Wednesday, 21 May 2025
TheStatesTimes

สตม. ซ้อนแผน รวบหนุ่มแดนปลาดิบแก๊งอาชญากรรมข้ามชาติ ลอบอยู่เกินวีซ่า เหิมขู่ฆ่าอดีตแฟนสาว พบประวัติเอี่ยวแก๊งอุ้มโหดกลางกรุงโตเกียว

กก.สส.บก.ตม.1 จับกุม Mr.ICHIRO (นามสมมติ) อายุ 30 ปี สัญชาติญี่ปุ่น ในข้อหา เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด นำตัวส่ง พนักงานสอบสวน กลุ่มงาสอบสวน บก.สส.สตม. ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม หน้าสถานีบริการน้ำมัน ปตท. เจริญกรุง 87 ถ.เจริญกรุง แขวงบางคอแหลม เขตบางคอแหลม กรุงเทพฯ

จากกรณีที่ กก.สส.บก.ตม.1 ได้รับการประสานงานจากพนักงานสอบสวนในสังกัด บช.น. ให้ดำเนินการสืบสวนติดตาม Mr.ICHIRO (นามสมมติ) อายุ 30 ปี สัญชาติญี่ปุ่น ซึ่งมีพฤติการณ์เข้าลักษณะเป็นภัยต่อสังคม เนื่องจากได้มี นางสาวบี (นามสมมติ) สัญชาติไทย ผู้เสียหาย มาแจ้งความลงบันทึกประจำวันกับพนักงานสอบสวน ว่าได้ถูก Mr.ICHIRO อดีตแฟนหนุ่มทำร้ายร่างกายและกักขังหน่วงเหนี่ยว จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า Mr.ICHIRO อยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด และได้ติดต่อขอข้อมูลจากผู้เสียหาย รับแจ้งว่า Mr.ICHIRO มีอารมณ์รุนแรง มักจะส่งข้อความมาขู่ฆ่า ส่งรูปอาวุธปืน เครื่องกระสุน หรือคลิปวิดิโอที่ถ่ายในบริเวณละแวกบ้านพักของผู้เสียหายมาเพื่อคุกคาม และแสดงให้เห็นว่าผู้เสียหายถูกติดตามและจับตาดูอยู่ ต่อมา กก.1 บก.สส.สตม. ได้รับข้อมูลจากครอบครัวของผู้เสียหายว่า Mr.ICHIRO อยู่ในอาการคล้ายมึนเมา ก้าวร้าว เดินทางมาวนเวียนหาตัวผู้เสียหาย โดยส่งคลิปสถานที่ละแวกบ้านของผู้เสียหาย พร้อมทั้งข้อความขู่ฆ่า ตั้งแต่ช่วงกลางดึกถึงช่วงเช้า กก.1 บก.สส.สตม. จึงวางกำลังคุ้มครองผู้เสียหาย และ เฝ้าคอยตรวจสอบ Mr.ICHIRO  ในเวลาต่อมาเจ้าหน้าที่สืบสวนนอกเครื่องแบบที่แฝงตัวอยู่บริเวณบ้านพักของผู้เสียหาย พบรถยนต์หรูยี่ห้อโตโยต้า รุ่นอัลพาร์ด ต้องสงสัยมาวนเวียนไปมาที่บริเวณริมถนนหน้าสถานีบริการน้ำมัน ปตท. ถ.เจริญกรุง แขวงบางคอแหลม เขตบางคอแหลม กรุงเทพฯ จึงได้ขอตรวจสอบ พบว่า Mr.ICHIRO นั่งอยู่ในรถยนต์คันดังกล่าว จึงได้จับกุมดำเนินคดีในข้อหาดังกล่าว

อนึ่งจากการประสานข้อมูลกับทางการญี่ปุ่นรับแจ้งว่า Mr.ICHIRO เป็นสมาชิกองค์กรอาชญากรรมมีชื่อ ในประเทศญี่ปุ่น ได้ร่วมกับพวกรวม 5 คน ก่อคดีอุ้มลักพาตัว ทำร้ายร่างกายและกักขังหน่วงเหนี่ยว ในเขตกรุงโตเกียว หลังจากนั้นได้เดินทางมากบดานในประเทศไทย และมาก่อความรุนแรงกับหญิงไทยจนถูกจับกุมดังกล่าว

‘นายกฯ’ ปลุก 12 จังหวัดอีสานตอนบน ตัดวงจรพ่อค้ายาฯ ลั่น!! 'ต้องไม่มีพื้นที่ให้ยาเสพติด' พร้อมหนุน จนท.เต็มสูบ

(10 ก.ค.67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เดินทางถึงท่าอากาศยานทหารกองบิน 23 ต.หมากแข้ง อ.เมืองอุดรธานี จ.อุดรธานี ก่อนที่เวลา 13.45 น. นายกฯ เดินทางด้วยรถยนต์โตโยต้าอัลพาร์ดสีดำ ทะเบียน กล 5559 อุดรธานี ถึงมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ต.สามพร้าว อ.เมืองอุดรธานี จ.อุดรธานี  โดยมีนายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี ข้าราชการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรอต้อนรับ

โดยเมื่อเดินทางถึงนายกฯ รับฟังบรรยายสรุปแผนสกัดกั้นแนวชายแดนอีสานตอนบน 5 จังหวัด และรับฟังบรรยายายสรุปปฏิบัติการไล่ล่า (เด็ดปีก) นักค้าอีสานเหนือ 252 จากตำรวจภูธรภาค 4 ซึ่งรายงานว่า ได้มีการใช้เทคโนโลยีวิเคราะห์ข้อมูลด้วยเครื่องมือพิเศษ ปิดล้อม และตรวจค้นจำนวน 6 ครั้ง โดยสามารถจับกุมผู้ค้ายาเสพติดจำนวน 3,446 ราย และยึดทรัพย์ของกลางยาบ้า 10,345,615 เม็ด ยึดอาวุธปืน 217 กระบอก เครื่องกระสุน 32 นัด และสามารถตรวจยึดทรัพย์ 1,553 รายการ  มูลค่าทั้งสิ้น 254,961,366 บาท

ด้านนายกฯ ได้สอบถามเลขาป.ป.ส. ถึงเรื่องค่าตอบแทนของเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการทั้งทหารตำรวจและพลเรือน ที่ได้รับเงินจากกองทุน ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กรณีได้รับบาดเจ็บ โดยเลขาป.ป.ส.รายงานว่า เจ้าหน้าที่ได้รับเงินเยียวยาจำนวน 10,000 บาท  ด้านนายกฯ กล่าวกำชับว่า ขอให้เพิ่มเงินเยียวยาดังกล่าวเป็น 50,000 บาท เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่ในการปฎิบัติหน้าที่ที่เข้มข้นขึ้น ก่อนที่นายกฯ จะเยี่ยมชมรถ ซึ่งเป็นระบบเทคโนโลยีตรวจจับผู้ต้องสงสัย 

