Friday, 16 May 2025
TheStatesTimes

‘อภิสิทธิ์’ มองเกม!! ถึงยุบก้าวไกล พรรครับไม้ต่อก็เต็งหนึ่งเลือกตั้ง ชี้!! ถ้าอยากหยุดส้มจริงจัง ต้องทำงานให้น่าประทับใจ แต่ไม่ง่าย

(18 มิ.ย. 67) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ ‘สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง’ ทางช่องยูทูบ ‘แนวหน้าออนไลน์’ ในประเด็นการยุบพรรคก้าวไกล ซึ่งปัจจุบันคดีอยู่ในการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ กรณีที่ก่อนหน้านี้ ศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่า นโยบายแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ของพรรคก้าวไกล เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง ว่า… 

แม้สถานการณ์จะเลวร้ายที่สุด คือพรรคถูกยุบและมีบุคคลถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง แต่ฝ่ายก้าวไกลก็มั่นใจว่าจะมีพรรคการเมืองมาสานต่อ

ซึ่งแม้จะเสีย สส. งูเห่าออกไปบ้าง แต่ก็เชื่อว่ายังมีแรงสนับสนุน ก็ทำให้เคลื่อนต่อไปได้ อย่างคณะก้าวหน้าที่ปัจจุบันก็เห็นเคลื่อนไหวทางการเมืองได้ แน่นอนว่ากระทบตัวบุคคล คือมีคนถูกตัดสิทธิ์ แต่ในภาพรวมทางการเมืองไม่เปลี่ยนแปลง หากวันนี้พรรคก้าวไกลถูกยุบ ตนเชื่อว่าบรรดานักวิเคราะห์การเมืองก็คงมองว่า พรรคที่มารับช่วงต่อก็ยังมีโอกาสมากที่สุดที่จะชนะการเลือกตั้งครั้งหน้าอยู่ดี

อย่างไรก็ตาม ที่มีการลือกันว่าตนจะไปเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองที่ว่า ขอยืนยันว่าไม่รู้เรื่องและไม่เกี่ยวข้องด้วย อาจเป็นความเห็นส่วนตัวของคนที่พูดเรื่องดังกล่าวขึ้นมา แต่เขาคงไม่เอาตนไปเป็นหัวหน้าพรรค อีกอย่างเวลานี้เขาคงวุ่นอยู่กับการต่อสู้คดี ซึ่งที่คนรู้สึกว่าคดีพรรคก้าวไกลต้องเดินไปแบบนี้ เพราะเนื่องจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ในคดีที่มีคนไปร้องให้พรรคก้าวไกลหยุดการกระทำ และเมื่อศาลวินิจฉัยออกมาแบบนั้น คนก็ต้องมองว่าต้องมีคดีนี้ต่อมา

“ตอนนี้มันต้องต่อสู้เรื่องนี้เป็นหลัก ผมเข้าใจอย่างนั้น เพราะว่ามันก็ยากที่จะไปให้ศาลรัฐธรรมนูญ เขาเปลี่ยนสิ่งที่เขาเคยเขียนไว้ในคำวินิจฉัยในคดีนั้น เพียงแต่ว่าตอนนี้ถ้าจะสู้ก็อาจจะต้องเป็นลงไปว่าเป็นเจตนาไหม? หยุดการกระทำแล้วต้องยุบไหม? มีอำนาจยุบหรือเปล่า? การดำเนินการในการยุบมันถูกต้องตามขั้นตอนไหม? ผมดูว่ามันก็จะไปในเรื่องพวกนี้มากกว่า” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

นอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวต่อไปว่า…

ส่วนคดี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่มีสมาชิกวุฒิสภา (สว.) 40 คน ไปร้องศาลรัฐธรรมนูญให้ตรวจสอบกรณีการแต่งตั้ง นายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เนื่องจากนายพิชิตอาจขาดคุณสมบัติและเป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ว่า ในประเทศไทย ทุกคดีจะคุยกันได้ 2 มุม คือมุมกฎหมายกับมุมการเมือง ซึ่งในความเห็นของตนอาจผิดก็ได้ แต่ในมุมกฎหมายหากพูดกันตามสามัญสำนึกก็มีความรู้สึกว่าค่อนข้างชัด

ซึ่งหากแต่งตั้งบุคคลที่มีประวัติแบบนี้ แล้วมีประมวลจริยธรรมอยู่ ถ้าบอกว่าไม่ผิดก็จะเกิดคำถามมากมายเหมือนกันว่าประมวลจริยธรรมเขียนไว้ทำไม? หรือแปลว่าอะไร? อย่างไรก็ตาม ในทางกฎหมายก็มีเรื่องของเทคนิคอยู่ เช่น หากเป็นเรื่องจริยธรรมจริงก็ควรไปผ่านช่องทางอื่นๆ มาก่อนหรือไม่? ซึ่งจริงๆ เหตุที่เกิดขึ้นจะบอกว่าไม่รู้เรื่องเลยก็คงไม่ได้ เพราะตอนตั้งรัฐบาลใหม่ๆ ก็มีชื่อนายพิชิตอยู่ในโผคณะรัฐมนตรี (ครม.) ด้วย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้แต่งตั้ง ซึ่งก็เป็นเรื่องแปลกที่มีตำแหน่งรัฐมนตรีว่างอยู่ แต่การที่ไม่ตั้งก็เป็นที่รับรู้กันว่ามีเครื่องหมายคำถามเรื่องคุณสมบัติ

และแม้ในภายหลัง นายพิชิต จะลาออกจากตำแหน่ง รมต.ประจำสำนักนายกฯ แต่ก็เป็นเรื่องของนายพิชิต ส่วนนายกฯ เศรษฐา ก็จะยังต้องถูกตรวจสอบเรื่องการแต่งตั้งนายพิชิตต่อไป ถึงกระนั้น หากมามองในมุมการเมือง การที่นายเศรษฐาต้องพ้นจากตำแหน่งนายกฯ มีผลกระทบสูง เพราะหากรัฐบาลชุดเดิมยังต้องการอยู่ด้วยกันต่อไป ทางพรรคเพื่อไทยยังเหลือรายชื่อบุคคลที่พรรคเสนอให้เป็นนายกฯ อีก 2 คน แต่คำถามคือเป็นที่เห็นพ้องต้องกันแล้วหรือยัง ที่สำคัญคือ การเลือกนายกฯ คนใหม่ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) จะไม่เกี่ยวข้องอีกแล้ว สมการก็เปลี่ยนไปอีก

ดังนั้น หากในมุมการเมืองแล้วก็อาจรอด เพราะไม่เช่นนั้นอาจเกิดเรื่องยุ่งๆ ตามมา แต่หากเป็นมุมกฎหมายสำหรับตนแล้วตรงไปตรงมาว่าค่อนข้างชัด ส่วนคำถามว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หรืออุ๊งอิ๊ง หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่มีการเตรียมตัวกันมา เหมาะสมหรือยังกับการรับตำแหน่งนายกฯ เรื่องนี้อย่ามาถามตน แต่ตนถามว่าถามว่า โอกาสที่จะเป็นหรือไม่เป็นมาจากปัจจัยอะไร? เพราะจริงๆ ทุกคนก็พูดตรงกันว่าครอบครัวคิดอย่างไร? ซึ่งดูเหมือนครอบครัวเขาจะยังไม่พร้อม และตนก็รู้สึกแบบนั้นเช่นกัน แต่ปัญหาคือถ้าเอาอย่างนั้นแล้วจะมีตัวเลือกอื่นหรือไม่?

อย่างอีกชื่อหนึ่งในพรรคเพื่อไทย คือ นายชัยเกษม นิติสิริ ก็มีปัญหาเรื่องสุขภาพ หรือจะข้ามมาที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ก็มีคำถามว่าพรรคเพื่อไทยจะปล่อยมือจากตำแหน่งนายกฯ ด้วยเหตุผลใด? หรือจะย้ายขั้วไปเลย เป็นพรรคเพื่อไทยจับมือกับพรรคก้าวไกล ก็ยังมีปัญหาอีกว่าแล้วจะให้ฝ่ายไหนเป็นนายกฯ รวมถึงพรรคก้าวไกลก็ยังมีเรื่องยุบพรรคอยู่ ดังนั้น คดีนายกฯ เศรษฐา จะเป็นคดีที่ตัดสินแล้วจะเกิดเรื่องยุ่งมากที่สุด และหากถึงที่สุดจริงๆ ไม่ว่าจะพร้อมหรือไม่ก็ตาม ก็ต้องชู น.ส.แพทองธาร เพื่อให้รัฐบาลยังเป็นชุดเดิมและไม่กระทบพรรคเพื่อไทย

