Wednesday, 21 May 2025
TheStatesTimes

‘จุรินทร์’ จวก!! รัฐบาลให้ความหวังแจก ‘ดิจิทัล วอลเล็ต’ ไปวันๆ อ้างรอรายละเอียด แต่ไม่ถามกฤษฎีกา ปมดึงเงิน ธกส. มาใช้สักที

(10 ก.ค. 67) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส. บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ แสดงความเห็นถึงกรณี ‘เงินดิจิทัล วอลเล็ต’ อีกครั้ง ว่า จนถึงวันนี้รัฐบาลยังไม่ถามกฤษฎีกาเรื่องการจะเอาเงินของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ซึ่งมีไว้เพื่อดูแลเกษตรกรมาแจก ตามนโยบาย ดิจิทัล วอลเล็ต สามารถทำได้และถูกกฎหมายหรือไม่ 

ส่งผลให้ประชาชนยังไม่มีหลักประกันใด ๆ ว่าจะได้รับเงินคนละ 10,000 บาท ตามที่นายกรัฐมนตรีหาเสียงไว้ แม้รัฐบาลจะพยายามบอกว่าจะจัดให้มีการลงทะเบียนภายในเดือนกรกฎาคม และแจกได้ทันทีในไตรมาส 4 ของปีนี้ หรือตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 67 เป็นต้นไปก็ตาม แต่เป็นแค่ไทม์ไลน์ที่รัฐบาลกำหนดขึ้นบนพื้นฐานว่าสามารถเอาเม็ดเงิน 172,300 ล้านบาทจาก ธกส. มาแจกได้ แต่ถ้าเกิดทำไม่ได้เพราะผิดกฎหมาย รัฐบาลจะทำอย่างไร 

“จึงมีคำถามว่าทำไมรัฐบาลไม่เร่งทำความชัดเจนให้เกิดขึ้นเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ปล่อยให้คลุมเครืออยู่เพื่ออะไร เพราะข้ออ้างรอความชัดเจนรายละเอียดปฏิบัติฟังไม่ขึ้น หรือรัฐบาลรู้อยู่แก่ใจว่ามันมีความเสี่ยงผิดกฎหมาย จึงใช้เทคนิคหาเสียงด้วยการซื้อเวลาช่วงนี้ เพื่อสร้างความหวังให้ประชาชนไปพลางก่อน แล้วค่อยไปเสี่ยงตายเอาวันข้างหน้า ซึ่งก็เหมือนซื้อเวลาสร้างความหวังให้ประชาชนไปวัน ๆ” นายจุรินทร์ กล่าว

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ขอเชิญผู้มีจิตศรัทธาร่วมงานมหาบุญ งานมหากุศลครั้งยิ่งใหญ่ ในประเพณีทิ้งกระจาด ประจำปี 2567 ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับ พร้อมทำทานให้แก่ผู้ยากไร้ ณ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ

ระหว่างวันที่ 14 กรกฎาคม - 30 สิงหาคม พ.ศ. 2567 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง โดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการ ขอเชิญชวนประชาชนผู้มีจิตศรัทธาร่วมงานมหาบุญ มหากุศล ร่วมสักการะหลวงปู่ไต้ฮง (ไต้ฮงกง) ทำบุญบริจาคชุดข้าวสารอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับ พร้อมได้ทำทานให้ผู้ยากไร้ ในประเพณีทิ้งกระจาด ประจำปี 2567 ณ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ

นอกจากนี้ สำหรับท่านที่ประสงค์ทำบุญทิ้งกระจาดออนไลน์ ผ่านเว็บไซต์ https://pttfny.net/newsh ในปี 2567 นี้ ท่านสามารถร่วมทำบุญผ่านระบบออนไลน์ ได้ตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคม 67 เป็นต้นไป

ติดต่อสอบถาม ติดตามข่าวสารกิจกรรม และการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

ประเพณีทิ้งกระจาด ถือได้ว่า เป็นงานบุญที่ยิ่งใหญ่ที่ปฏิบัติสืบทอดมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล โดยมูลนิธิฯ ได้ปฏิบัติสืบเนื่องมาทุกปีเป็นเวลาช้านานไม่ต่ำกว่าอายุการก่อตั้งมูลนิธิฯ กว่า 114 ปี และคาดว่าจะเป็นมูลนิธิแห่งแรกที่จัดงานทิ้งกระจาดอย่างเป็นทางการและเป็นกิจจะลักษณะ เพราะถือว่าเป็นประเพณีการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่เพื่อนมนุษย์ที่ล่วงลับไปแล้วทั้งที่เป็นญาติและไม่เป็นญาติพร้อมกับทำทานให้แก่ผู้ยากไร้ ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง มีผู้ใจบุญจะนำเครื่องเซ่นไหว้ เช่น ข้าวสารอาหารแห้ง และอื่น ๆ มากราบไหว้หลวงปู่ เพื่อทำบุญสะเดาะเคราะห์ ซึ่งมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งจะรวบรวมไว้ไปสมทบกับสิ่งของที่จัดซื้อเพิ่มเติม เพื่อนำไปแจกจ่ายแก่ผู้ยากไร้ พร้อมนำมอบองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งในปี 2567 นี้ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง กำหนดแจกเครื่องอุปโภคบริโภค ในประเพณีทิ้งกระจาดครั้งอย่างยิ่งใหญ่ เต็มรูปแบบ ทั้ง 4 จังหวัด

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ขอบุญบารมีองค์หลวงปู่ไต้ฮง (ไต้ฮงกง) ส่งผลให้ท่านและครอบครัว มีความสุข ความเจริญ สุขภาพร่างกายแข็งแรงตลอดปี ตลอดไป

'ธุรกิจขนส่งพัสดุ' โวย!! ‘มาตรการส่งดี’ สคบ. คุ้มครองผู้บริโภค แต่ภาระตกที่ผู้ให้บริการ

(10 ก.ค.67) จากกรณีที่ราชกิจจานุเบกษาตีพิมพ์ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจการให้บริการขนส่งสินค้าโดยเรียกเก็บเงินปลายทางเป็นธุรกิจที่ควบคุมรายการในหลักฐานการรับเงิน พ.ศ. 2567 เมื่อวันที่ 5 ก.ค.ที่ผ่านมา หรือที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เรียกว่า ‘มาตรการส่งดี’ (Dee-Delivery) สาระสำคัญคือ ผู้ให้บริการขนส่งสินค้าที่เรียกเก็บเงินปลายทาง (COD) ต้องจัดทำหลักฐานการรับเงิน และต้องถือเงินค่าสินค้าเป็นระยะเวลา 5 วัน ก่อนนำส่งเงินให้ผู้ส่งสินค้า ส่วนผู้บริโภคสามารถเปิดดูสินค้าก่อนชำระเงินได้ และสามารถขอคืนสินค้าและขอเงินคืนภายใน 5 วัน โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 3 ต.ค. 2567 ที่จะถึงนี้