ต่อมานายกฯ เยี่ยมชม และรับฟังบรรยายายโครงการชุมชนยั่งยืนของตำรวจภูธรภาค 4  พร้อมกันนายกฯ ได้พูดคุยกับผู้กล้าที่เลิกยาเสพติด โดยนายกฯ สอบถามว่า ได้เลิกยามากี่ปีแล้ว และมีการฝึกอาชีพให้หรือไม่ 

จากนั้นนายกฯ รับฟังบรรยายสรุปการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดของฝ่ายปกครอง  โดยมีการค้นหาผู้เสพ ผู้ติดยาเสพติด ด้วยการเอ็กซเรย์และมีการจัดตั้งศูนย์ฟื้นฟูทางสังคม รวมถึงมีการจัดตั้งจุดสกัดตรวจสถานบริการ  และตั้งศูนย์ฟื้นฟูสภาพทางสังคม ก่อนรับฟังบรรยายสรุปจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุดรธานี ในส่วนของผลงานด้านบำบัดฟื้นฟูผู้ป่วยยาเสพติด 12 จังหวัดภาคอีสานระยะเร่งรัด 3 เดือน 

ทั้งนี้นายกฯ กล่าวกำชับว่า ขอให้ตั้งเป้าการนำผู้เสพเข้าสู่การบำบัดให้สูงขึ้น เพื่อกวาดล้างให้ได้มากที่สุด ทั้งนี้ตนจะหารือกับนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข ในเรื่องดังกล่าว โดยจังหวัดหนองคายถือเป็นจังหวัดที่นำผู้เสพที่มีอาการทางจิตเข้าสู่กระบวนการบำบัดน้อยที่สุด ก็ขอให้เป็นจังหวัดนำร่อง ทั้งนี้ ขอให้ตั้งเป้าให้เยอะ เพราะฝ่ายความมั่นคงกวาดล้างได้จำนวนมาก 

นอกจากนี้ เด็กนักเรียนและครูชมรม To BE Number one จากโรงเรียนพันดอนวิทยา องค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดร 4  ร้องเพลงบูมเชียร์ให้กับนายกฯ ก่อนที่นายกฯ จะเดินทักทาย

จากนั้นนายกฯ รับชมวีดิทัศน์ขับเคลื่อนการปลุกพลังชุมชน ก่อนรับชมการแสดงเพลงมุ่งสู่ขวัญ NPD.P4 จากนักเรียนและครูโรงเรียนชุมชนสามพร้าวและครูแดร์ หรือ D.A.R.E. โดยระหว่างชมการแสดงนายกฯได้อมยิ้มพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปด้วย

ต่อมานายกฯ เป็นประธานเปิดงานกิจกรรม ‘งานรวมพลังชุมชน อีสานเหนือสู้ภัยยาเสพติด’ โดยผู้ร่วมงาน และนายกฯร่วมกันแสดงพลังสู้ภัยยาเสพติดใส่ถุงมือแสดงสัญลักษณ์ ที่มีข้อความว่า ‘No Place For drug’

นายกฯ กล่าวเปิดกิจกรรมตอนหนึ่งว่า ตนมีความยินดีที่ได้มาร่วมกิจกรรมงานรวมพลังชุมชน อีสานเหนือสู้ภัยยาเสพติด ซึ่งยาเสพติดเป็นเรื่องที่ไม่ว่าจะลงพื้นที่มากี่ครั้ง กี่หมู่บ้าน ก็ล้วนแต่ได้ยินมาว่าเป็นปัญหา เป็นเรื่องที่หนักหนาจริง ๆ ลูกหลานของพวกเราจำนวนมากต้องตกเป็นทาสยาเสพติด  ตนเห็นหลายครอบครัวที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยความกลัว อยู่ด้วยกันในชุมชนก็รู้สึกไม่ปลอดภัย ซึ่งสังคมไทยไม่ควรเป็นแบบนี้

นายกฯ กล่าวต่อว่า ตนยอมไม่ได้ที่สังคมไทย ลูกหลานของเรา อยู่ในสังคมที่มียาเสพติดแพร่ระบาดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทั้งนี้ การป้องกันปราบปรามยาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ ที่รัฐบาลเร่งดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรม บูรณาการความร่วมมือทุกภาคส่วน ทั้งในระดับพื้นที่ และภาคประชาชน เพื่อแก้ปัญหาในชุมชน และมุ่งปราบปรามการค้ายาเสพติดนำไปสู่การสร้างพลังชุมชนที่เข้มแข็ง และยั่งยืนในการแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยเราปฏิบัติการเด็ดปีกนักค้าอีสานเหนือครอบคลุม 12 จังหวัด ทำให้เห็นพลังของมวลชนต่อการประกาศจุดยืนในการต่อสู้กับปัญหายาเสพติดในชุมชนของตนเอง  

นายกฯ กล่าวอีกว่า นอกจากการแก้ไขปัญหายาเสพติดจะสำเร็จได้ ทุกคนทุกภาคส่วน ตำรวจ จังหวัด ทหาร สาธารณสุข ป.ป.ส. และหน่วยงานอื่น ๆ จะต้องทำงานร่วมกัน และต้องได้รับการสนับสนุนจากชุมชน ให้ลุกขึ้นมาต่อสู้กับปัญหายาเสพติดร่วมกัน และเป็นหูเป็นตา ช่วยกันดูแลสอดส่อง แจ้งเบาะแส เฝ้าระวัง และป้องกันลูกหลานไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด

อย่างไรก็ตาม วันนี้พวกเราทุกคนได้แสดงเจตนารมณ์ร่วมกัน ขอให้พวกเราบอกกล่าวในชุมชนให้ขยายผลการปฎิบัติออกไปในวงกว้าง เพื่อฝึกพลังชุมชนทุกพื้นที่ให้รวมพลังอย่างเข้มแข็ง ซึ่งตนขอบคุณในความตั้งใจ และพลังของทุกคน ทุกภาคส่วนที่ร่วมกันต่อสู้ เพื่อเอาปัญหายาเสพติดให้หมดออกไปจากสังคม เราจะร่วมกันรักษา ฟื้นฟู ดูแล และปกป้องลูกหลานของเราให้ห่างไกลยาเสพติด

“ขอให้ทุกคนน้อมนำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ทรงห่วงใยปัญหายาเสพติด ไปปฏิบัติให้เกิดเป็นรูปธรรม ตามพระราชประสงค์อย่างยั่งยืนต่อไป” นายกฯ กล่าว

จากนั้นนายกฯ นำกล่าวถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อนำพลังชุมชนอีสานเหนือสู่ภัยยาเสพติด ก่อนร่วมกันยืนแสดงความเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมี และเพลงสดุดีจอมราชา และร่วมกันโบกธงเพื่อแสดงความจงรักภักดี เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก่อนจะถ่ายรูปร่วมกับเด็กนักเรียนอย่างเป็นกันเอง และเดินทางกลับกรุงเทพฯ

