Friday, 23 May 2025
TheStatesTimes

ตำรวจ ปส. เปิดปฏิบัติการ 'The Black sheep' ไล่ล่าปิดล้อมตรวจค้นจับกุมยึดทรัพย์ 3 เครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่

ตามนโยบายของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้กำหนดให้การแก้ไขปัญหายาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ ที่หน่วยงานของรัฐต้องร่วมมือกับภาคประชาชน และภาคเอกชน บูรณาการปราบปรามและแก้ไขปัญหายาเสพติด อย่างจริงจัง และเด็ดขาด ให้เห็นผลเป็นรูปธรรมภายใน 90 วัน พร้อมทั้งมีบทลงโทษแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐที่บกพร่อง ละเลยในการปฏิบัติหน้าที่ รวมทั้งผู้ที่เข้าไปมีส่วนยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด อย่างเด็ดขาด ประกอบกับนโยบายของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศอ.ปส.ตร. ให้ทุกหน่วยทำงานเชิงรุกในการปราบปรามจับกุมผู้ค้ายาเสพติดรายย่อยในพื้นที่รับผิดชอบ และสืบสวนขยายผลคดียาเสพติดทุกคดีเพื่อจับกุมและยึดอายัดทรัพย์สินของเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติดที่เกี่ยวข้องทุกระดับ     

ในวันนี้ 17 ก.ค.67 เวลา 08.00 น. พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย ผบช.ปส., พล.ต.ท.สมเกียรติ วัฒนพรมงคล ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ตร. รรท.รอง ผบช.ปส, พล.ต.ต.สมบูรณ์ เทียนขาว, พล.ต.ต.ออมสิน ตรารุ่งเรือง ,พล.ต.ต.พลัฎฐ์ วิเศษสิงห์ รอง ผบช.ปส., พล.ต.ต.พรพิทักษ์ รู้ยืนยง รอง ผบช.ฯ ช่วยราชการ บช.ปส., พล.ต.ต.ธนรัชน์ สอนกล้า ผบก.ปส.2, พล.ต.ต.อดิศ เจริญสวัสดิ์ ผบก.ปส.3, พล.ต.ต.อิทธิพล จันทร์ศรีบุตร ผบก.ขส. ,พ.ต.อ.วันชนะ บวรบุญ, พ.ต.อ.หญิง บุครา จงรักชอบ, พ.ต.อ.ชิตภพ โตเหมือน และ พ.ต.อ.ศรีศักดิ์ พรหมบุญ รอง ผบก.ขส.บช.ปส. ได้ร่วมกันเฝ้าติดตามรับฟังการรายงานพร้อมทั้งแถลงผลปฏิบัติการ “The Black Sheep” ซึ่ง บก.ขส.ได้ร่วมกับ บก.ปส.2, บก.ปส.3 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมดำเนินการปิดล้อมตรวจค้นจับกุมเครือข่ายยาเสพติดรายสำคัญ 3 เครือข่าย ผ่านระบบกล้อง BodyCam Hytera 

พร้อมโปรแกรม Moniter ณ ห้อง ณ ห้องประชุม ศปก.บก.ขส. ชั้น 8 บช.ปส. สืบเนื่องจาก บก.ข่าวกรองยาเสพติด ร่วมกับ บก.ปส.2 และบก.ปส.3 ได้สืบสวนขยายผลการจับกุมคดียาเสพติดรายสำคัญและนำไปสู่การออกหมายจับผู้สั่งการ จำนวน 3 เครือข่าย ดังนี้

เครือข่ายที่ 1 สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 14 มี.ค.66 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.สกส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหา 4 คน พร้อมของกลาง ยาบ้า 12,000,000 เม็ด, ไอซ์ 600 กิโลกรัม และ คีตามีน 400 กิโลกรัม ได้บริเวณด่านตรวจยานพาหนะพยุหะคีรี จว.นครสวรรค์ ต่อเนื่อง สถานีบริการน้ำมันเขาทอง (ขาเข้า) ต.ยางตาล อ.โกรกพระ จว.นครสวรรค์ จากนั้น ตำรวจ บก.ขส.ร่วมกับ บก.ปส.3 ทำการสืบสวนขยายผล จนทราบว่า นายปวิตร ปัจจุบัน เป็นสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล แห่งหนึ่งใน จ.ตาก เป็นผู้สั่งการให้ลำเลียง ยาเสพติดจำนวนมาก เข้ามาทางชายแดนภาคเหนือ  ทำมาแล้วหลายครั้ง ล่าสุด ศาลได้อนุมัติออกหมายจับ นายปวิตร ตามหมายจับศาลอาญาที่ 389/2567 ข้อหาร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ไอซ์และยาบ้า) โดยการมีไว้เพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นการกระทำเพื่อการค้า เป็นการก่อให้เกิดการกระจายในกลุ่มประชาชน และเป็นการกระทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐฯ 

เครือข่ายที่ 2 สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 22 มี.ค.67 ตำรวจ บก.ขส.บช.ปส. ร่วมกับ บก.ปส.2 บช.ปส. จับกุมผู้ต้องหา 3 คน พร้อมของกลางยาบ้า 3,000,000 เม็ด ได้บริเวณริมถนนเจนจบทิศ ตำบลเทพาลัย อำเภอคง จว.นครราชสีมา ต่อเนื่อง บริเวณสถานีบริการน้ำมัน PTT Station ปตท.ดอนหวาย (แยกโนนสูงขาเข้าโคราช) ต.โตนด อ.โนนสูง จว.นครราชสีมา ต่อมาเมื่อวันที่ 13 พ.ค.67 สามารถจับกุมผู้ต้องหา 4 คน พร้อมของกลางยาบ้าจำนวน 4,980,000 เม็ด ได้บริเวณบ้านเลขที่ 52 ม.2 ต.หนองหลวง อ.เสลภูมิ จว.ร้อยเอ็ด ต่อเนื่อง ปั๊มน้ำมัน ปตท.เสลภูมิ ต.นาเมือง อ.เสลภูมิ  จว.ร้อยเอ็ด และวันที่ 9 มิ.ย.2567 สามารถจับกุมผู้ต้องหา 1 คน พร้อมของกลางยาบ้า 6,200,000 เม็ด ได้ที่ถนนภายในหมู่บ้านโนนหอม หมู่ 2 ต.โนนหอม อ.เมือง จว.สกลนคร จากการสืบสวนสอบสวนขยายผลของ ตำรวจ บก.ขส. และ บก.ปส.2 ทราบว่า ทั้ง 3 คดีดังกล่าว มีนายนพรัตน์ และ น.ส.ฉัตรชนก เป็นผู้สั่งการ และร่วมกระทำความผิด 

