Saturday, 24 May 2025
TheStatesTimes

‘ผู้เชี่ยวชาญชุดไทย’ แนะ 7 ข้อแก้ ‘ชุดพิธีการโอลิมปิก’ ให้ทันสมัย หากแก้ไม่ได้ ควรให้นักกีฬาใส่ชุดวอร์มที่สวยงาม-เท่-ทันสมัยจะดีกว่า

(18 ก.ค.67) จากกรณีที่คณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดตัวชุดพิธีการที่จะใช้ในการแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ 2024 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ปรากฏว่ามีเสียงวิจารณ์จากชาวเน็ตถึงความเชย ไม่ทันสมัยในการออกแบบ คล้ายกับเครื่องแต่งกายชุดผ้าไทยของข้าราชการ หรือเปรียบได้กับชุดไปประชุมกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน ชุดไปงาน อบต. นั้น

ปรากฏว่า ‘ครูบิ๊ก’ พีรมณฑ์ ชมธวัช เจ้าของอาภรณ์งามสตูดิโอ ผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องแต่งกายนาฏศิลป์ไทยโบราณ ผู้อยู่เบื้องหลังโขนพระราชทาน และผู้อยู่เบื้องหลังชุดในโฆษณารีเจนซี่กว่า 15 ปี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Peeramon Chomdhavat โดยระบุข้อความว่า…

ถ้ายังดื้อ ยืนยันว่าจะใช้แบบเสื้อนี้ให้นักกีฬาทีมชาติไทยใส่ไปโอลิมปิกจริง ๆ ก็จำเป็นต้องแก้ไข การตัดเย็บ ปรับสัดส่วนเสื้อให้พอดีตัวคนใส่ ตามนี้

1. ปรับวงคอให้ตื้นขึ้นอีก ตอนนี้มันคว้านลึกไป
2. วงแขนใหญ่เกินตัวไปมาก ต้องแก้แพตเทิร์นใหม่ให้เล็กลง
3. เก็บเกล็ดหลังเสื้อเข้าอีก
4. ลดขนาดแขนเสื้อให้แคบลงอีก
5. ปลายแขนเสื้อยาวไปปรับขึ้นให้พอดีข้อมือ
6. ความยาวของตัวเสื้อยาวไปมากใส่แล้วดูตัวยาวขาสั้นรูปร่างผิด ส่วนอย่างแรงต้องปรับให้ชายเสื้อสั้นขึ้นอีก
7. แนะนำให้ใส่เสื้อ สีฟ้าครามตัวนี้กับกางเกงสีขาวล้วนถุงเท้าขาวรองเท้าสีขาว จะช่วยให้ดูดีขึ้น เป็นชุดของหนุ่มสาวมากขึ้นเหมาะกับวัยของนักกีฬา

แบบเสื้อนี้เป็นแบบอนุรักษนิยมจัด ถ้าจะให้ดูดีตามคติจำเป็นมากต้องตัดให้พอดีตัว ไม่สามารถใส่แบบ โคร่ง ๆ หลวม ๆ oversized แบบที่นำมาโชว์นี้ได้มันทำให้ดูแย่ ไม่มีสง่าราศี ผิดหลักการของชุดไทยประจำชาติมาก

อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญมากในการนำเสนอ คือการถ่ายภาพ ควรทำให้ดูทันสมัยกว่านี้ เพราะนี่คืองานระดับโลก ภาพที่ออกมาจะถูกนำไปเปรียบเทียบกับชาติอื่น ๆ ทั่วโลก เราคงไม่อยากเห็นประเทศไทยด้อยกว่าชาติอื่นจริงไหมครับ

ถ้าแก้ไขอะไรไม่ได้แล้วจริง ๆ ทางออกที่ดีกว่านี้คือนำแบบเสื้อนี้ให้ทีมผู้ฝึกสอนและคณะทำงานใส่ เท่านั้น ส่วนนักกีฬาทั้งหมดเปลี่ยนแบบไปใส่ชุดวอร์มของแกรนด์สปอร์ต ที่ออกแบบมาได้สวยงามทันสมัย ที่มีอยู่แล้วกับรองเท้าผ้าใบสีขาว นักกีฬาไทยจะดูดี เท่ทันสมัยมาก ๆ ในชุดของแกรนด์สปอร์ต เชื่อผม

นี่เป็นความเห็นและข้อแนะนำจากผม พีรมณฑ์ ชมธวัช ผู้เชี่ยวชาญด้านชุดไทยและผ้าไทย

‘ลิซ่า’ ปังไม่หยุด ‘ROCKSTAR’ ประสบความสำเร็จต่อเนื่อง กวาดยอดขายแตะ 1 แสนยูนิต ในสหรัฐฯ เทียบเท่ามูลค่า 4.6 ลบ.