“ที่คิดว่าเขาจะไม่ได้เป็นก็มีแต่คนบอกว่าเพราะยังจะไม่ได้เป็นนะ ไมได้แปลว่าในอนาคตจะไม่ได้เป็น เพราะฉะนั้นถ้าเกิดดุลอำนาจที่ทางพรรคเพื่อไทยกับคุณทักษิณ (ทักษิณ ชินวัตร-อดีตนายกรัฐมนตรี) ยังถึงอยู่ ก็มีการมองอยู่ตลอดเวลาว่าวันใดวันหนึ่งคุณอุ๊งอิ๊งก็จะต้องขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี” นายอภิสิทธิ์ ระบุ

นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวอีกว่า “ส่วนเรื่องที่วิเคราะห์กันว่า อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร กลับมาได้ เพราะมีการเจรจากันทางการเมืองโดยจำเป็นต้องให้นายทักษิณมาช่วยจัดการกับพรรคก้าวไกล เรื่องนี้ตนไม่อยากใช้คำว่าจัดการ คือเป็นวิธีที่ไม่ทำให้พรรคก้าวไกลได้อำนาจเท่านั้นเอง ไม่ใช่จัดการในความหมายว่าต่อกรหรือต่อสู้ และหากไม่นับบรรดากองเชียร์ ก็จะเห็นบุคคลระดับบนๆ ของพรรคเพื่อไทยตอบโต้พรรคก้าวไกลน้อยมาก”

ทั้งนี้ ต่อข้อสังเกตที่ว่า พรรคก้าวไกลอยู่เฉยๆ ก็ได้คะแนนเพิ่มขึ้น ในขณะที่พรรคเพื่อไทยนับวันมีแต่คะแนนจะต่ำลง จริงๆ ก็เป็นเช่นนั้น เพราะการรวมตัวกันของบรรดาพรรคการเมืองที่มาเป็นรัฐบาลชุดนี้ ต้องยอมรับว่าในใจลึก ๆ ของผู้สนับสนุนนั้นฝืนความรู้สึกอยู่แล้ว อาจจะยกเว้นอยู่บ้างกับพรรคภูมิใจไทย แต่พรรคอื่น ๆ มีลักษณะที่ฝืนอยู่แล้ว แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลข้ออ้างอะไร ทั้งหมดก็คือการไม่ให้พรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล และยิ่งการเลือกตั้งครั้งล่าสุด พรรคก้าวไกลได้ที่นั่ง สส. ในสภามากที่สุด อารมณ์ของสังคมอย่างไรก็ต้องไหลไปทางพรรคก้าวไกล

“ดังนั้นโจทย์ใหญ่ของรัฐบาลตั้งแต่ต้นที่พูดกันมา ถ้าจะหยุดยั้งก้าวไกลได้ พูดง่ายๆ การทำงานมันต้องเป็นที่ประทับใจจริง ๆ ซึ่งผมก็เคยวิเคราะห์ตั้งแต่แรกว่าบังเอิญมันไม่ง่าย เพราะสถานการณ์โลก สถานการณ์เศรษฐกิจโลก โครงสร้างเศรษฐกิจไทย อะไรอีกหลายอย่างตอนนี้มันไม่ค่อยเป็นใจให้เท่าไร นั่นก็เป็นปัจจัยลบอยู่แล้ว และตัวรัฐบาลเองก็ผ่านมาก็นานพอสมควร ก็ต้องยอมรับว่ายังไม่มีอะไรที่จะบอกได้ว่าเป็นผลงานที่ทำให้ประชาชนมีความรู้สึกว่าประทับใจ” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

‘รวมไทยสร้างชาติ’ ร่วมฉลอง!! ‘พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม’ ผ่านฉลุย พร้อมยินดีกับ LGBTQIA+ ในไทยทุกคน ในฐานะผู้ร่วมผลักดัน กม.นี้

(19 มิ.ย.67) พรรครวมไทยสร้างชาติ ร่วมเฉลิมฉลองความสำเร็จหลัง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม ผ่านการพิจารณาวุฒิสภาวาระ 3 และจะมีผลบังคับใช้ในอีกไม่นานหลังจากนี้ พร้อมแสดงความยินดีกับ LGBTQIA+ ในประเทศไทยทุกคน ที่จะสามารถสมรสกันได้อย่างเท่าเทียม ในฐานะที่พรรคฯ ได้ผลักดันกฎหมายฉบับนี้มาโดยตลอด

โดย นายดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง สส. บัญชีรายชื่อ พร้อมด้วยนายศาสตรา ศรีปาน สส. สงขลา เขต 2 และนางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกพรรค บอกก็ต้องประสบความสำเร็จ ร่วมเป็นตัวแทนพรรครวมไทยสร้างชาติ แสดงความยินดีและเฉลิมฉลองความสำเร็จ เนื่องในโอกาส ร่าง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียมผ่านการพิจารณาของสมาชิกวุฒิสภา ในวาระ 2 และ 3 หลังจากกฎหมายดังกล่าวผ่านการเดินทางมากกว่าทศวรรษ ที่ได้ฝ่าฟันและแก้ไข กระทั่งประสบความสำเร็จในวันนี้

ทั้งนี้ ทางพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นพรรคที่มีความทันสมัย คนรุ่นใหม่ พร้อมเปิดกว้างทางความคิด ทันความเปลี่ยนแปลงของโลกซึ่งทางพรรคฯ ได้ผลักดันเรื่องนี้ตั้งแต่แรกจึงมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งกับ LGBTQIA+ ทุก ๆ คนที่มาสมรสในไทย ที่จะสามารถสมรสกันได้อย่างเท่าเทียม การผ่านกฎหมายนี้ไม่ใช่เป็นเพียงแค่การผ่านกฎหมาย แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงสัญลักษณ์ว่าประเทศไทยพร้อมที่ให้ความสำคัญกับประเด็นความเท่าเทียมทางเพศ และยอมรับความแตกต่างหลากหลาย ซึ่งเป็นเสน่ห์ของค่านิยมที่ถูกปลูกฝังในวัฒนธรรมของคนไทย นอกเหนือจากเป็นการเปลี่ยนแปลงในด้านกฎหมายและสังคมแล้ว ยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์ให้ประเทศไทยนำไปสู่ประโยชน์ด้านการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจได้ในอนาคต

ขณะเดียวกันกฎหมายฉบับนี้จะเป็นจุดเริ่มในการสร้างครอบครัวที่แข็งแรง สร้างความสมดุลระหว่างสิทธิและศักดิ์ศรี และยังเป็นการปกป้องค่านิยม ความเชื่อ ความศรัทธา และวัฒนธรรมของไทย และยังเป็นการพลิกหน้าประวัติศาสตร์ของการสมรสของผู้มีความหลากหลายทางเพศที่จะได้รับสิทธิและสวัสดิการอย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่พรรครวมไทยสร้างชาติเห็นด้วยและผลักดันมาโดยตลอด

อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากฎหมายจะผ่านวาระ 3 ของวุฒิสภาแล้ว แต่กฎหมายยังไม่มีผลบังคับใช้ทันทีต้องรอให้มีการนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อจะประกาศเป็นพระราชกิจจานุเบกษา ซึ่งคาดว่าคงใช้เวลาไม่นาน และเมื่อ พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียมมีผลบังคับใช้ ทุก ๆ คนที่สมรสในประเทศไทย ไม่ว่าจะเพศใดสถานะใด สามารถใช้ชีวิตร่วมกันได้ อีกทั้งยังได้รับสิทธิต่าง ๆ ไม่ว่าจะทางด้านแพ่ง สินสมรส และเรื่องอื่น ๆ เหมือนกันทุก ๆคน

'ภาครัฐ' อย่านิ่ง!! นอมินีทุนต่างชาติลุกลาม ทำตลาดทัวร์แบบตัดราคายับ จัดโมเดลไม่สนกำไร ทุบผู้เล่นในตลาดให้เจ๊ง แล้วยึดตลาด-ปรับราคา

(19 มิ.ย. 67) นายศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีบริษัทที่เป็นทุนต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย ผ่านการจัดตั้งโดยใช้นอมินีเป็นคนไทย ทำตลาดด้วยการขายทัวร์แบบตัดราคาต่ำสุดในประวัติศาสตร์ เป็นราคาที่ต่ำกว่าทัวร์ศูนย์เหรียญที่เคยเป็นปัญหาในอดีตด้วย ยกตัวอย่างคือ ขายทัวร์ให้นักท่องเที่ยวใช้ราคาห้องพักในโรงแรม 1,000-1,500 บาท ซึ่งความเป็นจริงทำไม่ได้อยู่แล้ว เมื่อเข้ามาเที่ยวไทยจะบังคับเชิงข่มขู่ให้ซื้อสินค้า หรือใช้จ่ายแบบช้อปปิ้งในจำนวนเงินตามที่กำหนดไว้ ประมาณ 7 หมื่นถึง 1 แสนบาท ทำให้ผู้ประกอบการไทยได้รับผลกระทบจนอยู่ไม่ได้ โดยหากไม่ได้รับการแก้ไขปัญหาภายใน 1 ปีนี้ ผู้ประกอบการคนไทยคงอยู่ไม่ได้แล้วแน่นอน