21 กรกฎาคม พ.ศ. 2188 'ราชวงศ์ชิง' ออกกฎหมายบังคับ 'ชาวฮั่น' ตัดผมทรงแมนจู สร้างความขมขื่นแก่ชายชาวจีน หากไม่ยอมตัด ต้องโดนตัดหัว

ย้อนไปเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2188 ดอร์กอน (ตวนเอ่อร์กุน) ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และเป็นเสด็จอาของฮ่องเต้ซุ่นจื้อ แห่งราชวงศ์ชิง หรือบ้างก็เรียกว่า ราชวงศ์แมนจู ได้ออกกฤษฎีกาบังคับให้ชาวฮั่นตัดผมแมนจู หรือ ทรงเหม่งครึ่งหัว

เหตุการณ์นี้สืบเนื่องต่อจากกองทัพแมนจูของต้าชิงที่นำโดยดอร์กอน สามารถขับไล่กองทัพชาวนาของหลี่ จื้อเฉิง ให้หนีออกไปจากนครปักกิ่งได้ จนกองทัพแมนจูได้ควบคุมประเทศต้าหมิงได้สำเร็จ พร้อมกับออกคำสั่งให้ชายชาวฮั่น (จีนแท้) ทุกคนต้องตัดผมทรงแมนจูในช่วงปี 2187

ทั้งนี้ ก่อนสมัยราชวงศ์ชิง ชายจีนที่เป็นชาวฮั่นไม่มีใครไว้ผมเปียเลย พอชาวแมนจูเข้ามายึดครองแผ่นดินจีน จึงมีการบังคับให้ชาวฮั่นไว้ผมทรงเดียวกับชาวแมนจู โดยมีคำสั่งประกาศว่า "ไว้ผมไม่ไว้หัว ไว้หัวไม่ไว้ผม" ใครไม่ปฏิบัติตาม โทษตายสถานเดียว

คำสั่งนี้ทำให้การเข้ามาปกครองแผ่นดินของฮ่องเต้แมนจูภายใต้การควบคุมของตวนเอ่อร์กุน ในระยะแรก ๆ นั้นต้องประสบปัญหาความวุ่นวายเป็นอันมาก จึงต้องประกาศยกเลิกคำสั่งการบังคับชาวฮั่นโกนผมแล้วไว้เปียเหมือนกับชาวแมนจู ทั้ง ๆ ที่เพิ่งดำเนินการไปได้เพียงเดือนเดียวเท่านั้น

แต่พอประชาชนเลิกก่อความวุ่นวาย สังคมเริ่มสงบสุข ในปีถัดมา พ.ศ. 2188 ตัวเอ่อร์กุนก็ได้ออกคำสั่งบังคับประชาชนทุกคนต้องไว้ผมทรงเดียวกับชาวแมนจูอีกครั้ง โดยบังคับให้ชาวฮั่นทุกคนต้องปฏิบัติตามคำสั่งภายใน 10 วัน ใครไม่ปฏิบัติตามก็ตัดหัวทิ้งและถือว่าเป็นคนทรยศ ไม่ซื่อตรงต่อฮ่องเต้ ปัญหานี้จึงกลายเป็นปัญหาทางการเมืองอย่างรุนแรง ไม่ใช่แค่เรื่องทรงผมเท่านั้น

การกลับมาประกาศคำสั่งให้โกนผมไว้ผมเปียในครั้งนี้ ทำให้มีการต่อสู้ฆ่าฟันระหว่างประชาชนชาวฮั่นกับทหารแมนจูอย่างรุนแรง บางเมืองใช้เวลาเพียง 3 วัน มีคนตายเกือบถึงสองแสนคน บางเมืองไม่มีใครยอมจำนน ก็ถูกฆ่าตายเรียบทั้งเมืองเลยทีเดียว

การโกนผมไว้ผมเปียนั้น ลักษณะของทรงผมจะเป็นการโกนผมเกือบหมด เหลือแค่ผมตรงกลางหัวขนาดประมาณเหรียญกษาปน์ทองแดง 1 เหรียญเท่านั้น แล้วก็ถักเป็นผมเปียยาว ๆ ลงมาเหมือนกับหางหนู ถ้าใครโกนผมเหลือไว้มากกว่าขนาดเหรียญกษาปณ์ทองแดงก็จะต้องโดนตัดหัวทิ้ง ชายชาวฮั่นจึงรับไม่ได้กับการที่ต้องโกนผมทิ้งเกือบทั้งหัวขนาดนั้น

พอมาถึงในช่วง พ.ศ. 2342 ทรงผมเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากแต่ก่อนที่เหลือผมไว้ขนาดเหรียญกษาปณ์ทองแดง 1 เหรียญ เปลี่ยนเป็น 4-5 เหรียญ ผมเปียจึงดูใหญ่ขึ้นมาหน่อยคล้ายกับหางหมู

โดนใจชาวจีน!! ‘ร้านชาถุงกระดาษสไตล์ไทย’ ร้อนแรงในแดนมังกร ความนิยมพุ่งในหลายเมือง ขายดีเป็นพิเศษยามเข้าสู่ฤดูร้อน

(10 ก.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ท่ามกลางการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างจีนกับไทย ‘วัฒนธรรมชา’ ถือเป็นหนึ่งส่วนสำคัญที่ช่วยส่งเสริมมิตรภาพระหว่างประชาชนสองประเทศ โดยปัจจุบันวัฒนธรรมชาของจีนและไทยมีชีวิตชีวาผ่านการบูรณาการและการสร้างสรรค์สิ่งใหม่

จางกุ้ยเหวิน ได้เปิดร้านชาถุงกระดาษสไตล์ไทยในนครหนานหนิง เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงทางตอนใต้ของจีน โดยชาถุงกระดาษสไตล์ไทยนี้กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในหลายเมืองของจีน และขายดีเป็นพิเศษยามเข้าสู่ฤดูร้อนที่ผู้คนอยากได้เครื่องดื่มดับกระหาย

ชาไทย ชามะนาว รวมถึงกาแฟเย็นและเมนูอื่น ๆ ในบรรจุภัณฑ์ธรรมดาเรียบง่ายอย่างถุงพลาสติกใส่น้ำแข็งที่ถูกมัดยางจนพองกลมและสวมด้วยถุงกระดาษสี่เหลี่ยมที่มีลวดลายต่าง ๆ กลายเป็น ‘จุดขาย’ ดึงดูดความสนใจจากผู้บริโภคชาวจีนได้อย่างดีทีเดียว

อนึ่ง ร้านชาสไตล์ไทยหลายแห่งในกว่างซีใช้วัตถุดิบหลักที่นำเข้าจากไทย ซึ่งมีรสชาติเข้มข้นถูกใจผู้บริโภคเฉกเช่นเฉินย่วนย่วน ชาวเมืองหนานหนิง ที่เผยว่ามักซื้อใบชาไทยเพื่อทำชามะนาว ชานม และเครื่องดื่มอื่นๆ ด้วยตัวเอง

