Tuesday, 6 May 2025
TheStatesTimes

‘เกณิกา’ ใส่ชุดใหญ่ ‘รังสิมันต์ โรม’ พูดเอามัน ตีกินไปวันๆ ‘มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ’ ยัน!! รัฐบาลพร้อมบริหารประเทศ ใช้คนมีประสบการณ์ ย่อมเป็นประโยชน์แก่ ปชช.

(1 มิ.ย.67) น.ส.เกณิกา อุ่นจิตร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการที่นายรังสิมันต์ โรม สส.พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ระบุถึงการที่ท่านนายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน แต่งตั้งนายวิษณุ เครืองาม เป็นที่ปรึกษาของนายกฯ เพราะขาดมือกฎหมาย ไม่มีความพร้อมในการบริหารราชการแผ่นดิน ว่า ไม่เป็นความจริงเหมือนที่นายรังสิมันต์พูดอย่างแน่นอน รัฐบาลมีความพร้อมในการบริหารงานอย่างเต็มที่ นโยบายหลายเรื่องมีความคืบหน้าอย่างเห็นได้ชัด การทำงานร่วมกันระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล มีความเหนียวแน่นเป็นเอกภาพ ให้เกียรติซึ่งกันและกัน การที่ สส.ฝ่ายค้าน พูดเช่นนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจกับความพยายามดิสเครดิตรัฐบาล สร้างความสับสน บั่นทอนความเชื่อมั่น

น.ส.เกณิกากล่าวว่า การที่บอกว่านายกฯ และรัฐบาลไม่พร้อมบริหารประเทศนั้น คงเป็นความเข้าใจผิดของนายรังสิมันต์คนเดียว หรืออาจแกล้งไม่เข้าใจ เพราะมักจะพูดเอามัน ตีกินไปวันๆ ที่ผ่านมา พรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรค ต่างเคยเป็นรัฐบาลบริหารประเทศมาแล้วทั้งสิ้น มีผลงานที่ประชาชนจับต้องได้ มีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถในแต่ละด้าน ถ้าไม่พร้อมคงไม่มีใครเสนอตัวลงสนามเลือกตั้งอยู่แล้ว นายกฯ เองก็มุ่งมั่นทำงานอย่างเต็มที่ เพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน

“ดิฉันเคารพบทบาทของนายรังสิมันต์ โรม แต่ก็อยากให้ใจกว้างเหมือนท่านนายกฯ เพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้าไปได้ แม้จะรู้ว่าการแต่งตั้งนายวิษณุ จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมา แต่ท่านมองเรื่องบ้านเมืองเป็นหลัก การเอาคนที่มีประสบการณ์เข้ามาช่วยงานให้บ้านเมือง ย่อมเป็นประโยชน์กับประชาชนมากกว่าการคำนึงถึงแต่เรื่องการเมือง ดังนั้น การมัวแต่มานั่งจับผิดรัฐบาลใช้ปากทำงาน ชี้นิ้วไปมาอย่างเดียว คนจะมองว่ามือไม่พายเอาเท้าราน้ำ” น.ส.เกณิกากล่าว

‘มทร.พระนคร’ เข้ารับธงเป็นเจ้าภาพ จัดการประชุมระดับชาติ ‘EENET2025’ เน้น!! สร้างนวัตกรรม-เทคโนโลยี เพื่อการวิจัยพัฒนาท้องถิ่น สร้างเศรษฐกิจสู่ชุมชน

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่โรงแรมอัศวรรณหนองคาย อ.เมือง จ.หนองคาย รศ.ดร.นัฐโชติ รักไทยเจริญชีพ รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการและพัฒนาคณาจารย์ พร้อมด้วย ผู้บริหาร คณาจารย์ บุคลากรของ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร (มทร.พระนคร) ยกทีมเข้าร่วมรับธง EENET ในการรับเป็นเจ้าภาพ EENET2025 อย่างเป็นทางการ

สืบเนื่องจากการที่ มทร.พระนคร ได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมวิชาการระดับชาติ ‘การประชุมวิชาการเครือข่ายวิศวกรรมไฟฟ้า ครั้งที่ 17 (EENET2025)’ ในปี พ.ศ.2568 ซึ่งจะจัดขึ้น ณ เฮอริเทจ แกรนด์ คอนเวนชั่น อ.เมือง จ.ระนอง ระหว่างวันที่ 28-30 พ.ค.2568 

โดยทั้งนี้ การประชุมวิชาการ EENET ถือเป็นการประชุมวิชาการที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมการประชุมได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนการวิจัยระหว่างนักวิจัย และนักวิชาการทางด้านวิศวกรรมไฟฟ้าที่มาจากสถาบันต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยธีมงานการประชุมวิชาการ EENET ในครั้งที่ 17 จะจัดขึ้นในหัวข้อการวิจัยที่ว่า ‘การสร้างนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการวิจัยมาพัฒนาท้องถิ่นสร้างเศรษฐกิจสู่ชุมชน’

‘กรังด์ปรีซ์’ จับมือ ‘ฮอนด้า’ สานต่อความเร้าใจ ‘ฮอนด้า วันเมคเรซ’ ปีที่ 4 เพิ่มความสนุก!! ด้วยการแข่ง ‘ฮอนด้า คลับ’ เพื่อเอาใจสาวกเครื่อง ‘วี-เทค’

เมื่อวานนี้ (31 พ.ค.67) ‘กรังด์ปรีซ์ มอเตอร์สปอร์ต’ โปรโมเตอร์ความเร็วยักษ์ใหญ่ของเมืองไทย จัดงานแถลงข่าว ประกาศสานต่อความมัน รถยนต์ทางเรียบ ‘ฮอนด้า วันเมคเรซ 2024’ ถือเป็นการเดินหน้าระเบิดความมันเป็นปีที่ 4 ติดต่อกันอย่างยิ่งใหญ่ ภายใต้ความร่วมมือจากผู้สนับสนุนหลักอย่างล้นหลาม

