Tuesday, 6 May 2025
TheStatesTimes

‘ญี่ปุ่น’ จ่อเปลี่ยนที่บังวิว จุดถ่ายรูป ‘ฟูจิ’ ตรงลอว์สันให้แข็งแรงขึ้น หลัง นทท.ไม่รามือ!! แอบเจาะตาข่ายจนพรุน หวังแชะรูปให้ได้

เมื่อวานนี้ (30 พ.ค.67) สื่อญี่ปุ่นรายงานว่า ทางการเมืองฟูจิคาวากุชิโกะ ซึ่งเป็นที่ตั้งหนึ่งในจุดชมวิวภูเขาไฟฟูจิยอดนิยมของญี่ปุ่นในจังหวัดยามานาชิ จะทำการเปลี่ยนที่บังวิวใหม่ บริเวณจุดถ่ายรูปฮอตฮิตตรงร้านสะดวกซื้อ ‘Lawson’ ที่มีวิวด้านหลังเป็นภูเขาไฟฟูจิ

โดยจะติดตั้งที่บังวิวซึ่งทำจากวัสดุที่แข็งแรงขึ้น หลังจากการใช้ตาข่ายสีดำ ขนาดสูง 2.5 เมตร และยาว 20 เมตร ติดตั้งบังวิวฟูจิจากร้านสะดวก ‘Lawson’ ไปก่อนเมื่อไม่กี่วันก่อน ปรากฏว่ายังมีนักท่องเที่ยวมือบอนมาแอบเจาะตาข่ายที่บังวิวให้เป็นรูเล็ก ๆ อย่างน้อย 10 รู ในความพยายามจะถ่ายรูปวิวภูเขาไฟฟูจิหลังร้านสะดวกซื้อแห่งดังกล่าวผ่านรูเล็ก ๆ บนที่บังวิวนั้นให้ได้

สำนักข่าวเกียวโดและสื่ออีกหลายสำนักรายงานว่า ที่บังวิวใหม่จะทำให้แข็งแรงขึ้นและอาจเปลี่ยนเป็นสีที่อ่อนลง เช่น สีฟ้าหรือสีเขียวแทน

ด้าน นายฮิเดยูกิ วาตานาเบะ นายกเทศมนตรีเมืองฟูจิคาวากุชิโกะ กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ตนหวังจะให้มีการเปลี่ยนที่บังวิวใหม่โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ก่อนช่วงฤดูร้อนนี้

ทั้งนี้ การตัดสินใจติดตั้งที่บังวิวบริเวณจุดถ่ายรูปฮิตที่ร้านสะดวกซื้อ ‘Lawson’ แห่งนี้ มีขึ้นเพื่อแก้ปัญหานักท่องเที่ยวล้นและการไม่เคารพกฎจราจรของนักท่องเที่ยว เช่น การข้ามถนนไปมาเพื่อที่จะถ่ายรูปซึ่งถือเป็นอันตราย ทำให้ทางการญี่ปุ่นต้องจัดหามาตรการเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว

เอกอัครราชทูตเบลเยี่ยม ประจำประเทศไทย มอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์เลอปอล จากราชอาณาจักรเบลเยี่ยม ให้ประธานสวนนงนุชพัทยา

เมื่อวานนี้ (30 พ.ค.67) เวลา 12.30 น. ณ ทำเนียมเอกอัครราชทูตเบลเยี่ยม  H.E. Ms. Sibille de Cartier d’Yves (นางซีบีย์ เดอ การ์ทีเย ดีฟว์ ) เอกอัครราชทูตเบลเยี่ยม ประจำประเทศไทยเป็นตัวแทน จากสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งเบลเยียมทรงพระราชทาน เครื่องอิสริยาภรณ์เลอปอล เพื่อเป็นเกียรติยศและบำเหน็จความดีความชอบ แด่นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา เพื่อเป็นการยกย่องและเชิญชูบุคคลผู้มีผลงานสร้างสรรค์อันโดดเด่นทางด้านแนวคิด 'สวนมิตรภาพ' 'Friendship Garden'      

ด้านนายกัมพล กล่าวว่ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์เลอปอล จากรัฐบาลเบลเยียม และรางวัลนี้เป็นการยกย่องแนวคิดสวนมิตรภาพขอผม ในสถานทูตเบลเยี่ยมประจำประเทศไทย รางวัลนี้ไม่เพียงแต่แสดงถึงความสัมพันธ์พิเศษระหว่างประเทศไทยและราชอาณาจักรเบลเยี่ยม แต่โดยส่วนตัวแล้วถือเป็นการมองเห็นคุณค่าในตัวของผมและสวนนงนุชพัทยา และผมจะจดจำมิตรภาพที่ดีตลอดไป ขอขอบคุณอย่างจริงใจสำหรับการได้รับเกียรติในครั้งนี้

ซึ่งแนวคิดการจัดสวนมิตรภาพ หรือ 'Friendship Garden' เป็นการปรับภูมิทัศน์ให้แต่ละสถานทูตภายในประเทศไทย มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2560 ซึ่งทางสวนนงนุชพัทยาทำการออกแบบแล้วเข้าจัดสวน และทำการดูแลบำรุงรักษาโดยไม่มีค่าใช้จ่าย จนถึงปัจจุบันได้ดำเนินการแล้วเสร็จทั้งหมด 15 แห่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

‘อินฟอร์มาฯ’ ผนึกกำลังจัดงาน ‘Thai Water Expo - Water Forum 2024’ วางเป้าสร้างโอกาสไทย ‘จัดการน้ำ’ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