เมื่อไม่นานนี้ ชาตรามือ แบรนด์ชาชื่อดังของไทย ได้เปิดร้านสาขาในนครหนานหนิง ซึ่งมีผู้คนต่อแถวยาวเพื่อซื้อเครื่องดื่มหลากหลายเมนูและถ่ายรูปเช็กอิน โดยเฉินย่วนย่วนเล่าว่าชาตรามือเป็นร้านที่มักแวะซื้อเครื่องดื่มเมื่อไปเที่ยวกรุงเทพฯ รวมถึงซื้อชาซองของที่นี่กลับมาฝากครอบครัวและเพื่อนฝูง

‘บริษัทยานยนต์ดัง’ ในระยอง เตรียมปิดกิจการถาวร ปี 68 คาด!! ปลดพนง.ออกหมดสิ้นปีนี้ หลังลุยงานมาหลายสิบปี

(10 ก.ค.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ‘นิวส์ชลบุรี-ระยอง ออนไลน์’ โพสต์ข้อความระบุว่า บริษัทดังในนิคมอมตะซิตี้ ระยอง ทำเกี่ยวกับยานยนต์ และเป็นบริษัทในฝันของใครหลาย ๆ คน เรื่องสวัสดิการดีเยี่ยมเลยทีเดียว จะมีการประกาศปิดกิจการในไทยภายในปี 68

ซึ่งบริษัทดังกล่าวได้ดำเนินกิจการในไทยมาแล้ว 20 ปี เป็นเรื่องที่น่าใจหายเป็นอย่างมาก ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ทยอยปลดพนักงานออกเป็นชุด ๆ คาดว่าจะปลดออกทั้งหมดภายในสิ้นปีนี้ หรือช้าสุดเดือนมกราคม 2568 เพื่อเคลียร์ทุกอย่างก่อนจะประกาศปิดกิจการในไทยอย่างถาวร ถึงอย่างไรก็ตาม ทางเพจจะอัปเดตหากมีความคืบหน้าต่อไป

หลังจากเรื่องราวดังกล่าวเผยแพร่ไป มีเหล่าพนักงานและคนทำงานต่างเข้ามาแสดงความคิดเห็น พร้อมให้กำลังใจซึ่งกันและกันจำนวนมาก

‘ครูเดวิด’ อึ้ง!! ฝรั่งมาไทย ยังชื่นชม 'ผู้คน-อาหาร-ความปลอดภัย' แต่ 30-40% คอมเมนต์คนไทย ไม่ขอบคุณ แถมดันด่าประเทศตัวเอง

(10 ก.ค. 67) จากกรณีที่ชาวต่างชาติคนหนึ่ง ได้โพสต์วิดีโอลงบนติ๊กต็อกชื่นชมประเทศไทย ว่าคนไทยอัธยาศัยดีมาก และยังเป็นประเทศที่ปลอดภัยมาก ๆ สามารถเสียบกุญแจคาไว้ที่รถได้เลยโดยที่รถไม่หาย แต่หลังจากที่คลิปนี้ถูกเผยแพร่ออกไป ชาวเน็ตคนไทยบางส่วนกลับแห่คอมเมนต์วิพากษ์วิจารณ์และด้อยค่าประเทศตัวเองเสียอย่างนั้น

ล่าสุด 'เดวิด วิลเลียม' (David William) ครูสอนภาษาอังกฤษ ชาวอเมริกา ที่ได้มาอาศัยอยู่ในประเทศไทย ได้โพสต์คลิปวิดีโอดังกล่าวลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัว พร้อมพูดถึงกรณีดังกล่าว โดยมีเนื้อความดังนี้…

"ทุกคนพี่ไปเจอคลิปนี้มา ซึ่งพี่ต้องขออนุญาตพูดก่อนว่า เป็นหนึ่งคลิปที่ชาวต่างชาติท่านหนึ่งที่อุตส่าห์มาชมบ้านเรา และตอนแรกพี่ก็นึกว่าคนไทยที่เข้าไปคอมเมนต์จะชมเขาหรืออย่างน้อยก็ขอบคุณที่เขาอุตส่าห์มาชื่นชมบ้านเรา

"แต่พี่งงมากเลยนะ เพราะ 30-40% ของคอมเมนต์นั้น คือ ไม่ได้ชมเขาเลยนะ ไม่ได้ขอบคุณเขาด้วย แต่กลับออกมาด่าประเทศไทยไม่หยุด"

จากนั้น ครูเดวิด ก็ได้เล่าคอมเมนต์จากผู้ที่ด่าเมืองไทยในคลิปนั้น ดังนี้...

"คอมเมนต์แรกนะทุกคน มีคนบอกว่า ‘ผมกล้าบอกเลย ประเทศไทยไม่ได้น่าอยู่อย่างที่คุณบอก คนก็ไม่ได้น่ารัก ผมโดนเจ้านายด่าทุกวัน ประเทศก็ไม่ได้น่าอยู่ ประเทศไทยเป็นหนึ่งประเทศที่ไร้การพัฒนา ถ้าคุณชอบประเทศผมขนาดนี้ ช่วยแลกที่กับผมเถอะ’...

"คนนี้เป็นคนที่แจ๋วมากเลยนะทุกคน คือแทนที่เขาจะคิดลบใช่ป่ะ คือคนนี้ต้องเป็นคนที่บวกแห่งปี 2024 แน่ ๆ ถามว่าทําไมรู้ป่ะ คือแทนที่เขาจะเข้าใจว่า ‘ที่เจ้านายเราเนี่ยด่าเราทุกวัน แสดงว่าศักยภาพของเราอาจจะไม่ดีพอหรือเปล่า หรือแสดงว่าเราทํางานไม่ดีพอหรือเปล่า แต่เขากลับคิดว่า ตัวเองเริ่ดขนาดนี้ ประเสริฐขนาดนี้ ทำไมถึงถูกด่า’ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าคนไทยทุกคน ทุกคนเลยนะ เป็นคนที่ใจร้ายที่สุดในโลกอย่างแน่นอน...

"คอมเมนต์ต่อไปนะทุกคน ‘คนนี้บอกว่า ใจเย็นฝรั่ง นายต้องอยู่นานกว่านี้หน่อยนะ แล้วค่อยมาบอกกันอีกที’ / ‘ผมไม่เคยชอบประเทศไทยถ้าคุณชอบก็เรื่องของคุณ’...

"แต่คอมเมนต์ต่อไปนี่คือสุดเลยทุกคน ‘เขาบอกว่าอยู่ไหนครับ เดี๋ยวผมไป’...