(18 ก.ค. 67) ตามรายงานระบุว่า ‘ROCKSTAR’ ผลงานเดี่ยวล่าสุดของ ‘ลิซ่า’ ทำยอดขายได้ 100,000 ยูนิตในสหรัฐอเมริกา ตลาดเพลงที่ใหญ่ที่สุดของโลก ทำให้ ROCKSTAR กลายเป็นเพลงที่ 4 ของลิซ่าที่ทำได้ตามหลัง ‘Lalisa’ และ ‘Money’ ที่เคยทำไว้ได้เมื่อปี 2021 รวมถึงเพลง ‘SHOONG!’ ที่ร่วมงานกับ แทยัง BigBang ก็ทำได้เมื่อปี 2024

การนับยอดขายแบบยูนิต เป็นการขายเพลงในรูปแบบดิจิทัล ที่ทำตามระบบ DSP (Digital Service Providers) ที่นับทั้งการสตรีมมิงและการดาวน์โหลดจากแพลตฟอร์มต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับเพลง

โดยการดาวน์โหลดเพลง 1 ครั้ง นับเป็น 1 ยูนิต ส่วนการสตรีมมิง 1,500 ครั้ง จึงจะนับเป็น 1 ยูนิต อย่างไรก็ตามหากคิดเป็นตัวเงินที่การดาวน์โหลด 1 ครั้งใน iTunes จะมีราคา 1.29 ดอลลาร์ หรือประมาณ 46.34 บาท นั่นหมายความว่า 100,000 ยูนิตที่ทำได้ในอเมริกาก็มีมูลค่าอยู่ที่ 4.6 ล้านบาท

ROCKSTAR ของลิซ่านับว่าประสบความสำเร็จในตลาดอเมริกา ซึ่งเธอนับเป็นศิลปินที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ แต่สามารถนำเพลงภาษาอังกฤษของเธอเข้ามาติดท็อปชาร์ตได้ โดยเปิดตัว Rockstar อยู่ที่อันดับ 70 บนชาร์ต Hot 100 ซึ่งเป็นการจัดอันดับเพลงที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา

ROCKSTAR กลายเป็นเพลงเดี่ยวที่ติดชาร์ตสูงสุดของลิซ่าบน Hot 100 โดยสามารถแซงหน้าเพลงก่อนหน้านี้ของเธอ LALISA (ซึ่งขึ้นสูงสุดที่อันดับ 84) และ MONEY (อันดับ 90) ได้สำเร็จ

นอกจากนี้ ROCKSTAR ยังเดบิวต์ที่อันดับ 1 บนชาร์ต Global Excl. U.S. ของ Billboard อันดับ 4 บนชาร์ต Global 200 อันดับ 2 บนชาร์ต Rap Digital Song Sales อันดับ 7 บนชาร์ต Digital Song Sales หลัก และอันดับ 19 บนชาร์ต Hot Rap Songs

ขณะเดียวกัน ลิซ่ายังกลับเข้ามาในชาร์ต Artist 100 ของ Billboard อีกครั้งที่อันดับ 84 นับเป็นสัปดาห์ที่สองที่เธอปรากฏบนชาร์ตนี้

‘บ.กุลธรเคอร์บี้’ แจ้งหยุดกิจการชั่วคราว ในส่วนการผลิต รับ!! ขาดสภาพคล่องซื้อวัตถุดิบ กำลังเจรจาสถาบันการเงิน

(18 ก.ค. 67) นายฐิติศักดิ์ สิมะกุลธร กรรมการ บริษัท กุลธรเคอร์บี้ จำกัด แจ้งกรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2567 เรื่อง แจ้งหยุดกิจการชั่วคราว

โดยระบุว่า บริษัท กุลธรเคอร์บี้ จำกัด (มหาชน) แจ้งหยุดกิจการชั่วคราวเฉพาะบริษัท กุลธรเคอร์บี้ จำกัด (มหาชน) สำหรับบริษัทย่อยยังคงปฏิบัติงานเหมือนเดิม ในระหว่างวันที่ 1-31 กรกฎาคม 2567 บริษัทจะทำการหยุดกิจการเป็นช่วง ๆ โดยพิจารณาจากจำนวนการผลิด และวัตถุดิบ เพื่อลดค่าใช้จ่ายของบริษัท เนื่องจากการขาดสภาพคล่องในการซื้อวัตถุดิบ เพื่อผลิตและส่งมอบ เนื่องจากวัตถุดิบหลัก เช่น เหล็ก ทองแดง มีความจำเป็นต้องใช้วงเงิน working capital (LC) จากธนาคารในการซื้อ ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจากับธนาคาร

โดยจ่ายเงินเดือนพนักงานที่หยุดปฏิบัติงาน 75% ตามพระราชบัญญัติ คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 75 เรื่องการหยุดกิจการชั่วคราว การหยุดกิจการชั่วคราวเฉพาะส่วนงานการผลิตที่ไม่มีวัตถุดิบ

ส่วนงานอื่น ๆ ที่ปฏิบัติงานประจำบางส่วน จะยังคงปฏิบัติงานอยู่ได้แก่ พนักงานดูแล (เครื่องจักร) ส่วนการผลิต ส่วนวิศวกรรมโรงงาน ส่วนเทคโนโลยีสารสนเทศ ฝ่ายขนส่ง ฝ่ายวางแผนการผลิตและคลังสินค้า ฝ่ายปฏิบัติงานการเงิน ฝ่ายบัญชี ฝ่ายความปลอดภัยแผนกสรรหาและค่าจ้างเงินเดือน