แหล่งข่าวจากบริษัทผู้ให้บริการขนส่งพัสดุในประเทศไทยรายหนึ่งเปิดเผยว่า จากประกาศที่ออกมานั้น ปัญหาที่ตามมาชัดเจนที่สุด คือการอัดวิดีโอหรือเปิดพัสดุก่อนที่จะรับหรือไม่รับสินค้า ประกาศฉบับดังกล่าวเจาะจงที่บริการเรียกเก็บเงินปลายทาง (COD) เท่านั้น ซึ่งจะมีผลต่อบริษัทขนส่งเกือบทุกแห่ง ยกเว้น บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ที่ประกาศฉบับดังกล่าวไม่ครอบคลุม เพราะใช้กฎหมายคนละฉบับ คือ พระราชบัญญัติไปรษณีย์ พ.ศ. 2477 ถือเป็นข้อยกเว้น เพราะกฎหมายของไปรษณีย์ไทยไม่ได้ระบุถึงการตีกลับ การอัดวิดีโอ อัดคลิป แต่จะมีเรื่องของการเรียกเก็บเงิน COD ว่าทำได้กี่วัน ยังคงมีอยู่ ซึ่งการถือเงินค่าสินค้าที่เรียกเก็บเงิน COD ขนส่งส่วนใหญ่ไม่เป็นปัญหา

ทั้งนี้ ปัญหาที่จะเกิดขึ้นหลังประกาศมีผลบังคับใช้ คือ การตีกลับพัสดุ เดิมผู้บริโภคซื้อสินค้าจากผู้ค้าออนไลน์ บริษัทขนส่งมีหน้าที่แค่ไปรับจากผู้ค้าหรือร้านค้ามาส่งให้ลูกค้าเท่านั้น ไม่มีทางรู้เลยว่าสิ่งของข้างในเป็นอะไร มูลค่าเท่าไหร่ แต่ประกาศฉบับนี้เจาะจงให้บริษัทขนส่งต้องรับรู้ ทั้งๆ ที่ร้านค้าจะต้องระบุไว้ในกล่องพัสดุว่าสิ่งของข้างในคืออะไร เช่น พระเครื่อง เสื้อผ้า กระเป๋า มูลค่าเท่าไหร่ สีอะไร ต้องระบุไว้ชัดเจน แต่ประกาศฉบับนี้เหมือนผลักภาระให้บริษัทขนส่ง โดยอ้างว่า สคบ. จะช่วยเรื่องของการคุ้มครองผู้บริโภค เพราะมีมิจฉาชีพใช้ช่องทาง COD ค่อนข้างเยอะ แต่ในมุมมองของผู้ให้บริการ ถ้ามีผู้ร้องเรียนส่วนใหญ่สามารถอายัดเงิน และโอนเงินคืนลูกค้าได้ภายในวันเดียวกัน

"ตอนนี้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากร่างฉบับนี้ คือ เรื่องของการเปิดกล่อง เดิมไม่มีข้อกฎหมายว่าถ้าลูกค้าสั่งซื้อสินค้าแล้วพนักงานไปส่ง จะสามารถเปิดกล่องหรืออัดวิดีโอได้ เนื่องจากทุกวันนี้พนักงาน 1 คน ส่งพัสดุ 50 กล่อง เท่ากับ 50 จุด จุดหนึ่งใช้เวลาไม่เกิน 5-10 นาที แต่กลับกันตอนนี้กลายเป็นว่ากว่าจะแกะกล่อง กว่าจะถ่ายวิดีโอเสร็จ ถ่ายไปแล้วเกิดของไม่ตรงที่สั่ง สมมติเสื้อสีแดงแต่ได้สีเลือดหมู ขอตีกลับสินค้า พนักงานต้องแพกกล่องใหม่ ต้องติดสติกเกอร์ลาเบล (Label) ใหม่ พัสดุนั้นต้องตีกลับไปที่ขนส่งก่อน เพื่อจะส่งไปให้กับร้านค้า ขั้นตอนค่อนข้างยากและละเอียดอ่อน เพราะพนักงานขนส่งไม่ทราบว่าของข้างในคืออะไร แล้วประกาศนี้เอาอะไรมายึดว่าของไม่ตรงปก มันคือคำว่าอะไร"

"ถ้าลูกค้าไม่ได้สั่ง แล้วเป็นมิจฉาชีพมาส่งนั้นชัดเจนอยู่แล้ว ขนส่งพร้อมช่วยประสานงานอายัดเงินให้ อันนั้นมันชัดเจน แต่กลับกันถ้าไม่ตรงปก ผู้ค้าหรือลูกค้าหัวหมอ ขนส่งตายอย่างเดียวเลย ตายทั้งขึ้นทั้งล่องเลย ลูกค้ากล่าวว่า ไม่เอาแล้ว คุณตีกลับเลย ขนส่งกล่าวว่า ผมไม่รู้นะครับว่าข้างในเป็นอะไร ลูกค้ากล่าวว่า ผมสั่งเสื้อกล้ามสีขาวแต่ได้สีเลือดหมูมา ผมไม่เอาคุณส่งไปเองเลย แต่ว่าผมก็ต้องตีกลับ ต้องเสียเงิน สุดท้ายกลายเป็นว่านอกจากภาระแล้ว อาจเกิดความขัดแย้งระหว่างลูกค้ากับพนักงานขนส่งอีกต่างหาก ประกาศฉบับนี้ไม่ได้มีข้อบังคับหรือกฎระเบียบจากประกาศนี้ว่า อะไรคือการคุ้มครองบริษัทขนส่งที่เป็นตัวกลางจากร้านค้าไปให้ลูกค้า ไม่มีเลย มีอย่างเดียวคือ คุณต้องมีหน้าที่ตีกลับพัสดุให้ร้านค้า หากลูกค้ามองว่าของชิ้นนั้นไม่ใช่ที่เขาสั่ง ไม่ใช่สเปกที่เขาต้องการ" แหล่งข่าวระบุ