ในงานแถลงข่าว นายอโณทัย เอี่ยมลำเนา ในฐานะประธานจัดการแข่งขัน ฮอนด้า วันเมคเรซ เปิดเผยถึงความสดใหม่ในฤดูกาลนี้ที่เพิ่มเติมเข้ามา โดยมีผู้บริหารจาก บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท บุญรอด บริวเวอร์รี่ จำกัด, บริษัท บี-ควิก จำกัด, บริษัท ฮอนด้า แอคเซส เอเชีย แอนด์ โอเชียเนีย จำกัด, บริษัท ริชไวส์มาร์เก้ตติ้ง จำกัด, บริษัท โยโกฮาม่า ไทร์ เซลล์ (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท เอส 63 โปรเจค จำกัด และ บริษัท บี.เค.เรซซิ่ง คลัทช์ จำกัด เข้าร่วมเป็นสักขีพยาน

‘ฮอนด้า วันเมคเรซ 2024’ นับเป็นการแข่งขันฤดูกาลที่ 4 ติดต่อกัน โดยในปีนี้ กรังด์ปรีซ์ มอเตอร์สปอร์ต ฝ่ายจัดการแข่งขันฯ ได้เพิ่มความสดใหม่เข้ามา ด้วยการอัปเกรดรถแข่ง 'ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก วันเมคเรซ' ให้เป็นระบบเกียร์ธรรมดา เพื่อเพิ่มความมันและเร้าใจให้กับเกมการแข่งขัน และยังมีรถ 'เกียร์อัตโนมัติ' อยู่ในเรซด้วยเช่นกัน โดยแชมป์ประจำปี จะได้สิทธิ์ไปแข่งขันในประเทศญี่ปุ่น ในรายการ ‘Super Taikyu’ แบบไม่มีค่าใช้จ่าย

ขณะเดียวกัน จากเสียงเรียกร้องของ แฟน ๆ รถยนต์ฮอนด้า ก็ได้มีการเพิ่มการแข่งขันในรุ่น ‘ฮอนด้า คลับ’ เข้ามาด้วย เพื่อให้สาวกได้สมัครเข้าร่วมดวลความเร็ว และสัมผัสประสบการณ์ในสนามแข่งระดับโลกอย่าง สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ ที่ผ่านการแข่งขันทั้ง โมโตจีพี และ เวิลด์ ซูเปอร์ไบค์ แชมเปี้ยนชิพ รวมถึง ซูเปอร์จีที มาแล้ว นอกจากนี้ยังมีสนามสุดพิเศษอย่าง ‘พีที สงขลา สตรีท เซอร์กิต ที่มีความสวยงามเป็นอย่างมาก

นายอโณทัย เอี่ยมลำเนา ประธานจัดการแข่งขันกล่าวว่า "เรามีความยินดีที่ได้ประกาศว่า กรังด์ปรีซ์ มอเตอร์สปอร์ต จะเดินหน้าสานต่อการแข่งขัน ฮอนด้า วันเมคเรซ ในปี 2024 โดยมีการเพิ่มเติมความเร้าใจให้กับแฟนๆ และนักแข่งทุกคนที่เข้าร่วมการแข่งขัน ด้วยรถแข่ง ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก วันเมคเรซ ที่มีการอัพเกรดจากเกียร์อัตโนมัติมาเป็น เกียร์ธรรมดา โดยหลังการทดสอบและพัฒนา เราได้เห็นว่ารถแข่งมีศักยภาพที่สูงขึ้นอย่างชัดเจน"

การเปลี่ยนแปลงนี้สร้างความเร็วต่อรอบที่ยอดเยี่ยมมาก ด้วยปัจจัยนี้จะทำให้การขับเคี่ยวในสนามมีความเข้มข้นอย่างสูง อย่างไรก็ดี ในการแข่งขัน ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก วันเมคเรซ เราจะยังคงมีรถเกียร์อัตโนมัติเช่นเคย และเสริมความมันในรุ่น เกียร์ธรรมดาเข้ามา ซึ่งความพิเศษในปีนี้คือ นักแข่งที่สร้างผลงานยอดเยี่ยมต่อเนื่องจนคว้าแชมป์ประจำปี จะได้สิทธิ์ไปแข่งขันในประเทศญี่ปุ่นแบบฟรีๆ ในรายการ ‘Super Taikyu’

นอกจากนี้ นายอโณทัย ยังกล่าวถึงการเสริมความมันของการแข่งขัน ‘ฮอนด้า คลับ’ เข้ามาในฤดูกาลนี้ว่า มีเสียงเรียกร้องมาหลายปีแล้วเกี่ยวกับการแข่งขันแบบ คลับเรซของ ฮอนด้า ซึ่งเราเล็งเห็นว่าประสบการณ์ในสนามแข่งจะทำให้ผู้ขับขี่ ที่มีความชื่นชอบกีฬามอเตอร์สปอร์ตได้สัมผัสความเร้าใจและเข้าใจในเกมการแข่งขันมากขึ้น โดยอดีตที่ผ่านมา มีนักแข่งแถวหน้าของไทยหลายคนเริ่มต้นจากจุดนี้ ดังนั้นเราจึงเพิ่มเติมการแข่งขัน ฮอนด้า คลับ เข้ามาในปฏิทินฤดูกาล 2024 อยากขอเชิญชวนสาวกฮอนด้า ที่มีใจรักกีฬาความเร็ว เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของความมันส์ครั้งนี้

