Friday, 23 May 2025
TheStatesTimes

ไวรัล ‘สาวญี่ปุ่น’ ชวนระวัง ‘ชากุหลาบ’ จากร้านดังในไทย แม้ลวดลายบนแก้วจะน่ารัก แต่ดื่มแล้วท้องเสียหนักมาก

(17 ก.ค. 67) รายงานข่าวระบุว่า ‘ชากุหลาบ’ ที่บรรจุในแก้วลายเดียวกับชื่อเมนูจากร้านชาชื่อดังของไทย ที่มีสาขาอยู่ทั่วประเทศ เป็นเมนูสุดท้าทายที่ใครดื่มก็เหมือนได้ดีทอกซ์ขับของเสียออกจากร่างกาย ออกฤทธิ์เร็วทันใจ ถึงขนาดที่ว่ามีการแปะเตือนไว้ในแอพฯ สั่งอาหารต่าง ๆ

โดยล่าสุดนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นคนหนึ่ง ได้โพสต์ลง x เตือนนักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ ที่กำลังเดินทางมาเที่ยวประเทศไทย และอยากลองกินชากุหลาบนี้ดูสักครั้ง โดยมีเนื้อความระบุว่า…

“วันก่อนดื่มชากุหลาบแล้วท้องเสียหนักมาก เพิ่งรู้ว่าดังเมื่อหลายปีก่อนว่าช่วยดีทอกซ์ แต่มันไม่มีคำเตือนที่หน้าร้าน นักท่องเที่ยวอาจจะถูกหลอกด้วยแก้วลายกุหลาบที่ดูน่ารัก”

ซึ่งโพสต์ของสาวญี่ปุ่นรายนี้ก็กลายเป็นไวรัล มีคนเข้ามาคอมเมนต์มากมาย บางคนก็ถามว่า “แก้วน่ารักขนาดนี้ อันตรายจริงเหรอ?” เจ้าของโพสต์เลยตอบว่า “หน้าตาน่ารักแต่น่ากลัว เพราะกุหลาบน่ะมีหนาม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะท้องเสียนะ”

คนญี่ปุ่นหลายคนที่รู้จัก ชากุหลาบ ก็เข้ามาคอมเมนต์ว่าเคยเห็นคลิปวิดีโอที่คนดื่มมันแล้ววิ่งเข้าห้อง 20 – 30 นาที บางคนก็บอกว่าเคยดื่มแล้ว ไม่เกิดอะไรขึ้นนะ อาจจะขึ้นอยู่กับบุคคล

อย่างไรก็ตามโพสต์นี้ยังกลายเป็นไวรัลในโซเชียลของไทยอีกด้วย เหตุเพราะคนไทยจำนวนไม่น้อยก็ประสบปัญหาแบบเดียวกัน

‘อัครเดช รวมไทยสร้างชาติ’ หนุน ‘ร่าง พ.ร.บ.งบเพิ่มเติม 67’ แนะรัฐใช้ข้อมูลยุคลุงตู่ ช่วยเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายแม่นยำ-รวดเร็ว

(17 ก.ค.67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี ในฐานะโฆษกรวมไทยสร้างชาติ อภิปรายสนับสนุนร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม พ.ศ. 2567 วงเงิน 1.22 แสนล้านบาท ว่า มีความสำคัญที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจและความเดือดร้อนให้กับประชาชน เพราะเป็นเงินที่รัฐบาลจะต้องจัดสรร ส่งตรงไปประชาชนที่เดือดร้อน เพื่อเป็นเครื่องมือในการกระตุ้นเศรษฐกิจ 

ประกอบกับที่ผ่านมางบประมาณรายจ่ายปี 2567 ก็เกิดความล่าช้าไป 6 เดือน ทำให้ระบบเศรษฐกิจมีปัญหา เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ และปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชน เพราะเศรษฐกิจของประเทศส่วนหนึ่งมาจากการใช้จ่ายของภาครัฐ เมื่องบประมาณล่าช้าเงินขาดหายไปจากระบบ และกว่าเงินงบประมาณจะได้ใช้ และกว่าเศรษฐกิจฟื้นก็ต้องใช้เวลา รัฐบาลจึงจำเป็นต้องทำให้เม็ดเงินเติมเข้าไปในระบบให้เร็วที่สุด เพื่อเร่งให้เศรษฐกิจฟื้น