(31 พ.ค. 67) อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย พร้อมด้วย วิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และภาคีเครือข่ายชั้นนำด้านน้ำจากทุกห่วงโซ่ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษา ผสานความร่วมมือสานต่อการจัดงาน ‘Thai Water Expo (THW) และ Water Forum 2024’ ชูแนวคิด ‘ปฏิวัติเทคโนโลยีน้ำ ขับเคลื่อนการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศ สู่อนาคตที่ยั่งยืน’ ขนทัพเทคโนโลยี นวัตกรรม การจัดการน้ำล้ำสมัย วางเป้าพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เสริมแกร่งผู้ประกอบการ ผลักดันทุกภาคส่วนมุ่งบริหารจัดการน้ำร่วมกันให้เกิดประสิทธิภาพและมีเสถียรภาพเพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับทุกห่วงโซ่อุปทานในระบบนิเวศทางธุรกิจยุคเศรษฐกิจใหม่อย่างยั่งยืน จัดงานระหว่างวันที่ 3-5 กรกฎาคม 2567 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

ด้าน รศ.ดร.วิทยา วัณณสุโภประสิทธิ์ ผู้แทนคณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้อำนวยการบริหารหลักสูตรวิศวกรรมนานาชาติ กล่าวว่า จุฬาฯ ประกาศเจตนารมณ์เดินหน้าลดก๊าซเรือนกระจกในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งเป้าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Greenhouse Gas Emissions) ภายในปี 2050 (พ.ศ. 2593) รวมถึงคณะวิศวฯ เป็นหนึ่งในสองคณะในจุฬาฯ ที่ได้รับการรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการปรับตัวในทุกบริบทของสังคมโลก รวมถึงสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง อาทิ การจัดการน้ำ น้ำเสีย จากภัยแล้งและน้ำท่วม ซึ่งที่ผ่านมาทางคณะวิศวฯ จุฬาฯ ได้พัฒนาหลักสูตรการเรียน การสอนให้สอดรับกับสถานการณ์โลก อย่างหลักสูตร Innovative Engineering for Sustainability : IES) เพื่อรองรับการจัดการอย่างยั่งยืนในยุคโลกเดือด ทั้งนี้ในมิติงานวิจัยร่วมพัฒนาเทคโนโลยีจัดการน้ำ มุ่งเน้นด้าน ‘การพัฒนาเทคโนโลยี เสริมการเพิ่มน้ำต้นทุนของเขื่อนหลักเพื่อการพัฒนาลุ่มน้ำเจ้าพระยา’ ของสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) โดยได้เข้าร่วมในการพัฒนาการบริหารเขื่อนด้วยเทคนิค AI, การจัดการน้ำในโครงการชลประทานด้วยระบบ sensor/IOT/smart, การจัดการน้ำในภาคอุตสาหกรรมด้วยระบบ 3R plus เป็นต้น โดยมีหมุดหมายในการเพิ่มขีดความสามารถ และส่งเสริมความร่วมมือเชิงลึก เพื่อพัฒนากำลังคน ความรู้ และเทคโนโลยีใหม่ให้กับประเทศและภูมิภาคนี้

“อย่างไรก็ดี คณะวิศวฯ จุฬาฯ ยังคงเดินหน้าเผยแพร่ความรู้ในการจัดการทรัพยากรน้ำผ่านการจัดสัมมนา Water Forum ขึ้นภายในงาน Thai Water Expo 2024 และโดยปีนี้ ยังคงสานต่อความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายด้านน้ำ อาทิ สมาคมการประปาแห่งประเทศไทย สมาคมนักอุทกวิทยาไทย สมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยฯ และ อินฟอร์มาฯ ร่วมกันนำเสนอเนื้อหา Smart, Green, Resilient for a Climate-Friendly Future โดยได้รวบรวมผู้เชี่ยวชาญจาก GIZ , ปตท และธนาคารโลก มาร่วมแชร์ประสบการณ์ที่สำคัญผ่านหัวข้อ ‘เสริมศักยภาพเทคโนโลยีน้ำและสิ่งแวดล้อมเพื่ออนาคตที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศในเอเชียและแปซิฟิก’ ซึ่งทางคณะฯ เชื่อมั่นว่า การจัดสัมมนาครั้งนี้ จะเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญระดับโลก เป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการ หน่วยงานทั้งไทย และอาเซียน นำไปปรับในการกำหนดกลยุทธ์ธุรกิจ ร่วมกับการจัดการน้ำที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนต่อไป” รศ.ดร.วิทยา กล่าวเสริม    

นายสรรชาย นุ่มบุญนำ ผู้จัดการทั่วไป อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ - ประเทศไทย กล่าวว่า ในมิติของการจัดการน้ำ อินฟอร์มาฯ ให้ความสำคัญอย่างรอบด้าน ซึ่งทรัพยากรน้ำถือเป็นปัจจัยพื้นฐานโดยแต่ละภูมิประเทศมีความท้าทายที่ต่างกัน อินฟอร์มาฯ จึงได้เดินหน้าจัดงาน ‘Thai Water Expo (THW) และ Water Forum 2024’ งานแสดงเทคโนโลยีและการประชุมระดับภูมิภาคด้านเทคโนโลยีการจัดการทรัพยากรน้ำและน้ำเสียที่ครบวงจรที่สุด โดยเป็นงานที่ได้รับการยอมรับในระดับภูมิภาค มีเป้าหมายสำคัญในการรวบรวมผู้ที่เกี่ยวข้องจากทุกภาคส่วน ทั้งภาคทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงเทคโนโลยี นวัตกรรม โซลูชัน รวมถือเครือข่ายด้านน้ำระดับประเทศทั้งระบบอย่างครบถ้วน

โดยงานในปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด ‘Revolutionizing Water Technologies to Drive Climate Adaptation Towards a Sustainable Future’ หรือ ปฏิวัติเทคโนโลยีน้ำ ขับเคลื่อนการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศ สู่อนาคตที่ยั่งยืน ครอบคลุมพื้นที่จัดแสดงกว่า 15,000 ตร.ม. จัดแสดงเทคโนโลยี นวัตกรรมและโซลูชันด้านการจัดการทรัพยากรน้ำและน้ำเสียที่ทันสมัยกว่า 250 บริษัท อาทิ Ebara, Endress+Hauser, ProMinent, Brenntag, Demarc, Wam Group, Dupont, Wika Instrumentation, Vega Instruments เป็นต้น ทั้งพาวิเลียนนานาชาติ รวมถึงผู้นำด้านการจัดน้ำระดับโลกอย่างสิงคโปร์ที่นำผู้ประกอบการกว่า 15 บริษัทเข้าร่วม ที่สำคัญภายในงานมีการจัดประชุมนานาชาติ Water Forum รวมผู้เชี่ยวชาญระดับโลก ร่วมกันอัปเดตเทรนด์ นโยบายและนวัตกรรมการจัดการน้ำ นอกจากนี้ยังมี GreenTech Stage เวทีนำเสนอเทคโนโลยีจากบริษัทชั้นนำ และโซนพิเศษ Insight Water Zone รวมหน่วยงาน องค์กรชั้นนำด้านการจัดการน้ำและสิ่งแวดล้อมมาร่วมให้แนวทางและคำปรึกษาแก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง เราเชื่อมั่นว่าการจัดงานในครั้งนี้จะเป็นจุดเชื่อมโยงในการสร้างความร่วมมือและต่อยอดธุรกิจในมิติต่าง ๆ ของการบริหารจัดการน้ำร่วมกัน รวมถึงเป็นก้าวที่สำคัญในการผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางด้านการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพในภูมิภาคอาเซียน

เตรียมพร้อมเพื่อขับเคลื่อนสู่การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสู่อนาคตที่ยั่งยืนในงาน Thai Water Expo (THW) และ Water Forum 2024 งานนิทรรศการและการประชุมนานาชาติด้านเทคโนโลยีการจัดการทรัพยากรน้ำและน้ำเสียที่ครบวงจรที่สุดงานเดียวในประเทศไทย จัดร่วมกับงาน Entech Pollutec Asia 2024 งานนิทรรศการด้านเทคโนโลยีการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการควบคุมมลพิษ รวบรวมบริษัทชั้นนำจากทั่วโลกจัดแสดงเทคโนโลยี การจัดการขยะ การวัดคุณภาพอากาศและน้ำ สอดรับเทรนด์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จัดขึ้นระหว่างวันที่ 3-5 กรกฎาคม 2567 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ ติดตามข่าวสารและลงทะเบียนเข้าชมงานได้ที่ www.thai-water.com

คณะลูกขุน ตัดสิน ‘ทรัมป์’ ผิดทุกกระทง ‘คดีจ่ายเงินลับ’ หวั่น!! โดนตัดสิทธิ์ ลงสมัครเลือกตั้ง ‘ปธน.’ ปี 2567

(31 พ.ค. 67) เอเอฟพีรายงาน กล่าวว่า เมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว อัลวิน แบรกก์ อัยการเขตแมนฮัตตันในมหานครนิวยอร์กได้ยื่นฟ้องอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ในความผิดคดีอาญาฐานจ่ายเงินให้แก่บุคคลเพื่อปกปิดข้อมูลอันอาจมีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2559


ทรัมป์ถูกตั้งข้อหาในความผิดทางอาญา 34 กระทง จากการปลอมแปลงบันทึกทางธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายเงินค่าปิดปาก 130,000 ดอลลาร์ให้กับสตอร์มี แดเนียลส์ วัย 44 ปี ซึ่งเป็นดาราหนังโป๊ รวมทั้งการจ่ายเงินปิดปากนางแบบเพลย์บอย และคนเฝ้าประตู

ล่าสุดเมื่อวันพฤหัสบดี การพิจารณาคดีครั้งแรกที่ศาลอาญาแมนฮัตตันจบลงด้วยการที่ทรัมป์ วัย 77 ปี ​​ถูกตัดสินว่ามีความผิดใน 34 กระทงดังกล่าวตามคำฟ้องของอัยการ และผู้พิพากษาฮวน เมอร์ชานเสนอให้เขาต้องโทษจำคุก

จากนั้น ทรัมป์ซึ่งได้รับการปล่อยตัวโดยไม่ต้องอาศัยหลักประกันและเตรียมยื่นอุทธรณ์ในขั้นตอนต่อไป ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวหลังออกจากศาลและประณามผลการตัดสินของคณะลูกขุนว่า ‘ขี้โกง’ และ ‘น่าอับอาย’ โดยท้าให้รอดูคำตัดสินที่แท้จริงที่จะมาจากผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งประธานาธิบดีในวันที่ 5 พฤศจิกายน

ทั้งนี้ คณะลูกขุนทั้ง 12 คนใช้เวลาพิจารณาอรรถคดีนานกว่า 11 ชั่วโมงในช่วงเวลา 2 วัน ก่อนประกาศข้อสรุปที่เป็นเอกฉันท์ภายในไม่กี่นาที โดยตัวตนของพวกเขาทั้ง 12 คนถูกเก็บเป็นความลับตลอดการพิจารณาคดี ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติที่มักพบบ่อยในกรณีที่เกี่ยวข้องกับมาเฟียหรือจำเลยที่มีอิทธิพล

อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ยังคงมีสิทธิ์ในการรณรงค์แคมเปญเลือกตั้งประธานาธิบดีต่อไป จนกว่าจะถึงวันที่ 11 กรกฎาคมที่คณะลูกขุนจะพิจารณาว่าจะตัดสินโทษออกมาแบบใด และจะตัดสิทธิ์ลงรับสมัครของเขาหรือไม่