“เกิดมาในชีวิตนี้ยังไม่เคยเจอแบบนี้เลย เพราะสถานการณ์ทัวร์ทุบตลาดมีความรุนแรงมากกว่าช่วงเกิดการระบาดโควิดด้วย มีความสาหัสมากกว่าทัวร์ซื้อหัว (kick back) หรือศูนย์เหรียญอีก ซึ่งการมีคนทำแบบนี้ไม่กี่คนก็ทำให้ตลาดพังหมดแล้ว เพราะข่าวสารจะออกไปทั่ว คนวงการเดียวกันรู้กันหมด การแก้ไขปัญหาต้องแก้ไขให้ถูกจุด ไม่ใช่การเหวี่ยงแห เพราะจะกระทบกับผู้ประกอบการคนไทยที่ทำดีอยู่แล้ว รัฐบาลต้องใช้ไม้อ่อนก่อนไปใช้ไม้แข็ง ในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ เพราะที่ผ่านมาในนามของเอกชนและสมาคม ก็พยายามประคับประคองในการแก้ไขปัญหาให้ได้ เพื่อไม่ให้ภาพการท่องเที่ยวของประเทศไทยเสียหาย” นายศิษฎิวัชร กล่าว

นายศิษฎิวัชร กล่าวว่า รูปแบบการทำทัวร์ทุบตลาด คือผู้ประกอบการต่างชาติที่เข้ามาในไทยจะขายทัวร์ให้กับนักท่องเที่ยวในราคาต่ำ ๆ เป็นการวัดดวงแบบไม่สนใจเรื่องต้นทุน นำนักท่องเที่ยวเข้ามาก่อน เมื่อเข้ามาแล้วก็ให้ใช้จ่ายช้อปปิ้งให้ได้ตามเป้า แข่งขันแบบไม่เป็นธรรมในด้านราคา แม้ขาดทุนก็ไม่เป็นไร เพราะมีกลุ่มอื่นเข้ามาใหม่ วนไปแบบนี้ เป็นการทุบตลาดให้ผู้ประกอบการเดิมอยู่ไม่ได้ก่อน จากนั้นจะเข้ามาครองตลาดเต็มตัวแล้วจึงปรับราคาขึ้น ซึ่งผลกระทบที่รุนแรงเกิดขึ้นกับท่องเที่ยวไทย ที่นักท่องเที่ยวคิดว่าไทยเป็นประเทศที่เที่ยวได้ในราคาถูกมาก ๆ โดยพบปัญหาในกลุ่มประเทศจีน อินเดีย และรัสเซีย ที่เห็นมากขึ้นในปัจจุบัน

โดย นายศิษฎิวัชร กล่าวอีกว่า ภาคเอกชนจำเป็นต้องอาศัยรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาดำเนินการจับกุม แต่ไม่ใช่จับทุกจุดไปหมด เพราะแม้ที่ผ่านมามีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ก็ไม่ได้เป็นผลเชิงบวกมากนัก เพราะบางบริษัทในเครือข่ายมี 4-5 บริษัท พอถูกจับกุมไป 1-2 บริษัท ก็เปลี่ยนไปใช้บริษัทที่เหลือแทน จึงอยากให้หน่วยงานภาครัฐสื่อสารไปถึงผู้ประกอบการท่องเที่ยวคนไทยอย่างชัดเจนว่าต้องทำอย่างไรตามขั้นตอน ทำได้แค่เท่าใด เพื่อให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรม เพราะหากเป็นการแข่งขันตามกลไกตลาดก็ไม่ว่ากัน แต่ราคาต่ำสุดจะต้องไม่เกินเท่าใด หากเกินจะถูกลงโทษตามกฎเกณฑ์ที่มี เป็นการขอความร่วมมือจากบริษัททัวร์คนไทยที่ทำดีอยู่แล้ว เพื่อให้สามารถประกอบธุรกิจต่อไปได้

นายศิษฎิวัชร กล่าวว่า ที่ผ่านมาสมาคมได้หารือเรื่องนี้กับ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รับทราบสถานการณ์ที่เป็นปัญหาในตอนนี้แล้ว ทั้งการเข้ามาของทุนต่างชาติที่ทำให้เกิดการทุบราคาตลาดแบบไม่สมเหตุสมผลจนกระทบผู้ประกอบการไทยแต่เดิม ทั้งยังส่งผลเชิงลบต่อภาพท่องเที่ยวไทยด้วย ทั้งที่เคยมีการพูดถึงว่าต้องการเปลี่ยนภาพลักษณ์ท่องเที่ยวไทย จากที่เป็นกลุ่มท่องเที่ยวราคาถูก ให้เป็นกลุ่มท่องเที่ยวที่มีราคาสูงหรือพรีเมียมมากขึ้น ซึ่งส่วนนี้ถือเป็นอุปสรรคต่อการเปลี่ยนภาพลักษณ์ท่องเที่ยวไทย

วงในบอกเอง!! ทำไมลูกค้าต้องรอคิวจ่ายเงินที่ร้านสะดวกซื้อ  แม้มีพนักงานอยู่เยอะ แต่กลับไม่มาช่วยคิดเงินก่อน

เมื่อวานนี้ (18 มิ.ย.67) เชื่อว่าหลายคนก็คงสงสัย เมื่อไปที่ร้านสะดวกซื้อแล้วต้องต่อคิวรอจ่ายเงิน ทั้งที่ลูกค้ารอต่อคิวเยอะมาก แต่พนักงานของร้านบางคน ทำอะไรไม่รู้อยู่ด้านหลังเคาเตอร์แคชเชียร์ ทำไมไม่มาช่วยกันคิดเงินก่อน ปล่อยให้เพื่อนร่วมงานรับชะตากรรมอยู่คนเดียว

โดยในเฟซบุ๊กกลุ่ม ‘กลุ่มที่ไม่ว่าพิมพ์อะไรเราก็ให้กำลังใจในทุกเรื่องแบบงง ๆ อิหยังวะ’ มีคนเข้ามาโพสต์ว่า เวลาที่ไปร้านสะดวกซื้อ ลูกค้าต่อคิวจ่ายเงิน แต่มีพนักงานคิดเงินแค่คนเดียว บางคนยืนคิดยอดบัญชี บางคนอยู่หลังตู้แช่ ทำไมไม่มาคิดเงินให้ลูกค้าก่อน

ซึ่งก็มีคนที่เจอประสบการณ์แบบเดียวกัน เข้ามาเล่าว่า ตนเข้าร้านสะดวกซื้อร้านหนึ่งในช่วงเวลา 07.00-07.30 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาเร่งด่วน และร้านกลับเปิดเคาน์เตอร์แคชเชียร์แค่ช่องเดียว คนคิดเงินคนเดียว คนชงเครื่องดื่มอีกคน ทำไมจัดการแบบนี้ทั้งที่เป็นชั่วโมงขายดี

ไม่นับร้านสะดวกซื้อเจ้าดังที่มักจะเปิดเคาน์เตอร์คิดเงินช่องเดียวจนคนทะลัก แถมพอจะจ่ายเงิน ยังต้องแนะนำโปรโมชั่นให้ลูกค้าก่อนอีก พนักงานบางคนก็ช้า กว่าจะหยิบของสแกน กว่าจะหยิบใส่ถุง ลูกค้าต้องยืนกลั้นใจนานสองนาน ว่าแล้วก็อยากไปช่วยทำงานแทน

ต่อมาก็มีคนมาให้คำตอบเรื่องนี้ว่า พนักงานร้านสะดวกซื้อแต่ละคน มีหน้าที่ประจำ ไม่ใช่แค่ต้องยืนเคาน์เตอร์ และเหตุที่มีพนักงานหลังเคาน์เตอร์เยอะแยะ แต่กลับไม่มาช่วยคิดเงิน เพราะพนักงานต้องส่งยอดให้ตรงเวลา เขามีเวลาเป๊ะ ๆ ที่ต้องห้ามส่งยอดช้า ห้ามรับออร์เดอร์ช้า ต้องรีบจัดของให้เสร็จก่อนส่งต่อพนักงานชุดต่อไป บางคนก็เป็นเวลาพักของเขา เขาก็ต้องไปพัก ไม่ต้องทำงาน

รวมไปถึงสินค้าเดลิเวอรี่ ที่พนักงานต้องรีบรับออร์เดอร์ ถ้าเกินเวลาที่กำหนด ระบบจะส่งเรื่องไปที่สำนักงานใหญ่ และสาขาจะโดนใบเตือน แต่หากกดรับแล้ว จะใช้เวลาจัด จะส่งตอนไหน ก็ขึ้นอยู่กับออร์เดอร์ที่ได้รับ

สรุปคือ พนักงานร้านสะดวกซื้อทุกคนมีหน้าที่ที่ต้องทำ และต้องทำงานของตัวเองให้เสร็จด้วย แม้ว่าคนจะเยอะ แต่ก็ไม่ได้มีหน้าที่คิดเงินแค่อย่างเดียว

ขณะที่มีผู้คอมเมนต์ท่านหนึ่ง ซึ่งเผยว่าตนเคยมีประสบการณ์ในการทำงานที่ร้านสะดวกซื้อ ก็ได้โพสต์เล่าให้ฟังด้วยว่า...