“ระบบเศรษฐกิจที่ไม่ฟื้นก็เปรียบเหมือนกับต้นไม้ ที่เมื่อขาดน้ำ ขาดปุ๋ย ก็ไม่ได้เฉาตายทีเดียว แต่จะค่อย ๆ เฉาไปเรื่อย ๆ จนตายในที่สุด ถ้ารัฐบาลไม่เร่งใช้จ่ายเงินงบประมาณที่ล่าช้าจากงบประมาณปี 67 และถึงแม้ว่าจะมีการใช้จ่ายของภาครัฐจากเงินงบประมาณมาแล้ว แต่กว่าจะผ่านบริษัทผู้รับเหมา ลงไปยังร้านค้า ไปยังภาคการผลิตและภาคแรงงานรวมไปถึงการหมุนไปสู่มือพี่น้องประชาชนต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่าเงินจะหมุนเข้าเต็มระบบ รัฐบาลจึงต้องมีการกระตุ้นให้เม็ดเงินไปถึงมือประชาชนผู้บริโภคให้รวดเร็วและแม่นยำ ดังนั้นเงินจากพรบ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมนี้จึงมีความสำคัญ“ นายอัครเดช กล่าว 

นายอัครเดช ยังได้ฝากไปถึงรัฐบาล ว่า จะต้องกำหนดวิธีการในการใช้งบประมาณให้ตรงกลุ่มเป้าหมายอย่างแม่นยำและรวดเร็ว ไม่ใช่ใช้วิธีการแจกแบบหว่านแห หรือแจกปูพรม เพราะหากแจกจ่ายไปยังประชาชนที่มีฐานะอยู่แล้วเขาก็จะไม่ได้มีการใช้เงินเพราะจะเป็นเงินเก็บ ทำให้เงินไม่หมุนเวียน ดังนั้นอยากแนะนำให้รัฐบาลลองไปดูฐานข้อมูลเดิมของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เคยทำในส่วนของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือ บัตรคนจน ฐานข้อมูลจากโครงการประกันรายได้เกษตรกร รวมไปถึงโครงการคนละครึ่ง เพื่อให้เงินงบประมาณนี้ไปถึงมือประชาชนผู้บริโภคได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย รวดเร็ว และแม่นยำ เพื่อจะได้ทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นในนามพรรครวมไทยสร้างชาติจึงขอสนับสนุนร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ปี 2567 ฉบับนี้

‘SCB EIC’ ชี้!! ‘แก่ก่อนรวย’ ในสังคมไทยยังน่าห่วง คนใกล้เกษียณมีสินทรัพย์น้อย-วัยทำงานหนี้สินรุมเร้า

(17 ก.ค. 67) SCB EIC เผยผลสำรวจ ‘SCB EIC Consumer survey 2023’ ว่า ในระยะสั้นปัญหาแก่ก่อนรวยของสังคมไทยยังน่าห่วง โดยพบว่า กลุ่มวัยทำงานใกล้เกษียณ (51-60 ปี) ส่วนใหญ่ยังมีสินทรัพย์น้อย โดยเฉพาะคนที่มีรายได้ต่ำกว่า 50,000 บาทต่อเดือน มีความเสี่ยงสูงที่จะประสบปัญหารายได้ไม่พอรายจ่ายหลังเกษียณ ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการสะสมสินทรัพย์ของกลุ่มนี้ คือ ปัญหาภาระหนี้ โดย 56% ของครัวเรือนที่มีหนี้พบว่ามีสินทรัพย์รวมไม่ถึง 1 ล้านบาท ซึ่งถือว่ามีสัดส่วนสูง

ในระยะยาว SCB EIC มองว่าปัญหาการออมนับเป็นความเสี่ยงสำคัญต่อความพร้อมหลังเกษียณ ผลสำรวจ SCB EIC Consumer survey 2023 พบว่า ในภาพรวมคนวัยทำงานที่สามารถออมเงินได้ทุกเดือนยังมีไม่ถึงครึ่ง และอีกราว 1 ใน 4 ที่ไม่สามารถออมได้เลย โดยเฉพาะกลุ่มรายได้น้อยกว่า 15,000 บาทต่อเดือน ซึ่งจะเหลือเพียง 1 ใน 10 คนเท่านั้นที่สามารถออมได้สม่ำเสมอ สาเหตุสำคัญมาจากปัญหาภาระรายจ่ายสูงแต่รายได้ต่ำ โดยเฉพาะวัยทำงานอายุ 31 - 50 ปี ที่มีปัญหาภาระหนี้มากกว่ากลุ่มอื่น เพราะได้เริ่มก่อหนี้ก้อนใหญ่เอาไว้