"สิ่งที่พี่ต้องการจะพูดคือ ‘นี่คือสิ่งที่ประหลาดมาก’ กับการที่เวลามีชาวต่างชาติมาชมบ้านเรา เวลามีคนมาชมประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นการชมประเทศไทย อาหารไทย วัฒนธรรมไทย คนไทย หรือความปลอดภัยของประเทศไทยก็ตาม แต่กลับมีคนคอมเมนต์บอกว่าประเทศไทยไม่ได้ปลอดภัย คุณอย่าคิดแบบนั้น"

ครูเดวิด ยกตัวอย่างให้ฟังด้วยว่า "ถ้าคุณไปดูงานวิจัย แล้วถ้าคุณเปรียบเทียบประเทศไทยกับอเมริกา คุณจะรู้ว่า 50% ของชาวอเมริกันนั้น เขาจะบอกว่า เฮ้ย!! เราไม่เคยรู้สึกปลอดภัย เรารู้สึกกลัวตลอดเมื่ออยู่บนท้องถนน และในฐานะคนอเมริกันคนหนึ่ง พี่สามารถฟันธงได้เลยว่าตั้งแต่ที่พี่มาอยู่ประเทศไทย พี่ไม่เคยรู้สึกกลัวอะไรเลย คือถามว่ามันอาจจะมีบางสถานที่ในประเทศไทย ที่อาจจะไม่ปลอดภัย คําตอบคือใช่ เหมือนทุกประเทศในโลก แต่ถามว่าโดยรวมแล้ว เรื่องอัธยาศัยของคนไทย และด้วยความน่ารักของพวกเขา ถ้าคุณไปเดินบนท้องถนนแล้วคุณต้องรู้สึกกลัวรึเปล่า? คําตอบคือไม่อย่างแน่นอน...

"จริง ๆ พี่อยากจะถามมาก ๆ มันจําเป็นตรงไหนเราจะต้องนั่งแบบด่าประเทศตัวเองทุกวัน อันนี้คือพี่อยากจะรู้จริง ๆ เลยนะ กลับกันถ้าคุณลองไปถามพลเมืองในประเทศอื่น ไม่ว่าจะเป็นเกาหลี, สหรัฐฯ หรือแม้กระทั่งฟิลิปปินส์ก็ตาม ว่าเขารู้สึกยังไงเกี่ยวกับประเทศตัวเอง สิ่งเดียวที่เขาจะพูดตลอดคือ พวกเขารักประเทศของเขามาก เขาชอบประเทศเขามาก แน่นอนว่าประเทศไหนๆ ก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่ทุกคนที่เกิดในประเทศนั้นๆ เขาล้วนรู้สึกภูมิใจในประเทศตัวเองทั้งสิ้น...

"แล้วถามว่าทำไมเขาถึงภูมิใจ เขาก็จะบอกว่า ก็เขาเกิดที่นี่แล้ว เขาก็จะพยายามปกป้องประเทศ ปกป้องอาหารของเขา วัฒนธรรมของเขา เพราะมันคงไม่มีประเทศไหนบนโลกที่เหมือนประเทศของเขาอย่างแน่นอน"

"โดยสรุปนี้แล้ว ถึงแม้ประเทศไทย อาจจะไม่ได้เป็นประเทศที่ Perfect ที่สุดในโลก แต่พี่อยากให้คนไทยภูมิใจในบ้านตัวเองมากขึ้น เพราะพี่สามารถบอกคุณได้เลยนะ อาหารของเมืองไทยไม่ธรรมดา ความน่ารักของคนไทยก็ไม่ธรรมดา พวกเขาไม่เคยดูถูกชาวต่างชาติ ต้อนรับทุกคนตลอดเวลา ประเทศไทยมีความปลอดภัยให้ และคนไทยก็มีความใจดี ประเทศไทยเป็นหนึ่งประเทศที่น่าภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง" ครูเดวิดทิ้งท้าย

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตือนภัยประชาชนอย่ากดลิงก์ SMS แอบอ้างเป็นบริษัทขนส่ง

สำนักงานตำรวจแห่งชาติโดย พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศปอส.ตร. มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่อาจตกเป็นเหยื่อและได้รับความเสียหายจากการหลอกลวง ซึ่งในช่วงเดือน มิถุนายน พ.ศ.2567 สำนักงานตำรวจแห่งชาติตรวจสอบพบว่า คนร้ายเริ่มกลับมาใช้วิธีส่งข้อความ SMS แอบอ้างเป็น บริษัทขนส่ง กรมที่ดิน กรมขนส่งทางบก การไฟฟ้าฯ โดยแนบลิงก์ให้กดใน SMS ตามที่ได้ตรวจสอบ พบดังนี้
https://Flash.anke.cc      แอบอ้างเป็นบริษัทขนส่ง
www.fla-qr.com               แอบอ้างเป็นบริษัทขนส่ง
www.fla-af.com               แอบอ้างเป็นบริษัทขนส่ง
www.fla-fh.com               แอบอ้างเป็นบริษัทขนส่ง
www.fla-ah.com              แอบอ้างเป็นบริษัทขนส่ง
www.flfah-line.cc            แอบอ้างเป็นบริษัทขนส่ง
www.flo-sh.cc                 แอบอ้างเป็นบริษัทขนส่ง
www.fly-fh.com               แอบอ้างเป็นบริษัทขนส่ง
www.fly-sh.com              แอบอ้างเป็นบริษัทขนส่ง
th-flash.com                  แอบอ้างเป็นบริษัทขนส่ง
www.th-flash.com          แอบอ้างเป็นบริษัทขนส่ง
www.Flsah.line.cc          แอบอ้างเป็นบริษัทขนส่ง
www.flgqh-line.cc          แอบอ้างเป็นบริษัทขนส่ง
www.flbgh-line.cc          แอบอ้างเป็นบริษัทขนส่ง
www.fifgh-line.cc           แอบอ้างเป็นบริษัทขนส่ง
flashline.com                แอบอ้างเป็นบริษัทขนส่ง
flash-line.com               แอบอ้างเป็นบริษัทขนส่ง
flfah-line.cc                   แอบอ้างเป็นบริษัทขนส่ง
flash-expres.com          แอบอ้างเป็นบริษัทขนส่ง
www.oy-th.cc                 แอบอ้างเป็นบริษัทขนส่ง
www.kerry.orth.cc          แอบอ้างเป็นบริษัทขนส่ง                                                                      
dit-gk.cc                       แอบอ้างเป็นกรมขนส่งทางบก
www.dlt-xf.com              แอบอ้างเป็นกรมขนส่งทางบก
dol-th.cc                       แอบอ้างเป็นกรมที่ดิน
www.pea.xw-th.com       แอบอ้างเป็นการไฟฟ้าฯ

โดยในเบื้องต้นทางสำนักตำรวจแห่งชาติได้ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ระงับการเข้าถึงลิงก์ดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่เชื่อว่าในอนาคตจะยังคงมีลิงก์หลอกลวงจากมิจฉาชีพในลักษณะเดียวกันอีก โดยข้อความและลิงก์ที่แนบมาอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ จึงขอแจ้งเตือนภัยพี่น้องประชาชน ดังนี้

