Tuesday, 6 May 2025
TheStatesTimes

ราคา ‘ยางพารา’ พุ่งแตะ 100 บาทต่อกิโลกรัม หลังไทยลุยเปิดตลาดยางในสหภาพยุโรป

เมื่อวานนี้ (30 พ.ค. 67) ที่สำนักงานตลาดกลางยางพาราจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้มีการประมูลยางพาราประจำวัน ปรากฏว่า ผลประมูลยางแผ่นรมควัน RSS (EUDR) ชั้น 3 ได้ราคาสูงสุด 96.66 บาทต่อกิโลกรัม โดย บริษัท ไทยฮั้วยางพารา จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ประมูลได้และสูงกว่าราคากลางเปิดตลาด 8.09 บาท จากตั้งไว้ที่ 88.57 บาทต่อกิโลกรัม ปริมาณยางน้ำหนัก 480,743 กิโลกรัม ซึ่งเป็นราคาสูงสุดในรอบ 12 ปี นับตั้งแต่ปี 2555  

ส่วนยางก้อนถ้วย (DRC100%) EUDR บริษัท เอ็นเทคโพลิเมอร์ จำกัด เป็นผู้ประมูลได้ให้ราคาสูงสุด 80.35 บาทต่อกิโลกรัม ได้สูงกว่าราคากลางเปิดตลาด 8 บาท จากตั้งไว้ที่ 72.35 บาทต่อกิโลกรัม ปริมาณน้ำหนัก 240,643 กิโลกรัมและได้ราคาสูงกว่าตลาดยางอื่น ๆ กว่า 10 บาทต่อกิโลกรัม

นายญาณกิตติ์ ฮารุดีน ผู้อำนวยการสำนักงานตลาดกลางยางพาราจังหวัดสุราษฎร์ธานี เปิดเผยว่า ปัจจัยที่ราคายางแผ่นรมควันเพิ่มสูงขึ้นมาจากการที่รัฐบาล นำโดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรี ว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เดินหน้าเปิดตลาดยางสหภาพยุโรป (EU) ตามกฎหมายว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า (EUDR) โดยได้เริ่มนำร่องที่ตลาดกลางยางพาราสุราษฎร์ธานีเป็นที่แรกเมื่อเดือนเมษายน 2567 

นายญาณกิตติ์ กล่าวว่า เดิมยางพาราส่งไปตลาดจีน 80 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือไปตลาดอื่น ๆ แต่หลังจากรัฐบาลเปิดตลาดอียู ได้ตามมาตรฐาน EUDR สามารถรองรับการตรวจสอบย้อนหลังผลผลิตยางพาราที่ตลาดกลางยางพาราสุราษฎร์ธานีทำสำเร็จ เป็นผลให้เกิดความเชื่อมั่นราคาพุ่ง 96.66 บาทและคาดว่าอีกไม่กี่วันจะแตะถึง 100 บาทแน่ ซึ่งถือเป็นความสำเร็จจากความทุ่มเทของรัฐบาล นายกฯ เศรษฐา ที่ทำเพื่อเกษตรกรชาวสวนยาง

เพจเฟซบุ๊ก ‘กทม.’ โพสต์รูประบุข้อความ ‘ใช้หนี้ BTS แล้ว’ ด้านเพจ ‘รถไฟฟ้าบีทีเอส’ ช็อตแรง!! ‘หนี้ยังใช้ไม่หมด’

เมื่อวานนี้ (30 พ.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจเฟซบุ๊ก ‘กรุงเทพมหานคร’ โพสต์ข้อความพร้อมรูปประกอบ เรื่องการใช้งาน ‘ฟอนต์ Sao Chingcha’ พร้อมรูปที่นำมาโพสต์ประกอบมีข้อความต่าง ๆ ที่ระบุเป็นนโยบายที่ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. และคณะ ได้ทำมา 2 ปี ของการดำรงตำแหน่ง เช่น ไล่ออกข้าราชการทุจริต 29 ราย, มีสวน 15 นาทีใกล้บ้าน 100+ แห่ง, มี Pride Clinic 31 แห่ง, ปลูกต้นไม้แล้ว 9.4 แสนต้น, ฟองดูว์แก้แล้ว 4.7 แสนเรื่อง, ฉีดวัคซีนมะเร็งปากมดลูก HPV ฟรี, แจกผ้าอนามัยฟรี 341 โรงเรียน