SCB EIC ประเมินว่า พฤติกรรมการออมจะส่งผลอย่างมากต่อปัญหาแก่ก่อนรวยของคนไทย โดยเฉพาะคนอายุมากและรายได้ต่ำ ซึ่งผลสำรวจพบว่ามีวินัยการออมน้อยที่สุด ขณะที่คนรุ่นใหม่อายุต่ำกว่า 30 ปี พบว่าสามารถเริ่มออมสม่ำเสมอได้ตั้งแต่ช่วงรายได้ต่ำกว่ากลุ่มอื่น ๆ โดยกลุ่มนี้มีพฤติกรรมเก็บก่อนใช้ได้ตั้งแต่รายได้ 30,000 บาทต่อเดือน แต่ถ้าเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อเดือน กลับพบว่ายังขาดวินัยการออม ส่วนหนึ่งเพราะใช้จ่ายตามกระแสสังคมมาก ซึ่งจะต่างจากคนอายุมากกว่าที่ส่วนใหญ่เริ่มมีพฤติกรรมเก็บก่อนใช้ตั้งแต่มีรายได้ 50,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป

สำหรับผลสำรวจด้านการลงทุน พบว่าคนอายุน้อยที่มีเงินลงทุนมีสัดส่วนต่ำกว่าคนอายุมากกว่า และยังไม่ค่อยมีสินทรัพย์อื่นนอกจากเงินสดหรือเงินฝาก แม้ว่าคนรุ่นใหม่ดูจะสนใจและต้องการลงทุนมากกว่ากลุ่มคนอายุมากกว่า แต่ปัญหาขาดแคลนเงินลงทุนและความรู้ความเข้าใจในการลงทุนสินทรัพย์ทางการเงินยังเป็นอุปสรรคสำคัญของคนรุ่นใหม่

นโยบายช่วยเหลือและกระตุ้นการออมจึงต้องออกแบบให้เหมาะสมกับคนทำงานต่างวัยในแต่ละกลุ่มรายได้ เพื่อให้ปรับการออม พร้อมนับถอยหลังใช้ชีวิตหลังเกษียณได้ดีขึ้น

>>กลุ่มที่ต้องดูแลเร่งด่วน 

1.1. กลุ่มคนอายุต่ำกว่า 30 ปี รายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อเดือน ภาครัฐต้องส่งเสริมให้เริ่มออมเร็วที่สุด ผ่านการเพิ่มสัดส่วนการออมตามระดับรายได้ในการออมภาคบังคับ พร้อมส่งเสริมความรู้ทางการเงินการลงทุนด้วยการสอดแทรกเข้าไปในช่องทาง Social media ต่าง ๆ

1.2.กลุ่มอายุมากกว่า 30 ปี รายได้ต่ำกว่า 50,000 บาทต่อเดือน ภาครัฐควรช่วยออมและลดภาระผ่านช่องทางภาษีที่จูงใจ เช่น สิทธิลดหย่อนภาษี รวมถึงการต่ออายุเกษียณจาก 60 ปี เพื่อให้มีระยะเวลาหารายได้นานขึ้น

>>กลุ่มที่ต้องเพิ่มแรงจูงใจในการออม

2.1. กลุ่มอายุต่ำกว่า 30 ปี รายได้มากกว่า 30,000 บาทต่อเดือน ภาครัฐและภาคการเงินควรเพิ่มการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้น เพราะมีความเข้าใจการลงทุนสูงกว่าและรับความเสี่ยงได้มากกว่า

2.2.กลุ่มอายุมากกว่า 30 ปี รายได้สูงกว่า 50,000 บาทต่อเดือน ภาครัฐควรส่งเสริมพฤติกรรมออมต่อเนื่องได้ถึงเป้าหมาย และเข้าถึงผลิตภัณฑ์การเงินที่ให้ผลตอบแทนเพียงพอกับรายจ่ายที่สูงขึ้น สำหรับวัยใกล้เกษียณ ภาครัฐควรช่วยลดความเสี่ยงฉุกเฉินให้เพิ่มเติม โดยช่วยจ่ายเบี้ยประกันความเสี่ยงที่จำเป็น

'รัฐบาล' ชวนคนไทยรับชม 'คุยกับเศรษฐา' 20 ก.ค.นี้ เปิด 10 โครงการเฉลิมพระเกียรติรับปีมหามงคล