จุดสังเกต ลิงก์ที่คนร้ายส่งมามักจะสะกดชื่อผิดหรือมีข้อความที่ไม่ปกติต่อท้ายลิงก์
Domain ของ Website ปลอมมักจะจดบน Domain Free หรือ Domain ที่ไม่น่าเชื่อถือเช่น .cc
SMS ปลอมในบางครั้งคนร้ายจะใช้เครื่องมือพิเศษเพื่อให้ส่ง SMS ปลอมเข้ามาอยู่ในกล่องข้อความของ SMS จริงได้ เมื่อกดลิงก์เข้าไปจะเป็น Line หน่วยงานที่คนร้ายแอบอ้าง เมื่อเหยื่อเพิ่มเพื่อนคนร้ายในไลน์ คนร้ายจะโทรมาพูดคุยโน้มน้าวเหยื่อและส่งลิงก์ให้ติดตั้ง Application ควบคุมโทรศัพท์มือถือ ให้ติดตั้งในเครื่องเหยื่อ  พร้อมให้ตั้งรหัสผ่าน 2 ชุดไม่ซ้ำกัน ซึ่งส่วนใหญ่เหยื่อมักจะเอารหัสเดิมๆที่เคยใช้ใน Application ธนาคารใส่ไปด้วย

วิธีป้องกัน ไม่กดลิงก์ใดๆที่ส่งมาใน SMS หากมีข้อสงสัยให้ติดต่อหน่วยงานที่ปรากฏในข้อความ SMS เพื่อสอบถามถึงข้อเท็จจริงของ SMS ที่ได้รับ พี่น้องประชาชนท่านใดที่ได้รับ SMS แล้วน่าสงสัยว่าน่าจะหลอกลวง โปรดอย่ากดลิงก์ใน SMS ดังกล่าว และส่งข้อมูลดังกล่าวโดย Capture หน้าจอ SMS ที่ท่านได้รับให้ครบถ้วนพร้อมระบุ วันที่ และเวลาที่ได้รับ SMS รวมไปถึงเบอร์โทรศัพท์ที่ได้ส่ง SMS มาให้ท่าน แจ้งเบาะแสผ่านทางช่องทาง www.thaipoliceonline.go.th (ช่องทางแจ้งเบาะแส) เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป สำหรับช่องทางรับรู้ข่าวสารเพื่อให้รู้เท่าทันภัยออนไลน์ในรูปแบบใหม่ สามารถติดตามข้อมูลการแจ้งเตือนภัยออนไลน์ได้ผ่านทาง www.เตือนภัยออนไลน์.com หมายเลขโทรศัพท์สายด่วน AOC 1441 กรณีถูกคนร้ายหลอกลวงแจ้งความตำรวจผ่านระบบกรณีถูกคนร้ายหลอกลวงแจ้งความตำรวจผ่านระบบ www.thaipoliceonline.go.th

'รมว.คลัง' เซ็นคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจฯ ‘สินมั่นคง’ ปิดฉาก บ.ประกันวินาศภัยในไทยเป็นรายที่ 5 เซ่นพิษประกันโควิด

เมื่อวานนี้ (10 ก.ค. 67) นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เซ็นลงนามคำสั่งกระทรวงการคลังที่ 1364/2567 ลงวันที่ 4 กรกฎาคม 2567 ให้เพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยของ ‘บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน)’ โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 59 (1) (2) (4) และ (5) แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 ตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม 2567 เป็นต้นไป

คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คณะกรรมการ คปภ.) อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 มีคำสั่งคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยที่ 19/2567 ลงวันที่ 9 กรกฎาคม 2567 แต่งตั้งกองทุนประกันวินาศภัยเป็นผู้ชำระบัญชี บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน)

ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ขอชี้แจงข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และความเป็นมาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตลอดจนการเตรียมมาตรการต่าง ๆ เพื่อรองรับไม่ให้ผู้บริโภคได้รับผลกระทบ

เนื่องจากปรากฏหลักฐานต่อนายทะเบียนว่า บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) มีฐานะและการดำเนินการอยู่ในลักษณะอันอาจเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เอาประกันภัยหรือประชาชน ดังปรากฏข้อเท็จจริง ตามที่นายทะเบียนได้ออกคำสั่งนายทะเบียนที่ 36/2565 ลงวันที่ 31 ตุลาคม 2565 ให้บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) ‘บริษัท’ แก้ไขฐานะและการดำเนินการตามมาตรา 52 แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 โดยกำหนดให้บริษัทเพิ่มทุนและแก้ไขฐานะการเงินให้เพียงพอต่อภาระผูกพันและให้มีอัตราส่วนของเงินกองทุนเพียงพอตามที่กฎหมายกำหนดภายใน 1 ปี 

อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่ดำเนินการเพิ่มทุนและแก้ไขฐานะการเงินให้เป็นไปตามคำสั่งนายทะเบียนดังกล่าว แต่กลับอาศัยกระบวนการฟื้นฟูกิจการตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 ต่อมาเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2566 ศาลล้มละลายกลาง มีคำสั่งยกเลิกคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการและแจ้งคำสั่งดังกล่าวให้คู่ความทุกฝ่ายทราบผลคำสั่งตามกฎหมายแล้ว อำนาจหน้าที่ในการจัดการกิจการและทรัพย์สิน จึงกลับไปเป็นของผู้บริหารของบริษัท และผู้ถือหุ้นของบริษัท ทำให้บริษัทสามารถเคลื่อนย้ายหรือจำหน่ายทรัพย์สินของบริษัทได้ ประกอบกับบริษัทมีหนี้สินมากกว่าทรัพย์สิน และมีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนต่ำกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด

บริษัทจึงมีฐานะและการดำเนินการอยู่ในลักษณะอันอาจเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เอาประกันภัยหรือประชาชน คณะกรรมการ คปภ. จึงเห็นชอบให้นายทะเบียนใช้อำนาจตามมาตรา 52 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 สั่งให้บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) หยุดรับประกันวินาศภัยเป็นการชั่วคราว ตามคำสั่งนายทะเบียนที่ 48/2566 เรื่อง ให้บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) หยุดรับประกันวินาศภัยเป็นการชั่วคราว ตามมาตรา 52 วรรคหนึ่งแห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 ลงวันที่ 15 ธันวาคม 2566

นอกจากนี้ ได้ปรากฏข้อเท็จจริงว่าบริษัทมีหนี้สินเกินกว่าทรัพย์สิน จัดสรรเงินสำรองตามมาตรา 23 ไม่ครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด และจัดสรรสินทรัพย์ไว้สำหรับหนี้สินและภาระผูกพันตามมาตรา 27/4 ไม่เพียงพอตามที่กฎหมายกำหนด มีสินทรัพย์สภาพคล่องไม่เพียงพอสำหรับการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน มีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 ต่ำกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด แสดงให้เห็นว่า บริษัทมีฐานะการเงินไม่มั่นคงและไม่เพียงพอต่อภาระผูกพัน

รวมถึงบริษัทไม่มีแนวทางในการแก้ไขฐานะการเงิน มีประวิงการจ่ายค่าสินไหมทดแทนที่ต้องจ่ายโดยไม่มีเหตุอันสมควรอันทำให้ผู้เอาประกันภัยและประชาชนได้รับความเสียหาย อันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งกฎหมายหลายประการ บริษัทไม่มีความสามารถและความพร้อมที่จะรับประกันภัยและประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยได้ต่อไป 