รายงานความคืบหน้าแนวทางแก้ไข

1.เร่งดำเนินการเจรจากับเจ้าหนี้สถาบันการเงิน เพื่อจัดหาเงินทุนเพิ่มเติมให้เร็วที่สุด และอยู่รอการอนุมัติวงเงิน กระทั่งต่อมาเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2567 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ออกหนังสือ SET ขอให้ผู้ลงทุนศึกษาข้อมูลการหยุดกิจการชั่วคราวของ KKC ตามที่ บริษัทกุลธรเคอร์บี้ จำกัด (มหาชน) (KKC) แจ้งหยุดกิจการชั่วคราวระหว่างวันที่ 1-31 กรกฎาคม 2567 รายละเอียดปรากฏตามข่าวของบริษัทวันที่ 17 กรกฎาคม 2567 เวลา 08.12 น. นั้น

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอให้ผู้ลงทุนศึกษาข้อมูลดังกล่าวเพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน และขอให้ไช้ความระมัดระวังในการซื้อขายหลักทรัพย์ของ KKC

ทั้งนี้ บริษัทอยู่ระหว่างแก้ไขเหตุเพิกถอนกรณีส่วนของผู้ถือหุ้นน้อยกว่าศูนย์ โดยหลักทรัพย์ของบริษัทอยู่ระหว่างการเปิดให้มีการซื้อหรือขายชั่วคราวด้วยบัญชี Cash Balance เป็นระยะเวลา 1 เดือน (ตั้งแต่วันที่ 27 มิถุนายน 2567-26 กรกฎาคม 2567) และตลาดหลักทรัพย์ฯ จะขึ้นเครื่องหมาย SP หลักทรัพย์ของบริษัทตั้งแต่ วันที่ 30 กรกฎาคม 2567 เป็นต้นไป จนกว่าบริษัทจะสามารถแก้ไขเหตุเพิกถอนได้ วันที่ 17 กรกฎาคม 2567

ทั้งนี้ สำหรับ บริษัท กุลธรเคอร์บี้ จำกัด (มหาชน) เป็นโรงงานคอมเพรสเซอร์แห่งแรกของไทย ผลิตคอมเพรสเซอร์อุปกรณ์ทำความเย็นในตู้เย็นและเครื่องปรับอากาศที่พาธุรกิจ มากว่า 40 ปี 

‘สาว’ โอด!! ถูกอดีตหัวหน้าขู่ฟ้อง หลังเขียนเหตุผลในใบลาออก จวก!! ‘สังคม Toxic-หัวหน้าไม่ค่อยมีวุฒิภาวะ-งานหนัก-ไม่ได้หยุด’

(18 ก.ค.67) จากกรณีที่มีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง โพสต์เรื่องราวขอคำปรึกษาลงในกลุ่ม JobThai Official Group เพื่อการหางาน หาคน และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการทำงาน หลังเขียนเหตุผลในใบลาออก แต่ทางหัวหน้าส่งข้อความมาบอก จะฟ้อง โดยรายละเอียดโพสต์ระบุว่า…

“ปกติเขียนเหตุผลในการลาออกยังไงกันหรอคะ พอดีลองเขียนความในใจไป หัวหน้าเลยจะฟ้องฝ่ายกฎหมาย แบบนี้ เขาฟ้องเราได้หรือเปล่าคะ เรากลับไปแก้ดีไหมคะ”

โดยเหตุผลการลาออก เจ้าของโพสต์ระบุในใบลาออกว่า สังคม Toxic หัวหน้าไม่ค่อยมีวุฒิภาวะ ทำงานหนักไม่มีวันหยุดพักผ่อน โดยหัวหน้าส่งข้อความมาบอกว่า พูดไม่เป็นความจริง พี่ขอส่งให้ฝ่ายกฎหมายของบริษัทนะ

หลังเรื่องราวดังกล่าวถูกแชร์ ออกไป ชาวเน็ตแห่แสดงความเห็นเป็นจำนวนมาก อาทิ

“จริง ๆ การเขียน hr จะเก็บไว้เพื่อเป็น feedback นะคะ และไม่นำไปฟ้องหรอก หลายที่ก็แปลก รับความ
จริงไม่ได้ แต่ตอนสัมภาษณ์งานอยากให้ตอบตามจริงซะงั้น”

“อย่าไปกลัวครับ ดูท่าจะไม่มีจริง ๆ”

“เอาอะไรมาฟ้องมันความจริง แต่hrไม่ควรเปิดเผยข้อมูลส่วนนี้นะคะ”

“เขียนเรื่องจริงทำเป็นรับไม่ได้”

‘เยอรมนี’ เล็งลดงบช่วยเหลือทางทหาร ‘ยูเครน’ ครึ่งหนึ่ง ขีดเส้น ปี 68 ท่ามกลางแนวโน้ม 'ทรัมป์' หวนเก้าอี้สมัย 2