(18 ก.ค. 67) น.ส.จิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เชิญชวนให้พี่น้องประชาชนเตรียมรับชมรายการ 'คุยกับเศรษฐา' ตอนพิเศษ ซึ่งจะออกอากาศในวันเสาร์ที่ 20 ก.ค.นี้ ทางช่อง NBT โดยในเทปที่ 2 นี้ นายกรัฐมนตรีจะมาบอกเล่าถึงการจัดทำ 10 โครงการเฉลิมพระเกียรติในนามรัฐบาล เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 72 พรรษา 28 กรกฎาคม 2567 ซึ่งทั้ง 10 โครงการ ล้วนแต่มีจุดมุ่งหมายในการพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนให้อยู่ดีมีสุข 

นางสาวจิราพร เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับการผลักดัน 10 โครงการเฉลิมพระเกียรตินี้มาโดยตลอด โดยนายกรัฐมนตรี จะใช้รายการนี้เป็นเวทีในการบอกเล่าความคืบหน้าการดำเนินโครงการที่มีความเชื่อมโยงกับ ‘ป่า-น้ำ-คน’ ให้พี่น้องประชาชนได้รับทราบความเป็นมา และประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับโดยตรงจากการจัดทำโครงการต่าง ๆ รวมถึงผู้ชมจะได้เห็นภาพความประทับใจในการลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรีเพื่อเข้าร่วมโครงการเฉลิมพระเกียรติในสถานที่ที่แตกต่างกันออกไป

“ขอเชิญชวนทุกท่านติดตามรายการ ‘คุยกับเศรษฐา’ ตอนพิเศษ เนื่องในโอกาสปีมหามงคลนี้พร้อมกัน ในวันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม 2567 เวลา 08.00 น. ทางช่อง NBT และ ททบ. 5 และจะรีรันอีกครั้งในเวลา 11.30 น. ทางช่อง 9 MCOT HD” น.ส.จิราพร กล่าว

'โซเชียลจีน' สะพัด!! ข่าว 'ปธน.สี จิ้นผิง' อาจป่วยหนัก หลอดเลือดในสมองตีบ

(18 ก.ค.67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เกิดข่าวลือแพร่สะพัดบนโลกออนไลน์ของประเทศจีน แต่ยังไม่ได้รับการยืนยันออกมาอย่างแน่ชัด ว่าประธานาธิบดีสี จิ้นผิง อาจป่วยเป็นโรคหลอดเลือดในสมองตีบ หรือ สโตรก ระหว่างการประชุมคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ครั้งที่ 3 ซึ่งเขาเป็นประธานการประชุม ในฐานะเลขาธิการคณะกรรมการกลาง 

ถึงแม้ว่าสื่อกระแสหลักของโลกยังไม่มีการรายงานข่าวนี้แต่อย่างใด และในปี 2565 ก็เคยเกิดข่าวลือว่า 'สี จิ้นผิง' ถูกรัฐประหารยึดอำนาจ หลังจากเขาหายหน้าไปจากสาธารณะระยะหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ได้รับการยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องจริง

นางเจนนิเฟอร์ จาง นักข่าวด้านสิทธิมนุษยชน เป็นต้นกำเนิดข่าวลือล่าสุดนี้ โดยเธอโพสต์บนยูทูบ อ้างคำพูดของนายจางหมิง ศาสตราจารย์และหัวหน้างานระดับปริญญาเอก ของคณะความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของ มหาวิทยาลัยเหรินหมิน ซึ่งจู่ ๆ ก็โพสต์ข้อความว่า “มีอะไรที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้น” โดยไม่ขยายความต่อแต่อย่างใด 

เธอยังอ้างรายงานของนายซู เสี่ยวโหว นักข่าวชาวจีนซึ่งมีผู้ติดตามบนยูทูบ 1.79 แสนคน ว่า จู่ ๆ 'สี จิ้นผิง' ก็เกิดอาการหลอดเลือดสมองตีบขณะร่วมประชุมคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ครั้งที่ 3 และถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลทันที เธออ้างด้วยว่ามีผู้ใช้งานยูทูบคนอื่น ๆ ก็รายงานข่าวไปในทำนองเดียวกัน

รองผู้บัญชาการทหารเรือเป็นผู้แทนผู้บัญชาการทหารเรือร่วมงานเลี้ยงรับรองเนื่องในวันกองกำลังป้องกันตนเองญี่ปุ่น