ซึ่งหนึ่งในรูปที่นำมาโพสต์นั้นมีข้อความระบุว่า ‘ใช้หนี้ BTS แล้ว’ ต่อมาทางเพจ ‘รถไฟฟ้าบีทีเอส’ ได้แชร์รูปนั้นพร้อมข้อความประกอบว่า

‘หนี้ยังไม่หมดนะครั้บบบผม😁😆😅😂 #หยอกน๊าคุณน้าา’

ทั้งนี้ชาวโซเชียลได้เมนต์แสดงความเห็นไปในทางเดียวกันว่า ‘แรงมากก’ / ‘แรงเกินคุณน้า5555’ / ‘ช๊อตแรงจัด’

ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า เมื่อย้อนกลับไปวันที่ 4 เมษายน 2567 นายชัชชาติ เปิดเผยถึงความคืบหน้า การชำระหนี้ให้กับ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีทีเอสซี ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส ในงานระบบการเดินรถ (ไฟฟ้า และเครื่องกล หรือ E&M) โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายที่ 2

นายชัชชาติกล่าวว่า กทม.ได้สั่งจ่ายเช็คให้กับ บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด (เคที) ไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา ก็ถือว่า มีการกลั่นกรองอย่างละเอียด โดยสภา กทม.มีการตั้งคณะกรรมการพิจารณาจนออกเป็นข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร รวมถึงตนยังได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบความถูกต้อง ก่อนที่จะมีการจ่ายเงิน เพื่อประโยชน์สูงสุดของพี่น้องประชาชน

‘ก็หวังว่า จะสร้างความมั่นใจ จริง ๆ แล้วภาคเอกชนมีความสำคัญในการพัฒนาเมือง อนาคตจะมีผู้มาลงทุนทำโครงการต่าง ๆ เพราะงบประมาณของ กทม.อาจจะไม่เพียงพอ การสร้างความร่วมมือ การสร้างความไว้ใจซึ่งกันและกัน ความโปร่งใส และตรวจสอบได้ เป็นเรื่องสำคัญ’ นายชัชชาติกล่าว

โดยจำนวนเงินที่ชำระคืนให้กับบีทีเอส เป็นจำนวน 23,312,577,476.49 บาท

ทั้งนี้ ยังเหลือการชำระหนี้อีก 1 ก้อนคือ ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง หรือ ค่า O&M รถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายที่ 1 (อ่อนนุช-แบริ่ง และสะพานตากสิน-บางหว้า) และส่วนต่อขยายที่ 2 (แบริ่ง-สมุทรปราการ และหมอชิต-สะพานใหม่ - คูคต) ที่ทางบีทีเอสซีได้ยื่นฟ้อง ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาชั้นศาลปกครองสูงสุด วงเงินเกือบ 3 หมื่นล้านบาท ยังไม่รวมดอกเบี้ย

โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ การฟ้องครั้งที่ 1 วงเงิน 11,755.06 ล้านบาท ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาให้ กทม. และเคที ร่วมกันจ่ายหนี้ให้กับบีทีเอสซี ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด ส่วนการฟ้องครั้งที่ 2 วงเงิน 11,068.5 ล้านบาท ได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลาง เมื่อวันที่ 22 พ.ย. 2565