โดยการนำรถยนต์ไปบรรทุกยาเสพติด ก่อนจะนำมาส่งต่อให้กลุ่มผู้ต้องหา เพื่อขับรถลำเลียงยาเสพติดไปส่งให้เครือข่ายต่อไป สำหรับ นายนพรัตน์ ปัจจุบัน เป็นสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล แห่งหนึ่งใน จว.นครพนม ทำหน้าที่อำนวยความสะดวกในการลักลอบนำเข้ายาเสพติดทุกชนิด ทางชายแดน จว.นครพนม และ จว.หนองคาย เบื้องต้นศาลได้อนุมัติออกหมายจับ 1. นายนพรัตน์ ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 373/2567 ลง 3 ก.ค.67 2. น.ส.ฉัตรชนก  ตามหมายจับศาลอาญาที่ 372/2567 ลง 3 ก.ค.67 ข้อหาร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดฯ และสมคบฯ

เครือข่ายที่ 3 สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 30 ม.ค.67 ตำรวจ บก.สปพ. บช.น. จับกุมผู้ต้องหา 2 คนเครือข่ายอาท ต่ำเอี่ยว พร้อมของกลางยาบ้า 2,000,000 เม็ด , ไอซ์ 249 กิโลกรัม ในพื้นที่ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ตำรวจ บก.ขส. ร่วมกับ บก.ปส.3 ได้สืบสวนขยายผลจนทราบว่า นายกำธรและนายเทิดพงษ์ เป็นผู้สั่งการให้มีการลำเลียงยาเสพติด จากพื้นที่ จว.สุพรรณบุรี  ไปยัง จว.ปทุมธานี ล่าสุด ศาลได้อนุมัติออกหมายจับ 1. นายกำธร ตามหมายจับศาลอาญาที่ 393/2567 ลง 10 ก.ค.67 และ 2. นายเทิดพงษ์ ตามหมายจับศาลอาญาที่ 394/2567 ลง 10 ก.ค.67 ในข้อหาร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดฯ และสมคบฯ

ภายหลังการสืบสวนขยายผลของทั้ง 3 เครือข่ายข้างต้น จึงเป็นที่มาของการเปิดปฏิบัติการ “The Black sheep” ในครั้งนี้ โดย บก.ขส.และ บก.ปส.2 และบก.ปส.3 บช.ปส. พร้อมหน่วยร่วมปฏิบัติได้แก่ตำรวจภูธรภาค 1, ตำรวจภูธรภาค 4, ตำรวจภูธรภาค 5, ตำรวจภูธรภาค 6, ตชด., เจ้าหน้าที่ ปปส. และกำลังเจ้าหน้าที่ทหาร ได้ร่วมกันลงพื้นที่กำหนดเป้าหมายปิดล้อมตรวจค้นตั้งแต่ 06.00 น. ของวันนี้ (17 ก.ค.67) ในพื้นที่ 6 จังหวัดพร้อมกัน ได้แก่ อ.พบพระ และ อ.แม่สอด จว.ตาก, พื้นที่ อ.แม่จัน จว.เชียงราย, พื้นที่  อ.ธาตุพนม และอ.เรณูนคร จว.นครพนม, พื้นที่ อ.เทพสถิต จว.ชัยภูมิ, พื้นที่ อ.พัฒนานิคม จว.ลพบุรี และ พื้นที่ อ.สามชุก จว.สุพรรณบุรี รวมทั้งสิ้น 17 จุดตรวจค้น เป้าหมายจับ จำนวน 5 หมายจับ ผลการปิดล้อมตรวจค้นสามารถจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับได้ 4 หมายจับ จับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติด 1 คดี 1 คน  พร้อมของกลางยาบ้าจำนวน 1,400 เม็ด และ Happy water 20 ซอง ยึดอายัดทรัพย์สินเพื่อตรวจสอบจำนวน 183 รายการ ได้แก่ ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง 21 รายการ, ทองรูปพรรณ 28 รายการ, อาวุธปืน 3 รายการ, เครื่องกระสุน 40 นัด, รถยนต์ 9 รายการ, เงินสด 471,520 บาท รวมมูลค่าทรัพย์สินที่ยึดอายัดได้กว่า 20,397,900 บาท 

ภายหลังการเปิดปฏิบัติการ พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย ผบช.ปส. กล่าวว่า บช.ปส. ได้ดำเนินการปราบปราม และขยายผลเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติดอย่างเข้มข้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะในครั้งนี้ได้มีการจับกุมผู้สั่งการที่เป็นถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตำแหน่งสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล 2 ราย และเป็นบุคคลผู้มีอิทธิพลในพื้นที่มาเป็นผู้กระทำความผิดเอง โดยการจับกุมจะต้องดำเนินการอย่างรัดกุมและเด็ดขาด รวมทั้งการตรวจยึดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องเพื่อตัดวงจรการค้ายาเสพติด

‘ก.พลังงาน’ มอบ ‘กกพ.’ คุย ‘กฟผ.-ปตท.’ ลดค่า Ft งวด ก.ย.-ธ.ค.67 ช่วยลดภาระค่าไฟฟ้าประชาชน ท่ามกลางราคาพลังงานทั่วโลกผันผวน

(17 ก.ค. 67) นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึงข้อกังวลของประชาชนและภาคเอกชนเกี่ยวกับ การปรับขึ้นค่าไฟฟ้างวดเดือนกันยายน-ธันวาคม 2567 ว่า กระทรวงพลังงานกำลังเร่งหาแนวทางเพื่อลดภาระค่าครองชีพประชาชน ซึ่งเป็นสิ่งที่ภาครัฐให้ความสำคัญเป็นลำดับแรก 

โดยกระทรวงพลังงานจะดำเนินการบริหารจัดการและประสานทุกภาคส่วน จะหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เจรจา การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เพื่อหาแนวทางพิจารณาปรับลดค่าไฟฟ้าผันแปร หรือ ‘ค่าเอฟที’ ซึ่ง นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานก็ได้ให้ความสำคัญและได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันในการบริหารต้นทุนค่าไฟ เพื่อบรรเทาผลกระทบประชาชน