เมื่อวันที่ 16 ก.ค.67 พล.ร.อ.สุวิน  แจ้งยอดสุข รองผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นผู้แทนผู้บัญชาการทหารเรือ พร้อมด้วยคณะผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพเรือ ร่วมงานเลี้ยงรับรองเนื่องในวันกองกำลังป้องกันตนเองญี่ปุ่น ตามคำเชิญของสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น ประจำประเทศไทย โดยมี นาย Otaka Masato เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย เป็นเจ้าภาพ ณ ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมโอกุระ เพรสทีจ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร

ไทยและญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์อย่างยาวนานทั้งในระดับของราชวงศ์ รัฐบาล ตลอดจนภาคเอกชน ในส่วนของความสัมพันธ์ทางทหารนั้น ไทยและญี่ปุ่นมีความร่วมมือในระดับกระทรวงกลาโหมในกรอบการประชุม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอาเซียน (ADMM Plus) , ความเป็นหุ้นส่วนแปซิฟิก (Pacific Partnership) , การปฏิบัติงานร่วมกันในภารกิจต่าง ๆ ในกรอบสหประชาชาติ , การแลกเปลี่ยนการเยือนของผู้บังคับบัญชาระดับสูง และการให้ที่นั่งศึกษา

ความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพเรือไทย และกองกำลังป้องกันตนเองทางทะเลญี่ปุ่น (ทร.ญี่ปุ่น) เป็นไปด้วยความแน่นแฟ้นอย่างยาวนาน ดังนี้

1. การประชุมโดยทั้งสองประเทศจัดให้มีการประชุม Navy to Navy Staff Talks เพื่อให้ผู้แทนกองทัพเรือของทั้งสองฝ่ายร่วมหารือในเรื่องความมั่นคงทางทะเล , การแลกเปลี่ยนและขยายความร่วมมือในด้านต่างๆ และเรื่องอื่นๆ ที่ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชา
2. การแลกเปลี่ยนการศึกษา เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ.2525 ญี่ปุ่นให้การสนับสนุนหลักสูตรโรงเรียนรวมเหล่าญี่ปุ่น และโรงเรียนทำการนายทหารเรือญี่ปุ่น หลักสูตร 6 ปี , หลักสูตรวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรญี่ปุ่น (วทร.ญี่ปุ่น)
3. การแลกเปลี่ยนการเยือนของกำลังทางเรือ โดยมีการแลกเปลี่ยนการเยือนเมืองท่า , การเข้าร่วมการสวนสนามทางเรือของทั้งสองประเทศอย่างต่อเนื่อง
4. การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ได้มีการประชุมแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร (IEC) ระหว่างกัน มาแล้วรวม 9 ครั้ง
5. การฝึกผสมทวิภาคี ทำการฝึกในลักษณะ PASSEX เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ และให้เกินการทำงานร่วมกันให้แน่นแฟ้นมากขึ้น

จากความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกันมาอย่างยาวนานส่งผลให้กองทัพเรือไทยและกองกำลังป้องกันตนเองญี่ปุ่นมีความร่วมมือที่ดีในหลายมิติด้านความมั่นคงทางทะเล เป็นไปตามนโยบายผู้บัญชาการทหารเรือในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อมิตรประเทศ , การมีบทบาทนำด้านความร่วมมือที่ส่งเสริมความมั่นคงในภูมิภาคให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

สมนึก เชื้อสนุก รายงาน 

มุกดาหาร ตร.นิคมคำสร้อยขับรถไล่ล่าแกงค์ยาบ้า เส้นทางลัดร่วม 20 กม. ยึดยาบ้า 240,000 เม็ด ผู้ต้องหา 2 คนหนีได้ 1 คน

สภ.นิคมคำสร้อย ตรวจยึดยาบ้า จำนวน 240,000 เม็ด ผู้ต้องหา 2 คน จับได้ 1 หลบหนีไป 1 คนร้ายขับรถหนีไปร่วม 20 กม. ขณะ จนท. ตั้งจุดตรวจจุดสกัดที่บริเวณจุดตรวจโชคชัย ถนนชยางกูร 212 (มุกดาหาร – ยโสธร- อุบลราชธานี) อ.นิคมคำสร้อย จ.มุกดาหาร 