ปัญหาอย่างต่อมา คือ รายละเอียดที่จะต้องระบุไว้ที่หน้ากล่องพัสดุ ทุกวันนี้ยอมรับว่าถ้าลูกค้ามีการสั่งสิ่งของ เช่น พระเครื่อง อาจจะส่งผ่านบริษัทขนส่งแบบไม่ปกติ (จากปกติบริษัทขนส่งส่วนใหญ่จะไม่รับสินค้าที่ไม่สามารถประเมินค่าได้ สิ่งของที่มีมูลค่าทางจิตใจ หรือสินค้าที่ไม่สามารถทดแทนได้) เพราะราคาถูก ถึงไว แต่ไม่ได้ระบุไว้ที่หน้ากล่อง ระบุแต่เพียงว่าผู้รับ ผู้ส่งเป็นใคร แต่ประกาศฉบับนี้จะระบุเลยว่าเป็นสิ่งของอะไร สีอะไร น้ำหนักเท่าไหร่ ราคาเท่าไหร่ สมมติหากเขียนว่าพระเครื่อง มูลค่า 1 ล้านบาท ผู้ส่งคือใคร ผู้รับคือใคร จะเกิดปัญหาที่เยอะมาก

ความจริงแล้วรายละเอียดดังกล่าว ร้านค้าจะต้องเป็นฝ่ายระบุ ไม่ใช่บริษัทขนส่ง แต่ประกาศฉบับนี้ให้บริษัทขนส่งเป็นผู้จัดทำ และต้องระบุว่าพนักงานคนใดเป็นผู้นำส่ง ทั้งที่เป็นเรื่องค่อนข้างยาก ในแต่ละวันไม่มีทางรู้ว่าพนักงานคนใดเป็นคนไปส่ง เพราะปกติบริษัทขนส่งทั่วไปจะเคลียร์พัสดุกันตอนเช้า คัดแยกตามสายการขนส่งแต่ละพื้นที่ แต่ประกาศฉบับนี้ให้ระบุทั้งหมด รวมทั้งผู้รับมอบอำนาจในการรับเงินหรือจ่ายเงิน ผู้ประกอบการต้องทำขนาดนั้นเลยหรือ ทั้งที่บริษัทขนส่งมีรายได้เพียงแค่ 22-30 บาทต่อชิ้น ซึ่งการตีกลับหรือการจัดทำรายละเอียดนั้นถือว่าไม่คุ้ม

อีกปัญหาหนึ่ง คือ สมมติว่าลูกค้าไม่สามารถรับพัสดุ COD ได้ในวันนั้น แต่โอนเงินให้แล้ว ภายใน 5 วันทำการสามารถกลับบ้านแล้วถ่ายวิดีโอ หากพบว่าสิ่งของไม่ใช่ตามที่สั่ง ซึ่งไม่มีทางรู้ว่าเป็นเหตุการณ์จริงหรือจัดฉากขึ้นมา ปรากฏว่าไม่เอา ประกาศฉบับนี้ระบุว่า ลูกค้ามีสิทธิโทร.บอกให้บริษัทขนส่งกลับมารับพัสดุคืน และคืนเงินเช่นเดียวกัน กลายเป็นว่าขนส่งจบไปแล้ว แต่บริษัทขนส่งต้องตีรถเปล่าเพื่อไปรับพัสดุที่ลูกค้ามองว่าไม่ตรงสเปก ไม่ตรงสี ซึ่งหากลูกค้าไม่ได้สั่งสินค้ายังสามารถแก้ปัญหาได้ จากนั้นบริษัทขนส่งต้องแพกสินค้าและส่งไปยังร้านค้า

แหล่งข่าวระบุอีกว่า ที่น่าแปลกใจคือ ประกาศฉบับนี้ออกมาเร็วมาก ทั้งที่ สคบ. เพิ่งเชิญผู้ประกอบการขนส่งพัสดุเมื่อเดือน มิ.ย. ฟังรอบเดียวและให้ข้อเสนอแนะไม่กี่วันหลังจากวันที่เชิญไป แล้วประกาศในราชกิจจานุเบกษาเลย ไม่มีการรับฟังความคิดเห็นรอบที่สอง รอบที่สาม ไม่มีการแก้ไขหรือหารือจากผู้ประกอบการ หรือหาทางออกแบบพบกันครึ่งทางก็ไม่มี เป็นที่สังเกตว่าประกาศที่ออกมาต้องการทำผลงานหรือเปล่า เพราะมีการให้ข่าวจากผู้ที่เกี่ยวข้องก่อนที่ประกาศออกมาเพียงไม่กี่วัน ยังไม่มีการเปิดรับความคิดเห็นอีกรอบแต่อย่างใด กลายเป็นว่ารับฟังผู้บริโภคแต่เพียงฝ่ายเดียว คิดว่า สคบ.รับเรื่องร้องเรียนสินค้าที่ลูกค้าไม่ได้เป็นคนสั่งมาเยอะ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าเกิดขึ้นกับบริษัทขนส่งทุกแห่ง แต่การแก้ปัญหาโดยการออกประกาศฉบับนี้ เป็นการผลักภาระที่หนักมากให้กับบริษัทขนส่ง ทั้งที่เป็นเพียงตัวกลางในการรับพัสดุไปส่งปลายทาง

นอกจากนี้ ประกาศดังกล่าวยังส่งผลกระทบไปถึงพนักงานส่งพัสดุ แหล่งข่าวยอมรับว่าเรื่องมารยาทและพฤติกรรมแล้วแต่บุคคล เชื่อว่าเป็นคนหาเช้ากินค่ำ เจอแดดร้อน ฝนตก แล้วมาเจอประกาศที่ต้องเพิ่มงานจากเดิมที่เหนื่อยอยู่แล้วอีกขั้นตอนหนึ่ง ได้แก่ รอถ่ายวิดีโอ รอแพกสินค้าถ้าลูกค้าปฏิเสธ ฯลฯ ซึ่งพนักงานส่งพัสดุจะเดือดร้อนเยอะมาก ซึ่งคำหนึ่งที่ สคบ.กล่าว ก็คือ "คุณก็ต้องเลือกลูกค้าดีๆ สิ" เขามองว่าผู้ประกอบการเปิดร้านค้า มีลูกค้า 5 ราย รายที่ 5 ชอบมีปัญหา ไม่ต้องรับ รับแค่ 4 ราย โดยไม่ได้มองว่ารายที่ 5 แท้จริงแล้วไม่ได้มีปัญหาเยอะ นานๆ จะเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง ถ้ามีจริงตัดไปแล้ว ลูกค้ารายที่ 6 รายที่ 7 ก็ไม่รู้ว่ามีปัญหาหรือไม่ เป็นไปไม่ได้ที่บริษัทขนส่งจะรู้ทุกราย