ส่วนที่มีกระแสข่าวว่าค่าไฟของไทยแพงที่สุดในอาเซียนนั้น ไม่เป็นความจริง ค่าไฟของไทยอยู่ในระดับปานกลาง ที่มีข่าวว่าเวียดนามค่าไฟถูกกว่าไทยมากนั้น เนื่องจากเวียดนามใช้ไฟฟ้าจากพลังงานน้ำค่อนข้างมาก จึงทำให้ต้นทุนถูกกว่า แต่เวียดนามก็ไม่มีความเสถียรด้านไฟฟ้า เกิดไฟฟ้าดับบ่อย อินโดนีเซียก็ใช้ถ่านหินก็ทำให้ต้นทุนถูกกว่า

ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานต้องพิจารณาสร้างความสมดุลทั้งด้านความมั่นคงไปพร้อมกับราคาที่เหมาะสม เพราะนอกจากไฟฟ้าจะนำมาใช้ในชีวิตประจำวันของประชาชนแล้ว ไฟฟ้ายังเป็นปัจจัยหลักที่หนุนเสริมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจการค้า และการลงทุนของประเทศ ซึ่งในกระบวนการบริหารจัดการ จึงมีเป้าหมายในการรักษาสมดุลทั้งการดูแลค่าครองชีพ การดูแลคุณภาพ ความมั่นคง ความมีเสถียรภาพ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันได้ในช่วงที่ราคาพลังงานทั่วโลกผันผวนในระดับสูง

“กระทรวงพลังงาน เข้าใจความรู้สึกของประชาชนและภาคเอกชนที่กังวลถึงค่าไฟฟ้าในงวดเดือนกันยายน-ธันวาคม 2567 ที่ทาง กกพ. ได้ประกาศออกไป แต่เนื่องจากราคาพลังงานทั่วโลกผันผวนในระดับสูง อีกทั้งกระทรวงพลังงานจะต้องรักษาสมดุลทั้งด้านเสถียรภาพด้านพลังงาน ความน่าเชื่อถือทางการเงินของ กฟผ. รวมทั้งก็คำนึงถึงภาระค่าครองชีพของประชาชน ก็จะพยายามอย่างเต็มที่ในการรักษาสมดุล โดยหาแนวทางพิจารณาค่าไฟฟ้าที่จะทำให้ประชาชนได้รับผลกระทบให้น้อยที่สุด ส่วนในอนาคตก็จะพิจารณาปรับแผน PDP ให้มีความเหมาะสม รับฟังความคิดเห็นรอบด้านเพื่อให้ราคาพลังงานมีความเหมาะสมและยั่งยืนต่อไป” นายประเสริฐ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ กกพ. ประกาศแนวโน้มค่าไฟงวดเดือนกันยายน-ธันวาคม 2567 ระดับ 4.65-6.01บ./หน่วย โดยแบ่ง 3 ทางเลือก ปัจจุบันอยู่ระหว่างรับฟังความเห็น สิ้นสุด 26 กรกฎาคม 2567 

'ซีอีโอพานาโซนิค' เตือนพนักงานแรง ต้องรู้สึกรู้สากับวิกฤต ชี้!! หมดยุคจ้างงานตลอดชีพ ผลงานไม่ดีต้องถูกผู้อื่นแทนที่

(17 ก.ค. 67) นายยูกิ คุซุมิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอ พานาโซนิค โฮลดิ้งส์ หรือ Panasonic Holdings ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และแบตเตอรี่ในรถอีวี กล่าวว่า ผู้จัดการบริษัทจำเป็นต้องมีความรู้สึกถึงวิกฤติมากขึ้น ขณะนี้ บริษัทกำลังเผชิญกำไรสุทธิในระดับต่ำ พนักงานพานาโซนิคจะถูกประเมินผลงานตามนี้

สำหรับบริษัทพานาโซนิคนั้น ยึดมั่นในแนวคิดของการจ้างงานตลอดชีวิตมาหลายสิบปี แต่คำพูดดังกล่าวของประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอ พานาโซนิค โฮลดิ้งส์ นั้น ถือเป็นการกระตุ้นที่รุนแรงอย่างผิดปกติ

นายยูกิ คุซุมิ กล่าวต่อไปว่า ธุรกิจที่มีปัญหา คือธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตลดต่ำลง อัตราส่วนผลตอบแทนของเงินลงทุน หรือ ROIC น้อยกว่าต้นทุนเฉลี่ยของกิจการ หรือ WACC ในปีผ่านมานั้น ราคาหุ้นของพานาโซนิคพุ่งทะยาน 26% แต่ขณะนี้ราคาหุ้นของพานาโซนิคตกต่ำลงราว 4% ซึ่งตรงกันข้ามกับภาวะตลาดหุ้นญี่ปุ่นที่คึกคัก โดยดัชนี Topix เพิ่มขึ้นประมาณ 22% ในปีนี้ และขึ้นมาถึงหลัก 40,000 จุด ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ครั้งใหม่หลายครั้ง

นายยูกิ คุซุมิ กล่าวอีกว่า สิ่งที่กังวลมากที่สุดในเวลานี้ คือบริษัทไม่สามารถทำกำไรมากพอที่จะได้รับแรงสนับสนุนจากบรรดานักลงทุน แม้ว่าราคาหุ้นบริษัทต่าง ๆ ในญี่ปุ่นกำลังเติบโต แต่หุ้นของพานาโซนิคกลับติดอยู่ที่ราว 1,300 เยน หรือราว 325 บาท สำหรับอัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าตามบัญชี หรือ Price/Book Value ในปัจจุบันของ พานาโซนิคอยู่ที่ 0.7 เท่า ซึ่งถือว่าต่ำ เมื่อเทียบกับบริษัทฮิตาชิ ซึ่งเป็นบริษัทกลุ่มเครื่องอิเล็กทรอนิกส์อีกแห่งที่เคยปรับโครงสร้างองค์กร และขายสินทรัพย์ออกไปนั้น มีอัตราส่วนราคาต่อมูลค่าตามบัญชีสูงกว่า 3 เท่า เมื่อเทียบกับพานาโซนิก

ทั้งนี้ ซีอีโอ พานาโซนิค โฮลดิ้งส์ เคยกล่าวเมื่อ 2 เดือนผ่านมาว่า บริษัทกำลังประสบปัญหาผลกำไรที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ทำให้ต้องวางแผนที่จะลดจำนวนธุรกิจที่มีปัญหาให้เหลือศูนย์ภายในเดือนมีนาคม 2027 หรือในอีก 3 ปีข้างหน้า