วันที่ 17 ก.ค. 67 นายวรญาณ บุญณราช ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร, พล.ต.ต. ชัชชัย วงศ์สุนะ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด, พ.ต.อ.กิตเตชิษฐ์ บำรุง รองผู้บังคับการตำรวจภูธร, พ.ต.อ.พิชญ์วุฒิ โพธิ์จันทร์ ผกก.สภ.นิคมคำสร้อย, นายชายสิทธิ์ สุวรรณโชติ นายอำเภอนิคมคำสร้อย, พร้อมตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดมุกดาหาร, ปกครอง, กอ.รมน., เจ้าหน้าที่หน่วยความมั่นคงกองกำลังสุรศักดิ์มนตรี, ร่วมกันแถลงข่าวจับกุมแกงค์ค้ายาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) รายใหญ่ ภายใต้อำนวยการสั่งการของ พล.ต.ต. ชัชชัย วงศ์สุนะ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกอำเภอคุมเข้มตรวจสอบกลุ่มแกงค์ยาเสพติดในจังหวัด โดยมี พ.ต.ท.พลไชย ภูจอมจิตร รองผกก.ป.สภ.นิคมคำสร้อย พ.ต.ต.ประดิษฐ์ วงชารี สวป.สภ.นิคมคำสร้อย มอบหมายให้ร.ต.ท.อิทธิฤทธิ์ แซ่ลิ้ม รอง สวป.สภ.นิคมคำสร้อย หัวหน้าชุด พร้อมเจ้าหน้าที่สายตรวจตำบลโชคชัย ตั้งจุดตรวจจุดสกัด เพื่อป้องกันปราบปรามอาชญากรรม สิ่งของผิดกฎหมาย และยาเสพติด 
กระทั่งช่วงระหว่างเวลาประมาณ 20.30 น. ของคืนวันที่ 16 กค. 67 เจ้าหน้าที่ตำรวจจุดตรวจตู้ยามโชคชัย สภ.นิคมคำสร้อย พบรถยนต์กระบะอีซูซุ สีขาว 4 ประตู หมายเลขทะเบียน กต – 4097 ศรีสะเกษ ขับมาจากเส้นทางในตัวเมืองผ่าน อ.นิคมคำสร้อย มุ่งหน้าไปเส้นทางอำเภอเลิงนกทา จ.ยโสธร - อุบลราชธานี เมื่อคนขับมองเห็นจุดตรวจของเจ้าหน้าที่ ได้กลับรถบริเวณจุดกลับอย่างกระทันหัน ก่อนเร่งความเร็วรถเพื่อหลบหนีกลับไปทางเดิมก่อนเลี้ยวซ้ายเข้าเส้นทางลัด นิคมคำสร้อย - หนองสูง - ขอนแก่น เจ้าหน้าที่จึงขับรถไล่ติดตามพร้อมส่งสัญญาณไฟและเสียงไซเรนเพื่อให้รถกระบะหยุด แต่รถคันดังกล่าวไม่มีทีท่าว่าจะหยุดกลับเร่งเครื่องขับหลบหนีอย่างรวดเร็ว 

จนท.ขับไล่ติดตามกระทั่งถึงบริเวณเส้นทางหนองนกเขียน - โคกหินกอง ผู้ที่นั่งมาในรถได้โยนวัตถุบางอย่างออกจากตัวรถแต่ยังคงขับรถหลบหนีอย่างไม่ลดละ เจ้าหน้าที่ได้ไล่ติดตามข้ามอำเภอจนถึงบ้านโคกหินกอง ต.หนองสูงใต้ ระยะทางประมาณ 20 กม. คนขับรถได้จอดรถ ตรวจสอบทราบชื่อนายวิลาศักดิ์ (นามสมมุติ) อายุ 35 ปี ที่อยู่ ต.หนองแวง อ.เกษตรวิสัย  จ.ร้อยเอ็ด ผู้ขับรถยนต์ ขณะที่ผู้ที่นั่งมาด้วยเป็นชายรูปร่างปราดเปรียวเปิดประตูรถวิ่งหลบหนีเข้าไปในป่าละเมาะใกล้หมู่บ้านแม้เจ้าหน้าที่จะไล่ติดตามแต่ก็หาตัวไม่พบ จากการตรวจสอบในรถพบวัตถุต้องสงสัยวางอยู่ภายในห้องโดยสารด้านหลังคนขับ และยึดวัตถุที่โยนลงข้างถนนตรวจสอบเบื้องต้นว่าเป็นยาบ้า จนท.จึงควบคุมตัวพร้อมของกลางมาที่ สภ.นิคมคำสร้อย เพื่อตรวจนับให้ละเอียดทราบว่าเป็นยาเสพติดให้โทษ ประเภทที่ 1 ถูกห่อด้วยกระดาษใขสีเหลือง เม็ดยาสีส้มเข้มมีสัญลักษณ์ตัวอักษร Y 1 ประทับที่หีบห่อ รวมจำนวน 20 แพ็ค และห่ออยู่ในถุงพลาสติกสีดำ 20 ก้อน ตรวจนับเป็นยาบ้าประมาณ 240,000 เม็ด พร้อมโทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง คาดเป็นแกงค์ค้ายารายใหญ่ในพื้นที่ เจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อกล่าวหาว่า “ ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) โดยการมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นการก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน, โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายและเป็นผู้ขับรถเสพยาเสพติดให้โทษตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ก่อนนำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางทั้งหมด ส่งพนักงานสอบสน สภ.นิคมคำสร้อย เพื่อสอบสวนขยายผลหาแกงค์ผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