(18 ก.ค.67) สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เยอรมนี ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในยุโรป วางแผนที่จะปรับลดการให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครนลงครึ่งหนึ่งในปีหน้า ท่ามกลางความวิตกกังวลในขณะนี้ว่าความสนับสนุนของสหรัฐต่อยูเครนอาจลดลง หากโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปลายปีนี้

ตามร่างงบประมาณประจำปี 2025 ของเยอรมนีที่รอยเตอร์เห็น เยอรมนีได้ปรับลดประมาณช่วยเหลือยูเครนลงเหลือ 4,000 ล้านยูโรในปี 2025 จากที่ให้อยู่ราว 8,000 ล้านยูโรในปี 2024

เยอรมนีหวังว่ายูเครนจะสามารถจัดหาความต้องการทางทหารส่วนใหญ่ได้จากเงินกู้ยืมมูลค่า 50,000 ล้านดอลลาร์ที่ผู้นำกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ชาติ หรือ จี7 อนุมัติให้นำมาใช้จากสิ้นทรัพย์ของรัสเซียที่ถูกยึดเอาไว้ ซึ่งจะทำให้เงินอุดหนุนเพื่อนำไปใช้ในการจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์อาจไม่ถูกนำไปใช้อย่างเต็มที่

ด้าน คริสเตียน ลินด์เนอร์ รัฐมนตรีคลังเยอรมนี กล่าวระหว่างแถลงข่าวว่า การจัดหาเงินทุนให้กับยูเครนสำหรับอนาคตอันใกล้ถือได้ว่ามีความมั่นคงแล้ว ซึ่งต้องขอบคุณการดำเนินการของชาติในยุโรปและเงินกู้จากจี7

เจ้าหน้าที่ระบุว่า ผู้นำอียูเห็นพ้องกับแนวคิดในการจัดเงินกู้ยืมดังกล่าวให้กับยูเครน เพราะมองว่ามันจะทำให้โอกาสที่ยูเครนจะขาดเงินสนับสนุนในการทำสงครามกับรัสเซียลดน้อยลง หากทรัมป์กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอีกครั้ง

ความหวั่นวิตกเกี่ยวกับท่าทีและจุดยืนของทรัมป์เกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือยูเครนของสหรัฐในอนาคต ถูกปลุกให้พุ่งสูงขึ้นอีกครั้งหลังจากที่ทรัมป์ได้ประกาศให้นายเจดี แวนซ์ ซึ่งมีจุดยืนคัดค้านการให้ความช่วยเหลือทางทหารของสหรัฐต่อยูเครน พร้อมกับเตือนยุโรปว่าควรจะต้องพึ่งพาสหรัฐน้อยลงในการปกป้องภูมิภาคของตน

ฉลองสัมพันธ์ไทย-จีน 50 ปี เอฟเคไอไอ.จับมือสมาคมพัฒนาเศรษฐกิจจีน-เอเซียขยายความร่วมมือ 2 ประเทศ

รายงานข่าวจากสถาบันเอฟเคไอไอ.ไทยแลนด์แจ้งวันนี้ว่า นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ.ไทยแลนด์(FKII-Thailand)และอดีตรัฐมนตรีช่วยพาณิชย์ นายชยดิฐ หุตานุวัชร์ ผู้อำนวยการเอฟเคไอไอ.ฯ. และประธานสถาบันทิวาหารือความร่วมมือกับ นายชุนจี ควอน นายกสมาคมพัฒนาเศรษฐกิจจีน-เอเซีย(ภายใต้กระทรวงการต่างประเทศจีน) และคณะ 

โดยเห็นพ้องที่เอฟเคไอไอ.และสมาคมพัฒนาเศรษฐกิจจีน-เอเซียจะร่วมมือทางด้าน การค้า การลงทุน การท่องเที่ยว เทคโนโลยี ผลิตภัณฑ์อาหาร และผลิตภัณฑ์การเกษตร ภายใต้กรอบความร่วมมือยุทธศาสตร์อีต้าอีลู่ (1แถบ1เส้นทาง)ของจีนและยุทธศาสตร์12อุตสาหกรรมใหม่(12 S-Curves)ของไทยเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความสัมพันธ์ไทย-จีน 50 ปีในปีหน้าพร้อมกันนี้นายชุนจิตยังได้เชิญนายอลงกรณ์เยือนประเทศจีนอีกด้วย

“สมาคมพัฒนาเศรษฐกิจจีน-เอเชีย มีสมาชิกมากว่า 20,000 บริษัททั่วประเทศจีนโดยสมาชิกของสมาคมพัฒนาเศรษฐกิจจีน เอเชีย มีความต้องการที่จะไปลงทุนในประเทศไทย ในการพบหาคือครั้งนี้ยังมีนายปรพล อดิเรกสาร กรรมการ ด้านเศรษฐกิจสมาคมวัฒนธรรมเเละเศรษฐกิจไทย-จีน เเละ อดีตคณะที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (ดอน ปรมัตถ์วินัย) นายดาวิน หยาง นายกสมาคมการค้าอาเซียน-จีน นายดำรงศักดิ์ มนัสวานิช รองนายกสมาคมการค้าอาเซียน-จีน