ทั้งนี้ หากให้ประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยต่อไป จะทำให้เกิดความเสียหายต่อประชาชนหรือผู้เอาประกันภัย ตลอดจนความน่าเชื่อถือของธุรกิจประกันภัย ดังนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จึงอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 59 (1) (2) (4) และ (5) แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 มีคำสั่งให้เพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยของบริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) ตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม 2567 เป็นต้นไป

เนื่องจาก การเพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยของ บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) เป็นปัญหาฐานะการเงินและการจัดการภายในของบริษัทจึงจะไม่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางการเงินหรือสภาพคล่องของบริษัทประกันวินาศภัยอื่น หรือธุรกิจประกันภัยในภาพรวมแต่อย่างใด ทั้งนี้ สำนักงาน คปภ. ได้เตรียมมาตรการต่าง ๆ เพื่อรองรับมิให้ผู้บริโภคได้รับผลกระทบแล้ว

ทั้งนี้ ผู้เป็นเจ้าหนี้ตามสัญญาประกันภัยของบริษัท และเจ้าหนี้อื่นที่ไม่ใช่เจ้าหนี้ตามสัญญาประกันภัยให้ยื่นขอรับชำระหนี้ต่อกองทุนประกันวินาศภัย ในฐานะผู้ชำระบัญชีของบริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) ภายใน 60 วันนับแต่วันที่กองทุนประกันวินาศภัยประกาศกำหนด โดยการยื่นจะดำเนินการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น 

ทั้งนี้ กองทุนประกันวินาศภัยในฐานะผู้ชำระบัญชี จะประกาศแจ้งให้ทราบถึงกำหนดวัน เวลา และวิธีการยื่นคำทวงหนี้อีกครั้ง เพื่อให้บรรดาเจ้าหนี้ของบริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) ยื่นคำทวงหนี้ต่อผู้ชำระบัญชีตามกระบวนการที่กฎหมายกำหนดไว้ในมาตรา 61/3 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

ดังนั้น จึงขอให้บรรดาเจ้าหนี้ของบริษัทโปรดติดตามประกาศของกองทุนประกันวินาศภัยอย่างใกล้ชิด ได้ที่เว็บไซต์กองทุนประกันวินาศภัย www.gif.or.th  และ Facebook Fanpage ‘กองทุนประกันวินาศภัย’ โดยการจัดตั้งกองทุนประกันวินาศภัยขึ้นมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือเจ้าหนี้ซึ่งมีสิทธิได้รับชำระหนี้ที่เกิดจากการเอาประกันภัย ในกรณีที่บริษัทถูกเพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัย โดยเจ้าหนี้ฯ มีสิทธิได้รับชำระหนี้ที่เกิดจากสัญญาประกันภัยจากกองทุนประกันวินาศภัย ซึ่งเมื่อรวมกับจำนวนที่ได้รับการเฉลี่ยจากหลักทรัพย์ประกันและเงินสำรองที่วางไว้กับนายทะเบียนแล้ว ไม่เกินรายละ 1 ล้านบาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เป็นการปิดฉากบริษัทประกันวินาศภัยของประเทศไทยรายที่ 5 ที่ปิดกิจการจากผลกระทบจากการขายประกันภัยโควิด-19 โดย 4 บริษัทก่อนหน้านี้ที่ปิดตัวไป ประกอบด้วย

1.บริษัทเอเชียประกันภัย
2.บริษัทเดอะวันประกันภัย
3.บริษัทไทยประกันภัย
4.บริษัทอาคเนย์ประกันภัย

เปิดหวูด!! รถไฟ 'กรุงเทพฯ-เวียงจันทน์' วันละ 2 ขบวน เชื่อม 'ไทย-สปป.ลาว' 'เพิ่มทางเลือกท่องเที่ยว-ขนส่งโลจิสติกส์' ดีเดย์ขบวนแรก 19 ก.ค.นี้

เมื่อวานนี้ (10 ก.ค.67) นายเอกรัช ศรีอาระยันพงษ์ หัวหน้าสำนักงานผู้ว่าการ การรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตามที่นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม มีนโยบายให้การรถไฟแห่งประเทศไทย บูรณาการความร่วมมือกับรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งชาติลาว เพื่อขยายการให้บริการขบวนรถโดยสารระหว่างประเทศ เส้นทางสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ - เวียงจันทน์ (คำสะหวาด) - สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเชื่อมต่อการเดินทางของประชาชน และขนส่งสินค้าระหว่างกัน

ล่าสุด การรถไฟแห่งประเทศไทย มีความพร้อมแล้วในการเปิดเดินขบวนรถโดยสารระหว่างประเทศไทย - สปป.ลาว เส้นทางสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ - เวียงจันทน์ (คำสะหวาด) - สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์

โดยขบวนแรก ในวันที่ 19 ก.ค.นี้ พร้อมกับเปิดให้ผู้โดยสารจองตั๋วโดยสารได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ซึ่งเปิดให้บริการไป-กลับ จำนวน 2 ขบวน ประกอบด้วย รถธรรมดา ชั้น 3 (พัดลม) 152 ที่นั่ง, รถนั่งปรับอากาศ ชั้น 2 จำนวน 64 ที่นั่ง และรถนั่งและนอนปรับอากาศ ชั้น 2 จำนวน 30 ที่นั่ง พ่วงไปกับขบวนรถเร็วที่ 133 นอกจากนี้ ยังได้เปิดให้บริการเส้นทางอุดรธานี - เวียงจันทน์ (คำสะหวาด) - อุดรธานี ไป - กลับ อีก 2 ขบวน รวมเป็น 4 ขบวน/วัน

ทั้งนี้ ผู้ที่ประสงค์เดินทาง สามารถติดต่อซื้อตั๋วโดยสารและสำรองที่นั่งล่วงหน้า (สูงสุด 180 วัน) ที่สถานีรถไฟทุกแห่งทั่วประเทศ ซึ่งผู้โดยสารจะต้องมีหนังสือเดินทาง (Passport) หรือ หนังสือผ่านแดน (Border Pass) เพื่อใช้ในการทำพิธีการทางศุลกากร และตรวจคนเข้าเมืองที่สถานีหนองคาย และเวียงจันทน์ (คำสะหวาด) ก่อนการเดินทางข้ามประเทศ ขณะเดียวกันการรถไฟฯ ยังได้รับความร่วมมือจาก สมาคมผู้ประกอบการขนส่งที่เวียงจันทน์ ในการจัดรถโดยสารรับ-ส่ง อำนวยความสะดวกในการเดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ อีกด้วย