"จากใจคนเคยทำงานพนักงานร้านสะดวกซื้อคือเรื่องจริง ถ้าทำงานไม่เสร็จในกะตัวเองต้องลากยาวจนกว่าจะเสร็จ ซึ่งร้านที่เคยทำมาต้องโหลดของเข้าร้านเองด้วยซ้ำ และของแต่ละรอบคือ 4-5 พาเลท ของที่ส่งแบบเป็นลัง ๆ ขนาดมีตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการมีน้องในกะ 3 คนยังไม่ทันเลย...

"การส่งงานต่อให้อีกกะมันค่อนข้างมีความเกรงใจคนรับงานอยู่ จนทำให้ต้องรับผิดชอบของที่กะเราเป็นรับมาถึงแม้ว่าอีก 10 นาทีจะหมดกะเราแล้วก็ตาม ตอนที่ทำอยู่คือไม่เคยเลิกงานตรงเวลาเลย เวลาเข้ากะดึกงานก็เหนื่อยมากแล้ว ไหนจะอดนอนอีก เช้าก็อยากกลับบ้านไปพักผ่อน แต่งานไม่เสร็จกว่าจะได้กลับบ้านคือเกือบเที่ยง ทนทำเพราะ ผจก.ดี เพื่อนร่วมงานดี และมาหลัง ๆ คือร่างกายไม่ไหวจริง เลยต้องหางานใหม่...

'การส่งต่อกะที่เคาเตอร์ยิ่งต้องรอบคอบเพราะมีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวคนส่งนับ 1 รอบ คนรับก็ต้องรับถ้าเงินไม่ตรงก็เรื่องเกิดรับเครื่องต่อไม่ได้ไม่งั้นคนรับเครื่องต่อก็ซวยถ้าไม่นับเงิน ใครไม่ได้ทำก็ไม่รู้หรอก เข้าใจได้เพราะตอนยังไม่ได้ทำก็วีนฉ่ำเหมือนกัน พอมาทำถึงเข้าใจ หลังจากนั้นก็ไม่เหวี่ยงไม่วีนอีกเลย คิดซะว่าถ้าช้าต้องยืนรอก็ยังรอในห้องแอร์ไม่ได้ร้อนอะไร เป็นกำลังใจให้พนักงานเคาเตอร์ทุกคนนะคะ...

อีกเรื่องคือ เรื่องขายสินค้าโปรถ้ามีเวลาฟังไปเหอะค่ะ ถ้าไม่สนใจก็แค่ปฏิเสธไป ร้านพวกนี้เขามีบัดเจทยอดขายถ้าทำไม่ถึงยอดก็โดนเตือนอีก เขาเลยต้องพูด ต้องถามบ่อย ๆ ถ้ามันไม่มีอะไรมาบีบบังคับไม่มีใครเขาอยากพูดให้คนอื่นรำคานหรอกเชื่อเหอะ"

วิเคราะห์ 'เมียนมา' ปิดด่านพญาโตงซู กระทบส่งออกไทยนับร้อยล้าน อาจเพราะ 'โทนี่' ออกหน้าแทนฝ่ายต่อต้านฯ-อาวุธหลุดข้ามชายแดนถี่

มีรายงานข่าวจากสำนักข่าวในเมียนมา ว่ามีการปิดด่านพญาโตงซู ในฝั่งเมียนมา ทำให้สินค้าจากไทยไม่สามารถขนผ่านด่านนี้ได้ และเกิดความเสียหายเป็นจำนวนมาก 

อนึ่งจากเหตุการณ์ที่ KTLA บุกยึดเมียวดี และทางกองทัพเมียนมาเลือกใช้วิธีปิดด่านชายแดน ส่งผลให้นักธุรกิจชายแดน ต้องมุ่งเป้าหาเส้นทางใหม่ ๆ ในการขนส่งสินค้าจากไทยเข้าสู่เมียนมาและเส้นทางที่นิยมกันรองจากเมียวดีคือ เส้นทางด่านเจดีย์สามองค์ จังหวัดกาญจนบุรี

หลังจากการปิดด่านเมียวดี เส้นทางด่านเจดีย์สามองค์ก็เป็นเส้นทางหลักในการขนส่งสินค้าด้วยเหตุที่ว่า หากเทียบในการขนสินค้าจากเมียวดีไปเมืองเมาละแหม่ง ใช้เวลา ประมาณ 3 ชั่วโมง ระยะทาง 75 ไมล์ ในขณะที่เส้นด่านเจดีย์ 3 องค์ใช้เวลาเพียง 4 ชั่วโมงเท่านั้น กินระยะทาง 111 ไมล์จากด่านพญาโตงซูในฝั่งเมียนมา

การปิดด่านพญาโตงซู ในฝั่งเมียนมา โดยไม่อนุญาตให้รถขนส่งจากไทยข้ามไปฝั่งเมียนมา มีหลายฝ่ายตั้งคำถามถึงเหตุการณ์นี้ว่า ทำไมฝ่ายเมียนมาจึงตัดสินใจแบบนี้?

ข่าวลือแรก ในพื้นที่ออกมา ว่าเป็นเพราะเจ้าหน้าที่ด่านนี้มีการรับส่วย จึงถูกจับเปลี่ยนยกชุด เพราะเรื่องรู้ไปถึงส่วนกลางที่เนปิดอว์ ... ซึ่งข่าวนี้ไม่นับว่ามีน้ำหนักสักเท่าไร เพราะหากมีการเปลี่ยนเจ้าหน้าที่เพราะทุจริตจริง ทางการเมียนมาต้องส่งเจ้าหน้าที่ชุดใหม่มาปฏิบัติงานแทนแล้ว

ข่าวต่อมา ระบุว่า ปิดเพราะมีการจับการขนส่งอาวุธได้เป็นประจำที่จุดนี้ ... เรื่องนี้พอมีเค้ามูลอยู่บ้างโดยเฉพาะช่วงหลังการปะทะกันระหว่างกองทัพเมียนมาและกองกำลังกะเหรี่ยงกับ PDF พุ่งเป้ามาบริเวณนี้มากขึ้น

สุดท้าย คือ เรื่องที่มีข่าวว่ากลุ่มต่อต้านเข้าหารือกับทางการไทย โดยเฉพาะที่เป็นข่าวออกมาว่านายทักษิณ ชินวัตร จะออกหน้าแทนฝ่ายต่อต้านมาเจรจากับกองทัพเมียนมา ซึ่งนั่นน่าจะสร้างความไม่พอใจกับทางการเมียนมาอยู่มิใช่น้อย รวมถึงการที่ฝั่งกองทัพเมียนมารู้สึกไม่พอใจกับท่าทีของไทยในการจัดการปัญหาชายแดนระหว่างกันให้เด็ดขาด รวมถึงปล่อยปละละเลยให้ทางเมียนมาตรวจจับอาวุธที่ส่งมาจากไทยได้บ่อยครั้ง ทั้งหมดน่าจะเป็นส่วนผสมที่ทำให้เกิดการปิดด่านครั้งนี้

ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาตอนนี้ ด่านเมียวดียังปกติ มีการส่งออกจากไทยอยู่ประมาณ 7 พันล้านบาทต่อเดือน พอเข้าเดือนเมษายนที่มีเหตุการณ์ยึดเมียวดี ยอดส่งออกตกลงมาเหลือ 4.5 พันล้านบาท 

แน่นอนว่าด่านเจดีย์ 3 องค์ เป็นด่านหนึ่งที่ได้รับอานิสงส์จากการปิดด่านเมียวดีในครั้งนั้นจนถึงวันนี้ ดังนั้นการแก้ปัญหาคงไม่ใช่แค่ให้ฝ่ายพาณิชย์แก้ไขเพียงฝ่ายเดียว ต้องดูถึงปัจจัยแวดล้อมว่าอะไรคือต้นเหตุที่นำพามาให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น

ไม่ว่าเหตุผลของการปิดด่านคืออะไร ก็หวังว่าทางการไทยจะรับรู้และช่วยกันผลักดันให้ด่านเปิดเป็นปกติอีกครั้ง

‘Peace Corps’ หน่วยงานสันติภาพของ ‘สหรัฐอเมริกา’ ช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนา ผ่านอาสาสมัครหนุ่มสาวชาวอเมริกัน