นอกจากนี้ กทม.อยู่ระหว่างดำเนินการรับโอนทรัพย์สินและหนี้สิน ในส่วนของงานโครงสร้างพื้นฐาน หรืองานโยธารถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายที่ 2 วงเงินรวม 65,307.08 ล้านบาท แบ่งเป็น ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ 20,967.48 ล้านบาท และช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต 44,339.60 ล้านบาท ซึ่งการดำเนินการนี้ เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อเดือน พ.ย. 2561ที่กำหนดให้ กทม.รับโอนทั้งหนี้สินและทรัพย์สินจากการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ซึ่งหนี้ก้อนนี้เป็นหนี้ทางบัญชี และเป็นหนี้ระหว่างรัฐกับรัฐ มีกระทรวงการคลังเป็นเจ้าของ

โดยนายชัชชาติเคยออกมาระบุว่า ได้ทำหนังสือตอบกลับกระทรวงมหาดไทย ขอให้ทางรัฐบาลช่วยเหลือ สนับสนุนค่าโครงสร้างพื้นฐานกว่า 6.5 หมื่นล้านบาท

‘การรถไฟฯ’ ทยอยทุบตึก ในพื้นที่พิพาท เร่งก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง ‘โคราช’

โดยบริเวณห้องแถวด้านข้างโรงแรมสีมาธานี ทางการรถไฟได้นำเครื่องจักรเข้าไปทุบ และเริ่มเคลียร์พื้นที่ในบริเวณดังกล่าวเป็นบางส่วนแล้ว ในขณะเดียวกันอาคารพาณิชย์ที่บริเวณด้านหน้าสถานีรถไฟนครราชสีมา ริมถนนมุขมนตรีนั้น ทางการรถไฟได้เริ่มทุบอาคารพาณิชย์ในบริเวณดังกล่าวแล้วเกือบหมดทุกคูหา เหลือเพียง 1 คูหา ที่ยังไม่ได้เข้าไปดำเนินการ เนื่องจากทางผู้เช่านั้นต้องการเรียกค่าชดเชยจากทางการรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งเรื่องดังกล่าวกำลังอยู่ในชั้นการพิจารณาของศาล

ขณะที่ความคืบหน้าของประชาชน ที่ได้มีการเรียกร้องให้การรถไฟแห่งประเทศไทยนั้น ได้มีการเปลี่ยนแบบแปลนของโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง บริเวณพื้นที่ตำบลโคกกรวดตลอดจนมาถึงตำบลบ้านใหม่ในพื้นที่อำเภอเมือง ซึ่งจากเดิมนั้นจะเป็นการยกระดับโดยใช้คันดิน แต่ทางประชาชนในพื้นที่นั้นเห็นว่าถ้าหากเป็นแบบคันดินนั้นจะส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ทั้งเรื่องของปัญหาน้ำท่วมและปัญหาด้านการเดินทางไปมาในพื้นที่ดังกล่าว

ซึ่งล่าสุดทาง นายประพจน์ ธรรมประทีป ตัวแทนชาวต.บ้านใหม่ อำเภอเมืองนครราชสีมา แกนนำคัดค้านการก่อสร้างทางรถไฟความเร็วสูงแบบยกคันดินสูง 5 เมตร ได้ออกมาเปิดเผยว่า ตอนนี้ทางการรถไฟแห่งประเทศไทยนั้น ยอมปรับแก้แบบแปลนจากทางยกระดับแบบคันดินมาเป็นยกระดับแบบใช้ตอม่อแล้ว หลังจากที่ตนและชาวบ้านในพื้นที่ ร่วมกันต่อสู้เรียกร้องมาตั้งแต่ปี 62 ซึ่งตนทราบมาว่า ขณะนี้งบประมาณที่จะสร้างต่อม่อนั้น กำลังเข้าสู่การพิจารณาของ ครม. ซึ่งตนมั่นใจว่าทางการรถไฟจะไม่บิดพลิ้ว หรือมีการปรับแก้แบบแปลนอีกหลังจากนี้