สำหรับ ศึก ฮอนด้า วันเมคเรซ 2024 จะดวลความเร็วทั้งสิ้น 8 สนาม 4 อีเวนต์
โดยมีตารางแข่งขันดังนี้ :
อีเวนต์ 1 : วันที่ 6-9 มิถุนายนนี้ 2024, สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์
อีเวนต์ 2 : วันที่ 22-23 มิถุนายนนี้ 2024, สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์
อีเวนต์ 3 : วันที่ 29 สิงหาคม -1 กันยายน 2024 , สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์
อีเวนต์ 4 : วันที่ 17-20 ตุลาคม 2024,     สนามพีที สงขลา สตรีท เซอร์กิต จ.สงขลา

‘สนค.’ เผย ‘ตลาดโซลาร์เซลล์’ กำลังขยาย ทั่วโลกหันไปใช้ ‘พลังงานแสงอาทิตย์’ ชี้!! ไทยมีโอกาสก้าวขึ้นไปเป็น 1 ใน 3 ประเทศส่งออกโซลาร์เซลล์สูงสุดของโลก

(1 มิ.ย.67) สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ระบุว่า ปัจจุบันความต้องการใช้พลังงานสะอาด หรือ พลังงานทดแทน กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจัยที่เร่งให้ทั่วโลกลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิลและเกิดการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานโลก (Energy Transition) อาทิ สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางพลังงาน 

การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์มีการใช้งานอย่างแพร่หลายมากขึ้น เห็นได้จาก กำลังการผลิตพลังงานทดแทนของโลกเพิ่มขึ้น โดยในปี 2023 อยู่ที่ 507 กิกะวัตต์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 50 จากปี 2022 โดยเป็นสัดส่วนจากพลังงานแสงอาทิตย์ถึง 3 ใน 4 ของการผลิตพลังงานทดแทนทั้งหมด และคาดการณ์ว่าในปี 2025 สัดส่วนการผลิตพลังงานทดแทนจะคิดเป็นร้อยละ 35 ของการผลิตไฟฟ้าทั่วโลก โดยมีจีนเป็นผู้นำด้านกำลังการผลิตโซลาร์เซลล์ของโลก ซึ่งในปี 2023 มีกำลังการผลิตอยู่ที่ประมาณ 450 กิกะวัตต์ เพิ่มขึ้นจากปี 2022 ถึงร้อยละ 116 และมีแผนที่จะขยายการลงทุนโรงงานโซลาร์เซลล์ไปยังเวียดนามกว่า 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อขยายการผลิตให้มากขึ้น โดยคาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในปี 2025 

ข้อมูลจากบริษัทวิจัยการตลาด Zion Market Research เปิดเผยว่า ในปี 2022 ตลาดโซลาร์เซลล์ทั่วโลกมีมูลค่า 90,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะเติบโตเป็น 215,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2030 ด้วยอัตราเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 11.5 สำหรับด้านการนำเข้าแผงโซลาร์เซลล์ รายงาน S&P Global Market Intelligence แสดงให้เห็นว่า สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่นำเข้าแผงโซลาร์เซลล์สูงสุดของโลก ในปี 2023 โดยนำเข้าแผงโซลาร์เซลล์มากถึง 54 กิกะวัตต์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 82 จากปี 2022 โดยส่วนใหญ่นำเข้าจากจีน และประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมทั้งไทย

พูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (ผอ.สนค.) กระทรวงพาณิชย์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า สำหรับประเทศไทย ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี คาดการณ์ว่าอัตราค่าไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้นและการทำงานรูปแบบ Work From Home จะส่งผลให้มูลค่าตลาดโซลาร์เซลล์ในไทยเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงปี 2022-2025 จะเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 22 ต่อปี จนมีมูลค่า 67,268 ล้านบาท ในปี 2025 นอกจากนี้ มูลค่าการผลิตโซลาร์เซลล์ในไทย ปี 2023 อยู่ที่ 6,147.53 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโต ร้อยละ 184.35 จากปี 2022 (2,161.95 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และมูลค่าการส่งออกโซลาร์เซลล์ของไทย ปี 2023 อยู่ที่ 4,433.11 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโตร้อยละ 80.87 จากปี 2022 (2,451.01 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) มูลค่าการส่งออกของไทยคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 5 ของการส่งออกโซลาร์เซลล์ในตลาดโลก

ซึ่งไทยครองส่วนแบ่งอันดับที่ 4 ของโลก รองจากจีน (55,857.19 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนร้อยละ 63) เนเธอร์แลนด์ (9,752.84 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนร้อยละ 11) และมาเลเซีย (5,319.73 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนร้อยละ 6) โดยตลาดส่งออกสำคัญของไทย คือ สหรัฐอเมริกา มูลค่า 3,223 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (สัดส่วนร้อยละ 75) เวียดนาม มูลค่า 495 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (สัดส่วนร้อยละ 11) อินเดีย มูลค่า 232 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (สัดส่วนร้อยละ 5) และจีน มูลค่า 175 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (สัดส่วนร้อยละ 4) โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาที่มีการเติบโตมากถึงร้อยละ 144.35 จากปี 2022

นอกจากภาคการผลิตและการค้าแผงโซลาร์เซลล์ที่กำลังเติบโตแล้ว ไทยยังมีนโยบายกระตุ้นตลาดภายในประเทศ ที่ส่งเสริมให้เกิดการใช้แผงโซลาร์เซลล์ทั้งในภาคธุรกิจและครัวเรือนมากขึ้น อาทิ โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา (Solar PV Rooftop) สำหรับภาคประชาชนประเภทบ้านที่อยู่อาศัย หรือ โครงการ Solar ภาคประชาชน ส่งเสริมให้ครัวเรือนสามารถผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เองภายในบ้านได้ และไฟฟ้าส่วนที่เหลือจากที่ใช้งาน การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) จะรับซื้อ 2.20 บาท/หน่วย เป็นระยะเวลา 10 ปี 