สำหรับ นายยูกิ คุซุมิ ดำรงตำแหน่งซีอีโอในช่วงกลางปี 2021 ซึ่งพยายามเพิ่มกระแสเงินสดเพื่อลงทุนในด้านต่าง ๆ ด้วยการวางเป้าอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นไว้ที่ 10% หรือสูงกว่า ส่วนกำไรจากการดำเนินงานนั้น ตั้งไว้ที่ 1.5 ล้านล้านเยนภายใน 2 ปี ซึ่งจะครบกำหนดในเดือนเมษายนปี 2025 ซีอีโอเผยว่า ภาวะความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าที่ชะลอตัว ส่งผลกระทบต่อโรงงานแบตเตอรี่บางแห่งของบริษัท ซึ่งนำไปสู่การหยุดสายการผลิตบางส่วนที่โรงงาน Suminoe ในนครโอซากา

‘ศาลฯ’ สั่งจำคุก 2 ปี 6 เดือน 'สีกาตอง'  ข้อหากรรโชกทรัพย์ ‘อดีตพระกาโตะ’

(17 ก.ค.67) ที่ห้องพิจารณาคดี 711 ศาลอาญาถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีกรรโชกทรัพย์ หมายเลขดำอ 3450/2566 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 8 เป็นโจทก์ฟ้อง น.ส.วีรินทร์ชิตา หรือ อดีตสีกาตอง และนายสาธิต พี่ชายอดีตสีกาตอง เป็นจำเลยที่ 1-2 ตามลำดับ ในความผิดฐานร่วมกันกรรโชกทรัพย์

โดยอัยการโจทก์ระบุฟ้องความผิดจำเลยทั้งสองสรุปความว่า เมื่อระหว่างวันที่ 5 เม.ย. - 21 เม.ย. 2565 จำเลยที่ 1 ได้บังอาจขืนใจนายพงศกร จันทร์แก้ว หรือ อดีตพระกาโตะ พระนักเทศน์ชื่อดังในขณะนั้น ซึ่งเป็น ผู้เสียหาย โดยพูดขู่เข็ญบังคับให้ผู้เสียหายมอบเงินสด จำนวน 180,600 บาทให้จำเลยที่ 1 มิฉะนั้นจะเปิดเผยคลิปสนทนาเชิงชู้สาว และภาพถ่ายข้อความเชิงสนทนาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองให้สื่อมวลชน และประชาชนทั่วไปทราบ ซึ่งจะทำให้ผู้เสียหาย ซึ่งขณะนั้นกำลังบวชเป็นพระภิกษุ เป็นพระนักเทศน์ชื่อดัง มีประชาชนให้ความเคารพนับถือ จะทำให้ต้องถูกปลด หรือสึกจากการเป็นพระภิกษุสงฆ์ และเสื่อมเสียชื่อเสียงผู้เสียหาย จึงยอมให้เงินแก่จำเลยที่1หลายครั้งหลายหนรวม 180,600 บาท

คำฟ้องระบุอีกว่า นอกจากนี้จำเลยทั้งสองได้พูดขู่เข็ญกับผู้เสียหายอีกว่า จำเลยที่ 2 เป็นพี่ชายจำเลยที่ 1 รู้เรื่องความสัมพันธ์ทางเพศ และเชิงชู้สาวระหว่างผู้เสียหายกับจำเลยที่ 1 หากผู้เสียหายยินยอมจ่ายเงินจำนวน 3 แสนบาท จำเลยที่ 2 จะให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นน้องสาวยุติเรื่องราวที่เกิดขึ้น จะให้น้องสาวเก็บตัวอยู่เงียบ ๆ ไม่ให้ข้อมูลกับสื่อมวลชนอีกทำให้ผู้เสียหายกลัวจะได้รับความเสียหาย ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงต่อตัวเองและครอบครัว จึงได้ยอมมอบเงินจำนวน 3 แสนบาทแก่จำเลยที่ 1 ไป

เหตุเกิดที่ต.กะเปียด อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช / ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี เกี่ยวพันกัน โจทก์จึงขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยฐานร่วมกันกรรโชกทรัพย์ และให้จำเลยคืนเงินจำนวน 3 แสนบาทแก่ผู้เสียหายด้วย

จำเลยทั้งสองได้รับการประกันตัว โดยเบื้องต้นให้การปฏิเสธ แต่ภายหลังให้การรับสารภาพต่อศาลโดยผู้เสียหายยินยอมให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 3 หมื่นบาท โดยให้จำเลยที่ 1 ชดใช้เงิน 2 หมื่นบาท จำเลยที่ 2 ชดใช้เงิน 1 หมื่นบาท โดยผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความกับจำเลยทั้งสองอีก

ศาลจึงมีคำสั่งให้พนักงานคุมประพฤติสืบเสาะ และพินิจ ประวัติการศึกษา สภาพครอบครัวฯ ของจำเลยทั้งสอง แล้วรายงานให้ศาลทราบเพื่อใช้พิจารณาประกอบคำพิพากษา

วันนี้ น.ส.วีรินทร์ชิตา หรือตอง และ นายสาธิต เดินทางมาศาลตามกำหนดนัด

ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า จำเลยที่ 1 กระทำผิดตามฟ้อง เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรม

พิพากษาลงโทษในข้อหา กรรโชกทรัพย์ สั่งจำคุก 2 ปี ปรับ 2 หมื่น บาท ข้อหารีดเอาทรัพย์ ลงโทษจำคุก 3 ปี ปรับ 4 หมื่น บาท ส่วนจำเลยที่ 2 ศาลลงโทษข้อหาข่มขืนใจ สั่งจำคุก 2 ปี ปรับ 2 หมื่นบาท

จำเลยให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ มีกำหนด 2 ปี 6 เดือน ปรับ 3 หมื่นบาท ส่วนจำเลยที่ 2 คงจำคุก 1 ปี ปรับ 1 หมื่นบาท

พิเคราะห์ การสืบเสาะพฤติกรรมของจำเลย พบว่า ไม่เคยรับโทษจำคุกมาก่อน พฤติกรรมไม่ร้ายแรง และได้ทำการเยียวยาโจทย์ เป็นที่พอใจและโจทย์ไม่ติดใจ เห็นควรให้โอกาสกลับตัวเป็นคนดี โทษจำคุก ให้รอการลงโทษมีกำหนด 2 ปี รายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 4 ครั้งในเวลา 1 ปี ให้ทำกิจกรรมบริการสังคม สาธารณประโยชน์ 24 ชั่วโมง และเข้าร่วมกิจกรรมแก้ไขฟื้นฟู ตามที่เจ้าพนักงานคุมประพฤติเห็นสมควร ส่วนคำขออื่นให้ยก