"วันที่เปิดรับฟังความคิดเห็นกลับมองว่า คุณก็ต้องเช็กสิ คุณก็ต้องเขียนสิ เอาข้อมูลจากร้านค้าสิ เป็นการผลักภาระให้บริษัทขนส่ง และกรณีที่สินค้าซึ่งร้านค้าไม่ระบุโดยตรง เช่น พระเครื่อง หรือสินค้าประเภท ถุงยางอนามัย ของเล่นผู้ใหญ่ ฯลฯ (สินค้าที่ลูกค้าต้องการความเป็นส่วนตัว) เป็นปัญหาใหญ่แต่เขาไม่ได้มอง ซึ่งไม่ใช่บริษัทขนส่งที่กระทบโดยตรง แต่ผู้ประกอบการร้านค้าก็ได้รับผลกระทบเหมือนกัน เพียงแต่เขาไม่ได้มอง เขามองแค่ผู้บริโภคอย่างเดียวว่า คุณเป็นอย่างนี้ เราแก้อย่างนี้ จบ หน้ากล่องคุณเขียนมาเลยทุกอย่าง แล้วถ้าโดนตีกลับ บริษัทขนส่งก็ต้องมารับจ่ายทั้งหมด แม้จะหลัง 5 วัน มันดูเป็นการผลักภาระให้บริษัทขนส่ง โดยไม่ได้มองว่าเราเป็นผู้ประกอบการเล็กๆ แต่ภาระใหญ่มาก แถมอาจเป็นช่องว่างมิจฉาชีพเพิ่มขึ้น เกิดการวิวาทระหว่างขนส่งกับลูกค้า ทุกวันนี้ขนาดไม่มีกฎระเบียบตรงนี้ ลูกค้าบางคนก็หัวหมอหรืออาจเป็นมนุษย์ป้า (บุคคลที่ทำตัวน่ารำคาญ) ยกตัวอย่างเช่น ลูกค้ากล่าวว่า ฉันไม่ได้สั่ง ฉันขอถ่ายรูป ฉันไม่ยอม มีขึ้นโรงขึ้นศาลก็มี มีแจ้งตำรวจก็มี เอาปืนมาขู่พนักงานว่าเขาไม่ได้สั่งก็มี มันจะมีเยอะ เพราะบริษัทขนส่งเป็นไปไม่ได้ที่จะรู้ว่าลูกค้าสั่งอะไร หรือร้านค้าส่งอะไร" แหล่งข่าวระบุ

เมื่อถามถึงการรับมือของบริษัทขนส่งหลังประกาศฉบับนี้ออกมา แหล่งข่าวกล่าวว่า ในฐานะผู้ประกอบการยอมรับว่ามืดแปดด้าน แต่จะมีแนวทางดำเนินการทั้งภายในและภายนอก โดยยอมรับว่ามีการเรียกประชุมภายในแผนกที่เกี่ยวข้องเพื่อรับมือ ซึ่งฝ่ายบัญชีบริษัทก็ต้องเกี่ยวข้อง และการกันเงินค่าสินค้า COD ค่อนข้างละเอียดอ่อน แม้เลยระยะเวลา 5 วัน แต่ถ้าลูกค้าถ่ายวิดีโอคลิปย้อนหลังไป 15 วัน ก็ต้องโอนเงินคืนลูกค้าได้ ส่วนภายนอกกำลังปรึกษาทีมกฎหมายของแต่ละบริษัทเพื่อยื่นหนังสือ หรือหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นเลขาธิการ สคบ. เป็นตัวกลางโดยตรงในการออกประกาศ เพื่อเสนอแนะว่าประกาศที่ออกมา ทำให้บริษัทขนส่งรับภาระมากแค่ไหน หรือเกิดปัญหาอะไรบ้าง ซึ่งไม่รู้ว่าจะทำได้มากน้อยแค่ไหน เมื่อประกาศไปแล้วจะเปลี่ยนหรือไม่ หรือจะถอยเพื่อรับฟังความคิดเห็นอีกรอบหนึ่ง ซึ่งคาดหวังว่าเป็นเช่นนั้น นอกจากนี้ ประกาศฉบับดังกล่าวทำไมไม่ครอบคลุมไปถึง บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด แม้จะมีกฎระเบียบคนละฉบับกัน แต่เรื่องของการตีกลับพัสดุ การถ่ายวิดีโอคลิปค่อนข้างละเอียดอ่อน ถ้าจะทำต้องทำแบบเซตซีโรทั้งหมด ไม่เลือกปฏิบัติเฉพาะเอกชนแต่ละเว้นรัฐวิสาหกิจ

‘ชัยวัฒน์’ แจงชัด #Saveทับลาน ช่วยป้องปล่อยผีนายทุนฮุบป่า  ส่วนชาวบ้านดั้งเดิม ได้รับความคุ้มครองให้อยู่กินได้แบบถูก กม.

(10 ก.ค.67) จากกรณีอุทยานแห่งชาติทับลาน เปิดรับฟังความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสีย ชุมชนที่เกี่ยวข้อง และประชาชน ในการปรับปรุงแนวเขต ‘อุทยานแห่งชาติทับลาน’ ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) มาตราส่วน 1 : 4000 (One Map) ซึ่งหากมีการปรับปรุงแนวเขตอุทยานแห่งชาติทับลานตามแนวเขตใหม่นี้ จะมีผลทำให้อุทยานแห่งชาติทับลานมีเนื้อที่ลดน้อยลงไปประมาณ 265,000 ไร่ จนเกิดกระแสในโลกออนไลน์ได้มีการติดแฮชแท็ก #Saveทับลาน กันในวงกว้าง โดยส่วนใหญ่ได้มีการรณรงค์ให้ลงชื่อคัดค้าน เนื่องจากเกรงว่าหากเรื่องนี้ผ่านแล้วจะต้องสูญเสียพื้นที่ป่าไม้กว่า 265,000 ไร่ และมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าพื้นที่ดังกล่าวอาจจะหลุดไปยังมือนายทุนรายใหญ่ และอาจทำร้ายระบบนิเวศของสัตว์ป่าที่อยู่อาศัยในบริเวณนั้น

ล่าสุดเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2567 นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผู้อำนวยการสำนักอุทยานแห่งชาติ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช โพสต์เฟซบุ๊ก Chaiwat Limlikhitaksorn ระบุข้อความว่า...

ขอบคุณผู้ร่วมแสดงความคิดเห็น มีทั้งคัดค้าน และตั้งข้อสังเกต
ให้คิดเรื่องการคัดค้าน !!!