ช่วงเวลาดังกล่าวจะคาบเกี่ยวกับการประชุมใหญ่ระดับชาติของพรรครีพับลิกันในเมืองมิลวอกี ซึ่งทรัมป์มีกำหนดได้รับการเสนอชื่ออย่างเป็นทางการจากพรรคเพื่อเป็นตัวแทนในการเผชิญหน้ากับโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต

ทรัมป์ถูกกล่าวหาว่าสั่งการให้ไมเคิล โคเฮน อดีตทนายความส่วนตัวจัดเตรียมการจ่ายเงินให้แดเนียลส์ก่อนการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน 2559 เพื่อไม่ให้แพร่งพรายความสัมพันธ์ลับ ๆ ที่เคยมีต่อกันที่รีสอร์ทแห่งหนึ่งในทะเลสาบทาโฮ

จากนั้นมีการจ่ายเงินอีก 30,000 ดอลลาร์เพื่อปิดปากของอดีตคนเฝ้าประตูทรัมป์ทาวเวอร์ที่รู้ข้อมูลลับว่าทรัมป์มีบุตรนอกสมรส และจ่ายเงิน 150,000 ดอลลาร์ให้กับคาเรน แม็คดูกัล นางแบบนิตยสารเพลย์บอย เพื่อแลกกับการไม่เปิดเผยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางเพศที่ยาวนานเกือบหนึ่งปีในฐานะชู้รักกับทรัมป์

ในการพิจารณาคดี สตอร์มี แดเนียลส์ (ซึ่งมีชื่อจริงว่าสเตฟานี คลิฟฟอร์ด) ได้อธิบายต่อศาลอย่างละเอียดถึงสิ่งที่เธอบอกว่าเป็นการมีเพศสัมพันธ์กับทรัมป์ที่แต่งงานแล้วในปี 2549 และคำให้การดังกล่าวช่วยให้อัยการประสบความสำเร็จในการดำเนินคดีปกปิดการจ่ายเงินอย่างผิดกฎหมายอันเป็นส่วนหนึ่งของอาชญากรรมในวงกว้างเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ลงคะแนนรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมของตัวทรัมป์เอง ซึ่งเป็นการโน้มน้าวการเลือกตั้งด้วยความทุจริต

ขณะที่ทนายฝ่ายจำเลยแย้งแทนลูกความว่า ‘การพยายามโน้มน้าวการเลือกตั้งเป็นเพียงการแสดงออกตามครรลองประชาธิปไตย และอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ไม่ได้ทำอะไรผิด’
ความเพลี่ยงพล้ำของทรัมป์ในครั้งนี้ทำให้ทีมหาเสียงของโจ ไบเดนออกแถลงการณ์ขยี้ซ้ำว่า กระบวนการยุติธรรมในการพิจารณาคดีแสดงให้เห็นแล้วว่า ‘ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย’ และเสริมว่า ‘ภัยคุกคามจากชายชื่อโดนัลด์ ทรัมป์มีผลใหญ่หลวงต่อประชาธิปไตยของประเทศยิ่งนัก’

แม้การพิจารณาคดีดังกล่าวทำให้ทรัมป์เสียสมาธิจากการรณรงค์หาเสียงเพื่อขับไล่ไบเดนออกจากทำเนียบขาว แต่เขากลับใช้โอกาสมาขึ้นศาลแต่ละครั้งในการเรียกร้องความสนใจจากสื่อไปทั่ว โดยกล่าวปราศรัยต่อหน้ากล้องของสื่อมวลชนอยู่เสมอ ในประเด็นการตกเป็นเหยื่อทางการเมือง

ตามทฤษฎีแล้ว ทรัมป์อาจเผชิญโทษจำคุกสูงสุด 4 ปีสำหรับการปลอมแปลงบันทึกทางธุรกิจแต่ละครั้ง แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายกล่าวว่า ในฐานะผู้กระทำผิดครั้งแรก เขาไม่น่าจะถึงขั้นโดนจำคุกจริงและอาจโดนแค่คุมประพฤติ ส่วนกระบวนการการอุทธรณ์อาจใช้เวลาอีกหลายเดือนจึงจะเสร็จสมบูรณ์

ทว่าหลังจากนี้ โดนัลด์ ทรัมป์อาจเผชิญอีกหนึ่งข้อหาที่หนักหน่วง คือสมรู้ร่วมคิดล้มล้างผลการเลือกตั้งปี 2563 จากกรณียุยงผู้สนับสนุนให้บุกโจมตีรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2564 และข้อหาแอบเก็บเอกสารลับทางราชการและไม่ยอมส่งคืนหลังหมดวาระจากทำเนียบขาว

พิษณุโลก กองทัพภาคที่ 3 จัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2567

วันที่ 31 พฤษภาคม 2567 ที่ บริเวณสโมสรบันเทิงทัพ ค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก พลโท ประสาน แสงศิริรักษ์ แม่ทัพภาคที่ 3  พร้อมด้วย คุณ คัทลียา แสงศิริรักษ์ ประธานสมาคมแม่บ้านทหารบก สาขากองทัพภาคที่ 3 เป็นประธานในการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี "พระราชินี" ทรงเจริญพระชนมายุ 46 พรรษา ในวันที่ 3 มิถุนายน 2567 โดยกองทัพภาคที่ 3 ได้จัดให้มีพิธีตักบาตรพระสงฆ์ จำนวน 10 รูป ณ บริเวณลานพื้นแข็งหน้าสโมสรบันเทิงทัพ, พิธีเจริญพระพุทธมนต์ ณ ห้อง 202 สโมสรบันเทิงทัพ และพิธีถวายราชสักการะ ถวายราชสดุดีและพิธีลงนามถวายพระพรชัยมงคล ณ ห้อง 202 สโมสรบันเทิงทัพ 

