Wednesday, 14 May 2025
TheStatesTimes

‘อานนท์’ ส่งจดหมายจากแดน 4 เรือนจำฯ กรุงเทพฯ ถึงลูกๆ ขอใช้ชีวิตให้มีคุณค่า มีความหมาย ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น

(14 พ.ย. 66) เพจอานนท์ นำภา ทนายความด้านสิทธิมนุษยชน จำเลยคดีม.112 ถูกควบคุมตัวในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร โพสต์จดหมายฉบับวันที่ 13 พฤศจิกายน 2566 ถึงปราณและอิสรานนท์ ลูกรัก ว่า “ใช้ชีวิตให้มีคุณค่าและความหมาย”

เมื่อสัปดาห์ที่แล้วแม่เล่าให้ฟังว่าปราณอยากมาเจอพ่อที่ศาลในวันที่ศาลเบิกพ่อออกมาจากเรือนจำซึ่งอาจทำให้ปราณต้องขาดเรียนในวันนั้น พ่อขอให้ปราณอดทน เราไม่จำเป็นต้องเจอกันแล้วทำให้ลูกขาดเรียน พ่อรับรู้ได้ถึงความคิดถึงที่ลูกมี แต่การเรียนก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน อยากให้ลูกเขียนจดหมายและแนบรูปที่ลูกวาดมาให้พ่อดู ได้ข่าวว่าพัฒนาฝีมือไปมาก พ่อจะได้เอามาอวดเพื่อน ๆ ในนี้

อาจต้องแบ่งเวลามาช่วยแม่ดูแลน้องเพราะช่วงนี้น้องกำลังเรียนรู้ในเรื่องต่าง ๆ เสื้อผ้าของปราณและของน้องซักรวมกันได้ ปราณน่าจะปรับเครื่องซักผ้าที่บ้านเป็นแล้ว แค่ปรับที่โหมดซักผ้าเด็ก พอเสร็จแล้วห้ามปั่นแห้งให้ใช้ไม้แขวนตากที่ระเบียงเพราะถ้าปั่นแห้งผ้ามันจะหด สอนวิธีการชงนมแม่คงสอนแล้ว

บิงซูไม่ควรกินบ่อยเพราะมันแพง 555 แต่ถ้าพวกน้า ๆ ที่ออฟฟิศเลี้ยงก็ไม่ควรปฏิเสธ แม่เล่าให้ฟังว่าปราณเริ่มเขียนบันทึกได้แล้วซึ่งเยี่ยมมาก

พ่ออยากให้ปราณใช้ชีวิตให้มีคุณค่าและความหมายทั้งต่อตนเองและคนรอบข้าง เพราะห้วงชีวิตของมนุษย์เราไม่ได้ยืนยาวอะไร อยากให้ปราณเรียนรู้ที่จะเป็นผู้ใหญ่ที่จิตใจโอบอ้อมและแบ่งปัน สำคัญคือต้องเรียนรู้และรู้จักตัวตนของตัวเอง เป็นของตัวเอง

เอาไว้ช่วงปิดเทอมเราค่อยเจอกันในศาลนะคะ เป็นเด็กดี ปล. ขึ้นรถอย่าลืม ร.ข.ข เด็ดขาด

รักและคิดถึงลูกทั้งสองคน

แดน 4 เรือนจำพิเศษกรุงเทพ

‘รมช.คลัง’ เตรียมออกใบอนุญาต ‘เกาหลีใต้’ จัดตั้งธนาคารพาณิชย์ในไทย พร้อมเดินหน้ายกระดับความร่วมมือ-ขับเคลื่อนเศรษฐกิจระหว่างประเทศ

(14 พ.ย. 66) นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค (APEC FMM) ครั้งที่ 30 อย่างไม่เป็นทางการ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐอเมริกา (H.E. Janet L. Yellen) เป็นประธาน ได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของการดำเนินนโยบายการเงินการคลังในปัจจุบัน เช่น ต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นและส่งผลกระทบต่อการก่อหนี้สาธารณะ เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลต่อกำลังการผลิตในระบบเศรษฐกิจลดลง และภาระงบประมาณในการสนับสนุนด้านสวัสดิการที่เพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ ยังร่วมหารือทวิภาคีกับสาธารณรัฐเกาหลี โดยได้พูดคุยกับทาง ‘H.E. Ji-young Choi’ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเศรษฐกิจและการเงิน สาธารณรัฐเกาหลี ซึ่งได้แจ้งว่า ทางสถาบันการเงินของเกาหลี มีความสนใจขอใบอนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Banking) ในไทย ซึ่งในขณะนี้ไทยอยู่ระหว่างออกกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องในการให้ใบอนุญาตดังกล่าว คาดว่าสามารถออกประกาศใช้ได้ในเร็วๆ นี้