สืบเนื่องอ้างว่า ชาวบ้านอยู่มาก่อน หรือ อุทยานแห่งชาติทับลาน ไปประกาศแนวเขต ทับที่ชาวบ้าน ขอให้ข้อเท็จจริง ความถูกต้อง หัวข้อในประเด็น

1. ราษฎร รายใด มีเอกสารสิทธิ เช่น ส.ค.1 / น.ส.3 และ น.ส.3 ก สามารถนำไปออกเอกสารสิทธิที่ดิน เป็นโฉนดที่ดินได้ (ถูกต้องตามกฎหมาย )

2. ราษฎรอยู่มาก่อนประกาศอุทยานแห่งชาติทับลาน เมื่อปี 2524 นั้น ราษฎรต้องดูข้อเท็จจริง ว่า ถ้าท่านไม่มี ข้อ (1) ถือว่า ‘ผิดกฎหมาย’

ขอแสดงลำดับการประกาศการคุ้มครองพื้นที่ป่า ซึ่งมีกฎหมาย บังคับใช้ หากบุคคลใด บุกรุกป่า ถือว่า ‘ผิดกฎหมาย’ ดังนี้

- เป็นป่าตาม พ.ร.บ. ป่าไม้ 2484
- เป็นป่าไม้ถาวร 2506
- เป็นป่าสงวนแห่งชาติ ป่าครบุรี 2509
- เป็นป่าสงวนแห่งชาติป่า แก่งดินสอ ป่าแก่งใหญ่ และป่าเขาสะโตน 2510
- เป็นป่าสงวนแห่งชาติป่าวังน้ำเขียว 2515
- เป็นอุทยานแห่งชาติทับลาน 2524
- เป็นกลุ่มป่ามรดกโลก ดงพญาเย็น-เขาใหญ่ 2548

แนวทางแก้ไข ปัญหาราษฎรที่อยู่อาศัยในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ทั้งอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และเขตห้ามล่าสัตว์ป่า มี มติ ครม. 30 มิถุนายน 2541 คุ้มครองมิให้ จนท.จับกุมดำเนินคดี รวมถึงผ่อนปรน ผ่อนผันให้ราษฎรทำกินไปพลางก่อน จนกว่าจะมี มติ ครม. หรือ พระราชบัญญัติ เปลี่ยนแปลง เป็นอย่างอื่น เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2562 พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ 2562 มีมาตรา 64 และ พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า 2562 มี มาตรา 121 ประกาศใช้ โดยทั้งสองมาตรา(ม 64/ 121) มีความว่า ‘ให้สำรวจการถือครองที่ดินของประชาชนที่อยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และเขตห้ามล่าสัตว์ป่า’

ที่สำคัญ และ สำคัญมาก คือ ม 64 และ ม 121 นี้ ออกมาเพื่อคุ้มครองราษฎรที่ทำผิดกฎหมาย ข้อหา ‘บุกรุกแผ้วถางป่า ยึดถือครอบครองที่ดิน’ ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติทับลาน และในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ทั่วประเทศ

ฉะนั้น : ราษฎรที่อยู่มาก่อน จะได้รับการคุ้มครองให้อยู่อาศัย ทำกิน ได้อย่างถูกตามกฎหมายนี้

‘เครือข่ายฯ ม.ราม’ เชิญชวน #Saveทับลาน #Saveชาวบ้าน ค้านการเพิกถอนพื้นที่ป่า ‘อุทยานแห่งชาติทับลาน’

(10 ก.ค.67) จากกรณีกระแส #Saveทับลาน ที่กำลังถูกพูดถึงอย่างมากในขณะนี้ ทาง ‘ชมรมรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง’ ก็ได้อยากมาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า…

“เครือข่ายนักกิจกรรมเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยรามคำแหง ร่วมแสดงจุดยืนต่อสถานการณ์การเพิกถอนพื้นที่ป่าของอุทยานแห่งชาติทับลาน

เนื่องด้วยสถานการณ์ดังกล่าว มีกระแสข่าวและเป็นประเด็นอยู่ 2 ด้านหลัก ๆ ได้แก่ ประเด็น #saveทับลาน และประเด็น #saveชาวบ้าน ซึ่งเครือข่ายฯ ได้ร่วมกันศึกษาและเสนอแนะแนวทางพร้อมทั้งแสดงจุดยืน ที่สอดคล้องกับสถานการณ์ทั้ง 2 ประเด็นเอาไว้ในแถลงการณ์แล้ว นักศึกษา ประชาชน และผู้ที่มีความห่วงใยต่อสถานการณ์ดังกล่าว สามารถร่วมแสดงความคิดเห็นได้ที่เพจสำนักอุทยานแห่งชาติ https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSdOxZiTKKlqQFEBS_NHMbJ0wsBlkV9s8GNTrh9znEVsaGCnyg/viewform

ทั้งนี้ เครือข่ายฯ จึงขอเชิญชวน ผู้ที่มีความห่วงใยในสถานการณ์ดังกล่าว ร่วมกันแสดงจุดยืนและอ่านแถลงการณ์ร่วมกันในเวลา 17.30 น. ณ ลานหน้าอนุเสาวรีย์พ่อขุนรามคำแหงมหาราช มหาวิทยาลัยรามคำแหง หัวหมาก”

‘ก.อุตฯ’ เผย ขนกากแคดเมียมกลับ จ.ตาก ครบแล้ว 100% มั่นใจ!! ฝังกลบเสร็จสิ้นตามแผน ภายใน พ.ย. 67 นี้

(10 ก.ค. 67) ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เผยผลการประชุมคณะทำงานแก้ไขปัญหา และการขนย้ายกากตะกอนแคดเมียมเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อประชาชน ครั้งที่ 4/2567 ว่า การขนย้ายกากตะกอนแคดเมียมที่ตรวจพบทั้งหมดจากพื้นที่ต่าง ๆ ได้แก่ เขตบางซื่อ กรุงเทพมหานคร จังหวัดสมุทรสาคร และจังหวัดชลบุรี กลับไปยังพื้นที่ต้นทางจังหวัดตาก ได้ดำเนินการขนย้ายเสร็จทุกพื้นที่ครบ 100% เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2567 

โดยใช้รถขนส่งเป็นรถตู้คอนเทรนเนอร์ที่ปิดคลุมมิดชิด ทั้งหมด 441 เที่ยว พร้อมรถตำรวจนำขบวนเพื่อควบคุมความปลอดภัยตลอดการขนส่ง มีปริมาณกากตะกอนแคดเมียมที่ขนย้ายกลับโรงพักคอยจังหวัดตาก รวมจำนวนทั้งสิ้น 8,568 ถุง วัดน้ำหนักได้ 12,912 ตัน หากเปรียบเทียบกับปริมาณกากตะกอนแคดเมียม ที่แจ้งนำออกจากโรงงานต้นทางจังหวัดตาก 13,800 ตัน คิดเป็นส่วนต่างร้อยละ 6.43 และหากเปรียบเทียบกับประมาณการณ์ปริมาณกากตะกอนแคดเมียมที่ตรวจพบในทุกพื้นที่รวม 12,948 ตัน คิดเป็นส่วนต่างร้อยละ 0.28 