พร้อมด้วยนักธุรกิจภาคเอกชนร่วมประชุมที่ห้องประชุมสวนเสียงไผ่ ทาวน์อินทาวน์เมื่อ17 กรกฎาคมที่ผ่านมา”

‘เกษตรกร’ โอด!! ‘ปลาหมอคางดำ’ บุกฟาร์มกุ้ง-หอย จับได้ 2 ตัน แต่ไม่มีที่ไหนรับซื้อ จึงโยนทิ้งลงทะเล

(19 ก.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 17 ก.ค. 67 ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลจังหวัดสมุทรปราการ หรือ ศรชล.จังหวัดสมุทรปราการ ศรชล.ภาค 1 น.อ.ทิฆัมพร สมนึก รอง.ผอ.ศรชล.จว.สป. เป็นประธานในการประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ เช่น ประมงจังหวัด, อบต.คลองด่าน, เทศบาลตำบลคลองด่าน และภาคประชาชน เช่น สมาคมประมง จ.สมุทรปราการ, สมาคมประมงคลองด่าน รวมถึงผู้แทน สส.สมุทรปราการ เขต 8 พรรคก้าวไกล

ก่อนหน้านี้ นายสมพร เกื้อสกุล ประมงจังหวัดสมุทรปราการ เดินทางลงพื้นที่ไปดูจุดที่ชาวบ้านพบมีการระบาดของปลาหมอคางดำที่คลองตาเจียน หมู่ 6 ต.คลองด่าน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ เพื่อสำรวจพื้นที่จริงและนำกลับมาเป็นข้อมูลในการประชุมหาแนวทางแก้ไขปัญหาให้ตรงจุด ตามสถานการณ์ของแต่ละพื้นที่ ซึ่งอาจไม่เหมือนกัน โดยใช้เวลาประชุมประมาณ 2 ชั่วโมง 30 นาที จึงได้ข้อสรุปเบื้องต้น

ขณะที่ เกษตรกรวังกุ้งรายหนึ่ง หมู่ 9 บ้านขุนสมุทรจีน ต.แหลมฟ้าผ่า อ.พระสมุทรเจดีย์ นำคลิปวิดีโอปลาหมอคางดำที่ถ่ายไว้จากบ่อเลี้ยงกุ้งมาให้ผู้สื่อข่าวดู พร้อมเปิดเผยว่า ได้รับผลกระทบจากปลาหมอคางดำเมื่อปลายปี 2566 แต่มาหนักสุดเมื่อ 1 เดือนที่ผ่านมา ปลาหมอคางดำกิน-ทำลายกุ้ง-หอยที่เลี้ยงไว้หมดทั้งบ่อ

เกษตรกรกล่าวอีกว่า จับปลาหมอคางดำได้รวมประมาณ 2 ตัน แต่เวลานั้นไม่มีที่ไหนรับซื้อ และไม่มีใครให้ข้อมูลใด ๆ จึงจำเป็นต้องนำปลาหมดคางดำทั้งหมดทิ้งลงทะเลไป และต้องหยุดทำธุรกิจบ่อกุ้งก่อนอย่างไม่มีกำหนด

เกษตรกรกล่าวต่อว่า ส่วนการมาประชุมวันนี้เริ่มมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ เพราะถ้าภาครัฐมีการรับซื้อที่ 15 บาทต่อกิโลกรัม คิดว่าน่าจะทำให้ปลาหมอคางดำมีปริมาณลดลงอย่างรวดเร็ว ก็จะกลับมาประกอบอาชีพได้อีกครั้ง

นายพิชัย แซ่ซิ้ม นายกสมาคมการประมง จ.สมุทรปราการ กล่าวว่า ได้รับรายงานว่ามีชาวประมงพื้นบ้านจับปลาหมอคางดำได้นอกเขต 3 ไมล์ทะเล หลังผ่าท้องพบเคยจำนวนมาก กังวลว่าหากปล่อยไว้อาจทำให้เกิดปัญหาหนักกับกลุ่มประมงพื้นบ้านและประมงพาณิชย์ อยากฝากถึงหน่วยงานภาครัฐช่วยเร่งดำเนินการหาวิธีแก้ไขอย่างรวดเร็ว

นายพิชัยกล่าวต่อว่า ขอให้ผ่อนผันกฎหมายการทำประมงขยายขนาดของเรือ จากไม่เกิน 3 ตันกรอส เป็นไม่เกิน 10 ตันกรอส พร้อมให้คณะกรรมการประมงประจำจังหวัด เป็นผู้กำหนดทั้งรูปแบบ เครื่องมือ พื้นที่และขนาดเรือ เพื่อความคล่องตัวและแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด

จากนั้นได้พาผู้สื่อข่าวไปดูบริเวณปลายแม่น้ำเจ้าพระยา ปากอ่าวไทย จุดที่ชาวประมงทอดแหครึ่งชั่วโมง สามารถจับปลาหมอคางดำได้ประมาณครึ่งถังพลาสติกเป็นประจำทุกวัน นำมาเลลงพื้นให้ผู้สื่อข่าวดู พร้อมตั้งข้อสังเกตความห่วงใยว่าปลาหมอคางดำอาจไปทำลายสัตว์น้ำต่าง ๆ ในทะเลอ่าวไทยจนหมด และอาจขยายวงกว้างไปสู่ทะเลของประเทศเพื่อนบ้าน สร้างปัญหาอย่างหนัก อาจทำให้สัตว์น้ำในทะเลลึกสูญพันธุ์ได้