ทั้งนี้หน่วยขึ้นตรงของกองทัพภาคที่ 3 ในแต่ละจังหวัดก็ได้ดำเนินการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติและกิจกรรมจิตอาสาบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล ในวโรกาสอันเป็นมหามงคลนี้ ตามความเหมาะสมโดยพร้อมเพรียง

‘ก.คมนาคม’ เผย บิ๊กเอกชนไทย-เทศ รุมจีบ ‘แลนด์บริดจ์’ คาด เริ่มประกวดราคา Q4/68 หวัง ดึงร่วมลงทุน 1 ล้านล้านบาท

(30 พ.ค. 67) นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยในงาน สัมมนาจัดการทดสอบความสนใจจากภาคเอกชน (Market Sounding) โครงการศึกษาความเหมาะสม ออกแบบเบื้องต้น ประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและวิเคราะห์รูปแบบโมเดลการพัฒนาการลงทุน (Business Development Model) โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทย และอันดามัน (โครงการแลนด์บริดจ์) ว่า มีตัวแทนจากภาคธุรกิจเอกชน กลุ่มสถาบันการเงิน กลุ่มนักลงทุน สถานทูต ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ และสมาคมการค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ ร่วมงานมากกว่า 100 ราย

‘ผลจากการโรดโชว์แสดงให้เห็นแล้วว่า นักลงทุนต่างชาติสนใจเข้าร่วมลงทุนมาก กระทรวงฯ มั่นใจว่าโครงการแลนด์บริดจ์จะเกิดขึ้น มีการลงทุนจริง ซึ่งกระบวนการตอนนี้เตรียมจัดทำร่าง RFP เพื่อเริ่มกระบวนการประมูลในไตรมาส 4 ปี 2568 อีกทั้งกระทรวงฯ จะเร่งผลักดัน พรบ. SEC เข้าสู่การพิจารณาของ ครม. และสภาภายในปีนี้ เพื่อเป็นอีกปัจจัยสร้างความเชื่อมั่นและจูงใจนักลงทุนในด้านสิทธิประโยชน์ และกฎหมายต่างๆ’

โดยรูปแบบการลงทุนในโครงการแลนด์บริดจ์ ตามที่กระทรวงคมนาคม โดยสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ศึกษาไว้เบื้องต้นจะให้สิทธิผู้สนใจลงทุนมีสิทธิประมูลโครงการเป็น Single Package ในระยะเวลา 50 ปี ได้แก่ ท่าเรือ 2 แห่ง (ท่าเรือชุมพรและท่าเรือระนอง) โครงสร้างพื้นฐานเชื่อมต่อ ได้แก่ ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองและทางรถไฟ รวมทั้งพื้นที่พัฒนาเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม แต่สามารถร่วมกันลงทุนได้ในรูปแบบกิจการร่วมค้า (Joint Venture) หรือการร่วมกันในลักษณะกลุ่มบริษัท (Consortium)

สำหรับรูปแบบการลงทุนจะเป็นรูปแบบ PPP Net Cost โดยภาครัฐจะเป็นผู้รับผิดชอบในการให้สิทธิประโยชน์ แก่ภาคเอกชน พร้อมทั้งจัดหาพื้นที่และการเวนคืนให้สำหรับโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นท่าเรือ เส้นทางเชื่อมโยงต่างๆ โดยภาคเอกชนผู้ลงทุนต้องเป็นผู้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเองทั้งหมด และดำเนินการบริหารจัดการ โดยจากการประเมินมูลค่าลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเบื้องต้นที่ผู้ลงทุนต้องใช้ในการพัฒนาโครงการ มีมูลค่าลงทุนประมาณ 1,001 ล้านล้านบาท โดยแบ่งเป็น ท่าเรือฝั่งระนอง ประมาณ 330,810 ล้านบาท ท่าเรือฝั่งชุมพร ประมาณ 305,666 ล้านบาท

นอกจากนี้ยังมีโครงการโครงสร้างพื้นฐานการเชื่อมต่อ ได้แก่ ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองและทางรถไฟ รวมประมาณ 358,517 ล้านบาท (เป็นราคาประเมิน ณ ปี พ.ศ. 2566 โดยไม่ได้รวมเงินเฟ้อ) ซึ่งจากการประเมินอัตราผลตอบแทนภายในทางการเงิน (FIRR) ที่ผู้ลงทุนจะได้รับจากโครงการในเบื้องต้น เท่ากับ 8.62% (กรณียังไม่มีการกู้ยืม) โดยมีระยะเวลาคืนทุนปีที่ 24 ซึ่งแสดงให้เห็นว่า โครงการมีความคุ้มค่ากับการลงทุน

โดยที่ผ่านมากระทรวงคมนาคมได้เดินหน้าโรดโชว์โครงการและดึงภาคเอกชนที่มีศักยภาพเข้ามาร่วมลงทุน โดยได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี จากหลายประเทศ เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป สาธารณรัฐประชาชนจีน ประเทศญี่ปุ่น และประเทศ ฝั่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกกลาง ซึ่งการจัดการทดสอบความสนใจจากภาคเอกชน (Market Sounding) ในวันนี้นับเป็นขั้นตอนหนึ่งที่มีความสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาโครงการ เพราะกระทรวงฯ จะนำข้อเสนอของเอกชนทั้งหมดไปประกอบการจัดทำร่างเอกสารประกวดราคา (RFP) รวมทั้งข้อกฎหมายของ พ.ร.บ.เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาพื้นที่พิเศษภาคใต้ (SEC)