ซึ่งคาดว่าปริมาณน้ำหนักที่แตกต่างจากปริมาณที่แจ้งนำออกจากโรงงานต้นทางจังหวัดตาก เป็นผลมาจากปริมาณความชื้นที่ระเหยไปจากการเก็บกองถุงกากตะกอนแคดเมียมในพื้นที่ต่าง ๆ เป็นระยะเวลานาน 

สำหรับปริมาณการขนย้ายกากตะกอนแคดเมียมกลับไปยังพื้นที่ต้นทางจังหวัดตากครบแล้ว 100% จำแนกได้ดังนี้ กรุงเทพมหานคร บริษัท ล้อโลหะไทย เมททอล จำกัด เขตบางซื่อ มีจำนวน 99 ถุง ปริมาณรวม 142 ตัน ครบเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2567 

จังหวัดสมุทรสาคร บริษัท เจ แอนด์ บี เมททอล จำกัด มีจำนวน 4,554 ถุง ปริมาณรวม 6,962 ตัน ครบเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2567 / บริษัท ซิน หงส์ เฉิง อินเตอร์ เทค (2008) จำกัด มีจำนวน 672 ถุง ปริมาณรวม 1,008 ตัน ครบเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2567 และโกดังตำบลคลองมะเดื่อ มีจำนวน 534 ถุง ปริมาณรวม 549 ตัน ครบเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2567 

จังหวัดชลบุรี โกดังที่ตำบลคลองกิ่ว เริ่มขนย้ายกากตะกอนแคดเมียม จำนวน 2,877 ถุง ปริมาณรวม 4,250 ตัน ครบเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 25

ในส่วนการส่งมอบคืนพื้นที่กรุงเทพมหานคร บริษัท ล้อโลหะไทย เมททอล จำกัด เขตบางซื่อ ดำเนินการส่งมอบคืนพื้นที่เรียบร้อยแล้ว จังหวัดสมุทรสาคร บริษัท เจ แอนด์ บี เมททอล จำกัด และ โกดังตำบลคลองมะเดื่อ อยู่ระหว่างการดำเนินการทำความสะอาดเพื่อตรวจสอบค่าแคดเมียมก่อนส่งคืนพื้นที่ บริษัท ซิน หงส์ เฉิง อินเตอร์ เทค (2008) จำกัด ได้ตรวจสอบค่าแคดเมียมแล้วซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานของกรมควบคุมมลพิษ และอยู่ระหว่างการส่งมอบคืนพื้นที่ จังหวัดชลบุรี โกดังที่ตำบลคลองกิ่ว ทำความสะอาดโดยการดูดฝุ่น จำนวน 3 ครั้งแล้ว โดยจะประสานกรมควบคุมมลพิษเพื่อเข้าตรวจวัดค่าแคดเมียมต่อไป 

ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวต่ออีกว่า สำหรับการตรวจสภาพและการกำหนดแนวทางซ่อมแซมบ่อฝังกลบกากตะกอนแคดเมียมที่จังหวัดตากนั้น ได้มีการตรวจสอบร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้เชี่ยวชาญจากวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย และการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ร่วมตรวจสอบเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2567 โดยได้ตรวจสอบการรั่วซึมของฝังกลบแคดเมียม โดยการฉีดน้ำประมาณ 50 ลูกบาศก์เมตร ผลปรากฏว่า ไม่พบการรั่วซึมแต่อย่างใด 

นอกจากนี้ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในพื้นที่ว่าผิวบ่อคอนกรีตมีความแข็งแรงและปลอดภัย จึงได้ใช้วิธีการฉีดอัดด้วยซีเมนต์แรงดันต่ำ (low pressure injection) ป้องกันไม่ให้ผิวบ่อเกิดรอยร้าว ส่วนการตรวจสอบความแข็งแรงของผิวบ่อคอนกรีต จะใช้เครื่องสแกนเนอร์ตรวจสอบความหนาแน่นใต้ชั้นคอนกรีต ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาดำเนินการฝังกลบทั้งหมดจนเสร็จสิ้นกระบวนการภายในเดือนพฤศจิกายน 2567

“ที่ผ่านมาเราได้ดำเนินการขนย้ายกากตะกอนแคดเมียมตั้งแต่เริ่มต้นจนส่งกลับไปฝังกลบที่ต้นทาง จ.ตาก ได้อย่างราบรื่น เป็นไปตามแผนที่วางไว้ โดยไม่พบอุปสรรคและปัญหาแต่อย่างใด และขอให้ประชาชนมั่นใจว่า การดำเนินงานที่ผ่านมาทุกกระบวนการตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางเป็นไปด้วยความปลอดภัย คำนึงถึงประชาชนและสิ่งแวดล้อมเป็นอันดับแรก และหากประชาชนหรือผู้สนใจอยากติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง สามารถเข้าติดตามได้ที่เว็บไซต์ https://cadmium.industry.go.th/web ที่กระทรวงจัดทำขึ้นเพื่อให้ทุกคนคลายความกังวลว่าภาครัฐดำเนินการอย่างเอาจริงเอาจัง และมีความโปร่งใสในทุกขั้นตอน” ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมกล่าวปิดท้าย

‘รปภ.สาว’ ถูกหนุ่มหัวร้อน ‘ด่าทอ-ขู่ทำร้าย’ ขณะพานักเรียนข้ามถนน เหตุไม่พอใจถูกตะโกนเรียก “อ้วน” เพราะ ‘ไม่ยอมหยุดรถ’ ตรงทางม้าลาย

(10 ก.ค.67) ที่ สภ.เมืองนนทบุรี น.ส.สุภาพ อายุ 50 ปี หัวหน้า รปภ.องค์การทหารผ่านศึก ประจำจุดทำงานโรงเรียนสตรีนนทบุรี เดินทางเข้าแจ้งความกับ ร.ต.อ.ชัยยงค์ อ้วนมะโฮง รอง สว.(สอบสวน) หลังถูก นายเดียร์ อายุประมาณ 30 ปี อดีตคนขับรถเจ้าอาวาสวัดดังในเมืองนนทบุรี พูดจาด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคาย และข่มขู่จะทำร้ายร่างกาย จนรู้สึกไม่ปลอดภัย เกรงว่า นายเดียร์ ซึ่งเป็นขาใหญ่ในพื้นที่ จะทำร้ายจริง ๆ จึงต้องเดินทางเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อให้ติดตามตัวนายเดียร์ มารับทราบข้อกล่าวหา และดำเนินคดีตามกฎหมาย