นายสมพร เกื้อสกุล ประมงจังหวัดสมุทรปราการ กล่าวว่า ยอมรับปัญหาเรื่องปลาหมอคางดำของ จ.สมุทรปราการ ระบาดอยู่ในขั้นวิกฤต มีประชาชนแจ้งเข้ามาว่านอกจากพบที่ อ.พระสมุทรเจดีย์ และ ต.คลองด่าน อ.บางบ่อ แล้ว ยังพบอยู่ในพื้นที่ของ อ.เมืองสมุทรปราการ และที่ ต.เปร็ง อ.บางบ่อ เพิ่มอีก ดังนั้น จึงต้องการให้ความรู้ข้อมูลที่ถูกต้องกับทุกภาคส่วน จะได้เข้ามาร่วมกันจัดการกับปลาหมอคางดำให้หมดไป

นายสมพรกล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องราคาที่รับซื้อตอนนี้มีความหลากหลายในแต่ละพื้นที่ ล่าสุด ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีนโยบายให้ภาครัฐช่วยรับซื้อในราคาที่เหมาะสม คือ 15 บาทต่อกิโลกรัม ขณะนี้รอคำสั่งอย่างเป็นทางการ และพร้อมดำเนินการในทันที

‘พรรคคอมมิวนิสต์จีน’ พร้อมแถลงข่าว หลังประชุมแบบเต็มคณะ ครั้งที่ 3 จ่อถ่ายทอดสดชี้แจงหลักการชี้นำต่างๆ วันนี้ 10.00 น. ตามเวลาปักกิ่ง

เมื่อวานนี้ (18 ก.ค. 67) สำนักข่าวซินหัว ได้มีการประมวลภาพบรรยากาศการประชุมเต็มคณะ ครั้งที่ 3 ของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CPC) ชุดที่ 20 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันจันทร์-พฤหัสบดี (15-18 ก.ค.) ในกรุงปักกิ่งของจีน

นอกจากนี้ ยังมีรายงานเพิ่มเติมว่า คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CPC) จะจัดการแถลงข่าวเกี่ยวกับหลักการชี้นำต่าง ๆ จากการประชุมเต็มคณะ ครั้งที่ 3 ของคณะกรรมการกลางพรรคฯ ชุดที่ 20 ในวันศุกร์ (19 ก.ค.) ซึ่งก็คือวันนี้

โดยการแถลงข่าวดังกล่าวมีกำหนดเริ่มต้นตอน 10.00 น. ตามเวลาปักกิ่ง จะได้รับการถ่ายทอดสดโดยไชน่า มีเดีย กรุ๊ป (China Media Group) และเว็บไซต์ข่าวสารที่สำคัญ เช่น พีเพิลดอทคอมดอทซีเอ็น (people.com.cn) ซินหัวเน็ตดอทคอม (xinhuanet.com) และไชน่าดอทคอมดอทซีเอ็น (china.com.cn)

‘ญี่ปุ่น’ แม้เจริญสุดขีด แต่ก็ประสบปัญหา ‘คนไร้บ้าน’ เรื้อรัง หลังพวกเขาพ่ายแพ้ต่อเศรษฐกิจแปรปรวน กลายเป็นคนว่างงาน

ปัญหาคนไร้บ้านนั้น ไม่ใช่เกิดขึ้นเฉพาะบ้านเรา แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในแทบทุก ๆ ประเทศ ไม่เว้นแม้แต่ ‘ญี่ปุ่น’ ซึ่งเป็นประเทศที่เจริญที่สุดในทวีปเอเชีย ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ชาวญี่ปุ่นหลายคนกลายเป็นคนไร้บ้าน เนื่องจากปัญหาทางเศรษฐกิจซึ่งได้รับความเสียหายจากการถูกทิ้งระเบิดและพ่ายแพ้ต่อฝ่ายสัมพันธมิตร ในช่วงทศวรรษ 1960 จากความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นอย่างรวดเร็ว หรือที่เรียกกันว่า ‘ปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่น’ ทำให้จำนวนคนไร้บ้านลดลงอย่างรวดเร็ว แต่กลับมาเพิ่มจำนวนอย่างเห็นได้ชัดในสังคมญี่ปุ่นอีกครั้ง จากการล่มสลายของฟองสบู่ราคาทรัพย์สินของญี่ปุ่นในช่วงทศวรรษ 1990 และส่งผลให้เกิด ‘ทศวรรษที่หายไป’ จากภาวะซบเซาทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้อัตราการว่างงานสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะไร้ที่อยู่อาศัย จำนวนคนไร้บ้านสูงมากจนถึงจุดสูงสุด