‘ตร.ท่องเที่ยวธนบุรี’ รุดช่วยเหลือ ‘ชาวจีน’ พลัดตกบันไดวัดอรุณฯ เร่งประสานกู้ชีพฯ นำตัวส่งรพ. ญาติผู้บาดเจ็บต่างเข้ามาขอบคุณ

(31 พ.ค.67) พ.ต.ท.จิรพัฒน์ เขียวศิริ รอง ผกก.1ฯ รรท.สวญ.สถานีตำรวจท่องเที่ยวธนบุรี พร้อมตำรวจชุดชุมชนท่องเที่ยวเข้มแข็ง S.T.C.ส.ทท.3ฯ ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ดูแลความปลอดภัยอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยว รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหารว่า มีนักท่องเที่ยวชาวจีน ชื่อ Mrs. XUN XIAOHANG อายุ 50 ปี พลัดตกบันได จึงเข้าให้การช่วยเหลือ พร้อมด้วย ร.ต.ท.สมโภชน์ พรมวงศ์ รอง สว.จร.บางกอกใหญ่ ประสานรถกู้ชีพวิชัยเวช นำส่งโรงพยาบาลสมเด็จพระเจ้าตากสิน 1 เพื่อดูอาการ ภายหลังนำส่งโรงพยาบาล นักท่องเที่ยวและญาตินักท่องเที่ยวที่เห็นเหตุการณ์ต่างเข้าขอบคุณ

พ.ต.ท.จิรพัฒน์ กล่าวว่า สำหรับการช่วยเหลือนักท่องเที่ยวทางตำรวจท่องเที่ยวถือปฏิบัติตามนโยบาย พล.ต.ท.ศักย์ศิรา เผือกอ่ำ ผบช.ทท., พล.ต.ต.มล.สันธิกร วรวรรณ ผบก.ทท.1 และ พ.ต.อ.กรฤวิศวร์ ทองศรีวานิช ผกก.1 ที่เน้นย้ำเรื่องการดูแลความปลอดภัย และช่วยเหลือนักท่องเที่ยว สร้างความมั่นใจในความปลอดภัยตั้งแต่ก้าวแรกจนก้าวสุดท้าย พบเห็นการเอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยวสามารถแจ้งได้ทางสายด่วน 1155 ตลอด 24 ชม.

'ลุงป้อม-พปชร.' ค้านสุดตัว นิรโทษฯ เหมาเข่งคดี 112 ยัน!! จุดยืนสำคัญของพรรค คือ การปกป้องสถาบันฯ

(31 พ.ค. 67) นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และรองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญ พิจารณาศึกษาแนวทางการตรา พ.ร.บ.นิรโทษกรรม สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงจุดยืนของพรรคพลังประชารัฐ ในการพิจารณาแนวทางการตรา พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่จะรวมมาตรา 112 ด้วยหรือไม่นั้น ว่า “จุดยืนของพรรคพลังประชารัฐ ภายใต้การนำของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค ตั้งแต่ต้นคือเราไม่เห็นด้วยที่จะมีการแก้ไขมาตรา 112 และไม่สนับสนุนให้มีการนำมาตรา 112 มาอยู่ในการนิรโทษกรรม เพราะหลักการที่สำคัญที่สุดของพรรคพลังประชารัฐ และ พล.อ.ประวิตร คือ การปกป้องสถาบัน เป็นสิ่งสำคัญที่สุด”

‘ในหลวง-พระราชินี’ โปรดเกล้าฯ ‘พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา’ มอบถุงพระราชทาน ช่วยเหลือผู้ประสบวาตภัย จ.อุบลราชธานี

(31 พ.ค. 67) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี ร่วมกับมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ เชิญถุงพระราชทานและเครื่องอุปโภคบริโภค จำนวน 789 ถุง ไปมอบแก่ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ซึ่งเป็นตัวแทนราษฎร เพื่อเชิญไปมอบแก่ราษฎรที่ประสบวาตภัยในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานีต่อไป และมอบแก่ราษฎรอำเภอม่วงสามสิบ ณ องค์การบริหารส่วนตำบลยางโยภาพ อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อช่วยบรรเทา ความเดือดร้อนในเบื้องต้น และเป็นขวัญกำลังใจ