โดย น.ส.สุภาพ เล่าทั้งน้ำตาคลอเบ้า ว่าเมื่อช่วงเย็น วันที่ 9 กรกฎาคม 67 หลังโรงเรียนเลิก ตนเองจะพาเด็กนักเรียนเดินข้ามถนนจากหน้าโรงเรียนไปอีกฝั่งหนึ่ง โดยจุดที่พาเด็กนักเรียนข้ามเป็นทางม้าลาย ตนเองทำหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยในโรงเรียนมานาน จริง ๆ แล้วก็ไม่ใช่หน้าที่ของตนที่จะต้องมาทำแบบนี้ แต่ด้วยความที่ตนเป็นห่วงเด็กนักเรียนเล็ก ๆ เกรงว่าจะไม่ปลอดภัยระหว่างข้ามถนน จึงมักช่วยเหลือด้วยจิตอาสาเป็นประจำ

ระหว่างที่ทำหน้าที่อยู่นั้น นายเดียร์ ขี่รถจักรยานยนต์ไม่ยอมหยุดทางข้ามม้าลาย ตนจึงตะโกนไปด้วยเสียงอันดังว่า "อ้วน ทำไมไม่หยุดรถล่ะ" ซึ่งตนก็พูดไปโดยไม่ได้คิดอะไร เห็นว่ารู้จักกัน สุดท้าย นายเดียร์ ได้วนรถกลับมา และด่าตนหยาบคายเสีย ๆ หาย ๆ ว่ามาบูลลีเขาทำไม "xูอ้วนไปหนักกบาลอะไรxึงเหรอ" นอกจากนี้ยังพูดจาข่มขู่ให้ตนเองระวังตัวให้ดี ๆ เดี๋ยวได้โดนแน่

ตนเองรู้สึกตกใจและเสียใจที่เขามีความรู้สึกที่ไม่ดีกับตนแบบนี้ ทั้ง ๆ ที่ตนเองก็ช่วยเหลือเด็ก ๆ ด้วยใจ จึงอยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยดำเนินการ เพราะตนรู้สึกกลัวและไม่ปลอดภัย เพราะเขาขู่ทำร้ายไว้

ต่อมาผู้สื่อข่าวได้เดินทางลงไปที่พื้นที่จุดเกิดเหตุหน้าโรงเรียนสตรีนนทบุรี ได้รับการเปิดเผยจากคุณแอร์ อายุ 40 ปี ผู้ปกครองของเด็กนักเรียนรายหนึ่ง เปิดเผยว่า หัวหน้า รปภ.หญิงคนนี้ ทำงานดี มีจิตเมตตา ทุกเช้า-เย็น ตนมาส่งลูกมักจะเห็นเขาช่วยเหลือพาเด็ก ๆ ข้ามถนน เรื่องที่นายเดียร์ ประพฤติตัวแบบนี้ ตนรู้สึกไม่โอเค อยากให้มาขอโทษ คุณขี่ผ่านแถวนี้ประจำ ควรมีน้ำใจให้กับเด็ก ๆ นักเรียน หากวันไหนเกิดชนเด็กขึ้นมา แล้วคุณเองจะเป็นฝ่ายเสียใจ

ROCKSTAR ทะยานติด Billboard Hot 100 เหนือ 'LALISA-MONEY' สะท้อนความฮิต ที่ไม่ได้ปักอยู่แค่ในประเทศไทย

(10 ก.ค.67) Billboard ประกาศว่าเพลงใหม่ของลิซ่า ‘ROCKSTAR’ ได้เปิดตัวที่อันดับ 70 บนชาร์ต Hot 100 ซึ่งเป็นการจัดอันดับเพลงที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา

‘ROCKSTAR’ กลายเป็นเพลงเดี่ยวที่ติดชาร์ตสูงสุดของลิซ่าบน Hot 100 โดยสามารถแซงหน้าเพลงก่อนหน้านี้ของเธอ ‘LALISA’ (ซึ่งขึ้นสูงสุดที่อันดับ 84) และ ‘MONEY’ (อันดับ 90) ได้สำเร็จ

นอกจากนี้ ‘ROCKSTAR’ ยังเดบิวต์ที่อันดับ 1 บนชาร์ต Global Excl. U.S. ของ Billboard อันดับ 4 บนชาร์ต Global 200 อันดับ 2 บนชาร์ต Rap Digital Song Sales อันดับ 7 บนชาร์ต Digital Song Sales หลัก และอันดับ 19 บนชาร์ต Hot Rap Songs

ขณะเดียวกัน ลิซ่ายังกลับเข้ามาในชาร์ต Artist 100 ของ Billboard อีกครั้งที่อันดับ 84 นับเป็นสัปดาห์ที่สองที่เธอปรากฏบนชาร์ตนี้

ตรวจพบ DNA ‘ปลาหมอสีคางดำ’ เอี่ยวเอกชนรายใหญ่นำเข้าเมื่อปี 2553 โป๊ะ!! มีการขออนุญาตนำเข้า แต่หลุดระเบียบความปลอดภัยทางชีวภาพ

(10 ก.ค.67) จากเพจ 'BIOTHAI' ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กกรณีปลาหมอสีคางดำที่กำลังระบาดในไทย ระบุว่า...

มีความพยายามจากบุคคลบางกลุ่ม เพื่อบิดเบือน เบี่ยงเบน ปัดความรับผิดชอบ โดยปล่อยเอกสารผ่านสื่อ อ้างว่าปลาหมอสีคางดำ (Sarotherodon melanotheron) ที่ระบาดเพราะมีการนำเข้าจากกลุ่มเพาะเลี้ยงปลาหมอสีสวยงาม (โดยอ้างสถิติการส่งออกปลาหมอสี ซึ่งเป็นคนละสปีชีส์ และไม่ใช่เอเลี่ยนสปีชีส์เดียวกับที่บริษัทเอกชนรายใหญ่นำเข้าในปี 2553 แถมดันเอาสถิติการส่งออกปี 2556-2559 มาโชว์) 

แต่ผลการวิเคราะห์ DNA จากงานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์กรมประมง ทำให้บริษัทเอกชนที่ละเมิดระเบียบความปลอดภัยทางชีวภาพ ไม่อาจหลบเลี่ยงความรับผิดชอบจากปัญหาที่เกิดขึ้นได้อีกต่อไป 

การศึกษาเรื่อง 'การวิเคราะห์เส้นทางการแพร่ระบาดของปลาหมอสีคางดำในเขตพื้นที่ชายฝั่งของไทยจากโครงสร้างพันธุกรรมของประชากร' โดย อภิรดี และคณะ (2565) กลุ่มวิจัยความหลากหลายทางชีวภาพสัตว์น้ำจืด กองวิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืด พบว่าประชากรปลาหมอสีคางดำที่แพร่ระบาดในประเทศไทยมีแหล่งที่มาร่วมกัน และความแตกต่างระหว่างกลุ่ม haplotype อยู่ในระดับการเปลี่ยนแปลงเพียง 1-2 ลำดับเบสเท่านั้น ซึ่งสามารถอธิบายความแตกต่างทางพันธุกรรมของประชากรแต่ละจังหวัดไว้ว่า น่าจะเกิดจากกลไกของจีเนติกดริฟท์ หรือความคลาดเคลื่อนจากการสุ่มตัวอย่าง ซึ่งเกิดจากปลาที่นำไปปล่อย มากกว่าเกิดจากการนำเข้าหลายครั้ง (multiple introduction)

