ!! เข้มงวดการขึ้นทะเบียน-ใช้ผิดประเภทดำเนินคดีตาม กม.สูงสุด

เมื่อวานนี้ (18 ก.ค. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวถึงมาตรการป้องกันวัตถุอันตราย หลังเกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญ จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 6 ราย โดยมีการตรวจพบสารไซยาไนด์บริเวณที่เกิดเหตุ ว่า กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม เป็นหนึ่งใน 6 หน่วยงานที่รับผิดชอบกำกับดูแลวัตถุอันตราย ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม รับผิดชอบสารตามบัญชี 5 ซึ่งใช้ในภาคอุตสาหกรรม รวมถึงสารที่ควบคุมตามอนุสัญญา ของเสียเคมีวัตถุ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้แล้ว รวมจำนวน 615 รายการ และ 26 กลุ่ม 

ทั้งนี้ โพแทสเซียมไซยาไนด์ จัดเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 ที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมรับผิดชอบ ซึ่งผู้ประกอบการที่ประสงค์จะนำเข้า ผลิต จะต้องขอขึ้นทะเบียนพร้อมแจ้งวัตถุประสงค์ในการนำไปใช้ที่ชัดเจนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ และต้องได้รับอนุญาตก่อนการดำเนินการ โดยการนำไปใช้ต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ขึ้นทะเบียนเท่านั้น 

“สำหรับสารโพแทสเซียมไซยาไนด์ เป็นสารที่นำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย เช่น ใช้ในกระบวนการทำความสะอาดโลหะ ชุบโลหะ สกัดแร่ทองและเงิน และใช้ในห้องปฏิบัติการวิเคราะห์ ทั้งนี้ สถานที่เก็บรักษาโพแทสเซียมไซยาไนด์ จะต้องได้รับการตรวจสอบทุกครั้งประกอบการพิจารณาขออนุญาต เพื่อให้เกิดความปลอดภัย เหมาะสม เป็นไปตามกฎหมายและหลักวิชาการ และพนักงานเจ้าหน้าที่ยังมีการตรวจติดตามสถานที่เก็บรักษาวัตถุอันตรายเป็นประจำทุกปี เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อบุคคล ทรัพย์สิน และสิ่งแวดล้อม และกำหนดให้ผู้ที่มีโพแทสเซียมไซยาไนด์ในครอบครองตั้งแต่ 100 กิโลกรัมขึ้นไปในรอบ 6 เดือน มีหน้าที่ต้องรายงานข้อเท็จจริงของการนำไปใช้ ปริมาณคงเหลือ การจำหน่าย เพื่อให้สามารถติดตามตรวจสอบไปจนถึงผู้ใช้ได้” รมว.อุตสาหกรรม กล่าว 

ด้านนายจุลพงษ์ ทวีศรี อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวว่า ที่ผ่านมากรมโรงงานอุตสาหกรรมได้ดำเนินการเพื่อป้องกันมิให้มีการนำสารโพแทสเซียมไซยาไนด์ไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ โดยกระทรวงอุตสาหกรรมได้เห็นชอบมาตรการเร่งด่วนเพื่อควบคุมมิให้มีการนำโพแทสเซียมไซยาไนด์ไปใช้ผิดวัตถุประสงค์เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2566 และมาตรการเร่งด่วนเพื่อควบคุมมิให้มีการนำโพแทสเซียมไซยาไนด์ไปใช้ผิดวัตถุประสงค์เพิ่มเติม และวันที่ 15 มิถุนายน 2566 อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 

โดยได้แบ่งกลุ่มผู้นำเข้าสารโพแทสเซียมไซยาไนด์ตามวัตถุประสงค์การนำไปใช้ เป็น 3 กลุ่ม คือ 
1) กลุ่มผู้นำเข้าสำหรับกิจการโรงงาน 
2) กลุ่มผู้นำเข้าสำหรับห้องปฏิบัติการ ศึกษา วิเคราะห์ วิจัย 
และ 3) กลุ่มผู้นำเข้าสำหรับกิจการชุบล้างโลหะขนาดเล็ก ซึ่งครอบคลุมถึงการนำเข้าผลิตภัณฑ์เคมีที่มีโพแทสเซียมไซยาไนด์ความเข้มข้นต่ำเป็นองค์ประกอบสำหรับกิจการอื่น 