และการดำเนินงานแก้ไขกฎหมาย ให้ภาคธุรกิจสามารถติดตั้ง Solar Rooftop ที่มีกำลังการผลิตเกินกว่า 1,000 กิโลวัตต์ได้ โดยไม่เข้าข่ายโรงงานที่ต้องขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการไฟฟ้า เพื่อปลดล็อกให้ภาคอุตสาหกรรม ภาคธุรกิจ ศูนย์การค้า โรงแรม และภาคบริการ สามารถใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยลดต้นทุนในการประกอบธุรกิจ แต่ยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้ โดยข้อมูลจากสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รายงานว่า การติดตั้งโซลาร์เซลล์ 10 แผง (1 กิโลวัตต์) เทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ประมาณ 101 ต้น ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 901.3 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์

จากบริบทการเติบโตของภาคพลังงานทดแทน โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ จึงเป็นโอกาสที่ผู้ประกอบการไทยจะสามารถขยายส่วนแบ่งในตลาดโลก และก้าวขึ้นไปเป็น 1 ใน 3 ของประเทศที่มีมูลค่าการส่งออกโซลาร์เซลล์สูงสุดของโลก โดยผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญต่อการศึกษากฎระเบียบ ข้อกำหนด มาตรการของประเทศคู่ค้า ยกระดับคุณภาพสินค้าให้สอดคล้องกับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ระดับสากล และขยายกำลังการผลิตรองรับความต้องการที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ยังเป็นโอกาสของภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนที่สามารถผลิตและใช้ไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนพลังงาน และยกระดับระบบพลังงานไฟฟ้าไทยให้มีความเสถียรในระยะยาว ทั้งนี้ หน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนสามารถบูรณาการความร่วมมือกัน ทั้งด้านการสนับสนุนข้อมูลการค้าและแนวโน้มเศรษฐกิจ ที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดพลังงานแสงอาทิตย์ การรักษาตลาดเดิมและเพิ่มตลาดใหม่ การหาแหล่งเงินทุน และการจัดหาเทคโนโลยีใหม่ที่ช่วยในการผลิต เพื่อส่งเสริมการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการไทย ท่ามกลางบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลงไป 

‘แพท วง Klear’ วอน ผู้ประกอบการร้านอาหาร-ผับ-บาร์ เห็นใจ ‘คนไม่สูบบุหรี่’ หลังขึ้นเล่นคอนเสิร์ต แล้วมองลงมา เห็นแฟนเพลงต้องจำใจ สูดควันพิษเข้าปอด

(1 มิ.ย.67) ผู้ใช้เฟซบุ๊ก ‘Patklear’ หรือ ‘แพท’ นักร้องสาวชื่อดังของวง Klear ได้ออกมาโพสต์ข้อความ หลังตนเองไปเล่นคอนเสิร์ต แห่งหนึ่งที่มีผู้ชมกว่า 1 พันคน แต่กลับโดนรมด้วยควันบุหรี่ โอดสงสารผู้ชมรายอื่น ๆ ที่ต้องมานั่งสูดควันพิษเข้าปอด ทั้งนี้ เจ้าตัวได้ระบุข้อความว่า …

คืนนี้วง Klear ไปโดนรมควันบุหรี่หนักมากพร้อมคนดูพันกว่าคนมา รับวันงดสูบบุหรี่โลกเลยค่ะ หนาแน่นแบบมองลงไปเห็นเป็นหมอกควันมองคนดูแทบไม่ชัด สงสารทั้งตัวเอง สงสารคนดูที่จ่ายเงินมาดูวงที่ตัวเองชอบพร้อมกับรับสารพิษไปเต็มปอด

ด้วยความเคารพ ถึง 95% ของผู้ประกอบการร้านอาหาร ผับ บาร์ ที่เคยไปเล่นดนตรีมา ทุกที่น่ารักมาก ดูแลเรื่องนี้ให้อย่างดี รัดกุม แพทไปทำงานได้เต็มที่ ร้องเพลงได้เต็มที่ คนดูก็สนุกได้เต็มที่ ขอบคุณมาก ๆ นะคะ

ส่วนอีก 5% ที่เหลือ ถ้ากฎหมายทำอะไรคุณไม่ได้ในบ้านเมืองนี้ ก็ได้โปรดใช้หัวใจทำธุรกิจด้วยนะคะ คนเกินครึ่งแน่นอนที่ไปดูคอนเสิร์ตเพื่อฟังดนตรี มามีความสุขกับคนที่เค้ารัก เอาเงินมาจ่ายให้คุณ แต่คุณรมควันบุหรี่สารพิษใส่ลูกค้าทุกคน

คืนนี้แพทร้องเพลงไป ขอโทษทุกคนไปเพราะผ่านไปสามเพลงแพทเสียงแหบ ทุกลมหายใจเข้าออกมีแต่ควัน บางช่วงน้ำตาแทบจะไหล ถ้าเป็นบางคนเค้าคงยกเลิกงานเดินลงเวทีไปแล้ว แต่แพททำไม่ได้ คนมารอเจอเราเป็นพันคน แพททำไม่ลงหรอกค่ะ

แพทมั่นใจว่าจรรยาบรรณและความรักในอาชีพของแพทและวง Klear ทุกคนมีอยู่สูงมาก แล้วจรรยาบรรณในการทำธุรกิจคุณมีแค่ไหน ความเห็นอกเห็นใจต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเป็นอย่างน้อยที่ต้องมีนะคะ