ปัญหาคนไร้บ้านในญี่ปุ่นเป็นปัญหาทางสังคมที่มักเกิดขึ้นกับชายวัยกลางคนและผู้สูงอายุเป็นหลัก เชื่อกันว่า ในทศวรรษที่ 1990 อันเป็นผลมาจากการแตกของฟองสบู่ที่ทำให้ราคาสินทรัพย์ของญี่ปุ่นลดลงเป็นอันมากนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ตาม ‘พระราชบัญญัติพิเศษเกี่ยวกับการสนับสนุนการพึ่งตนเองของคนไร้บ้าน’ ให้นิยามของคำว่า ‘คนจรจัดหรือคนไร้บ้าน’ หมายถึง ‘ผู้ที่ใช้สวนสาธารณะในเมือง ริมฝั่งแม่น้ำ ถนน สถานีรถไฟ และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ เพื่อเป็นที่อยู่อาศัย เพื่อใช้ชีวิตประจำวันของพวกเขา’

ทั้งนี้ ลักษณะเฉพาะบางประการของคนไร้บ้านชาวญี่ปุ่นนั้น มีสาเหตุมาจากโครงสร้างทางสังคมของสังคมญี่ปุ่น ในอดีตซึ่งฝ่ายชายเป็นผู้หาเลี้ยงครอบครัวแต่เพียงผู้เดียว บรรดาบริษัทญี่ปุ่นต่างเชื่อกันว่า ชายที่แต่งงานแล้วจะทำงานได้ดีกว่าชายโสดที่ยังไม่ได้แต่งงาน เพราะชายที่แต่งงานแล้วจะรู้สึกว่า มีภาระหน้าที่และความรับผิดชอบต่อครอบครัวมากกว่า ดังนั้นไม่เพียงแต่ชายสูงอายุเท่านั้นที่ต้องเผชิญกับภาวะสูงอายุและไม่สามารถหางานทำได้ แต่ชายโสดที่มีอายุมากกว่า 35 ปี ก็มีปัญหาในการหางานเช่นกัน ซึ่งไม่ได้ทำให้เกิดจำนวนชายที่ยากจนโดยเฉลี่ย แต่กลับมีความแปรปรวนมากกว่า โดยมีทั้งจำนวนชายที่ร่ำรวยและยากจนเพิ่มมากขึ้น และส่งผลให้มีชายไร้บ้านจำนวนมากกว่าหญิงไร้บ้านในญี่ปุ่น นอกจากนี้แล้ว ครอบครัวญี่ปุ่นมักจะให้การสนับสนุนและช่วยเหลือสมาชิกที่เป็นหญิงมากกว่าชาย

ในปี 1997 เทศบาลกรุงโตเกียวยอมรับการมีอยู่ของตัวแทนกลุ่มคนไร้บ้าน และเริ่มรับฟังปัญหาของพวกเขา ในปี 1998 ทางการระบุว่า มีคนไร้บ้านในกรุงโตเกียวเพียงแห่งเดียวประมาณ 3,700 คน แต่กลุ่มที่ช่วยเหลือคนไร้บ้านประเมินไว้ว่า มีคนไร้บ้านราว 5,000 คน ในกรุงโตเกียว และเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว นับตั้งแต่ทศวรรษ 1990 เป็นต้นมา ในญี่ปุ่นมีการจ้างงานนอกเวลาและการจ้างงานชั่วคราวเพิ่มขึ้น ซึ่งมีกว่า 20 ล้านตำแหน่งงาน ค่าจ้างนอกเวลาและการจ้างงานชั่วคราวมักจะเท่ากับค่าจ้างขั้นต่ำ ทั้งการเปลี่ยนแปลงกฎหมายในปี 1986 และ 1999 โดยการเช่าที่พักในญี่ปุ่นมักจะต้องวางเงินมัดจำและค่าเช่าล่วงหน้า 3 เดือน แฟลตแบบหนึ่งห้องนอนในกรุงโตเกียว ค่าเช่ารายเดือนมากกว่า 50,000 เยน (ราว 11,488 บาท) ทำให้ผู้ที่ไม่มีงานประจำเข้าถึงได้ยากมากขึ้น ปัญหาคนไร้บ้านจึงเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย

ตามข้อมูลของกระทรวงกิจการภายในและการสื่อสารของญี่ปุ่นระบุว่า มีคนไร้บ้านในญี่ปุ่นไม่ถึง 1 หมื่นคน โดยจำนวนคนไร้บ้านมากที่สุดอยู่ในเขตมหานครโตเกียว ราว 2,700 คน รองลงเป็นอันดับสองคือ นครโอซาก้า ราว 2,500 คน และอันดับสามคือจังหวัดคานากาว่า ราว 1,814 คน ในเดือนสิงหาคม 2002 ได้มีการประกาศใช้ ‘พระราชบัญญัติพิเศษเกี่ยวกับการสนับสนุนการพึ่งตนเองของคนไร้บ้าน’ คนไร้บ้านในญี่ปุ่นจึงเริ่มได้รับความช่วยเหลือที่เหมาะสมจากทางการ รวมทั้งมีการสำรวจคนไร้บ้านทั่วประเทศ โดยกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2004 และมีการสำรวจอีกครั้งในเดือนเมษายน 2007 ทำให้ชาวญี่ปุ่นที่ไม่มีรายได้ เงินออม หรือทรัพย์สินเพียงพอต่อการดำรงชีพขั้นพื้นฐานสามารถรับความคุ้มครองเพื่อการดำรงชีพได้ หญิงที่หลบหนีจากความรุนแรงในครอบครัวหรือจากอดีตคู่รักที่ต้องการเริ่มต้นความสัมพันธ์ในอดีตอีกครั้งสามารถรับการสนับสนุนจากสถาบันดูแลสตรี ศูนย์หลบภัย และสถานสงเคราะห์ได้ ในกรณีของผู้เยาว์ มีการจัดรูปแบบความช่วยเหลือ เช่น สถาบันสวัสดิภาพเด็ก 