จากนั้นนางสาววีรินทร์ชิตา ได้ลงมาให้สัมภาษณ์กับสื่อ บอกว่า ที่ผ่านมาได้มีการไกล่เกลี่ยกันไปแล้วบางส่วน มีการจ่ายเงินจำนวนหนึ่งให้ไปกับโจทก์ร่วมแล้ว และก็ได้พูดคุยกัน ปรับความเข้าใจต่อกันทั้งหมด เพราะที่ผ่านมาจะเป็นการพูดคุยกันผ่านบุคคลอื่นไม่ได้พูดคุยกันจริง ๆ แต่พอได้พูดคุยกันใหม่ก็เข้าใจต่อกันดี ทั้งฝั่งโจทก์ร่วมก็ไม่ได้ติดใจอะไรแล้ว และได้ถอนฟ้องในมาตรา 309 วรรค1 ‘ข่มขืนใจโดยทำให้กลัว’ ไปแล้ว ซึ่งถือว่าวันนี้ทุกอย่างจบลงด้วยดี ทางศาลก็ได้ตัดสินไปแล้ว

และเมื่อถามว่าได้มีการพูดคุยอย่างอื่นนอกเหนือทางคดีหรือไม่ ทางนางสาววีรินทร์ชิตา ก็บอกว่าไม่ได้พูดคุยกันอีกเลยหลังจากปรับความเข้าใจกันและตอนนี้ต่างคนต่างไปใช้ชีวิตใหม่กันแล้ว อยากให้ที่ผ่านมาเป็นบทเรียนของกันและกัน และเธอสัญญาว่าจะไม่กระทำความผิดใด ๆ อีก พร้อมขอบคุณศาลที่ให้ความเมตตา และทนายความ ครอบครัวรวมถึงทุกคนที่ให้กำลังใจ จากนี้เธอขอไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ต่างประเทศ

เปิดมุม 'พี่ทหาร' รวบตัวผู้ต้องหาป่วนใต้ 3 หมายจับ คาบ้าน เน้นปิดล้อมไม่เคยหวังเอาชีวิต ตามภารกิจสอบสวนขยายผล

เมื่อวานนี้ (16 ก.ค.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.อ.สฐิรพงษ์ อาจหาญ ผู้บังคับกองกำลังทหารพรานจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ผบ.กกล.ทพ.จชต.) พร้อมด้วย พ.อ.สิทธิชัย บำรุงเขต ผู้บังคับหน่วยปฏิบัติการพิเศษร่วมจังหวัดนราธิวาส (ผบ.นปพ.ร่วม จ.นราธิวาส) ได้สนธิกำลัง 3 ฝ่าย ประกอบด้วย ทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง เข้าบังคับใช้กฎหมายกับผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดนราธิวาส ที่บ้านหลังหนึ่งในพื้นที่หมู่ 5 บ้านไอจือนะ ต.โคกสะตอ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ตามการแจ้งเบาะแสของพลเมืองดี

ผู้ต้องหารายนี้ คือ นายซออิ ดอเลาะ อายุ 30 ปี เป็นเจ้าของบ้าน โดยเจ้าหน้าที่ได้เชิญผู้นำศาสนาและผู้นำท้องถิ่นเข้าไปช่วยเจรจาเกลี้ยกล่อม จนนายซออิ ยินยอมออกมามอบตัว พร้อมของกลางอาวุธปืนเอ็ม 16 จำนวน 1 กระบอก และกระสุนปืนอีกจำนวนหนึ่ง

สำหรับ นายซออิ มีประวัติเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดนราธิวาส 3 คดี คือ

>> หมายจับที่ 16/2561 ลงวันที่ 10 ม.ค.61 ความผิดฐานพยายามฆ่า จากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 27 ก.ค.60 เวลา 11.20 น. ร่วมก่อเหตุระเบิดเสาไฟฟ้าบนถนนสาย 4107 รือเสาะ–นราธิวาส ช่วงบ้านบริจ๊ะ หมู่ 7 ต.ลาโละ ห่างจากฐานปฏิบัติการกองร้อยทหารพรานที่ 4607 (ร้อย ทพ.4607ฆ ประมาณ 80 เมตร

>> หมายจับที่ 83/2565 ลงวันที่ 15 ก.พ.65 ความผิดฐานร่วมกันก่อการร้ายโดยใช้กำลังประทุษร้ายฯ จากเหตุการณ์วิสามัญฆาตกรรม นายมาหะมะ บูละ พื้นที่ป่าภูเขา ต.ลาโละ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 2 มี.ค.62

>> หมายจับที่ 671/2566 ลงวันที่ 26 ก.ค.66 สืบเนื่องจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 14 เม.ย.66 เวลา ประมาณ 20.20 น. ลอบยิงและขว้างระเบิดไปป์บอมบ์ใส่ฐานของหน่วยปฏิบัติการร่วม 21 โดยหลักฐานที่นำมาสู่การออกหมายจับ มาจากการซัดทอดของผู้ต้องหาคดีความมั่นคงอีกรายหนึ่ง

พ.อ.สิทธิชัย กล่าวว่า การบังคับใช้กฎหมายครั้งนี้ ถือเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้มีเจตนาหรือมุ่งหมายที่จะทำร้ายหรือเอาชีวิต และพร้อมให้บุคคลที่หลงผิดได้ออกมาแสดงตัวเพื่อต่อสู้ตามแนวทางสันติวิธี ยึดมั่นในหลักการของสิทธิมนุษยชนอย่างเคร่งครัด รวมทั้งเปิดโอกาสให้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองตามหลักกฎหมาย

ทั้งนี้ หลังจากควบคุมตัวได้ เจ้าหน้าที่ได้เชิญตัวผู้ต้องหาไปยังศูนย์ซักถาม หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 46 เพื่อดำเนินกรรมวิธีตามกฎหมายต่อไป

เจ้าของบ่อ 'ปลากะพงขาว' โชว์ความดุดัน จับ 'หมอคางดำ' ทำเหยื่อ ไม่กี่นาทีเกลี้ยงไม่เหลือซาก