อีกทั้ง สาธารณรัฐเกาหลียังขอให้ไทยสนับสนุน ในการเป็นประธานร่วมภายใต้กรอบความร่วมมืออาเซียน+3 ในปีหน้า และขอเสียงสนับสนุนจากไทยในการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพ ‘World Expo 2030’ ซึ่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังแจ้งว่า ไทยพร้อมสนับสนุนและจะประสานงานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาให้การสนับสนุนดังกล่าวอีกด้วย

‘ชลน่าน’ เล็งดึงแนวคิด ‘ภาษีบาป’ ตั้ง ‘กองทุนเยียวยาเหยื่อ’ หวังช่วยเหลือปชช.ที่ได้รับผลกระทบจากคนเมาแล้วขับ

(14 พ.ย.66) ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการ สธ. กล่าวถึงนโยบายรัฐบาลที่จะขยายเวลาเปิดสถานบริการจากปิดตี 2 เป็นตี 4 ว่า นโยบายขยายเวลาเปิดสถานบริการให้เมืองท่องเที่ยว ในพื้นที่จำเพาะ หรือโซนนิ่ง เรื่องนี้ในมุมของ สธ.ให้ความสำคัญมาก เพราะนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจต้องไม่กระทบกับสุขภาพด้วย อย่างน้อยต้องคงเดิม หรือไม่มากกว่าเดิม หรือเรามีมาตรการที่เข้มข้นขึ้น ซึ่งอาจจะดีกว่าเดิม ดังนั้น จึงให้ความสำคัญในการกำหนดมาตรการรองรับ เราคงไม่คัดค้านหรือต่อต้านนโยบายของรัฐบาล แต่หน้าที่เราจะทำอย่างไรเมื่อขยายเวลาจากตี 2 เป็นตี 4 ช่วงเวลาที่เขาขยายจะไม่ส่งผลกระทบต่อมิติสุขภาพ ซึ่งมีพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีกฎกระทรวงออกมารองรับ ซึ่งคณะกรรมการกำลังพิจารณารายละเอียดที่จะเสนอมาตรการต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) หรือประกาศเป็นกฎกระทรวงเพื่อบังคับใช้ เพราะกฎหมายว่าด้วยการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้นมีหลายมาตราที่ให้อำนาจ เช่น การกำหนดพื้นที่จำหน่าย ระยะเวลาจำหน่าย สภาพบุคคลที่จำหน่าย

“ยกตัวอย่างมาตรการที่คุยในคณะกรรมการที่จะเสนอ แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปคือ ทำอย่างไรมาตรการควบคุมอย่างเข้ม ให้มีเครื่องวัดระดับแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดได้ ซึ่งขณะนี้มีการพูดคุยเรื่องนี้เยอะ คนที่จะออกจากร้านไปขับรถ เป็นไปได้หรือไม่ที่ทุกคนจะต้องตรวจระดับแอลกอฮอล์ หากมีปริมาณเกินก็ต้องมีมาตรการ เช่น ทางร้านหรือคนที่ควบคุมต้องไม่ให้ขับรถ ต้องมีรถสาธารณะมารองรับ หรือแม้กระทั่งระหว่างที่ดื่มกินก็มีกฎหมายที่ให้อำนาจไว้ว่าห้ามจำหน่ายให้คนที่มีอาการมึนเมา เราก็แปลงมาว่าจะบังคับอย่างไร จะตรวจวัดอย่างไร ให้รู้ว่าคนคนนี้เข้าข่ายจะซื้อ จะขายตามกฎหมายไม่ได้ ซึ่งเขาเขียนไว้ 2 ลักษณะ คือ ร้านจำหน่ายให้จำหน่ายถึงเวลาที่ปิดสถานบริการ เพราะฉะนั้น เมื่อปิดตี 4 ก็ขายถึงตี 4 เมื่อขยายตรงนี้ มาตรการควบคุมก็ต้องเข้ม” นพ.ชลน่าน กล่าว