ในโอกาสนี้ องคมนตรี ได้เชิญพระราชกระแสทรงห่วงใยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ไปกล่าวให้ราษฎรที่ประสบวาตภัย และเจ้าหน้าที่ได้รับทราบ ในการนี้ องคมนตรีได้ลงพื้นที่เชิญถุงพระราชทานและเครื่องอุปโภคบริโภค ไปมอบแก่ครอบครัวราษฎรที่ประสบวาตภัยในพื้นที่ตำบลยางโยภาพ อำเภอม่วงสามสิบ จำนวน 3 ครอบครัว ซึ่งเป็นผู้สูงอายุต่างปลื้มปีติและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นที่ได้รับพระราชทานพระมหากรุณา ทั้งนี้ องคมนตรี ได้พูดคุยให้กำลังใจและขอบคุณผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ และเจ้าหน้าที่ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งจิตอาสาพระราชทานในการปฏิบัติหน้าที่ให้ความช่วยเหลือประชาชนได้อย่างรวดเร็ว

ในการนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี ได้ร่วมประชุมติดตามการแก้ไขสถานการณ์การเกิดวาตภัยในพื้นที่อุบลราชธานี ณ ห้องประชุมองค์การบริหารส่วนตำบลยางโยภาพ อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้ากรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด นายอำเภอ และหัวหน้าส่วนราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม และรายงานการเกิดวาตภัย รวมทั้ง รายงานการให้ความช่วยเหลือราษฎรที่ประสบวาตภัย โดย องคมนตรี ได้กล่าวให้ทุกส่วนราชการ ยึดหลักการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ และน้อมนำพระบรมราโชบายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการให้ความช่วยเหลือราษฎรให้เป็นไปด้วยความรวดเร็ว และทั่วถึง

จังหวัดอุบลราชธานี ได้รับผลกระทบจากอิทธิพลจากพายุฤดูร้อน และร่องมรสุมพัดผ่านในพื้นที่อำเภอม่วงสามสิบ ในระหว่างเดือนเมษายน - พฤษภาคม 2567 ทำให้บ้านเรือนราษฎร สิ่งสาธารณประโยชน์ และพื้นที่ทางการเกษตรได้รับความเสียหายและได้รับผลกระทบใน 9 อำเภอ 32 ตำบล 103 หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 789 ครัวเรือน โดยจังหวัดอุบลราชธานี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เร่งดำเนินการสำรวจและให้ความช่วยเหลือราษฎร จัดหาเครื่องอุปโภคบริโภค ที่พักอาศัยชั่วคราวให้แก่ประชาชนผู้ประสบวาตภัย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น เพื่อให้ราษฎรสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติสุขโดยเร็ว ด้วยแล้ว

‘ฆาตกร’ สังหารโหดหมกคอนโด ย่านงามวงศ์วาน โดนรวบ!! หลังพยายามหลบหนีลงใต้ ล่าสุดอยู่ระหว่างนำตัวมาสอบสวน

(31 พ.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงาน จับตัวได้แล้ว คนร้ายสังหารโหด นายไพศาล อายุ 54 ปี พ่อค้าเสื้อผ้ามือสอง หมกศพไว้ในคอนโดมิเนียม ย่านงามวงศ์วาน จ.นนทบุรี คนก่อเหตุเป็นชายคนสนิท ที่พักอยู่ในห้องด้วยกัน เหตุเกิดเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคมที่ผ่านมา