(17 ก.ค. 67) นายนิรันดร์ พรหมครวญ ประมงอาวุโสหัวหน้ากลุ่มงานบริหารจัดการด้านการประมงจังหวัดสมุทรสาคร เปิดเผยว่า ปัจจุบันได้มีเจ้าของบ่อปลากะพงทั้งแบบเปิดและแบบปิดหลายบ่อในจังหวัดสมุทรสาคร หันมาเอาปลาหมอคางดำมาทำปลาเหยื่อ เพื่อลดต้นทุนในการเลี้ยงปลากะพง โดยการนำปลาหมอคางดำ มาให้ปลากะพงขาวกิน ซึ่งปลากะพงขาวถือเป็นปลานักล่ามีความดุดันมาก กินปลาหมอคางดำปลาเหยื่อแบบไม่เหลือซาก

ด้านเจ้าของบ่อปลากะพงขาว ได้เล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังว่า เมื่อปลากะพงขาวที่เลี้ยงไว้ได้ขนาดตัว 4 ถึง 5 นิ้ว จะมีการเปิดประตูบ่อให้ปลาหมอคางดำเข้ามาในบ่อ พอปลาหมอคางดำผ่านประตูบ่อเข้ามาก็ถูกปลากะพงขาวจัดการกินเรียบ จึงเชื่อว่าหากถึงวันที่มีการปล่อยปลากะพงขาว ปลานักล่า 90,000 ตัวลงในแม่น้ำจะสามารถกำจัดปลาหมอคางดำได้ไม่ยาก จะช่วยให้ปลาหมอคางดำลดปริมาณลงได้แน่นอน 

กฟผ. จับมือ ทัพเรือภาคที่ 1 จัดกิจกรรมฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมทางทะเล พร้อมสนับสนุนการปรับปรุงซ่อมแซมท่าเทียบเรือและสะพานทางเดินศึกษาธรรมชาติเทิดพระเกียรติ รอบเกาะขาม

เมื่อ 16 ก.ค.67 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ร่วมกับทัพเรือภาคที่ 1 จัดกิจกรรมฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมทางทะเล พร้อมสนับสนุนการปรับปรุงซ่อมแซมท่าเทียบเรือและสะพานทางเดินศึกษาธรรมชาติเทิดพระเกียรติ รอบเกาะขาม โดยมีพลเรือโท สุระศักดิ์ สิงขรวัฒน์ ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 เป็นประธาน พร้อมด้วย นายกอบเดช สีหะเนิน ผู้อำนวยการโครงการปรับปรุงและขยายระบบส่งไฟฟ้าที่เสื่อมสภาพตามอายุการใช้งาน (อค-ปส.) นายประวิทย์ เลิศโกวิทย์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิศวกรรมระบบส่ง (อวส.) และผู้ปฏิบัติงาน กฟผ. รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคประชาชน และโรงเรียนต่างๆ ในพื้นที่อำเภอสัตหีบ เข้าร่วมกิจกรรม ณ อุทยานใต้ทะเลเกาะขาม อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี

พลเรือโท สุระศักดิ์ สิงขรวัฒน์ ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 ประธานในพิธี กล่าวว่า อุทยานใต้ทะเล เกาะขาม อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบดูแลโดยทัพเรือภาคที่ 1 ซึ่งทางอุทยานฯ ได้มีการตรวจพบว่า ปะการังและสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์ “เอลนีโญ” (El Nino) อาทิ ปะการังฟอกขาว โรคปะการังแถบเหลือง การลดลงของสัตว์ทะเล ซึ่งล้วนแต่เกิดจากสภาพอากาศของโลกที่เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะปรากฏการณ์เอลนีโญ ที่ทําให้อุณหภูมิน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ดีในพื้นที่อุทยานใต้ทะเลเกาะขาม ยังคงมีวงจรที่เป็นไปตามธรรมชาติทุกๆ ปี นั่นคือ การมีเต่าทะเลขึ้นมาวางไข่ ในช่วงเดือนมิถุนายน – กรกฎาคม ทัพเรือภาคที่ 1 จึงได้จัดกิจกรรมการพัฒนาฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมทางทะเลและชายฝั่ง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อคืนความอุดมสมบูรณ์ และความสมดุลของระบบนิเวศน์ให้เหมาะสมต่อการดํารงชีวิตของสัตว์ทะเลบริเวณอุทยานใต้ทะเล เกาะขาม รวมทั้งสร้างจิตสํานึกและทัศนคติที่ดีในการช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อมให้กับผู้ร่วมกิจกรรมฯ และเยาวชนในพื้นที่ อีกด้วย

นายกอบเดช สีหะเนิน ผู้อำนวยการโครงการปรับปรุงและขยายระบบส่งไฟฟ้าที่เสื่อมสภาพตามอายุการใช้งาน กฟผ. กล่าวว่า เกาะขาม เป็นหนึ่งในเกาะที่อยู่ในโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.) ที่มีความสมบูรณ์ของแนวปะการังและยังเป็นแหล่งพักอาศัยของสัตว์ทะเล รวมทั้งพื้นที่บนบกยังมีพันธุ์ไม้หายากนานาชนิด ในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เดินทางเยี่ยมชมความสวยงามและศึกษาธรรมชาติบนเกาะเป็นจำนวนมาก เพื่อความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว จึงมีความจำเป็นต้องปรับปรุงซ่อมแซมสะพานท่าเรือเกาะขาม สะพานทางเดินและทางเดินขึ้นจุดชมวิวให้มีความแข็งแรงปลอดภัยอยู่ตลอด

ซึ่ง กฟผ. ได้ร่วมดำเนินกิจกรรมสนับสนุนการอนุรักษ์อุทยานใต้ทะเลเกาะขามมาโดยตลอดระยะเวลากว่า 6 ปีแล้ว การจัดกิจกรรมครั้งนี้ เพื่อเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับกำลังพลทัพเรือภาคที่ 1 ประชาชนในพื้นที่สัตหีบ รวมถึงการสร้างจิตสํานึกและทัศนคติที่ดีในการช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อม และเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนส่งเสริมการท่องเที่ยวทางทะเลในพื้นที่ภาคตะวันออก ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการสร้างอาชีพสร้างรายได้ให้กับชุมชน โดยมีหน่วยงานต่างๆ เข้าร่วมกิจกรรมในวันนี้ ประกอบด้วย ทัพเรือภาคที่ 1 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เมืองพัทยา องค์การบริหารส่วนตำบลแสมสาร คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี มูลนิธิกิจกรรมวิทยาศาสตร์ทางทะเลและการอนุรักษ์ มูลนิธิรักปะการัง โรงเรียนสัตหีบ เขตกองเรือยุทธการ และโรงเรียนสัตหีบ เขตฐานทัพเรือสัตหีบ