รัฐมนตรีว่าการ สธ.กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม มีการคุยกันถึงเครื่องวัดแอลกอฮอล์ในลมหายใจ ขณะนี้ถูกนิยามเป็นเครื่องมือแพทย์ ต้องมีมาตรฐานและมีราคาสูง ดังนั้น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) อยู่ระหว่างพิจารณาแบ่งแยกประเภท เครื่องตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในส่วนที่ใช้ทางการแพทย์ก็ให้จัดเป็นเครื่องมือแพทย์ ส่วนที่ใช้ในการตรวจวัดเป็นการทั่วไป เป็นลักษณะการค้นหา ก็ให้เป็นเครื่องมือทั่วไปหรือไม่ เพื่อให้ทุกคนสามารถพกติดตัว สามารถตรวจสอบตัวเองได้ หากทุกคนมีวินัยก็จะไม่มีผลต่อการขยายเวลาเปิดผับ บาร์

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณี นายธนกฤต พานิชวิทย์ หรือว่าน นักร้องชื่อดังไลฟ์สดดื่ม กิน ก่อนจะขับรถไปเกิดอุบัติเหตุชนพนักงานเก็บขยะ จะเป็นเหตุให้ต้องเสนอให้ผ่านให้ได้เรื่องการบังคับตรวจปริมาณแอลกอฮอล์ก่อนออกจากร้าน และห้ามขับรถโดยเด็ดขาดหรือไม่ นพ.ชลน่านกล่าวว่า เป็นเหตุผลชัดเจนเลย นับว่าเป็นข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ที่เราต้องตระหนัก และเรื่องนี้เป็นข้อเท็จจริงที่พึงมีกฎมาควบคุมชัดเจน

“นักร้องคนนี้ผิดกฎหมายหลายมาตรา ซึ่งในส่วนที่เขาไปกำกับดูแลก็ว่ากันไป เช่น การดื่มเมาแล้วขับก็ผิดอยู่แล้ว เป็นพฤติกรรมที่ไม่ชอบ ทำในสิ่งที่กฎหมายต้องห้ามไว้ สธ.ในฐานะเป็นผู้ดูแลบังคับใช้กฎหมาย ก็จะดูมาตรการป้องกันทั้งก่อนและหลังเกิดเหตุ” นพ.ชลน่านกล่าว

เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้ สธ.จะรณรงค์โดยใช้คำว่า ‘ดื่มไม่ขับ’ ไม่ได้ใช้คำว่า ‘เมาไม่ขับ’ ดังนั้นต่อไปต้องปรับมาตรการรณรงค์ด้วยหรือไม่ นพ.ชลน่านกล่าวว่า เข้มเลย หมายความว่า คำว่าดื่มไม่ขับ อาจจะน้อยไปแล้ว จากนี้ต้องตรวจวัดทุกครั้งถ้าดื่มในสถานบันเทิง ดังนั้น ต้องทำให้เครื่องวัดหาง่าย สามารถพกพาได้ด้วยตนเอง รู้ตนเอง รู้เพื่อน รู้กลุ่ม ถ้าคุณอยากสนุกต้องสนุกบนพื้นฐานความปลอดภัยต่อตนเอง และของคนอื่นด้วย

เมื่อถามต่อไปว่า มีข้อเสนอจากภาคประชาชนว่า เพื่อเพิ่มความรับผิดชอบให้คนที่อยู่ในธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จึงควรมีการตั้งกองทุนเยียวยาเหยื่อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นพ.ชลน่านกล่าวว่า เป็นแนวทาง เป็นวิธีคิดที่คล้ายกับการเก็บภาษีบาป ทั้งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และสารมึนเมา เพื่อนำเงินนี้มาใช้เพื่อสร้างเสริมสุขภาพ ผ่านทางสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ดังนั้นก็อาจจะมีแนวคิดอย่างนั้นได้ ต้องดูในรายละเอียดว่า สามารถจัดเก็บภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้วนำมาจัดตั้งกองทุนเยียวยาเหยื่อได้หรือไม่

เมื่อถามย้ำว่า จะเสนอเรื่องการตั้งกองทุนนี้เข้าไปพร้อมกันเลยหรือไม่ นพ.ชลน่านกล่าวว่า เป็นแนวคิดที่ดี ก็กำลังพิจารณา