จากกรณีเมื่อคืนวันที่ 26 พฤษภาคมที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองนนทบุรี ได้รับแจ้งเหตุมีผู้ถูกแทงเสียชีวิต 1 ราย ภายในคอนโดสูง 8 ชั้น ภายในห้องหนึ่ง ที่ชั้น 6 บริเวณห้องครัว พบศพนายไพศาล อายุ 54 ปี พ่อค้าเสื้อผ้ามือสอง พบบาดแผลถูกแทงด้วยของมีคมบริเวณคอ และตามร่างกายหลายแห่ง ประมาณ 10 กว่าแผล นอนจมกองเลือดอยู่ ตรวจสอบภายในห้องคาดว่าเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 4 - 5 วันนั้น

ต่อมาตำรวจได้เบาะแสชายต้องสงสัย วงจรปิดจับภาพแท็กซี่ไปเช่าโรงแรมหรู พบใช้เอกสารการเข้าพักของคนอื่น โดยเจ้าหน้าที่เร่งแกะรอยล่าตัว พบหนีไปพัทยาและไปโผล่ยัง จ.ประจวบคีรีขันธ์

เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชุดสืบสวน บก.สส.ภ.1 นำกำลังควบคุมตัวผู้ต้องสงสัย ตามภาพจากกล้องวงจรปิดของคอนโดมิเนียม โดยตามแกะรอยติดตามจนทราบว่าเป็นใคร

จากนั้นเจ้าหน้าที่สืบสวนและติดตามล็อกตัวได้ที่บ้านของคนใกล้ชิดคนหนึ่งใน อ.เมือง จ.ชุมพร ขณะหลบหนีลงภาคใต้ โดยผู้ต้องสงสัยทราบชื่อ นายภูริณัฐ อายุ 27 ปี

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน บก.สส.ภ.1 อยู่ในระหว่างการนำตัวชายต้องสงสัยที่ก่อเหตุในครั้งนี้มาสอบสวนที่ สภ.เมืองนนทบุรี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตำรวจ สภ.เมืองนนทบุรี อนุมัติหมายจับ นายภูริณัฐ อายุ 27 ปี ชาวกรุงเทพฯ เป็นอดีตนักศึกษา มหาวิทยาลัยชื่อดัง และจบโรงเรียนมัธยมชื่อดังระดับประเทศ ในข้อหาฆ่าผู้อื่นตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน หลังตำรวจชุดสืบสวน ภ.1 และตำรวจชุดสืบสวน บก.ภ.จว.นนทบุรี ติดตามจับกุมตัวได้ในพื้นที่ จ.ชุมพร

เบื้องต้นทราบว่ารู้จักคนตายมาประมาณ 1 ปี

‘จีน’ เผย รายงานความเลวร้าย ‘การละเมิดสิทธิมนุษยชน’ ในสหรัฐอเมริกา ชี้!! ความเป็น ‘เจ้าโลก’ สร้างวิกฤตเพิ่มการ 'เหยียดเชื้อชาติ-เหลื่อมล้ำ-ละเมิดสิทธิ'

เมื่อวานนี้ (31 พ.ค. 67) สำนักงานสารนิเทศของสภาแห่งรัฐจีน (China's State Council Information Office ) ออกรายงานการละเมิดสิทธิมนุษยชนในสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 29 พ.ค. 2567 โดยเปิดเผยสถานการณ์สิทธิมนุษยชนที่เลวร้ายลงของประเทศด้วยข้อเท็จจริงและตัวเลข

รายงานดังกล่าวเรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐฯ ดําเนินมาตรการที่เป็นรูปธรรมเพื่อจัดการกับปัญหาสิทธิมนุษยชน และตอบสนองต่อความคาดหวังของประชาชนชาวอเมริกัน และข้อกังวลระหว่างประเทศ

รายงานระบุว่า สถานการณ์สิทธิมนุษยชนในสหรัฐอเมริกายังคงเลวร้ายลงในปี 2566 และเสริมว่าสิทธิมนุษยชนกําลังมีการแบ่งขั้วมากขึ้นในประเทศ