ภายในงานครั้งนี้ ได้รับความสนใจจากสถานทูตประเทศต่างๆ เช่น สถานทูตประเทศญี่ปุ่น สถานทูตประเทศปากีสถาน สถานทูตประเทศอินเดีย สถานทูตประเทศเยอรมัน สถานทูตประเทศมาเลเซีย สถานทูตประเทศอิตาลี สถานทูตสาธารณรัฐเกาหลี สถานทูตสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สถานทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน สถานทูตประเทศออสเตรเลีย สถานทูตสาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมีนักลงทุนจากไทยและต่างประเทศเข้าร่วม เช่น บริษัท HeBei Port Group Co.,LTD ผู้ประกอบการท่าเรือจากสาธารณรัฐประชาชนจีน บริษัท Maritime Transport Business Solutions BV ผู้ประกอบการท่าเรือจากประเทศเนเธอร์แลนด์ บริษัท ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (WHA) ผู้ประกอบการด้านนิคมอุตสาหกรรมจากประเทศไทย บริษัท Pacific Construction in Thailand ผู้ประกอบการด้านอสังหาริมทรัพย์จากสาธารณรัฐประชาชนจีน บริษัท Sumitomo Mitsui Construction Co.,Ltd. ผู้ประกอบการด้านอสังหาริมทรัพย์จากประเทศญี่ปุ่น และ บริษัท Misubishi Company (Thailand) ผู้ประกอบการด้านอสังหาริมทรัพย์จากประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น

โดยนักลงทุนได้ร่วมแสดงความคิดเห็น ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อโครงการในประเด็นสำคัญต่างๆ เช่น ความคุ้มค่าทางด้านการลงทุน ค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้า ระยะเวลาในการขนส่งถ่ายสินค้าระหว่างสองท่าเรือ และมีแนวทางการรองรับด้านผลกระทบสิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศ และวิถีชีวิตของชุมชนในพื้นที่โครงการ เป็นต้น ทั้งนี้ ภายหลังจากสัมมนาครั้งนี้ สนข. และที่ปรึกษาโครงการฯ จะรวบรวมความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ นำไปปรับปรุงให้ผลการศึกษามีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น

‘ศรีสุวรรณ’ ยื่นศาลปกครองฟ้อง ‘ภูมิธรรม’ ฐานละเลยหน้าที่ ปมเปิดประมูลขายข้าว 10 ปี

(31 พ.ค.67) ที่ศาลปกครองกลาง นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน เข้ายื่นศาลปกครองฟ้องรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ องค์การคลังสินค้า (อคส.) และคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ฐานใช้อำนาจโดยมิชอบและละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ ตามมาตรา 9 (1)(2) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครอง และวิธีพิจารณาคดีปกครอง 2542 ในข้อหาดำเนินการประมูลขายข้าวเก่า 10 ปี ขัดต่อประกาศของกระทรวงสาธารณสุข และประกาศของคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เพื่อขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉินเพื่อพิจารณามีคำสั่งระงับหรือให้ อคส. กระทรวงพาณิชย์ หรือ นบข. สั่งทบทวนการจัดทำ TOR ประมูลขายข้าวเก่าดังกล่าวเสียใหม่ และเพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อผู้บริโภคต่อไป และในการยื่นฟ้องในวันนี้ ได้ขอให้ศาลมีคำสั่งหรือกำหนดมาตรการอย่างใด ๆ เพื่อคุ้มครองชั่วคราวด้วยการสั่งระงับการยื่นซองและเปิดซองประมูลข้าวดังกล่าวที่จะมีขึ้นในเดือนมิ.ย.2567 นี้ เพื่อเป็นการคุ้มครองประโยชน์ของประชาชนไว้ก่อนด้วย

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า กรณีรัฐบาลมีนโยบายนำข้าวสารเก่ามีอายุ 10 ปี จากโครงการรับจำนำข้าวสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในโกดังจังหวัดสุรินทร์ทั้ง 2 โกดัง ปริมาณ 15,000 ตันออกมาประมูลขาย โดยไม่ให้ผู้เข้าร่วมประมูลตรวจสอบคุณภาพข้าวอีก ทั้งที่มีข้อมูลที่ขัดกันระหว่างนักวิชาการจากสถาบันวิชาการต่าง ๆ กับข้อมูลของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ขัดแย้งกัน เกี่ยวกับคุณภาพของข้าวเก่า 10 ปีจะนำมาบริโภคได้หรือไม่ ประชาชนไม่รู้ว่าจะเชื่อใคร

นายศรีสุวรรณ กล่าวอีกว่า มีนักวิชาการ และทางมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ออกมาบอกว่า ข้าวเก่าอายุ 10 ปี ไม่มีคุณค่าทางอาหาร รวมถึงมีความเสี่ยงในเรื่องของจุลินทรีย์ เชื้อโรค สารพิษ เพราะต้องมีการอบข้าว ๆ ทุก 6 เดือนอยู่แล้ว โดนอาจจะมีสารพิษเหล่านี้เจือปนอยู่ โดยรัฐบาลมีความพยายามแก้เกม โดยส่งตัวอย่างไปให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้พิสูจน์ แต่กรมวิทย์ฯ ได้พิสูจน์แล้วก็มีบางส่วนที่ระบุว่าข้าวมีการเจือปนของตัวมอด แมลง ต่าง ๆ ซึ่งไม่เหมาะกับการนำมาเป็นอาหาร เพียงแต่ว่าสารพิษต่าง ๆ ที่มีคนวิตกนั้นไม่เกินไปกว่าที่มาตรฐานกำหนด แต่ในทางวิชาการ การหยิบสุ่มตรวจข้าวไม่มีใครรู้ว่าสุ่มจากจุดไหนของกองข้าว หรือนำมาจากแหล่งใด เพราะกรมวิทย์ฯ อยู่ที่สำนักงานของตัวเอง เขาไม่ได้ไปสุ่มตรวจที่โกดังข้าว จึงเป็นข้อสงสัยอาจนำข้าวจากที่อื่นมาให้กรมวิทย์ฯ สุ่มตรวจก็ได้