‘CK Cheong’ สะท้อน!! ‘อาหารไทย’ ทำไมราคาถูกกว่าอาหารญี่ปุ่น ทั้งที่กว่าจะรังสรรค์เมนู ต้องผ่านกระบวนการ ‘ปรุง-หมัก-ผัด’ ก่อน

เมื่อไม่นานมานี้ จากช่องยูทูบ ‘CK Cheong’ หรือ ‘คุณซีเค เจิง’ นักธุรกิจหนุ่มลูกครึ่งไทย-จีน (มาเก๊า) ผู้เติบโตที่ประเทศอเมริกา และเป็นหนึ่งในผู้บริหารของ ‘Fastwork Technologies’ ได้โพสต์คลิปแชร์มุมมองของตนเองต่อคุณค่าของความเป็นไทย โดยระบุว่า…

“ผมจุดตั้งต้นในบริษัทว่าจะไม่มีวันทําแบบโปรโมชัน 1.1, 2.2, 3.3, 4.4 ผมจะไม่มีวันทํา เป็นเพราะว่าสิ่งที่ผมขาย…ผม ‘ขายเวลา’ ของคนไทย และคนไทย ‘ไม่ใช่ของถูก’...

ผมไม่ชอบที่อาหารไทยเป็นของถูก ทําไมอาหารบ้านเราต้องถูกกว่าอาหารญี่ปุ่น บ้านเรามีความซับซ้อนตั้งเยอะ ต้องปรุง ต้องหมัก ต้องผัด ต้องใส่พริก หรือใส่นู้นก่อนนี่ก่อน แต่ซูชิคือหั่นและวางข้าวจบเลย ทําไมของเขาต้องแพงกว่า…

คุณลองคิดดูว่า คุณมีแซลมอนอันหนึ่ง คุณจะทําเป็นซาชิมิ กับทําเป็นแกงส้มปลาทอดอันหนึ่ง คุณว่าอันไหนยากกว่ากัน? แต่ทําไมของเราถูกกว่า คนไทยชอบด้อยค่าตัวเอง และอันนี้เป็น Soft Power ที่ผมพยายามที่จะพาไป คือ…คนไทยไม่ใช่ของถูก”

‘นักแข่งโกะชาวเกาหลีใต้’ ตัดสินใจลาวงการ หลังพ่ายแพ้ให้ AI ลั่น!! รู้สึกทุกข์ทรมานไม่จางหาย และไม่สนุกกับเกมได้อีกต่อไป

(18 ก.ค. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘Techsauce’ รายงานถึงกรณีนักแข่งหมากล้อม (โกะ) ชาวเกาหลีใต้พ่ายแพ้ให้กับ AI ที่ชื่อว่า AlphaGo โดยระบุว่า…

“การที่ AI เปิดตัวในการแข่งหมากล้อม (โกะ) ผมก็ได้รู้ว่า ผมไม่ใช่คนที่อยู่บนจุดสูงสุดแล้ว ถึงแม้ว่าผมจะเป็นที่ 1 จากการพยายามจนเลือดตาแทบกระเด็น แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่เราไม่สามารถเอาชนะได้”

อี เซดล คืออดีตนักแข่งหมากล้อมมืออาชีพชาวเกาหลีใต้ และเป็นอดีตอันดับ 1 ของโลก แต่เมื่อปี 2016 เขากลับพ่ายแพ้ให้แก่โปรแกรม AI ที่ชื่อว่า AlphaGo เจ้าตัวเผยว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังคงทุกข์ทรมานจากการที่พ่ายแพ้และไม่สามารถก้าวข้าม AlphaGo ได้