ด้วยรักและความเป็นห่วงสุขภาพปอดของพนักงานทุกคนของคุณด้วย 

3 ประเทศในกลุ่มอาเซียนที่ไม่ได้ฟรีวีซ่า 60 วันจากทางการไทย หวั่น!! ทะลักไหลเข้ามาทำงาน แบบทัวร์ไทยในเกาหลี

เมื่อวันที่ 28 พ.ค.67 ที่ผ่านมา ครม. ได้เห็นชอบมาตรการ 'วีซ่าฟรี' 93 ประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกการตรวจลงตราเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของประเทศไทย โดยสามารถพำนักในประเทศไทยไม่เกิน 60 วัน (ผ.60) เป็นมาตรการฝ่ายเดียวของไทย ซึ่งมีหลายประเทศ รวมทั้งประเทศในกลุ่มอาเซียนให้รับสิทธิด้วย แต่จะยกเว้นก็แค่ ลาว, กัมพูชาและเมียนมา  

ทีนี้ถ้าให้ เอย่า ลองวิเคราะห์ถึงเหตุผลว่าทำไม 3 ประเทศนี้ จึงหลุดโผการได้ฟรีวีซ่าในครั้งนี้ คงไม่ได้มาจากประเด็นอำนาจการใช้จ่าย ที่หลายท่านอาจจะคิดว่า นักท่องเที่ยวจาก 3 ประเทศนี้ คงเข้ามาจริง ๆ ไม่มาก และจับจ่ายใช้สอยน้อยแน่ ๆ

เพราะจากข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพบว่า ในปีที่แล้วมีนักท่องเที่ยวที่มาจากประเทศทั้ง 3 ประเทศไม่น้อยเลย

จากสถิติจำนวนนักท่องเที่ยวในปี 2566 พบว่า...

- นักท่องเที่ยวจากลาว มาไทย ทั้งสิ้น 486,382 คน เฉลี่ยพักอาศัยในไทย 10.45 วัน มีการใช้จ่ายต่อคนต่อวันประมาณ 4,216.64 บาท 

- นักท่องเที่ยวกัมพูชา มาไทย ทั้งสิ้น 466,917 คน เฉลี่ยพักอาศัยในไทย 6.42 วัน มีการใช้จ่ายต่อคนต่อวันประมาณ 4,302.53 บาท 

- นักท่องเที่ยวชาวเมียนมา มาไทย ทั้งสิ้น 208,014 คน เฉลี่ยพักอาศัยในไทย 9.74 วัน มีการใช้จ่ายต่อหัวต่อวันตก 4,222.01 บาท

...และเมื่อเทียบกับประเทศในกลุ่มอาเซียนด้วยกันแล้ว นักท่องเที่ยวที่มาไทยจำนวนน้อยสุดในปี 2566 คือนักท่องเที่ยวจากบรูไน และใช้จ่ายต่อหัวต่อวันแค่เพียง 1,885.56 บาท เท่านั้น

ฉะนั้นประเด็นนี้ จึงไม่น่าใช่!!

แต่เมื่อพิจารณาจากหลายๆ มุมแล้ว สิ่งที่ทำให้ทาง ครม.ไทย น่าจะนำมาพิจารณาจำกัดสิทธิให้ ลาว, กัมพูชาและเมียนมา เพราะคงกังวลว่าจะถูกใช้เป็นช่องทางในการเข้ามาหางานทำในประเทศไทย ดังเช่นที่เกิดขึ้นกับทัวร์ไทยในประเทศเกาหลี

เพราะในเดือน เม.ย.67 ที่ผ่านมา มีแรงงานต่างด้าวในไทยที่ขึ้นทะเบียนกับกรมการจัดหางานอยู่ที่ประมาณ 3.3 ล้านคน ซึ่งเป็นจำนวนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับสภาพการณ์ที่เห็นในปัจจุบันที่แรงงานต่างด้าวเข้าไปอยู่ในทุกจุดของประเทศ ตั้งแต่ตลาดสดจนถึงโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่

‘เอ็ดดี้ อัษฎางค์’ โพสต์เฟซถึง ‘โม’ ที่ตามเทรนด์สามกีบ ไปอยู่ออสเตรเลีย เพื่อหนีลุงตู่ หลัง ‘ย้ายประเทศ’ ไปไม่สวยงาม โอด ‘ค่าครองชีพสูง-งานหายาก-มีแต่ความเครียด’

(1 มิ.ย.67) นายอัษฎางค์ ยมนาค หรือ ‘เอ็ดดี้’ นักวิชาการอิสระ ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก เกี่ยวกับ ‘โม’ สาวไทยที่ตามเทรนด์ ย้ายประเทศไปอยู่ที่ ‘ออสเตรเลีย’ ตามกระแสคนรุ่นใหม่ที่อยากย้ายถิ่นฐานไปต่างประเทศ โดยเฉพาะในช่วงรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จากการปลุกปั่นยุยงด้วยการบิดเบือนข้อเท็จจริงของ ‘ขบวนการสามกีบ’ ว่าเมืองไทยมีโครงสร้างทางสังคมและการปกครองที่มีปัญหาความเหลื่อมล้ำ การกดขี่ โดยได้ระบุว่า ...