กว่า 60 ปีมาแล้ว ในยุคที่สงครามเย็นยังคงคุกรุ่นและรุนแรง นอกจากการเสริมสร้างและพัฒนากำลังทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์ให้กับกองทัพสหรัฐฯ และพันธมิตรแล้ว โดยรัฐบาลสหรัฐฯ ได้จัดตั้งหน่วยงานภาคพลเรือนเพื่อการต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ ที่นำโดยสหภาพโซเวียตขนานกันไปด้วย หน่วยงานพลเรือนหนึ่งซึ่งมีบทบาทในภารกิจนี้ และยังดำรงคงอยู่จนทุกวันนี้ก็คือ ‘Peace Corps’ ซึ่งแปลเป็นไทยว่า ‘หน่วยงานสันติภาพ’ แต่โดยทั่วไปแล้วมักนิยมเรียกชื่อหน่วยงานด้วยชื่อภาษาอังกฤษทับศัพท์

(ประธานาธิบดี John F. Kennedy กับเหล่าอาสาสมัคร ‘Peace Corps’ เมื่อ 28 สิงหาคม 1961) 

ทั้งนี้ ‘Peace Corps’ เป็นหน่วยงานและโครงการอิสระของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาที่จัดหา ฝึกอบรม และจัดส่งอาสาสมัครเพื่อให้ความช่วยเหลือด้านการพัฒนาระหว่างประเทศ ก่อตั้งขึ้นในเดือนมีนาคม 1961 ตามคำสั่งผู้บริหาร 10924 (Executive order (10924)) ของประธานาธิบดี John F. Kennedy และได้รับฉันทานุมัติจากสภาคองเกรสในเดือนกันยายน 1962 โดยรัฐบัญญัติ ‘Peace Corps’ 

(‘Sargent Shriver’ ผู้อำนวยการคนแรกของ ‘Peace Corps’ กับประธานาธิบดี Kennedy)

โดยผู้อำนวยการคนแรกของ ‘Peace Corps’ คือ ‘Sargent Shriver’ ผู้เป็นน้องเขยของประธานาธิบดี John F. Kennedy เอง โดย ‘Shriver’ เขาเป็นสามีของ ‘Eunice Kennedy Shriver’ จึงเป็นบิดาของ ‘Maria Shriver’ อดีตภรรยาของ ‘Arnold Schwarzenegger’ พระเอกคนเหล็ก อดีตผู้ว่าการมลรัฐแคลิฟอร์เนีย

(‘Walter Reuther’ ประธานสหภาพ Auto Workers ผู้เสนอแนวคิด ‘Peace Corps’)

แนวคิดของ ‘Peace Corps’ เกิดจากในปี 1950 ‘Walter Reuther’ ประธานสหภาพ Auto Workers ได้นำเสนอในบทความเรื่อง ‘ข้อเสนอสำหรับการปฏิบัติการเชิงรุกด้วยสันติภาพโดยรวม’ ว่า สหรัฐฯ ควรจัดตั้งหน่วยงานอาสาสมัครเพื่อส่งเยาวชนอเมริกันไปทั่วโลกเพื่อภารกิจด้านมนุษยธรรม และโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการพัฒนา โดยสุนทรพจน์ของ ‘Reuther’ เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ระบุว่า...

“ผมพูดมานานแล้วว่าผมเชื่อว่าคนหนุ่มสาวชาวอเมริกันที่ได้รับการฝึกฝนให้ร่วมกับคนหนุ่มสาวอื่น ๆ ในโลกจะถูกส่งไปต่างประเทศมากขึ้นด้วย ตำราเรียน อุปกรณ์สำหรับการพัฒนาต่าง ๆ และชุดอุปกรณ์ทางการแพทย์ เพื่อช่วยให้ผู้คนช่วยเหลือให้สามารถพึ่งตนเองด้วยเครื่องมือแห่งสันติภาพ แทนที่คนอเมริกันหนุ่มสาวอีกจำนวนหนึ่งที่จะต้องถูกส่งไปพร้อมกับอาวุธสงคราม”

ในเดือนสิงหาคม 1960 หลังการประชุมแห่งชาติของพรรคเดโมแครตประจำปี ‘Walter Reuther’ ได้ไปพบกับ John F. Kennedy ที่เพื่อหารือเกี่ยวกับการเลือกตั้งของเคนเนดีและการจัดบุคลากรของฝ่ายบริหารในอนาคต ซึ่ง Kennedy ได้ให้คำมั่นที่จะสร้างหน่วยงานของฝ่ายบริหารที่จะกลายเป็นหน่วยสันติภาพ โดย Kennedy ได้ประกาศแนวคิดสำหรับองค์กรดังกล่าวเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 1960 ในการกล่าวสุนทรพจน์ในการรณรงค์ในช่วงดึกที่มหาวิทยาลัยมิชิแกนในเมืองแอนอาร์เบอร์บนบันไดของอาคาร Michigan Union ต่อมาเขาได้ขนานนามองค์กรนี้ว่า ‘Peace Corps’ 

วันที่ 1 มีนาคม 1961 ประธานาธิบดี Kennedy ลงนามคำสั่งบริหารที่ 10924 เพื่อเริ่มการก่อตั้งองค์กร ‘Peace Corps’ อย่างเป็นทางการ ด้วยความกังวลเกี่ยวกับกระแสความรู้สึกแห่งการต่อต้านสหรัฐฯ ที่เพิ่มมากขึ้นในโลกที่สาม ประธานาธิบดี Kennedy มองว่า ‘Peace Corps’ เป็นวิธีการตอบโต้มุมมองแบบเหมารวมต่อกรณี ‘Ugly American’ (อเมริกันที่น่าชัง) และ ‘Yankee imperialism’ (ลัทธิจักรวรรดินิยมแยงกี้ ‘แยงกื้’ เป็นคำแสลงที่ใช้เรียกชาวอเมริกัน) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบรรดาประเทศที่เกิดขึ้นใหม่ในทวีปแอฟริกาและทวีปเอเชียหลังจากได้รับเอกราชจากประเทศเจ้าอาณานิคม

จนกระทั่งประมาณปี 1967 ผู้สมัครเป็นอาสาสมัคร ‘Peace Corps’ จะต้องผ่านการทดสอบวัดระดับ ‘ความถนัดทั่วไป’ (ความรู้ทักษะต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับอาสาสมัคร ‘Peace Corps’) และความถนัดทางภาษา โดยวันที่ 28 สิงหาคม 1961 อาสาสมัครกลุ่มแรกได้ออกเดินทางไปยังกานาและแทนกันยิกา (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของแทนซาเนีย) โครงการนี้ได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการจากสภาคองเกรสเมื่อวันที่ 22 กันยายน 1961 และภายในระยะเวลา 2 ปี มีอาสาสมัครมากกว่า 7,300 คน ทำงานใน 44 ประเทศ และเพิ่มขึ้นเป็น 15,000 คนในเดือนมิถุนายน 1966 ซึ่งเป็นจำนวนมากที่สุดในประวัติศาสตร์ขององค์กรแห่งนี้

สำหรับประเทศไทย ถือเป็นหนึ่งในประเทศแรก ๆ ที่มีอาสาสมัคร ‘Peace Corps’ เข้ามาปฏิบัติงานอาสาสมัคร ตั้งแต่ปี 1962 มีอาสาสมัครมากกว่า 5,600 คนปฏิบัติงานในประเทศไทย อาสาสมัคร ‘Peace Corps’ ได้ปฏิบัติหน้าที่ในโครงการต่างๆ ทั่วประเทศ มากมาย ตั้งแต่การศึกษา การพัฒนาชนบท สุขอนามัย และสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันนี้ อาสาสมัคร ‘Peace Corps’ ยังทำงาน 2 โครงการหลักคือ การศึกษา และการพัฒนาเยาวชน การดำเนินการตามภารกิจของ Peace Corps สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างชาวไทยและชาวอเมริกันที่ทำงานร่วมกันในด้านมิตรภาพและการพัฒนา

โครงการการศึกษาในประเทศไทย อาสาสมัคร ‘Peace Corps’ จะอยู่ในโรงเรียนประถมศึกษา โดยจะร่วมสอนกับครูชาวไทยในห้องเรียน ช่วยแนะนำแนวทางและกิจกรรมการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมที่มีความหลากหลาย และช่วยเหลือนักเรียนฝึกหัดการใช้ภาษาอังกฤษกับอาสาสมัครเจ้าของภาษา พื้นที่ปฏิบัติงานของอาสาสมัคร ‘Peace Corps’ ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ชนบทตามจังหวัดต่าง ๆ ยกเว้นกรุงเทพฯ และจังหวัดปริมณฑล ในโรงเรียนที่อยู่ห่างไกลหรือมีทรัพยากรน้อยกว่าโรงเรียนอื่น ๆ โครงการนี้สนับสนุนความพยายามในการปฏิรูปการศึกษาของประเทศ และมีเป้าหมายเพื่อช่วยให้ครูในโรงเรียนประถมศึกษาของไทยได้ปรับปรุงและประยุกต์ใช้แนวทางการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมในห้องเรียนภาษาอังกฤษและวิชาอื่น ๆ และเพื่อออกแบบบทเรียนและสื่อที่สร้างสรรค์เพื่อสนับสนุนหลักสูตรบูรณาการ นอกจากนี้แล้ว อาสาสมัคร ‘Peace Corps’ ยังมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันมากมายในด้านการศึกษา สุขภาพ สิ่งแวดล้อม และอื่นๆ ในโครงการเชิงสร้างสรรค์ของโรงเรียนขนาดเล็ก