โดยที่ญี่ปุ่นยังคงประสบปัญหาเศรษฐกิจถดถอยอย่างต่อเนื่อง ในปี 2011 เป็นต้นมา จึงมีการเปิดกิจการร้านไซเบอร์คาเฟ่ (หรือโรงแรมแคปซูล) โดยคนไร้บ้านสามารถเข้าพักได้ ไซเบอร์คาเฟ่ ให้บริการห้องพักซึ่งมีพื้นที่ส่วนตัวเล็ก ๆ และห้องอาบน้ำ พร้อม โทรทัศน์ น้ำอัดลม และอินเทอร์เน็ต ในราคา 1,500 ถึง 2,000 เยน (ราว 344 ถึง 460 บาท) ต่อคืน ตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา มีการประเมินกันว่า ในกรุวโตเกียวเพียงเมืองเดียวมีชาวญี่ปุ่นอย่างน้อย 15,000 คน อาศัยอยู่ในร้านไซเบอร์คาเฟ่ ซึ่งมากกว่าจำนวนคนไร้บ้านอย่างเป็นทางการถึง 5 เท่า แต่เมื่อเปรียบเทียบกับสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่นจะมีอัตราการไร้ที่อยู่อย่างเป็นทางการต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญ แต่สัดส่วนของคนญี่ปุ่นที่ยากจนในญี่ปุ่นนั้นกลับสูงกว่าในสหรัฐฯ แม้ว่าบางคนจะกลายเป็นคนไร้บ้าน แต่หลายคนในจำนวนนี้รเลือกอาศัยอยู่ในไซเบอร์คาเฟ่ อันเนื่องมาจากแรงกดดันทางสังคม พวกเขาชอบที่จะรักษาเรื่องราวส่วนตัวของตนไว้เป็นความลับ และสิ่งที่น่าเศร้าที่สุดคือทั้งรัฐบาลญี่ปุ่นและประชาชนชาวญี่ปุ่นทั่วไปต่างก็ต้องการให้เรื่องราวเหล่านี้เป็นไปเช่นนั้นด้วย

บึงกาฬ องคมนตรี ประชุมคณะอนุกรรมการติดตามและบริหารโครงการพุทธสถานทรัพยากรเฉลิมพระเกียรติ วัดป่าดานวิเวก ในพระบรมราชูปถัมภ์

วันที่ 18 ก.ค.67 นายอำพน กิตติอำพน องคมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการติดตามและบริหารโครงการพุทธสถานทรัพยากรเฉลิมพระเกียรติ วัดป่าดานวิเวก ในพระบรมราชูปถัมภ์ พร้อมลงพื้นที่ดูฝายห้วยคลองตอนกลาง บ้านนาขาม ต.ศณีชมภู อ.โซ่พิสัย ที่ได้รับการปรับปรุงซ่อมแซมฝายขึ้นมาใหม่ โดยพระอธิการปรีดา ฉนฺทกโร เจ้าอาวาสวัดป่าดานวิเวก (หลวงปู่ทุย) 

เพื่อเพิ่มพื้นที่กักเก็บน้ำ และสร้างความอุดมสมบูรณ์ให้กับชุมชน พบปะและเยี่ยมเยือนประชาชนที่มีพื้นที่ติดกับโครงการพุทธสถานทรัพยากรเฉลิมพระเกียรติ วัดป่าดานวิเวก ในพระบรมราชูปถัมภ์ สร้างการรับรู้สร้างความเข้าใจแก่ชุมชนในการอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ ให้คนกับป่าอยู่ร่วมกัน โดยมีนายอินทพร จั่นเอี่ยม ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ นางสุพร ตรีนรินทร์ เลขาธิการ กปร. นายจุมพฏ วรรณฉัตรสิริ ผวจ.บึงกาฬ พร้อมคณะอนุกรรมการติดตามและบริหารโครงการพุทธสถานทรัพยากรเฉลิมพระเกียรติ จากส่วนราชการต่างๆ ให้การต้อนรับและเข้าร่วมประชุมฯ ณ ห้องประชุมที่ว่าการอำเภอโซ่พิสัย และโรงเรียนบ้านแสงอรุณ ต.ศรีชมภู อ.โซ่พิสัย จ.บึงกาฬ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top