ย้ายภพภูมิกันเถอะ

คนธรรมดามาอยู่ออสเตรเลียได้
แต่สามกีบ ไปอยู่ที่ไหนในโลกก็ไม่ได้
เพราะปัญหาไม่ได้อยู่ที่ประเทศ (ไทย, ออสเตรเลีย หรือประเทศอื่นๆ) แต่อยู่ที่ทัศนคติและความเป็นคนมีปัญหาของตนเอง

โม สาวไทยที่ตามเทรนด์ย้ายประเทศไปอยู่ออสเตรเลีย โอดครวญว่า ชีวิตลำบากด้วยค่าเช่าห้องขนาดเล็กเดือนละ 38,000 บาท และต้องแชร์ห้องพักกับรูมเมทคนอื่น 

ผมขออนุญาตไม่ได้จะโอ้อวดแต่อยากเล่าเป็นข้อมูลว่า สมัยก่อนตอนผมถือวีซ่านักเรียน ผมเคยเช่าบ้านเดือนละประมาณ 8 หมื่นบาท โดยไม่ได้หารค่าเช่าหรือให้ใครมาแชร์บ้านและค่าเช่าด้วย ก็ยังมีชีวิตอยู่ในออสเตรเลียมาได้กว่า 20 ปีจนถึงปัจจุบัน

ดังนั้น ปัญหาที่น้องโมเล่ามา เป็นประสบการณ์ที่ดีที่ช่วยเปิดหูเปิดตา เปิดเผยความจริงบางอย่างว่า กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่โดนหลอกว่าเมืองไทยมีแต่ปัญหาจนต้องคิดย้ายประเทศนั้น เป็นเรื่องที่ถูกปลุกปั่นด้วยการบิดเบือนข้อเท็จจริง 

แต่การที่จะอยู่ที่ไหนไม่ได้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกเท่านั้น แต่ปัญหาใหญ่นั้นอยู่ที่ทัศนคติและลักษณะนิสัยของแต่ละคนเป็นหลัก คนที่คิดว่าชีวิตมีแต่ปัญหาอยู่ที่ไหนก็มีแต่ปัญหา และอยู่ที่ไหนก็อยู่ไม่ได้

เทรนด์ ‘ย้ายประเทศกันเถอะ’ เคยสร้างกระแสคนรุ่นใหม่อยากย้ายถิ่นฐานไปต่างประเทศ (โดยเฉพาะในช่วงรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา) จากการปลุกปั่นยุยงด้วยการบิดเบือนข้อเท็จจริงของขบวนการสามกีบ ว่าเมืองไทยมีโครงสร้างทางสังคมและการปกครองที่มีปัญหาความเหลื่อมล้ำ การกดขี่

Spring News รายงานว่า ‘โม’ พนักงานในองค์กรเอกชนเพื่อสาธารณประโยชน์ (NGO) คือหนึ่งในคนที่ต้องการย้ายประเทศ และได้ย้ายไปออสเตรเลีย ด้วยวีซ่า Work and Holiday ในปี 2566

ออสเตรเลียในจินตนาของเธอนั้นเป็นประเทศแห่งโอกาส ใครๆ ก็สามารถเติบโตในหน้าที่การงานได้ถ้าขวนขวาย ค่าแรงขั้นต่ำของออสเตรเลียสูงที่สุดในโลก

เธอเล่าให้ SPRiNG ฟังถึงประสบการณ์ย้ายประเทศในมุมที่ไม่ได้สวยงามเหมือนที่หลายคนคิด

เมื่อไปอยู่ที่นั่น กลับต้องเจอกับอุปสรรคอื่นๆ ได้แก่ เรื่องวัฒนธรรมและความสัมพันธ์ที่คนที่โน่นจะมีกำแพงในการพัฒนาความสัมพันธ์ ส่วนใหญ่จะเป็นได้แค่คนรู้จัก (Acquaintance) แต่พัฒนาเป็นเพื่อนหรือแฟนได้ยาก

นอกจากนี้ค่าครองชีพก็สูง ราคาอาหารอย่างต่ำมื้อละ 400 บาท ค่าเช่าห้องขนาดเล็กเดือนละ 38,000 บาท และต้องแชร์ห้องพักกับรูมเมทคนอื่น 

ขณะเดียวกันการหางานในออสเตรเลียก็ยาก ประกอบกับค่าครองชีพที่สูงทำให้คนส่วนใหญ่ต้องมีงานมากกว่า 2 งานถึงจะอยู่รอด และสำหรับผู้อพยพ การได้งานประจำเป็นเรื่องยาก 

ยิ่งไปกว่านั้น การต่อวีซ่า ขอสถานะผู้พำนักถาวร และการขอสถานะพลเมืองก็มีเงื่อนไขที่ยากขึ้นกว่าอดีต เพราะพลเมืองในออสเตรเลียที่มากขึ้นจนทำให้ค่าครองชีพขึ้นสูง รัฐบาลจึงเพิ่มเงื่อนไขมากขึ้น

โม กล่าวว่า ออสเตรเลียเป็นประเทศน่าเที่ยว แต่ตอนนี้ถ้าให้ไปอยู่ใช้ชีวิต คงไม่เอา เพราะภาวะความเครียดเคยทำให้หลายคนอยากจบชีวิตตัวเองที่นั่น รวมทั้งตัวเธอด้วย

ผู้ช่วย ผบ.ตร. เตือนขับขี่จักรยานยนต์ยกล้อซิ่ง ผิดกฎหมาย ล่าสุดศาลสั่งปรับหนักและริบรถบิ๊กไบค์ยกแก๊ง

วันนี้ (1 มิ.ย.67) พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานป้องกันและปราบปรามการขับขี่รถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น แข่งรถในทางและความผิดอื่นที่เกี่ยวข้องของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะทำงานฯ ได้วางแนวทางการดำเนินคดีอย่างเข้มงวดในกรณีขับขี่รถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ทั้งของตนเองและผู้อื่น และขับเคลื่อนงานแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ที่ได้รับผลกระทบจากการขับขี่รถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย รวมทั้งการโพสต์ชักชวน เชิญชวนบนสื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ และการรวมตัวกันบนท้องถนนที่สร้างความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชน

ล่าสุดมีกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจงานศูนย์ควบคุมจราจรวิภาวดี-รังสิต/ทางพิเศษ ได้รับแจ้งจากประชาชนว่ามีการเผยแพร่ในโลกโซเชียล เป็นคลิปคนขับชี่รถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์พร้อมคนซ้อนท้ายในลักษณะการยกล้อ ซึ่งเป็นการขับรถในลักษณะประมาทหวาดเสียวและไม่คำนึงถึงความปลอดภัย บนถนนวิภาวดี ซึ่งเป็นถนนสาธารณะเส้นหลักในการเข้าออกกรุงเทพมหานคร ที่มีรถปริมาณมากตลอดเวลา อาจจะเกิดอันตรายแก่ผู้ร่วมใช้ทางคนอื่นได้ ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดในพื้นที่รับผิดชอบ พบว่าหลังจากเลิกรวมกลุ่มจักรยานยนต์ กลุ่มนี้ได้ขับขี่เข้าถนนวิภาวดี บริเวณสามเหลี่ยมดินแดง ซึ่งมีผู้ใช้ทางจำนวนมาก จากนั้นได้มีรถจักรยานยนต์จำนวน 3 คัน ขับขี่ในลักษณะยกล้อ ส่วนบางคันที่ไม่ได้ขับขี่ยกล้อ จะทำหน้าที่ถ่ายคลิปวิดีโอรถจักรยานยนต์คันที่ยกล้อ

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจงานศูนย์ควบคุมจราจรวิภาวดี-รังสิต/ทางพิเศษ ได้ออกหมายเรียกผู้ขับขี่ ผู้ซ้อนท้าย พร้อมรถจักรยานยนต์ในวันเกิดเหตุของกลุ่มรถจักรยานยนต์ดังกล่าว มาแจ้งข้อกล่าวหาและนำตัวส่งฟ้องศาลแขวงพระนครเหนือ โดยผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ในลักษณะยกล้อ 3 คน คือ นายธีระพงษ์ฯ , นายทศพรฯ และนายวันชัยฯ มีความผิดฐาน “ขับรถโดยประมาทหรือน่าหวาดเสียวอันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน, ขับรถในลักษณะที่เห็นได้ว่าไม่คำนึงถึงความปลอดภัยในชีวิตหรือร่างกายของผู้อื่น” ศาลแขวงพระนครเหนือพิพากษาจำคุก 1 เดือน 15 วัน ปรับคนละ 3,000 บาท โทษจำรอ 2 ปี คุมประพฤติ 1 ปี รายงานตัว 4 ครั้ง พักใบขับขี่ 6 เดือน บริการสังคม 24 ชั่วโมง

ส่วนผู้ต้องหาอีก 3 คน คือ นางสาวสุภาภรณ์ฯ , นายมนตรีฯ และนางสาวเจนจิราฯ มีความผิดฐาน “สนับสนุน ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น” ศาลแขวงพระนครเหนือพิพากษาจำคุก 1 เดือน ปรับคนละ 2,000 บาท โทษจำรอ 2 ปี คุมประพฤติ 1 ปี รายงานตัว 4 ครั้ง บริการสังคม 24 ชั่วโมง พร้อมริบรถของกลางรถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์ จำนวน 4 คัน รวมมูลค่ากว่า 3 ล้านบาท

นอกจากนี้ พล.ต.ท.สำราญฯ ย้ำว่า การขับขี่ยกล้อ ประมาทหวาดเสียว โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ทั้งของตนเองและผู้อื่น ในลักษณะดังกรณีข้างต้น เป็นอันตรายและสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นเป็นอย่างมาก และศาลมีแนวทางคำพิพากษาลงโทษหนัก ทั้งผู้ขับขี่และเจ้าของรถ ทั้งนี้ พี่น้องประชาชนสามารถแจ้งเบาะแสเหตุได้ที่สายด่วน 191 หรือ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ - กลุ่ม ไทย สมายล์ กรุ๊ป จับมือ มูลนิธิยังมีเรา สานฝันมอบทุน เยาวชน นครปฐมและกาญจนบุรี

1 มิถุนายน 2567 นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ ประธานมูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ และทีมงานมวลชนสัมพันธ์ (CSR) กลุ่มไทยสมายล์ ลงพื้นที่มอบทุนการศึกษาให้กับกลุ่มนักเรียนที่เรียนดีแต่ขาดโอกาส และมีฐานะทางครอบครัวยากจน ผ่านโครงการ สานฝันการศึกษา ประจำปี 2567 ของมูลนิธิยังมีเรา สถานีข่าวท็อปนิวส์ ณ จ.นครปฐม และจ.กาญจนบุรี

​นางเธียรรัตน์ กล่าวว่า ดิฉันในนามมูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ กลุ่ม ไทย สมายล์ กรุ๊ปและ มูลนิธิยังมีเรา 
ได้ร่วมกันมอบทุนการศึกษา ทุนละ 6,000 บาท จำนวน 2 ทุน ซึ่งนักเรียนจะต้องยังเรียนอยู่ในระบบการศึกษาตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษา มัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า และอุดมศึกษา  โดยจะต้องเขียนเรียงความของเรื่องราวของตนเอง และการเทิดทูนไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ มาที่มูลนิธิยังมีเราผ่านโครงการสานฝันการศึกษา ประจำปี 2567 ของมูลนิธิยังมีเรา สถานีข่าวท็อปนิวส์ สำหรับวันนี้ ได้มามอบทุนการศึกษา ให้แก่ ด.ช.ธันวา เครืออยู่ ที่อยู่ 37 ม.5 ต.ทุ่งลูกนก อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม และด.ช.วันชัย เลี้ยงฤทัย ที่อยู่ 96/9 หมู่ 6 ต.ดอนขมิ้น อ.ท่ามะกา 
จ.กาญจนบุรี 