ดังนั้น "การศึกษาครั้งนี้ช่วยยืนยันที่มาของการแพร่ระบาด โดยข้อมูลระยะห่างทางพันธุศาสตร์ และการจัดลำดับความสัมพันธ์เชิงวิวัฒนาการ ชี้ให้เห็นว่าประชากรปลาหมอสีคางดำที่แพร่ระบาดในประเทศไทยมีแหล่งที่มาร่วมกัน"

หมายเหตุ : ขอบคุณทีมนักวิจัย กลุ่มวิจัยความหลากหลายทางชีวภาพสัตว์น้ำจืด กองวิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืด ของกรมประมงมาก ๆ ครับ อย่าลืมสรุปและส่งรายงานวิจัยนี้ให้ท่านอธิบดีอ่านโดยด่วนด้วยครับ

'ตำรวจบุรีรัมย์' ส่งสำนวนคดีขโมยลูกชิ้นยืนกิน ยอมรับเห็นใจผู้กระทำผิด หลังทำไปด้วยความจน

(10 ก.ค.67) กรณีเจ้าของบริษัทผลิตลูกชิ้นยืนกิน ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ นำคลิปวงจรปิดไปแจ้งความต่อ ร.ต.อ.สุพจน์ ตึกกระโทก รองสารวัตร (สอบสวน) สภ.เมืองบุรีรัมย์ ว่าได้ถูกบุคคลในคลิปวงจรปิด ขโมยลูกชิ้นที่วางไว้หน้าร้านจำนวน 1 ถุง จากที่วางไว้ 2 ถุง มูลค่าประมาณ 300 บาท เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 67 ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 21.00 น.

ต่อมาตำรวจชุดสืบสวน สภ.เมือง สามารถจับกุม นายบุญเที่ยง หรือธง พิทักษ์พันธุ์ อายุ 50 ปี อยู่บ้านเลขที่ 57 ม.5 บ้านหนองกระทิง ต.หนองกระทิง อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ บุคคลในคลิปวงจรปิดมาสอบสวน

โดยนายบุญเที่ยงให้การรับสารภาพ ว่าเป็นคนก่อเหตุจริง สาเหตุที่ขโมยเพราะเห็นลูกชิ้นวางอยู่หน้าร้านไม่มีใครเฝ้า และร้านปิดแล้ว จึงเดินเข้าไปหยิบเอา ยอมรับว่าหาเงินมาใช้จ่ายในครอบครัวไม่ทัน ลูกชิ้นที่ได้ไป เอาไปทอดเป็นกับข้าวให้ลูกกิน ส่วนหนึ่งเอาไปฝากพ่อกับแม่ที่ป่วยอยู่ที่ อ.ลำปลายมาศ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงนำตัวไปฝากขังที่ศาลจังหวัดบุรีรัมย์ เนื่องจากไม่มีคนมาประกันตัว

สำหรับเหตุการณ์ดังกล่าว มีผู้คนแสดงความเห็นใจนายบุญเที่ยง หรือ ธง เป็นจำนวนมาก เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่ตกต่ำ และคาดว่าครอบครัวน่าจะยากจน แต่กฎหมายต้องดำเนินไปต่อตามกระบวนการ

ล่าสุด ร.ต.อ.สุพจน์ ตึกกระโทก พนักงานสอบสวน เจ้าของคดี ได้ทำสำนวนส่งไปที่อัยการจังหวัดบุรีรัมย์วันนี้แล้ว เพราะจะครบกำหนดฝากขัง 48 วัน

ร.ต.อ.สุพจน์ กล่าวยอมรับว่า คดีนี้เป็นคดีที่น่าเห็นใจ จากการสอบสวน และสืบสวน พบว่าครอบครัวมีฐานะยากจน มีพ่อแม่แก่ และป่วยติดเตียง จริง ๆ แล้วส่วนตัวมองว่านายบุญเที่ยง ไม่มีเจตนาที่จะขโมย สังเกตจากสินค้าของร้านวางไว้ 2 ถุง แต่เอาไปถุงเดียว ผิดวิสัยของขโมยทั่วไปที่จะต้องเอาไปให้ได้มากที่สุด แต่เมื่อเป็นคดีความที่ยอมไม่ได้จะต้องเดินต่อไป

ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่บ้านเลขที่ 57 บ้านโนนแดง หมู่ 5 ต.หนองกระทิง อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ ซึ่งเป็นบ้านพ่อแม่ของนายบุญเที่ยง ผู้ต้องหา พบว่าเป็นบ้านปูนชั้นเดียว สร้างยังไม่เสร็จ ภายในบ้านอยู่ด้วยกัน 3 คือ พ่อ-แม่ และพี่สาวนายบุญเที่ยง

นายทอง พิทักษ์พันธุ์ อายุ 88 ปี พ่อนายบุญเที่ยง ยังนั่งอยู่หน้าบ้านอยู่ตลอดเวลา เมื่อสอบถามทราบว่า "กำลังรอลูกชายเอาอาหารมาให้" และไม่รู้ว่าลูกชายขโมยของมาให้กิน จนถูกตำรวจจับได้

นางอุย พิทักษ์พันธุ์ อายุ 89 ปี แม่นายบุญเที่ยง ซึ่งเป็นผู้ป่วยติดเตียง และป่วยโรคไต บอกว่าปกติลูกชายจะเอาอาหารมาให้กินเป็นประจำ ครั้งล่าสุดเอาลูกชิ้นมาให้กิน ซึ่งลูกชายมาสารภาพว่า “ขโมยเขามาให้แม่กิน” หลังจากนั้นไม่เห็นลูกชายมาหาอีกเลย จนกระทั่งมีคนมาบอกว่าลูกชายถูกจับดังกล่าว

ขณะที่นางพิมพ์พร พิทักษ์พันธุ์ อายุ 59 ปี พี่สาวนายบุญเที่ยง เล่าว่า น้องชายจะกลับบ้านอาทิตย์ละ 2 วัน หลังจากนั้นจะไปหากินอยู่ในตัวเมืองกับภรรยา หลังน้องชายถูกตำรวจจับไม่เคยได้ไปเยี่ยม เพราะต้องมีภาระดูแลพ่อแม่ซึ่งป่วยติดเตียง ส่วนพ่อแม่ได้แต่นั่งเฝ้าคอยลูกชายกลับมาหา


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top