ในขณะที่ชนกลุ่มน้อยที่ปกครองมีอํานาจทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม แต่คนธรรมดาส่วนใหญ่กลับถูกกีดกันมากขึ้นเรื่อย ๆ โดย ‘สิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของพวกเขาถูกเพิกเฉย’
สังเกตว่า สิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองลดลงเหลือเพียงการพูดคุยในสหรัฐอเมริการายงานนี้ดึงความสนใจไปที่ปัญหาที่เลวร้ายลงรวมถึงความรุนแรงจากปืนการต่อสู้ของพรรคพวกความโหดร้ายของตํารวจและระบบความรับผิดชอบในการบังคับใช้กฎหมายของตํารวจที่ไม่มีประสิทธิภาพการจําคุกจํานวนมากและการบังคับใช้แรงงานการแบ่งขั้วทางการเมืองการจัดการการเลือกตั้งและความน่าเชื่อถือของรัฐบาลที่ลดลง

โรคเรื้อรังของการเหยียดเชื้อชาติยังคงมีอยู่" รายงานระบุ โดยเน้นว่าชาวแอฟริกันอเมริกันเผชิญกับการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติอย่างร้ายแรงและความไม่เท่าเทียมกันในด้านต่างๆ เช่น การบังคับใช้กฎหมายและบริการทางการแพทย์

ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียประสบกับการเลือกปฏิบัติที่รุนแรงขึ้นสิทธิของชนพื้นเมืองอเมริกันถูกละเมิดอย่างต่อเนื่องและ "อุดมการณ์เหยียดเชื้อชาติกําลังแพร่กระจายอย่างรุนแรงในสหรัฐอเมริกาและทะลักข้ามพรมแดน

รายงานระบุว่า ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมที่เพิ่มขึ้นทําให้ชีวิตคนยากจนยากลําบากอย่างยิ่ง โดยตั้งข้อสังเกตว่าสหรัฐฯ ปฏิเสธที่จะให้สัตยาบันกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม สิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมถูกตีตราว่าเป็น ‘ชีสสวัสดิการ’ ในสหรัฐอเมริกา และปรากฏการณ์ของ "ความยากจนในที่ทํางาน" ก็แพร่หลาย โดยช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนกว้างขึ้นอีก

สหรัฐอเมริกายังไม่ได้ให้สัตยาบันอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ และยังคงเป็นรัฐสมาชิกสหประชาชาติเพียงประเทศเดียวที่ไม่ได้ให้สัตยาบันอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก โดยกล่าวเตือนถึงการละเมิดสิทธิสตรีและเด็กในประเทศอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันนักการเมืองได้ ‘ละทิ้งสิทธิและสวัสดิการของผู้อพยพ’

ในต่างประเทศสหรัฐอเมริกาได้ไล่ตามลัทธิเจ้าโลกมานานฝึกฝนลัทธิฝ่ายเดียวและการเมืองเชิงอํานาจและสร้างวิกฤตด้านมนุษยธรรม

ในสหรัฐอเมริกา สิทธิมนุษยชนเป็นสิทธิพิเศษที่คนเพียงไม่กี่คนได้รับเท่านั้น ปัญหาสิทธิมนุษยชนต่าง ๆ ของประเทศคุกคามและขัดขวางการพัฒนาที่ดีของสาเหตุสิทธิมนุษยชนโลกอย่างร้ายแรง รายงานระบุ

รายงานประกอบด้วยคํานํา สิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองกลายเป็นการพูดคุยที่ว่างเปล่า โรคเรื้อรังของการเหยียดเชื้อชาติ ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมที่เพิ่มขึ้น การละเมิดสิทธิสตรีและเด็กอย่างต่อเนื่อง การต่อสู้ที่บีบคั้นหัวใจของผู้อพยพที่ไม่มีเอกสาร และความเป็นเจ้าโลกของอเมริกาสร้างวิกฤตด้านมนุษยธรรม