ทั้งนี้ ได้สร้างความปลาบปลื้มให้กับเด็กนักเรียนทั้งสองที่ได้พิจารณารับทุนการศึกษา รวมถึงครอบครัวเป็นอย่างมาก การที่มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ ได้ร่วมสนับสนุนทุนการศึกษา ผ่านโครงการสานฝันการศึกษา 2567 ในครั้งนี้ ถือเป็นกิจกรรมหนึ่งซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของมูลนิธิในด้านการสร้างสาธารณประโยชน์ต่อชุมชน สังคม และที่สำคัญจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับเด็กนักเรียนและเยาวชน 

ซึ่งเขาเหล่านี้จะเติบโตเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศต่อไป

สมุทรปราการ- อิมพีเรียลเวิลด์ สำโรง ร่วมกับ บริษัท VSPO และ PUBG MOBILE ประเทศไทย จัดแข่งขัน PUBG MOBILE Super League SEA Summer 2024 มีผู้ชมผ่านระบบ กว่า 50 ล้าน คนทั่วโลก

เมื่อเวลา 17.00 น.ของ วันที่ 31 พฤษภาคม 2567 ที่ Convention Hall ชั้น 6 ศูนย์การค้าอิมพีเรียลเวิลด์ สำโรง อ.เมือง จ.สมุทรปราการ โดยศูนย์การค้าอิมพีเรียลเวิลด์ สำโรง ร่วมมือกับ บริษัท VSPO และ PUBG MOBILE ประเทศไทย จัดการแข่งขัน PUBG MOBILE Super League SEA Summer 2024 ชิงเงินรางวัลรวมกว่า 7,300,000 บาท (200,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ) เป็นการแข่งขัน Esports ระดับ South East Asia ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่ประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพ การแข่งขัน PMSL มีการถ่ายทอดสดแบบ Streaming มีผู้ชมทั่วโลกประมาณ 65-70 ล้านคน และ ผู้ชมในประเทศไทยประมาณ 15-20 ล้านคน ต่อ Season กีฬา Esports เป็นกีฬาที่กำลังเป็นที่นิยมทั่วโลก และได้รับการบรรจุเข้าเป็นกีฬาโอลิมปิค จึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับประเทศไทย และสำหรับประเทศทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่จะได้ร่วมมือร่วมใจกันส่งเสริมกีฬานี้ให้เป็นกีฬาที่ได้มาตรฐาน เป็นกีฬาระดับสากลที่จะยังประโยชน์ให้กับเยาวชนและนักกีฬาต่อไป

ท่านสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี จึงเล็งเห็นความสำคัญทางด้านการศึกษา และการสร้างอาชีพจากกีฬา Esports ซึ่งก่อให้เกิดหลากหลายอาชีพกลายเป็นอุตสาหกรรม Esports ตั้งแต่ด้านกีฬา ด้านการทำสื่อ การทำการตลาด การใช้เทคโนโลยี การสร้างบุคลิกภาพสำหรับผู้ประกาศ, ผู้บรรยายเกม, ผู้วิเคราะห์ และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งทั้งหมดนี้ที่ผ่านมาคนไทยเราทำได้ดีหากสามารถสร้างความสนใจมากขึ้น มีความนิยมมากขึ้น ก็จะกลายเป็น Soft Power ที่สำคัญอีกด้านหนึ่ง จากงานที่ศูนย์การค้าอิมพีเรียล เวิลด์ สำโรง และคณะผู้จัดงาน จึงได้ต่อยอดในเรื่อง “โอกาสทางการศึกษา” ที่กีฬานี้สามารถนำไปสร้างอาชีพใหม่ๆในอุตสาหกรรม Esports โดยมีการจัดการบรรยาย และการทัศนศึกษาสถานที่จัดงานให้ความรู้กับนักเรียนระดับมัธยมศึกษา และนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัย ในช่วงวันที่ 23-24 พฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา อันเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของการขับเคลื่อนวงการอุตสาหกรรม Esports ในประเทศไทย ให้มีการพัฒนาทักษะ ทันกับวิวัฒนาการในยุคดิจิทัล 

โดยการแข่งขัน PUBG MOBILE Super League SEA Summer 2024 มีทีมนักกีฬา Esports เข้าร่วมทั้งหมด 24 ทีม จาก 4 ประเทศ ได้แก่ ประเทศเวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย และ ไทย โดยมีนักกีฬา Esports จากไทย 5 ทีม คือ FaZe Clan, The Infinity, Vampire Esports, Xerxia Esports และ Team NKT การแข่งขัน แบ่งเป็น 2 รอบ รอบแบ่งกลุ่ม ทุกวันพุธ-อาทิตย์ ระหว่างวันที่ 8-26 พฤษภาคม 2567 ถ่ายทอดสดแบบ Streaming รอบสุดท้าย วันที่ 31 พฤษภาคม-2 มิถุนายน 2567 โดยเปิดให้ประชาชนเข้าชมฟรี ณ Convention Hall ศูนย์การค้าอิมพีเรียล เวิลด์ สำโรง ทั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก คุณ วราวุธ ศิลปะอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ขึ้นกล่าวและกดปุ่มเปิดงาน เป็นตัวแทนของรัฐบาลไทยขอบคุณคณะผู้จัดงาน VSPO และ PUBG MOBILE ที่ได้คัดเลือกประเทศไทยเป็นสถานที่แข่งขัน Tournament ที่สำคัญระดับ South East Asia และประเทศไทยยินดีที่จะสร้างความร่วมมือในการจัดงานระดับสากล เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรม Esportsในประเทศไทยให้เป็นSoft Powerในอนาคต ต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top