กิจกรรม ประกอบด้วย การปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำคืนสู่ทะเล เช่น ปลาการ์ตูน หอยมือเสือ หอยสังข์มะระ และปูม้า เพื่อเพิ่มจำนวนประชากรสัตว์น้ำในพื้นที่ การเก็บขยะบนบกและใต้น้ำ เพื่อรักษาความสะอาดและความสมบูรณ์ของสภาพแวดล้อมทางทะเล นับเป็นกิจกกรรมที่ สร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างๆ ในการอนุรักษ์และพัฒนาสภาพแวดล้อมทางทะเลและชายฝั่ง เพื่อให้มีความสมบูรณ์และยั่งยืนต่อไป

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี ชลบุรี
0909535645

การควบรวมของ 'สองบริษัท-มากกว่า' เพื่อสร้างบริษัทใหม่ 'ทรัพย์สิน-หนี้สิน-สิทธิทั้งหมด' จะถูกควบรวมเข้าด้วยกัน

ถ้าใครได้ตามข่าวในแวดวงการลงทุนล่าสุด ก็คงจะเห็นข่าวใหญ่ของปีอย่างกรณีการควบรวมกิจการยักษ์ใหญ่อย่าง GULF ที่ควบรวมเข้ากับ INTUCH และก่อตั้งบริษัทใหม่ (NewCo) ขึ้นมาค่ะ และขณะเดียวกันก็คงจะเริ่มผ่านตากับคำว่า Amalgamation อยู่หลายครั้งด้วย

สำหรับ Amalgamation คือ การควบรวมหรือการผนวกสองบริษัท หรือ มากกว่าเข้าด้วยกัน เพื่อจัดตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาค่ะ โดยบริษัทที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวนี้จะมีทั้งทรัพย์สิน หนี้สิน สิทธิทั้งหมดเเละความรับผิดชอบของบริษัทที่ถูกควบรวมเข้าด้วยกัน 

ส่วนบริษัทที่ถูกควบรวมนั้น จะหมดสภาพการเป็นนิติบุคคลค่ะ อย่างเช่น บริษัท ก. รวมกับบริษัท ข. และมาตั้งเป็นบริษัท ค. (ก.+ข.= ค.) ค่ะ โดย Amalgamation มีด้วยกัน 2 ประเภท คือ...

1. Amalgamation แบบ Merger: การควบรวมบริษัทแบบนี้เกิดขึ้นเมื่อสองบริษัทหรือมากกว่า รวมตัวกัน โดยทั้งสองบริษัทที่ถูกผนวกจะหยุดการดำเนินการ และเกิดบริษัทใหม่ขึ้นมาแทนที่ ซึ่งมีการโอนสินทรัพย์ และหนี้สินทั้งหมดไปยังบริษัทใหม่ และ

2. Amalgamation แบบ Purchase: การควบรวมแบบนี้เกิดขึ้นเมื่อบริษัทหนึ่ง (บริษัทผู้ซื้อ) ซื้อสินทรัพย์และหนี้สินของบริษัทอื่น (บริษัทผู้ขาย) โดยบริษัทผู้ขายจะหยุดการดำเนินการ และบริษัทผู้ซื้อจะยังคงดำเนินการต่อไป

โดยประโยชน์ของการทำ Amalgamation จะแบ่งได้เป็น...

1) Economies of Scale โดยการควบควมกิจการจะช่วยให้บริษัทสามารถลดต้นทุนการผลิตได้เนื่องจากขนาดการผลิตที่ใหญ่ขึ้น 

2) Increased Market Shares โดยบริษัทใหม่นี้จะมีส่วนแบ่งการตลาดที่ใหญ่ขึ้น ทำให้สามารถแข่งขันได้ดีขึ้น อีกทั้งถ้าแต่ละบริษัทมีความชำนาญที่แตกต่างกันออกไปก็อาจจะเกิดการประสานงานหรือที่เราเรียกว่า Synergy ทำให้การทำธุรกิจโตแบบก้าวกระโดดได้ 

และ 3) เกิด Diversification เพราะการควบรวมนี้จะช่วยให้บริษัทสามารถกระจายความเสี่ยงโดยการขยายสินค้าหรือบริการไปยังตลาดใหม่ ๆ ได้ค่ะ

แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมีแต่ข้อดีนะคะ เพราะการควบรวมกิจการ ก็ย่อมหมายถึงบางตำแหน่งงานที่มีความทับซ้อนกันต้องหายไป ซึ่งอาจจะนำไปสู่การเลิกจ้างพนักงานในตำแหน่งนั้น ๆ และการกำกับดูแลของภาครัฐที่เข้ามามีส่วน ก็อาจจะมากขึ้นตามขนาดของบริษัทที่ใหญ่ขึ้นด้วยค่ะ เช่น อาจจะมีการนำเอากฎหมายการทางค้ามาใช้เพื่อป้องกันการผูกขาด และอาจจะไปกระทบการทำธุรกิจของบริษัทได้ค่ะ 

นอกจากกรณีของ GULF กับ INTUCH แล้ว ในอดีตที่ผ่านมาก็มีหลายบริษัทที่ทำ Amalgamation ยกตัวอย่างเช่น ในปี 2006 ที่ Walt Disney ควบรวมเข้ากับ Pixar Animation Studios ซึ่งการควบรวมนี้ทำให้ Disney สามารถเพิ่มศักยภาพในการผลิตภาพยนตร์แอนิเมชันได้มากขึ้น 

หรือจะเป็นการทำ Amalgamation ครั้งที่ใหญ่ที่สุดของโลกที่บริษัทโทรคมนาคมจากสหราชอาณาจักรอย่าง Vodafone ที่ควบรวมกับบริษัทโทรคมนาคมในเยอรมนีอย่าง Mannesmann ในปี 2000 ซึ่งการควบรวมนี้มีมูลค่าสูงถึง 183 พันล้านดอลลาร์เเละทำให้ Vodafone กลายเป็นบริษัทโทรคมนาคมที่ใหญ่ที่สุดในโลกค่ะ 

หรือจะเป็นตอนที่สองบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง Exxon เเละบริษัท Mobil ควบรวมเข้าด้วยกันในปี 1999 ซึ่งทำให้บริษัท Exxonmobil กลายเป็นบริษัทน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลกในเวลานั้น

ส่วนก่อนหน้านี้ ในไทยเองก็จะเป็นกรณีที่บริษัทโทรคมนาคมอย่าง TRUE ควบรวมกิจการเข้ากับ DTAC ค่ะ