นายเอกรัช กล่าวว่า การเปิดเดินขบวนรถโดยสารระหว่างประเทศ ไทย - สปป.ลาว ครั้งนี้ นอกจากจะช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางของประชาชนทั้งสองประเทศแล้ว ยังช่วยยกระดับระบบขนส่งโลจิสติกส์ไทย ให้กลายเป็นศูนย์กลางภูมิภาคตามนโยบาย IGNITE THAILAND ของรัฐบาล ซึ่งสอดรับกับนโยบายของกระทรวงคมนาคม ที่ต้องการให้การรถไฟฯ เป็นกำลังหลักในการพัฒนาระบบขนส่งทางรางของประเทศ โดยให้เตรียมความพร้อมขั้นสูงสุดในทุกด้าน ๆ ก่อนที่จะมีเปิดให้บริการเดินรถเต็มรูปแบบ

นอกจากนี้ ยังช่วยสนับสนุนการค้าชายแดนระหว่างไทย - สปป.ลาว ให้มีการขยายตัวมากขึ้น พร้อมกับขับเคลื่อนให้ไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว Tourism Hub ที่สำคัญของโลก ตามยุทธศาสตร์ เมืองหลักและเมืองน่าเที่ยวของรัฐบาล โดยขบวนรถสามารถรับส่งผู้โดยสารที่เดินทางโดยเครื่องบิน มาลงยังสนามบินอุดรธานี เพื่อเดินทางต่อเข้าไปนครหลวงเวียงจันทน์ได้ โดยไม่ต้องต่อรถโดยสารอื่นอีก ซึ่งจะก่อให้ประโยชน์ความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจ การค้า การท่องเที่ยวในอนาคตอีกด้วย

'ก้าวไกล' เสนอแก้ ป.แพ่งและพาณิชย์ ห้ามผู้ปกครอง 'เฆี่ยนตีเด็ก' ยกผลวิจัยชี้การลงโทษรุนแรง 'เสียพัฒนาการเด็ก-สร้างปัญหาสังคม'

เมื่อวานนี้ (10 ก.ค. 67) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1567 (2) เกี่ยวกับการลงโทษเด็ก โดยแก้ไขจากการบัญญัติว่า “ผู้ใช้อำนาจปกครองมีสิทธิทําโทษบุตรตามสมควรเพื่อว่ากล่าวสั่งสอน” เป็น “ผู้ใช้อํานาจปกครองมีสิทธิทําโทษบุตรเพื่อว่ากล่าวสั่งสอนตามสมควร แต่ต้องไม่เป็นการกระทําทารุณกรรม หรือทําร้ายร่างกายหรือจิตใจ ไม่เป็นการเฆี่ยนตี หรือทําโทษอื่นใดอันเป็นการด้อยค่า”

โดย ภัสริน รามวงศ์ สส.กรุงเทพฯ เขต 7 พรรคก้าวไกล ในฐานะผู้อภิปรายเสนอหลักการและเหตุผล ระบุว่า ร่างกฎหมายนี้ต้องการแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1567 (2) ที่บังคับใช้มาตั้งแต่ปี 2519 เพื่อให้สอดคล้องกับอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิเด็ก ที่ประเทศไทยเป็นรัฐภาคีอยู่ และในกระบวนการทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชน (Universal Periodic Review) รอบที่ 2 (พ.ศ. 2559-2563) ประเทศไทยก็ได้ตอบรับให้คำมั่นสัญญาว่าจะปรับแก้กฎหมายและควบคุมบทลงโทษด้วยความรุนแรงต่อบุตร แต่การแก้ไขก็ไม่เคยเป็นรูปธรรมเสียที

ภัสริน กล่าวว่า คำว่า “รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี” หรือคำว่า “ไม้เรียวสร้างคน” ไม่สอดคล้องกับยุคสมัยอีกต่อไปแล้ว ความรักของผู้ปกครองไม่จำเป็นต้องแสดงออกผ่านความรุนแรง และมีข้อพิสูจน์มากมายว่าการตีเด็กไม่ได้ทำให้เด็กได้ดี อีกทั้งยังส่งผลกระทบเชิงลบต่อเด็กไปจนจวบสิ้นชีวิตได้ 

ผลการศึกษาจากงานวิจัยหลายชิ้นระบุตรงกันว่า การลงโทษเด็กด้วยการตีส่งผลกระทบเชิงลบต่อพัฒนาการของเด็ก รวมถึงกระบวนการสร้างคลื่นบริเวณเยื่อหุ้มสมองที่เป็นสัญญาณของการถูกคุกคามและหวาดกลัว การทำโทษบ่อยครั้งยังส่งผลต่อพัฒนาการของระบบประสาทในวัยรุ่น ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเศร้า งานวิจัยทั้งหมดแสดงให้เห็นตรงกันว่าการเฆี่ยนตีและทำร้ายเด็กไม่สามารถทำให้เด็กมีพัฒนาการได้อย่างสมควร และเด็กที่ถูกเลี้ยงมาในสภาพที่เต็มไปด้วยความรุนแรงในครอบครัว มักจบลงด้วยการแสดงออกที่ก้าวร้าวเสมอ

การลงโทษเด็กจนเสียชีวิตเกิดขึ้นบ่อยครั้งทั้งที่เป็นข่าวและไม่เป็นข่าว โดยประเทศไทยยังคงมีช่องว่างเกี่ยวกับการลงโทษเด็ก ไม่ว่าจะเป็นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ระบุให้ผู้ปกครองมีสิทธิลงโทษบุตรได้ตามสมควร, พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 มาตรา 61 ที่ระบุให้ผู้ปกครองลงโทษได้ตามสมควรเพื่อการอบรมสั่งสอน, กฎกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ว่าด้วยการลงโทษเด็ก พ.ศ.2548 ที่ระบุว่าหากจำเป็น ให้ผู้ปกครองลงโทษได้ตามสมควร

ภัสรินกล่าวต่อไปว่า จากรายงานทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนขององค์การสหประชาชาติ มีข้อกังวลหนึ่งที่คณะกรรมการสิทธิเด็กแสดงความกังวลต่อประเทศไทยมาโดยตลอด นั่นคือบทบัญญัติเรื่องการให้อำนาจผู้ปกครองตามมาตรา 1567 ประเทศสมาชิกหลายประเทศก็ให้ข้อเสนอแนะต่อประเทศไทยไม่ให้มีการลงโทษเด็กทุกรูปแบบและทุกสถานที่ ซึ่งรัฐบาลไทยก็ยอมรับมาโดยตลอดว่าต้องแก้ไขปัญหานี้ แต่ที่ผ่านมาก็ยังไม่มีการแก้ไขกฎหมายใดๆ อย่างเป็นรูปธรรม

“เด็กที่ตกเป็นเหยื่อของความรุนแรง พวกเขารอไม่ได้อีกแล้ว การแก้ไขกฎหมายครั้งนี้ไม่ได้ห้ามการลงโทษ แต่สังคมต้องปรับวิธีคิดในการอบรมสั่งสอนลูก เราต้องสร้างนิสัยเชิงบวกให้ลูกโดยไม่ใช้ความรุนแรง แต่อธิบายด้วยความรัก ความเข้าใจ และการอดทนอดกลั้น ขอให้มองว่าปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นคือโอกาสที่พ่อ แม่ และลูกจะได้เรียนรู้และทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน” ภัสรินกล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top