“การที่รัฐบาลผลักดันให้มีการออกมาจำหน่ายข้าว เพื่อให้ข้าวโครงการรับจำนำข้าวเมื่อปี 2555-2556 หมดไปอาจจะเป็นประเด็นทางการเมืองมากกว่าคุณภาพชีวิตของประชาชน เพราะเงื่อนไขทีโออาร์ไม่มีข้อจำกัดให้ผู้ที่จะประมูลได้ดำเนินการนำข้าวดังกล่าวไปขาย หรือจำหน่ายให้กับประชาชนในประเทศ ซึ่งการส่งออกข้าวก็จะเป็นการดิสเครดิต คุณภาพ และชื่อเสียงของข้าวไทยที่สั่งสมมานำ 10 ปี 100 ปี” นายศรีสุวรรณ กล่าว

เมื่อถามว่าประชาชนยังไม่เชื่อมั่นผลการตรวจสอบสารปนเปื้อนข้าวของรัฐบาล ควรเปิดโอกาสให้แล็บเอกชน มาร่วมตรวจสอบได้หรือไม่นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า หากรัฐบาลมีความจริงใจต่อประชาชน ควรจะตั้งคณะกรรมการพิเศษขึ้นมา โดยเชิญนักวิชาการจากสถาบันการศึกษาหรือแล็บทดสอบต่าง ๆ มาดำเนินการตรวจสอบคุณภาพเข้า โดยเริ่มตั้งแต่การไปสุ่มเก็บตัวอย่างให้เป็นไปตามหลักวิชาการ ในการสุ่มเก็บตัวอย่างกองข้าวทั้งด้านข้าง ด้านกลาง ด้านใน ต้องเก็บตัวอย่างให้ครบทุกพื้นที่ ไม่ใช่หยิบเอาตัวอย่างจากไหนมาก็ไม่รู้แล้วมาอ้างว่าเป็นข้าวมาจากโกดังข้าว ซึ่งประชาชนไม่มีใครสนใจแล้ววันนี้

'อ.อักษรศรี' เผย!! ถูกมิจฉาชีพสร้างบัญชีเฟซบุ๊กปลอม หวั่น!! ถูกนำไปใช้ในทางเสียหาย อย่าหลงเชื่อ

(31 พ.ค. 67) รองศาสตราจารย์ ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจจีน จากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความแจ้งเตือน หลังถูกนำภาพและข้อมูลไปนำเสนอในบัญชีที่ไม่ใช่ของตัวอาจารย์ โดยระบุว่า...

#เฟสปลอม !! Fake Account ขอฝากช่วยกัน report ด้วยนะคะ  
https://www.facebook.com/profile.php?id=61559847366896

เพิ่งมีคนช่วยแจ้งมา ก็เลยจัดการ report #มิจฉาชีพ พวกนี้ไปแล้วนะ !! เพิ่งรู้ว่า โดนปลอม Facebook เฟสตั้งแต่ พ.ค. ปี 2022 แล้วววว โดยไม่รู้ว่าจุดประสงค์คืออะไร หาก Facebook นี้ทักไปคุยกับใครหรือกระทำการใดให้เกิดความเสียหายไม่ว่าเรื่องใด ขอไม่รับผิดชอบในทุกกรณีนะคะ #FakeAccount

‘นักตบสาวไทย’ ผงาด!! ชนะ ‘ฝรั่งเศส’ 3-2 เซต คว้าชัย 2 เกมติด ศึก ‘เนชั่นส์ลีก 2024’

(31 พ.ค.67) ศึกวอลเลย์บอลหญิง เนชั่นส์ลีก 2024 (VNL 2024) รอบแบ่งกลุ่ม สัปดาห์ที่ 2 ที่กาแล็กซี่ อารีนา เขตปกครองพิเศษมาเก๊า เมื่อวันที่ 31 พ.ค.67 ทีมวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย ทีมอันดับ 13 ของโลก ลงสนามพบกับ ฝรั่งเศส ทีมอันดับ 15 ของโลก

ทั้งนี้ หลังจากประเดิมสัปดาห์แรกด้วยความพ่ายแพ้รวดทั้ง 4 นัด ทีมวอลเลย์บอลหญิงไทยออกสตาร์ตได้ดีในสัปดาห์ที่สอง เมื่อเอาชนะ โดมนินิกัน ได้ 3-1 เซต ทำให้มีลุ้นเก็บชัยชนะ 2 เกมติดต่อกันในการเจอกับทีมชาติฝรั่งเศส

ผลปรากฏว่า เกมวันนี้ ‘ตบสาวไทย’ ขึ้นนำ ฝรั่งเศส ไปก่อน 2-0 เซต (25-23 และ 25-21) แต่ในเซตที่ 3 ฝรั่งเศส กลับมาชนะ 25-23 ไล่ขึ้นมาเป็น 1-2 เซต และเซต 4 ฝรั่งเศส ยังชนะไปอีก 25-20 ทำให้ ฝรั่งเศส ตีเสมอเป็น 2-2 เซต ต้องตัดสินในเซตที่ 5

เซตตัดสินไทยไล่ตบทำแต้มเอาชนะไปได้ 15-7 ทำให้ เอาชนะฝรั่งเศส ไปได้ 3-2 เซต (25-23 , 25-21 , 23-25 , 20-25 และ 15-7)

อย่างไรก็ตาม จากชัยชนะในนัดนี้ ทำให้คะแนนสะสมอันดับโลกของไทยเพิ่มขึ้น 3.18 คะแนน โดยทีมวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย เหลือโปรแกรมอีก 2 นัดในสัปดาห์ที่สอง จะพบกับ ทีมชาติจีน วันที่ 1 มิ.ย. เวลา 18.30 น. และพบกับ บราซิล วันที่ 2 มิ.ย. เวลา 15.00 น.