‘สื่อเกาหลีใต้’ เผย!! ตัวเลขการเข้าสู่ตลาดงานของคนรุ่นใหม่ น่าห่วง เกือบครึ่ง 'ลาออก' เพราะชั่วโมงการทำงานนานไป และรู้สึกค่าจ้างต่ำ

เมื่อวานนี้ (16 ก.ค. 67) สำนักข่าวซินหัว รายงานอ้างอิงข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติเกาหลีใต้ที่เปิดเผยว่า เด็กจบใหม่ชาวเกาหลีใต้ใช้เวลาหางานแรกนานเกือบหนึ่งปี ซึ่งเพิ่มความกังวลเกี่ยวกับภาวะตลาดแรงงานที่ถดถอยลงสำหรับคนรุ่นใหม่

สำนักงานฯ ระบุว่าคนรุ่นใหม่อายุ 15-29 ปี ใช้เวลาเฉลี่ย 11.5 เดือนเพื่อให้ได้งานที่ได้รับค่าจ้างก้อนแรกหลังจบการศึกษาในเดือนพฤษภาคม เพิ่มขึ้น 1.1 เดือนจากปีก่อนหน้า โดยถือเป็นระยะเวลาที่ยาวนานที่สุดตั้งแต่เริ่มรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องในปี 2006 ซึ่งบ่งชี้ว่าสถานการณ์การจ้างงานคนรุ่นใหม่ย่ำแย่ลง

ในจำนวนกลุ่มคนรุ่นใหม่ข้างต้น พบว่าร้อยละ 47.7 ใช้เวลาหางานแรกไม่ถึงสามเดือน ขณะร้อยละ 30 ใช้เวลานานกว่าหนึ่งปี

จำนวนพนักงานรุ่นใหม่ลดลง 173,000 คนจากปีก่อนหน้า เหลือ 3,832,000 คนในเดือนพฤษภาคม ขณะอัตราการจ้างงานลดลง 0.7 จุดเหลือร้อยละ 46.9 ส่วนจำนวนเด็กรุ่นใหม่ว่างงานเพิ่มขึ้น 28,000 คนเป็น 276,000 คน และอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น 0.9 จุด เป็นร้อยละ 6.7

คนรุ่นใหม่ประมาณร้อยละ 66.8 ออกจากงานที่ได้รับค่าจ้างก้อนแรกหลังจากทำงานในตำแหน่งนั้นเฉลี่ย 1 ปีกับ 2.8 เดือน

ในกลุ่มคนที่ลาออกจากงานแรก ร้อยละ 45.5 เผยว่าพวกเขาลาออกเนื่องจากสภาพการทำงานไม่เป็นที่พอใจ เช่น ชั่วโมงการทำงานยาวนานและค่าจ้างต่ำ รองลงมาร้อยละ 15.6 เผยว่าหมดสัญญาว่าจ้างงานชั่วคราว และร้อยละ 15.3 อ้างเหตุผลส่วนตัว เช่น การแต่งงาน เลี้ยงดูลูก และสุขภาพ

(สุรินทร์)เจ้าหน้าที่จับกุม ผู้ลักลอบค้าสัตว์ป่าคุ้มครอง ลูกเสือโคร่งและงาช้าง ที่ อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์

เมื่อช่วงค่ำ วันที่ 15 กรกฏาคม 2567  บริเวณวงเวียนบ้านลันแต้ ตำบลเทพรักษา อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ ชุดเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องได้ร่วมกันวางกำลังดักซุ่มในพื้นที่และพื้นที่ใกล้เคียง ภายหลังได้รับแจ้งจะมีการลักลอบซื้อขายสัตว์ป่าคุ้มครอง กระทั่งพบรถต้องสงสัย เป็นรถเก๋ง ยี่ห้อเบนซ์ สีดำ หมายเลขทะเบียน ฐฐ 7245 กรุงเทพมหานคร หยุดรถอยู่บริเวณจุดนัดพบซื้อ-ขายของกลาง  เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวเข้าจับกุม บุคคลในรถ เป็นชาย 1 คน หญิง 1 คน พร้อมตรวจยึดของกลาง เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ลูกเสือโคร่ง (Panthera tigris) จำนวน 2 ตัว เพศผู้ 1 ตัว เพศเมีย 1 ตัว อายุ ประมาณ 2 เดือน สภาพลูกเสือโคร่งมีอาการท้องเสีย ขาดน้ำ อิดโรย และซูบผอม พร้อมด้วยงาช้างแอฟริกา แบบกิ่ง จำนวน 2 คู่ และงาช้าง 26 ท่อน น้ำหนักรวมประมาณ 100 กิโลกรัม รวมทั้งผลิตภัณฑ์งาช้าง 5 รายการ มูลค่ารวมทั้งสิ้น 3,000,000 บาท

ทราบชื่อผู้ต้องหาภายหลัง คือนายกรฤทธิ์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 51 ปี และนางมนัส (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 48 ปี ชาวอำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ คณะเจ้าหน้าที่ได้ร่วมกันตรวจยึด จับกุม นำส่ง สถานีตำรวจภูธรดม อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป เจ้าหน้าที่ เปิดเผยว่า การตรวจยึดลูกเสือโคร่งได้เพียง 2 ตัว เนื่องจากผู้ต้องหาสามารถจัดหามาได้เพียง 2 ตัว และจากอาการท้องเสีย ซูบผอม และอิดโรย ของลูกเสือโคร่ง คณะเจ้าหน้าที่จึงได้ให้สัตวแพทย์ตรวจสภาพร่างกาย ลูกเสือมีอาการตื่นกลัว แต่ไม่มีแรง จึงได้ให้น้ำเกลือแก่ลูกเสือโคร่งตัวผู้ และให้อาหาร(นม) แก่ลูกเสือโคร่งทั้งสองตัว

เจ้าหน้าที่ยังบอกอีกว่า ขบวนการลักลอบค้าลูกเสือโคร่ง ส่วนมากต้องการนำไปเป็นอาหาร (เปิบพิสดาร) โดยจะมีการลักลอบผสมพันธุ์เสือโคร่ง เมื่อลูกเสือโคร่งเกิด จะไม่มีการแจ้งการเกิดตามระเบียบกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และลักลอบค้าลูกเสือราคาตัวละ 250,000 บาท งาช้างกิโลกรัมละ 25,000 บาท
ปุรุศักดิ์  แสนกล้า รายงาน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top