โครงการเยาวชนเพื่อการพัฒนา (The Youth in Development : YinD) อาสาสมัคร ‘Peace Corps’ จะทำงานร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อดึงดูดเยาวชนไทยในพื้นที่ห่างไกลให้เตรียมพร้อมสำหรับบทบาทผู้ใหญ่ของพวกเขา โครงการ YinD นี้สอดคล้องกับมุมมองของรัฐบาลไทยที่เห็นว่าเยาวชนเป็นทรัพยากรที่ต้องได้รับการพัฒนาให้เป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ มีสุขภาพแข็งแรง และมีส่วนร่วม นอกจากนี้ โครงการนี้ยังช่วยให้เยาวชนได้รับรู้และพัฒนาทรัพยากรของตนอย่างเต็มที่ทั้งภายในและภายนอก นำไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ที่มีประสิทธิภาพและบรรลุผลสำเร็จ เยาวชนหมายถึงผู้ที่มีอายุ 9-15 ปีสำหรับโครงการนี้ และได้รับความเห็นชอบจากพันธมิตรภาครัฐ อาสาสมัครทำงานในพื้นที่ชนบทส่วนใหญ่ซึ่งเยาวชนเข้าถึงทรัพยากรของเมืองใหญ่ได้น้อย ดังนั้น งานส่วนใหญ่ของอาสาสมัคร ‘Peace Corps’ ในโครงการ YinD คือการช่วยให้เยาวชนเปิดใจและพัฒนาทักษะที่ช่วยเพิ่มโอกาสทางอาชีพและชีวิตสำหรับเยาวชนเหล่านั้น โดยปัจจุบันมีอาสาสมัคร ‘Peace Corps’ จำนวน 43 คนยังคงปฏิบัติหน้าที่อยู่ในประเทศไทย

สำหรับเป้าหมายอย่างเป็นทางการของอาสาสมัคร ‘Peace Corps’ คือการช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนา โดยการจัดหาชาวอเมริกันหนุ่มสาว ที่มีทักษะในสาขาต่าง ๆ เช่น การศึกษา สุขภาพ การเป็นผู้ประกอบการ การเสริมสร้างศักยภาพของสตรี และการพัฒนาชุมชน อาสาสมัครคือพลเมืองชาวอเมริกันซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ซึ่งได้รับการมอบหมายให้ทำโครงการเฉพาะในบางประเทศตามคุณสมบัติและประสบการณ์ของอาสาสมัครเหล่านั้น หลังจากการฝึกอบรมทางเทคนิคเป็นเวลา 3 เดือน สมาชิกอาสาสมัคร ‘Peace Corps’ จะรับความคาดหวังให้ปฏิบัติหน้าที่ในประเทศต่าง ๆ อย่างน้อย 2 ปี หลังจากนั้นพวกเขาอาจขอขยายเวลาอาสาสมัครได้ อาสาสมัคร ‘Peace Corps’ ได้รับคำแนะนำให้เคารพประเพณีท้องถิ่นเป็นอย่างยิ่ง เรียนรู้ภาษาในพื้นที่ปฏิบัติงาน และปรับตัวใช้ชีวิตในสภาพที่ของประเทศที่ปฏิบัติงานได้

ในปีแรก ‘Peace Corps’ มีอาสาสมัคร 900 คนใน 16 ประเทศ และขึ้นถึงจุดมากที่สุดในปี 1966 ด้วยจำนวนอาสาสมัคร 15,556 คนใน 52 ประเทศ หลังจากการลดงบประมาณในปี 1989 จำนวนอาสาสมัครลดลงเหลือ 5,100 คน แม้ว่าเงินงบประมาณจะเพิ่มขึ้นในเวลาต่อมาและนำไปสู่การเติบโตอีกครั้งในศตวรรษที่ 21 ภายในวันครบรอบ 50 ปี ในปี 2001 มีอาสาสมัครมากกว่า 8,500 คนทำงานใน 77 ประเทศ นับตั้งแต่ก่อตั้งอาสาสมัครหนุ่มสาวชาวอเมริกันมากกว่า 240,000 คนได้เข้าร่วมเป็นอาสาสมัคร ‘Peace Corps’ และทำงานใน 142 ประเทศ

(Carol Spahn ผู้อำนวยการ ‘Peace Corps’ คนปัจจุบัน)

Carol Spahn ผู้เคยเป็นอาสาสมัคร ‘Peace Corps’ ปฏิบัติงานในประเทศโรมาเนียระหว่างปี 1994 ถึง 1996 เป็นผู้อำนวยการ ‘Peace Corps’ คนปัจจุบัน และ ‘Peace Corps’ ได้รับงบประมาณปีละ 410.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 15,114.61 ล้านบาท) น่าเสียดายที่รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ได้ให้ความสำคัญกับ ‘Peace Corps’ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพอย่างสูงและให้ประสิทธิผลอย่างมากในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ ด้วยยังคงยึดติดกับ ‘นโยบายเรือปืน’ (Gunboat Policy) อยู่จนทุกวันนี้ หากสหรัฐฯ ใช้งบประมาณสำหรับกิจการ ‘Peace Corps’ เพียง 10% ของงบประมาณทางทหาร มั่นใจว่า  แน่นอนที่สุด จะมีประเทศต่าง ๆ และประชาชนพลโลกเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ ด้วยความเต็มใจและด้วยความจริงใจมากขึ้นอย่างมากมาย

🔎ยกเครื่องพลังงานไทยด้วยกฎหมายในการจัดตั้ง ‘SPR’ ฉบับแรกของไทย โดยรองฯ พีระพันธุ์

หลังจากคนไทยต้องฝากความมั่นคงทางพลังงานน้ำมันเชื้อเพลิงกับผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนมาอย่างนี้ยาวนาน วันนี้ ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้เร่งผลักดันให้จัดตั้ง SPR : Strategic Petroleum Reserve หรือ การสำรองเชื้อเพลิงปิโตรเลียมทางยุทธศาสตร์ ในประเทศไทยขึ้น จากเดิมบริษัทเอกชนผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ต้องเป็นผู้จัดเก็บน้ำมันสำรองเชิงพาณิชย์ไว้ให้เพียงพอต่อการบริโภคในประเทศ 25-36 วัน เป็นรัฐบาลโดยกระทรวงพลังงานจัดเก็บน้ำมันสำรองทางยุทธศาสตร์ไว้ให้เพียงพอต่อการบริโภคในประเทศ 50 วันตามมาตรฐาน IEA หรือ 90 วันเช่นเดียวกับประเทศสมาชิก IEA ส่วนใหญ่ (ไทยเป็นหนึ่งในสมาชิกสมทบของ IEA) 

แม้จะมีน้ำมันสำรองเชิงพาณิชย์เพียงพอต่อการบริโภคในประเทศ 25-36 วัน แต่น้ำมันเชื้อเพลิงเหล่านั้นถือครองโดยเอกชน (เป็นการสำรองน้ำมันตามกฎหมายของผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543) รัฐบาลจึงไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือบริหารจัดการได้ นอกจากเกิดเหตุฉุกเฉินและมีการประกาศใช้กฎหมายพิเศษ อาทิ ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินหรือกฎอัยการศึก จึงจะเข้าไปควบคุมจัดการน้ำมันสำรองที่มีอยู่ได้ และวิกฤตน้ำมันที่ผ่านมามากมายหลายครั้งได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความสำคัญและจำเป็นที่รัฐต้องถือครองน้ำมันสำรองในรูปแบบของ SPR ด้วยตนเองเพื่อให้เพียงพอต่อการใช้งาน 50 วันเป็นอย่างน้อยหรือ 90 วัน ซึ่งจะทำให้ไทยมีความมั่นคงทางพลังงานน้ำมันเชื้อเพลิงในระดับที่เข้มแข็งทัดเทียมนานาอารยประเทศ และเป็นหลักประกันที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและความเจริญก้าวหน้าของประเทศชาติโดยรวม