อย่างไรก็ตาม เพื่อเพิ่มความเข้มงวดในการกำกับดูแลวัตถุอันตราย กรมโรงงานอุตสาหกรรม อยู่ระหว่างเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงนามร่างประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การให้แจ้งข้อเท็จจริงของผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้ส่งออก หรือผู้มีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุอันตรายที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมมีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อกำกับดูแลการใช้สารประกอบไซยาไนด์ จำนวน 16 รายการอย่างเข้มงวด และสามารถติดตามการใช้งานได้จนถึงผู้ใช้รายย่อย ด้วยการกำหนดให้ผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้ส่งออก หรือผู้มีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุอันตรายตามรายชื่อท้ายประกาศนี้อยู่ในความครอบครองในแต่ละรายชื่อของวัตถุอันตรายทุกปริมาณ ทุก 6 เดือน

ทั้งนี้ ได้กำชับให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกรายต้องนำสารโพแทสเซียมไซยาไนด์ไปใช้ตามวัตถุประสงค์ที่ระบุในการขึ้นทะเบียนเท่านั้น หากพบว่า ผู้นำเข้า ผู้จำหน่าย หรือผู้ใช้  มีการนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ จะมีความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 3 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

‘ไทยเบฟฯ’ ขายหุ้น ‘เฟรเซอร์สฯ สิงคโปร์’ เกลี้ยงพอร์ต ลาธุรกิจอสังหาฯ หันลุย ‘ธุรกิจอาหาร-เครื่องดื่ม’ เต็มสูบ

(18 ก.ค. 67) สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่าในวันนี้ (18 ก.ค.67) บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) หรือ ‘ไทยเบฟ’ ได้แจ้งต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสิงคโปร์ว่า บมจ.ไทยเบฟจะขายหุ้นทั้งหมดที่ถืออยู่ในบริษัท ‘เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้’ (Frasers Property) ในสิงคโปร์ ให้กับบริษัท ‘ทีซีซี แอสเซ็ทส์’ (TCC Assets) ซึ่งเป็นบริษัทโฮลดิ้งในเครือของไทยเบฟเช่นกัน

ภายใต้ข้อตกลงการสวอปหุ้นกับทีซีซี แอสเซ็ทส์นั้น ไทยเบฟจะเพิ่มการถือครองหุ้นในบริษัทเฟรเซอร์ แอนด์ นีฟ (Fraser & Neave - F&N) ซึ่งเป็นบริษัทอาหารและเครื่องดื่มในสิงคโปร์แทน

บลูมเบิร์ก ระบุว่า ‘นายเจริญ สิริวัฒนภักดี’ ซึ่งเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศไทย กำลังมองหาลู่ทางปรับโฉมอาณาจักรธุรกิจให้มีความชัดเจนมากขึ้น หลังจากที่ไทยเบฟ ที่เขาเป็นผู้ก่อตั้ง ได้ตัดสินใจขายหุ้นทั้งหมดในบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่เขาถือครองอยู่เช่นกัน

ทางด้านนายประภากร ทองเทพไพโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน (CFO) ของไทยเบฟระบุในแถลงการณ์ว่า ธุรกรรมดังกล่าวจะช่วยส่งเสริมสถานะของไทยเบฟให้มีความชัดเจนมากขึ้น ด้วยการถอนตัวออกจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

ทั้งนี้ หุ้นจำนวน 28.78% ที่ไทยเบฟถือครองในบริษัทเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้นั้น จะลดลงเหลือศูนย์หลังเสร็จสิ้นการทำธุรกรรม โดยธุรกรรมดังกล่าวจะต้องได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นในประเทศไทย

ขณะเดียวกัน หุ้นที่บริษัททีซีซีถือครองอยู่ในเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ จะเพิ่มขึ้นเป็น 86.89% จากปัจจุบันที่ระดับ 58.1% และหุ้นที่ไทยเบฟถืออยู่ใน F&N จะเพิ่มขึ้นเป็น 69.61% จากปัจจุบันที่ระดับ 28.31%

รายงานระบุว่า ราคาหุ้น F&N ในตลาดหุ้นสิงคโปร์ พุ่งขึ้น 23% ในช่วงเช้าวันนี้ ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นระหว่างวันที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่ปี 2556 ในขณะที่ราคาหุ้นของ Frasers เพิ่มขึ้น 4.4% หรือสูงสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. ปีนี้ ซึ่งช่วยชดเชยจากที่ร่วงลงไป 6% ในปีนี้ได้

ทั้งนี้เคยมีการคาดเดากันถึงอนาคตของเฟรเซอร์สมาแล้ว หลังจากที่สำนักข่าวดาวโจนส์เคยรายงานก่อนหน้านี้ว่า กำลังมีพิจารณาลดการลงทุนในเฟรเซอร์สโดยเป็นส่วนหนึ่งของการปรับกลยุทธ์องค์กร แต่นายเจริญได้ปฏิเสธข่าวการขายหุ้นเมื่อเดือนม.ค. ที่ผ่านมา


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top