ได้เวลา 'รัฐบาล' ปรับกรอบเงินเฟ้อ เปิดทางลดดอกเบี้ย ช่วยถ่วงดุลนโยบายการเงินที่พลาดเป้าอย่างเหมาะสม

ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ในประเด็น 'การปรับกรอบเงินเฟ้อ เปิดทางลดดอกเบี้ย' โดย อ.พงษ์ภาณุ กล่าวว่า...

ครม.เศรษฐกิจของรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน เป็นนิมิตหมายที่ดีและแสดงออกถึงความเป็นเอกภาพของการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่นักลงทุนจับตามอง การที่เศรษฐกิจไทยเติบโตได้เพียง 1.5% แม้ว่าทางเทคนิคจะยังไม่ถือว่าเป็นภาวะถดถอย แต่ก็เป็นสัญญาณเตือนภัยว่าความไม่เป็นเอกภาพของนโยบายเศรษฐกิจ โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างนโยบายการคลังและนโยบายการเงิน กำลังบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนอย่างรุนแรง

หลายสำนักเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2567 จะเติบโตได้เพียงประมาณ 2.5-3.0% แต่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ซึ่งกำลังทยอยออกมา อาจทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ถึง 3.5% ตามที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังตั้งเป้าไว้ มาตรการช่วยให้ธุรกิจรายย่อย และ SME เข้าถึงสินเชื่อของสถาบันการเงิน มีความจำเป็นเพราะสินเชื่อโดยรวมของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยมีแนวโน้มหดตัวมาโดยตลอด แม้ว่าสภาพคล่องของธนาคารจะยังคงสูง แต่ธนาคารไม่ปล่อยสินเชื่อเพราะนโยบายการเงินมีความตึงตัวเกินกว่าเหตุ 

ต้องขอชมเชยการเสนอให้ใช้มาตรการกึ่งการคลัง (Quasi-fiscal) ในการค้ำประกันสินเชื่อให้กับธุรกิจรายย่อยผ่านบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) แต่จะต้องทำอย่างกว้างขวางและรับความเสี่ยงด้านเครดิตแทนธนาคารพาณิชย์ ซึ่งในที่สุดก็จะเป็นภาระทางการคลังและผู้เสียภาษีในที่สุด 

นอกจากนี้ เนื่องจากงบประมาณแผ่นดินปี 2567 ออกมาช้า เหลือเวลาอีกเพียง 2 ไตรมาสก็จะสิ้นปีงบประมาณแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจจะต้องเร่งเบิกจ่ายเงินงบประมาณอย่างเร็วที่สุด โดยเฉพาะงบลงทุน ซึ่งมีการเบิกจ่ายติดลบใน 2 ไตรมาสแรก กระทรวงการคลังคงจะต้องตามจี้ทุกหน่วยงานให้เร่งเบิกจ่ายตามเป้าหมาย

น่าเสียดายที่มาตรการดิจิทัลวอลเล็ตไม่สามารถออกมาได้รวดเร็วตามกำหนดเวลา มิเช่นนั้นคงจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี แต่ขณะนี้ก็เริ่มมีความชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เกี่ยวกับกำหนดเวลาและแหล่งเงิน ส่วนการท่องเที่ยว ซึ่งที่ผ่านมาเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพียงตัวเดียว ก็ยังมีช่องทางเติบโตแต่น่าจะมีอัตราที่ช้าลง

ภาระตกอยู่กับนโยบายการคลังค่อนข้างมากในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งในที่สุดก็จะเป็นภาระของผู้เสียภาษีอากร สังคมคงไม่ปล่อยให้ธนาคารแห่งประเทศไทยนั่งกระดิกเท้าเป็น Free Rider อยู่เฉย ๆ และไม่ใส่ใจที่จะใช้นโยบายการเงินเข้ามาร่วมทำงานกับรัฐบาล

หลังการประชุม ครม.เศรษฐกิจ มีการกล่าวถึงความเป็นไปได้ที่รัฐบาลจะปรับกรอบเงินเฟ้อ (Inflation Targets) ซึ่งจะช่วยปลดล็อกการลดดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อคำนึงว่า ธปท.พลาดเป้าเงินเฟ้อที่กำหนดไว้ระหว่าง 1-3% ติดต่อกัน 2 ปีและทำท่าว่าจะพลาดอีกในปีนี้ 

นี่จึงเป็นโอกาสอันเหมาะสมที่รัฐบาลจะต้องทบทวนกรอบเงินเฟ้อเสียที ที่ผ่านมากระทรวงการคลังอาจจะใจดีหรืออาจจะตาม ธปท. ไม่ทัน แต่การพลาดเป้าเงินเฟ้อแบบหมดท่า น่าจะถือเป็นการผิดสัญญาประชาคม และธนาคารแห่งประเทศไทยสมควรต้องรับผิดชอบ การที่รัฐบาลทบทวนกรอบเงินเฟ้อจึงเป็นการถ่วงดุลนโยบายการเงินที่พลาดเป้าอย่างเหมาะสมและไม่ถือเป็นการแทรกแซงนโยบายการเงินแต่อย่างใด 

อย่างไรก็ดีการทบทวนกรอบเงินเฟ้อดังกล่าว พึงต้องกระทำอย่างระมัดระวัง และแสดงหลักการและเหตุผลอย่างชัดเจนโปร่งใส เพื่อรักษาไว้ซึ่งความเชื่อมั่นในนโยบายการเงินและความสามารถในการรักษาเสถียรภาพทางการเงินของประเทศในระยะยาว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top