มีการแต่งตั้งคณะกรรมการจัดตั้งระบบสำรองน้ำมันและก๊าซเพื่อความมั่นคงทางยุทธศาสตร์และระบบรักษาระดับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซ ประกอบด้วยคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญทั้งด้านกฎหมายและด้านพลังงานในสาขาต่าง ๆ ร่วมกันหารือกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงพลังงาน เพื่อทำการทบทวนกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และศึกษาวิธีการและรูปแบบการสำรองน้ำมันในต่างประเทศ เพื่อกำหนดเป็นแนวทาง ‘การสำรองน้ำมันและก๊าซเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อความมั่นคงและรักษาระดับราคาโครงสร้างราคาใหม่’ ของประเทศไทยเพื่อให้เกิดเสถียรภาพด้านพลังงาน จากการศึกษาความเป็นไปได้ของการดำเนินการสำรองน้ำมันในรูปแบบที่เหมาะสมกับประเทศไทย โดยพิจารณาผลการศึกษาของประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคอาเซียน เช่น สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม รวมถึงประเทศอื่น ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา เกาหลีใต้ และเยอรมนี ถึงมีจุดแข็งและข้อได้เปรียบการสำรองน้ำมันในรูปแบบที่แตกต่างกัน เพื่อวางรูปแบบ (Model) ของ SPR ที่จะเกิดขึ้นให้สอดคล้องเหมาะสมกับบริบทของประเทศไทยมากที่สุด

ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานได้มีการทบทวนกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ และคำสั่งต่าง ๆ ให้สามารถดำเนินการระบบ SPR เพื่อเป็นหนึ่งในมาตรการและนโยบายที่จะลดผลกระทบด้านพลังงาน และเพื่อให้เกิดความมั่นคง ยั่งยืน และเป็นธรรมกับภาคประชาชนในอนาคตต่อไป 

แนวคิดเกี่ยวกับ SPR เบื้องต้นคือการกำหนดนโยบายการเก็บสำรองน้ำมันโดยภาครัฐ เพื่อให้สามารถนำน้ำมันที่มีการเก็บสำรอง มาใช้ในการบริหารจัดการราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศให้ลดลงในช่วงที่ราคาน้ำมันขึ้นสูง ในลักษณะที่คล้ายกับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้วิธีการเก็บเงินเข้าออก และปรับอัตราการจัดเก็บน้ำมันแต่ละประเภทให้มีความเหมาะสมในแต่ละช่วง 

โดยใช้เงินที่มีอยู่ในกองทุนน้ำมันฯ ในการบริหารจัดการราคาน้ำมันไม่ให้สูงจนเกินไป ซึ่งจะเป็นรูปแบบเดียวกับการสำรองน้ำมันโดยภาครัฐ จะใช้น้ำมันสำรองที่มีอยู่ในคลังออกมาจำหน่ายเพื่อรักษาระดับราคาน้ำมันแทน ไม่ต้องใช้เงินเหมือนเช่นกองทุนน้ำมันฯ ตลอดจนให้มีการศึกษาถึงปริมาณที่เหมาะสมอัตราการของการเก็บสำรองน้ำมันโดยผู้ค้ามาตรา 7 เพื่อเป็นอีกแนวทางที่จะช่วยทำให้ราคาน้ำมันในประเทศสามารถลดลงได้

ปัจจุบันการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงของประเทศไทยเป็นการสำรองโดยภาคเอกชนโดยกำหนดให้เป็นหน้าที่สำคัญของผู้ค้าน้ำมันเชื้อเพลิงรายใหญ่ที่มีปริมาณการค้าแต่ละชนิด หรือรวมกันทุกชนิดปีละตั้งแต่ 2,374,768 บาร์เรล (100,000 เมตริกตัน) ขึ้นไป หรือเป็นผู้ค้าก๊าซปิโตรเลียมเหลวแต่เพียงชนิดเดียวที่มีปริมาณการค้าปีละตั้งแต่ 1,187,384 บาร์เรล (50,000 เมตริกตัน) ขึ้นไป (ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543) 

ทั้งนี้การกำหนดปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงสำรองตามกฎหมายจะอ้างอิงจากปริมาณการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศ โดยคำนึงถึงระยะเวลาในการจัดหาน้ำมันดิบรวมระยะเวลาในการขนส่งจากแหล่งจัดหาหลัก (แหล่งตะวันออกกลาง) มายังประเทศไทย เพื่อให้มีน้ำมันสำรองเพียงพอรองรับวิกฤตน้ำมันเชื้อเพลิงหรือสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นไม่คาดคิดอยู่ตลอดเวลา 

ในปี พ.ศ. 2566 ตามข้อมูลของกรมธุรกิจพลังงานระบุว่า ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 มีหน้าที่สำรองน้ำมันดิบในอัตราร้อยละ 5 และน้ำมันสำเร็จรูปในอัตราร้อยละ 1 ของปริมาณความต้องการใช้ทั้งปี หรือคิดเป็นอัตราสำรองเทียบเท่ากับปริมาณการใช้ 22 วัน (น้อยกว่า 25-36 วันตามข้อมูลที่มีการเผยแพร่) โดยมีกรมธุรกิจพลังงานเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการกำกับ ติดตาม และตรวจสอบการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างต่อเนื่อง และเป็นผู้รับแจ้งปริมาณและสถานที่เก็บน้ำมันสำรองตามกฎหมายคงเหลือรายวัน การตรวจวัดปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงสำรองตามกฎหมาย ณ คลังน้ำมันเชื้อเพลิงทุกแห่งทั่วประเทศ ในกรณีที่มีความจำเป็น ภาครัฐโดยกรมธุรกิจพลังงานสามารถสั่งให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 งดจำหน่าย หรือให้จำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงที่สำรองไว้ตามกฎหมายเพื่อป้องกันและแก้ไขการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงได้ในปริมาณไม่เกินกว่า 20% ของปริมาณสำรองตามกฎหมาย เพื่อให้มีน้ำมันเพียงพอต่อความต้องการใช้ในประเทศ หลังจากนั้น ผู้ค้าต้องเก็บสำรองน้ำมันให้ได้ตามที่กฎหมายกำหนดเช่นเดิม

จะเห็นได้ว่า การมี SPR นั้นจะทำให้เกิดผลกระทบในวงกว้างต่อหลายภาคส่วน แน่นอนที่ผลกระทบทางบวกย่อมเกิดขึ้นกับประเทศชาติและประชาชนคนไทย ในขณะที่เอกชนผู้ค้าน้ำมันเชื้อเพลิงย่อมได้ผลกระทบทางลบทั้งทางตรงและทางอ้อม เนื่องจากประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ SRP เลย ดังนั้นจึงต้องมีการยกร่างและออกกฎหมายใหม่ขึ้นมา ซึ่งต้องผ่านรัฐสภาทั้งสภาผู้แทนฯและวุฒิสภาฯ ดังนั้นหากมีการพิจารณาร่างกฎหมาย SPR ประชาชนคนไทยต้องช่วยกันสนับสนุนกฎหมาย SPR ให้สามารถประกาศใช้ให้สำเร็จให้จงได้ เพราะการเก็บสำรองน้ำมันสำรองทางยุทธศาสตร์ในปริมาณที่มีความเหมาะสมและมากพอย่อมจะทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศสามารถลดลงได้อีกนั้นเอง

‘Bitkub’ ผนึก ‘Celo’ เสิร์ฟความรู้ 'สินทรัพย์ดิจิทัล-บล็อกเชน' เตรียมความพร้อมคนไทย เข้าสู่ยุค ‘Web 3.0’ ได้อย่างยั่งยืน

เมื่อวานนี้ (18 มิ.ย.67) บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด ผู้ให้บริการ Bitkub Exchange ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลสัญชาติไทย และบริษัท บิทคับ แล็บส์ จำกัด ผู้ให้บริการ Bitkub Academy ศูนย์กลางการเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัล ประกาศความร่วมมือกับ Celo Foundation ผู้พัฒนาเครือข่ายบล็อกเชน Celo เพื่อส่งเสริมการใช้งานเทคโนโลยีบล็อกเชนและเตรียมความพร้อมคนไทยเข้าสู่โลกในยุค Web 3.0 ควบคู่ไปกับความยั่งยืน

โดยความร่วมมือนี้มีความตั้งใจพัฒนาความรู้ให้เข้าถึงได้ง่ายและแพร่หลายยิ่งขึ้นผ่าน Celo Foundation ซึ่งเป็นผู้พัฒนาเครือข่ายบล็อกเชน Celo ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงการใช้งานได้สะดวกและเน้นการใช้งานที่ยั่งยืนด้วยการเป็นเทคโนโลยีบล็อกเชนที่มีการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นลบ

นายสุกฤษฏิ์ พุทธวิริยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แล็บส์ จำกัด เปิดเผยว่า “การเตรียมความพร้อมคนไทยให้มีทักษะที่จำเป็นและสามารถแข่งขันได้ในโลกยุค Web 3.0 เป็นเป้าหมายของการดำเนินงานที่สำคัญของ Bitkub Academy โดยการสร้างความร่วมมือกับเครือข่ายบล็อกเชนชั้นนำของโลกรายต่าง ๆ เป็นการเปิดโอกาสให้คนไทยสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีที่หลากหลายและมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน โดย Bitkub Academy กับ Celo Foundation มีเป้าหมายร่วมกันในการยกระดับความรู้ความเข้าใจเทคโนโลยีบล็อกเชนและ Web 3.0 ให้เข้าถึงได้ง่ายและผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางความรู้ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”