การพ่ายแพ้ในครั้งนั้นเป็นการสั่นสะเทือนทั้งวงการหมากล้อมและคนทั้งโลก หลังจากการพ่ายแพ้ทำให้อี เซดลตัดสินใจลาออกในปี 2019 เนื่องจากเขาไม่สามารถสนุกกับเกมได้อีกต่อไป เขายังออกมาเตือนอีกว่าเทคโนโลยีจะไม่ตามหลังนักแข่งหมากล้อมอีกต่อไป 

“ผมเผชิญกับปัญหาเรื่อง AI เร็วกว่าคนอื่น แต่ปัญหานี้ก็จะเกิดขึ้นกับคนอื่นเหมือนกัน และอาจจะเป็นจุดจบที่ไม่สวยเท่าไร” อี เซดล กล่าว

“ผมคิดว่า AI จะเอาชนะมนุษย์ได้ในสักวัน แต่ไม่คิดว่ามันจะเป็นตอนนี้” อี เซดลไม่สามารถยอมรับความพ่ายแพ้นี้ได้ เขาคิดว่าการแข่งหมากล้อมถือว่าเป็นศิลปะรูปแบบหนึ่งซึ่งสะท้อนลักษณะและสไตล์การเล่นของผู้เล่นแต่ละคน แต่ตอนนี้ศิลปะเหล่านี้ถูกโยนทิ้งไปโดยอัลกอริทึมที่สามารถคำนวณอย่างเฉียบคมและไร้ความปรานี

อีกสิ่งที่เขากังวลคือ AI อาจจะเปลี่ยนคุณค่าของมนุษย์ “คนมักจะตะลึงในนวัตกรรมและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ แต่การเข้ามาของ AI ทำให้หลาย ๆ อย่างหายไป” แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่ AI ยังไม่สามารถมาแทนคนได้ ก็คือ ‘จิตวิญญาณ’

Spielberg ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดังกล่าวไว้ว่า “ผมคิดว่าจิตวิญญาณเป็นสิ่งที่ไม่สามารถจินตนาการและอธิบายได้ และอัลกอริทึมยังไม่สามารถสร้างมันได้เช่นกัน มันเป็นสิ่งที่อยู่ภายในพวกเราทุกคน”

อ้างอิง: https://www.businessinsider.com/lee-sedol-makes-surprise-move-before-final-match-against-alphago-2016-3

https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2024/07/10/defeated-by-ai-a-legend-in-the-board-game-go-warns-get-ready-for-whats-next 

‘การบินไทย’ ติด 1 ใน 10 สายการบินให้บริการระหว่างประเทศดีที่สุดในโลก สะท้อนมาตรฐาน-คุณภาพการให้บริการดีเยี่ยม ผู้ใช้งานทั่วโลกไว้วางใจ

(18 ก.ค. 67) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้รับการจัดอันดับเป็นสายการบินที่ให้บริการระหว่างประเทศที่ดีที่สุดในโลก (Best International Airlines in 2024) อันดับ 8 จากทราเวล แอนด์ เลเชอร์ (Travel & Leisure World’s Best Awards 2024) ซึ่งได้สำรวจความคิดเห็นจากนักเดินทาง นักท่องเที่ยว และนักธุรกิจ จากทั่วโลก ประจำปี 2024 เพื่อนำมาจัดอันดับความเป็นเลิศในประเภทต่าง ๆ อาทิ สายการบินที่ดีที่สุด สนามบินที่ดีที่สุด เมืองที่ดีที่สุด โรงแรมที่ดีที่สุด สปาที่ดีที่สุด บริษัทนำเที่ยวที่ดีที่สุด และเรือสำราญที่ดีที่สุด 

ซึ่งผลการจัดอันดับดังกล่าว ยืนยันถึงคุณภาพและการบริการของการบินไทยอยู่ในระดับมาตรฐานที่นานาชาติพึงพอใจ ทั้งความสะดวกสบายบนเครื่องบิน การให้บริการบนเครื่องบิน การให้บริการภาคพื้นตลอดจนทุกจุดบริการของการบินไทย 

บริษัทฯ ขอขอบคุณผู้โดยสารที่ให้ความไว้วางใจและสนับสนุนการบินไทยมาโดยตลอด และจะยังคงพัฒนาการให้บริการและผลิตภัณฑ์ให้ดียิ่งขึ้นในทุกด้านต่อไป 

อนึ่ง ทราเวล แอนด์ เลเชอร์ เป็นนิตยสารด้านการท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในประเทศสหรัฐอเมริกา และมีสาขาอยู่ทุกภูมิภาคทั่วโลก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top