‘BYD’ เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด รุ่นที่ 5 เพิ่มประสิทธิภาพ วิ่งได้ไกล 2,100 กิโลเมตร

เมื่อเร็ว ๆ นี้ บีวายดี (BYD) บริษัทยานยนต์พลังงานใหม่รายใหญ่ของจีน เปิดตัวเทคโนโลยีไฮบริดสองระบบ (DM) รุ่นที่ 5 สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) ซึ่งมาพร้อมระยะทางวิ่งไกล 2,100 กิโลเมตร

หวังฉวนฝู ประธานบีวายดี ซึ่งร่วมงานเปิดตัวเทคโนโลยีข้างต้นในนครซีอัน มณฑลส่านซีทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน กล่าวว่าเทคโนโลยีใหม่นี้จะช่วยให้ยานยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริดของบีวายดีก้าวเป็นผู้นำโลกในหลายด้าน

เทคโนโลยีดังกล่าวมีประสิทธิภาพทางความร้อนร้อยละ 46.06 อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 2.9 ลิตรต่อระยะทาง 100 กิโลเมตร แม้อยู่ในสถานะขาดแคลนพลังงานไฟฟ้า และระยะทางวิ่งไกล 2,100 กิโลเมตร เมื่อยานยนต์ชาร์จแบตเตอรี่เต็มและน้ำมันเต็มถัง

นอกจากนั้นบีวายดีเปิดตัวยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีใหม่ 2 รุ่น ได้แก่ ฉิน แอล ดีเอ็ม-ไอ (Qin L DM-i) และซีล 06 ดีเอ็ม-ไอ (Seal 06 DM-i) ซึ่งจะใช้เชื้อเพลิงเพียงหนึ่งในสามของยานยนต์รุ่นเก่าและมีระยะทางวิ่งเพิ่มขึ้นสามเท่า ราคา 99,800-139,800 หยวน (ราว 4.99-6.99 แสนบาท)

หวังกล่าวว่าบีวายดีเชื่อมั่นในการเป็นผู้นำการพัฒนาเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริด ในระดับโลกและส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านอันเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลก หลังจากทำยอดจำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริดสะสมมากกว่า 3.6 ล้านคัน

อนึ่ง ข้อมูลจากสมาคมผู้ผลิตยานยนต์แห่งประเทศจีนระบุว่ายอดการผลิตและจำหน่ายยานยนต์พลังงานใหม่ของจีน ช่วงเดือนมกราคม-เมษายนของปีนี้ รวมอยู่ที่ 2.985 ล้านคัน และ 2.94 ล้านคัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 30.3 และร้อยละ 32.3 เมื่อเทียบปีต่อปี

‘ไรเดอร์แม่สู้ชีวิต’ กระเตง ‘ลูก’ ส่งอาหาร ท่ามกลางสายฝนที่กระหน่ำ เปิดใจ!! ได้กำไรแค่วันละร้อย ต้องหอบลูกน้อยซ้อนท้าย เพราะไม่มีคนช่วยเลี้ยง

(1 มิ.ย. 67) ภาพของไรเดอร์หญิงขี่มอเตอร์ไซค์ส่งอาหาร โดยที่มีเด็กหญิงซ้อนท้ายมาด้วย ท่ามกลางสายฝนที่ตกอย่างกระหน่ำ และรถติดหนึบตลอดเส้นทาง จากนั้นแม่ก็ถอดเสื้อไรเดอร์มาห่มให้ลูก 

ภาพนี้ได้สร้างความสงสาร และความสะเทือนใจให้กับผู้ที่ได้เห็น ในสภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำ คนเป็นแม่ต้องทำทุกวิถีทาง เพื่อหาเลี้ยงครอบครัว และยิ่งยากไปกว่าเดิม หากต้องเลี้ยงลูกน้อยโดยไม่มีคนช่วย จนต้องพาลูกออกมานั่งรถไปส่งอาหารด้วยกัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top