นายอรรถกฤต ชิมผลาพิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด กล่าวเสริมว่า “Bitkub Exchange มีความยินดีที่เกิดความร่วมมือกับ Celo Foundation ในครั้งนี้ ในฐานะศูนย์ซื้อขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลชั้นนำของไทย ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. เรามีความตั้งใจที่จะช่วยเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในโลกสินทรัพย์ดิจิทัลที่กำลังพัฒนา ซึ่ง Celo Foundation เป็นมูลนิธิที่สนับสนุนความรู้และการใช้งานบล็อกเชน รวมถึงมีธรรมาภิบาลในด้านความยั่งยืนอีกด้วย เรามั่นใจว่า ความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยให้เทคโนโลยี Web 3.0 สามารถเป็นพื้นที่ที่เข้าถึงได้สำหรับคนไทยทุกคน”

Angelo Kalaw, Ecosystem Strategy and Innovation Lead จาก Celo Foundation กล่าวเสริมว่า “เรารู้สึกยินดีสำหรับความร่วมมือกับ Bitkub ในครั้งนี้ ซึ่งจะช่วยขยายการใช้งานระบบนิเวศบล็อกเชนของ Celo เข้าสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมเพิ่มการใช้งานเทคโนโลยี Web 3.0 ไปทั่วภูมิภาค นอกจากนี้ เรายังมุ่งกระจายความรู้เกี่ยวกับ Regenerative Finance (ReFi) และพาผู้ใช้งานอีกหลายล้านคนเข้าสู่โลก Web 3.0 ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญของการสร้างชุมชนผู้ใช้งาน Celo หรือ “เกาะ Celo” DAO ในประเทศไทยเช่นเดียวกัน”

เนื้อหาดังกล่าวมาจาก บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด จัดทำร่วมโดย บริษัท บิทคับ แล็บส์ จำกัด ซึ่งไม่ใช่ผู้ประกอบธุรกิจภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน ก.ล.ต.

‘อโกด้า’ เผย ‘ข้อมูลการค้นหาที่พัก’ ของ 'นทท.ไทย' ช่วงต้นฤดูฝน พบ 'เมืองรอง' อยู่ในลิสต์ค้นหาเพื่อไปท่องเที่ยว 'เพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า'

(19 มิ.ย.67) อโกด้า แพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับการท่องเที่ยว รายงานข้อมูลการค้นหาที่พักในช่วงต้นฤดูฝน จากข้อมูลพบว่า เมืองรองกำลังได้รับความสนใจในกลุ่มนักท่องเที่ยวไทยเพื่อเดินทางไปสถานที่ที่ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก โดยการค้นหาที่พักในเมืองรองผ่านอโกด้ามีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วงต้นฤดูฝน

จากข้อมูลพบว่า จังหวัดเมืองรองที่นักเที่ยวชาวไทยค้นหามากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จันทบุรี, นครศรีธรรมราช, นครนายก, ราชบุรี และเชียงราย ตามลำดับ

โดยจังหวัดเมืองรองเหล่านี้มีที่เที่ยวที่หลากหลาย เที่ยวได้ไม่จำเจ ตั้งแต่การออกเที่ยวเพื่อดื่มดำไปกับธรรมชาติ จนถึงการไปชิมอาหารรสชาติพื้นเมือง สถิติการค้นหาเมืองรองมีอัตราเพิ่มสูงขึ้นถึง 23% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่าน

โดยจากทั้ง 5 เมืองรองที่ถูกค้นหามากที่สุด นครนายก เป็นจังหวัดที่มียอดการค้นหาเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า ซึ่งการค้นหาเมืองรองที่เพิ่มขึ้นนี้ ชี้ให้เห็นถึงเทรนด์การท่องเที่ยวที่นักเดินทางต้องการค้นหาประสบการณ์ที่ยังไม่เคยสัมผัสมาก่อนจากเมืองรองมากขึ้น

‘Nvidia’ ขึ้นแท่นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดในโลก ล้ม Microsoft เพียงไม่กี่วันหลังจากที่เพิ่งแซง Apple

(19 มิ.ย. 67) Nvidia ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของสหรัฐฯ โค่นบัลลังก์ยักษ์ใหญ่ ‘ไมโครซอฟท์’ กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดในโลก เมื่อวานนี้ (18 มิ.ย.) หลังโปรเซสเซอร์ระดับไฮเอนด์ที่บริษัทผลิตได้กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วงชิงความเป็นหนึ่งด้านเทคโนโลยีเอไอ

โดยราคาหุ้น Nvidia ไต่ขึ้นอีก 3.5% ไปอยู่ที่ 135.58 ดอลลาร์สหรัฐ/หุ้น ส่งผลให้มูลค่าตลาดพุ่งสูงแตะระดับ 3.335 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพียงไม่กี่วันหลังจากที่ Nvidia เพิ่งจะสามารถก้าวแซง ‘แอปเปิล’ ขึ้นมาเป็นเบอร์ 2 ของโลกได้

สำหรับมูลค่าตลาดของไมโครซอฟท์อยู่ที่ 3.317 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยราคาหุ้นปรับลดลง 0.45% ขณะที่หุ้นแอปเปิลร่วงลงกว่า 1% ทำให้บริษัทมีมูลค่าทางการตลาดอยู่ที่ 3.286 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

แม้อานิสงส์ความแรงของหุ้น Nvidia จะทำให้ดัชนีหุ้นหลักอย่าง S&P 500 และ Nasdaq พุ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่นักลงทุนบางคนเริ่มกังวลว่ากระแสความบูมของเอไออาจอันตรธานหายไปอย่างรวดเร็ว หากปรากฏสัญญาณการลงทุนที่ลดลง

Nvidia กลายเป็นบริษัทที่มีการซื้อขายมากที่สุดในวอลล์สตรีท ด้วยอัตราการหมุนเวียนซื้อขายต่อวัน (daily turnover) เฉลี่ยอยู่ที่ 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับราว ๆ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในกรณีของแอปเปิล ไมโครซอฟท์ และเทสลา ตามข้อมูลจาก LSEG

ราคาหุ้น Nvidia พุ่งขึ้นเกือบ 3 เท่าตัวในปีนี้ เมื่อเทียบกับหุ้นไมโครซอฟท์ที่ขยับขึ้นเพียง 19% โดยมีปัจจัยสำคัญจากกำลังการผลิตโปรเซสเซอร์ระดับคุณภาพเยี่ยมที่ยังคงไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด ท่ามกลางความพยายามของยักษ์ใหญ่อย่างไมโครซอฟท์ เมตา และอัลฟาเบ็ทซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Google ที่แข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์เอไอออกสู่ท้องตลาด

การที่ชิปเอไอของ Nvidia ถูกมองว่ามีคุณภาพสูงกว่าคู่แข่งรายอื่น ๆ และเป็นที่ต้องการอย่างมากนั้น ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่มองว่า Nvidia คือ ‘ผู้ชนะรายใหญ่ที่สุด’ ในสงครามการแข่งขันด้านเอไอ ณ เวลานี้

“Nvidia กำลังได้รับความสนใจในเชิงบวกอย่างมาก และบริษัทก็เดินเกมหลายอย่างได้ถูกต้อง แต่ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยก็อาจกระทบต่อมูลค่าหุ้น ดังนั้น นักลงทุนจึงต้องระวังเช่นกัน” โอลิเวอร์ เพิร์ช รองประธานอาวุโสของ Wealthspire Advisors ในนครนิวยอร์ก ให้ความเห็น

มูลค่าตลาดของ Nvidia ขยายตัวจาก 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ กลายเป็น 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในระยะเวลาเพียง 9 เดือนเมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ก่อนใช้เวลาอีกเพียง 3 เดือนในการไต่ระดับสู่หลัก 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อเดือน มิ.ย.

ทั้งนี้ ผู้บริหาร Nvidia เคยให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อเดือน พ.ค.ว่า อุปสงค์ชิปเอไอ Blackwell ของทางบริษัทน่าจะสูงเกินกำลังผลิต ‘ไปจนถึงปีหน้า’

อย่างไรก็ตาม สัปดาห์ที่แล้ว Nvidia ได้แตกหุ้นในอัตรา 10 ต่อ 1 โดยเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย. ในความเคลื่อนไหวที่คาดว่าจะทำให้หุ้นของบริษัทชิปเอไอแห่งนี้เป็นที่น่าดึงดูดสำหรับนักลงทุนมากขึ้นไปอีก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top