ด้าน นพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวว่า ได้รับมอบหมายจาก นพ.ชลน่าน ให้ดำเนินการเรื่องเครื่องตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ เบื้องต้นได้ประสานไปยังสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เรียบร้อยแล้ว หาก สมอ.มีการออกประกาศกำหนดมาตรฐานให้ไม่เป็นเครื่องมือแพทย์ อย.ก็พร้อมที่จะออกประกาศให้เครื่องตรวจวัดระดับปริมาณแอลกอฮอล์ไม่เป็นเครื่องมือแพทย์ต่อไป

15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 ประเทศไทย จัดให้มีการเลือกตั้ง สส. เป็นครั้งแรก เป็นการเลือกตั้งทางอ้อมครั้งแรก และครั้งเดียว

วันนี้ เมื่อ 90 ปีก่อน ประเทศไทยจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นการเลือกตั้งทางอ้อมครั้งแรก และครั้งเดียวของไทย โดยเป็นการเลือกผู้แทนตำบลก่อน แล้วให้ผู้แทนตำบลเลือกผู้แทนราษฎรอีกทีหนึ่ง

ย้อนไปเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 ประเทศไทยจัดให้มีการเลือกตั้งครั้งแรก ซึ่งเป็นการเลือกตั้งทางอ้อม ประชาชนเลือกตัวแทนของตนในระดับตำบล เพื่อไปทำหน้าที่เลือกผู้แทนราษฎรอีกต่อหนึ่ง โดยแต่ละจังหวัดมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ 1 คนต่อราษฎร 200,000 คน มีผู้แทนราษฎรที่ได้รับเลือกตั้งจำนวน 78 คน รวมกับสมาชิกที่มาจากการแต่งตั้งโดยพระบรมราชโองการเป็น 156 คน

การเลือกตั้งครั้งนั้น เกิดขึ้นภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยในปี 2475 ประเทศไทย แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 70 จังหวัด และตามรัฐธรรมนูญ 2475 สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิก 2 ประเภท โดยมีจำนวนเท่า ๆ กัน คือ สมาชิกประเภทที่ 1 มาจากการเลือกตั้ง และสมาชิกประเภทที่ 2 มาจากการแต่งตั้ง

ในขณะนั้นรัฐธรรมนูญกำหนดให้แต่ละจังหวัดจะมี สส. ได้ 1 คนต่อราษฎร 200,000 คน ทำให้มี ส.ส. ประเภทที่ 1 จำนวน 78 คน และ สส. ประเภทที่ 2 ที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งอีก 78 คน รวมเป็น 156 คน ซึ่งจากการคำนวณดังกล่าว ทำให้ส่วนใหญ่แล้วจะสามารถเลือก สส. ได้จังหวัดละ 1 คน และมีบางจังหวัดที่มี สส. มากกว่า 1 คน คือ เชียงใหม่, ร้อยเอ็ด, มหาสารคาม และนครราชสีมา มี สส. จำนวน 2 คน ในขณะที่จังหวัดพระนครและอุบลราชธานี มี สส. มากที่สุด คือ 3 คน

สำหรับการเลือกตั้งครั้งแรกของไทย ถูกจัดขึ้นในวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 และเป็นการเลือกตั้ง สส. ประเภทที่ 1 โดยใช้วิธีการเลือกตั้งแบบทางอ้อม คือ ประชาชนจะไปใช้สิทธิ์เลือกผู้แทนตำบลก่อน จากนั้นผู้แทนตำบลที่ได้รับเลือกนั้น จะไปทำการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแทนประชาชนอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้นับเป็นการเลือกตั้งทางอ้อมครั้งแรกและครั้งเดียวในประวัติศาสตร์การเมืองไทย

โดยในครั้งนั้น มีผู้มีสิทธิ์ออกเสียงทั้งหมด 4,278,231 คน และมีผู้ออกไปใช้สิทธิ์ทั้งหมด 1,773,532 คน คิดเป็น 41.45% โดยจังหวัดที่มีผู้ไปใช้สิทธิ์มากที่สุด คือ จังหวัดเพชรบุรี คิดเป็น 78.82% และจังหวัดที่มีผู้ออกไปใช้สิทธิ์น้อยที่สุด คือ จังหวัดแม่ฮ่องสอน คิดเป็น 17.71%

‘ครม.’ เคาะงบฯ 5.37 ล้านเหรียญฯ พัฒนาพลังงาน ‘ไทย-มาเลย์ฯ’ หวังสร้างความมั่นคง-เสถียรภาพด้านพลังงาน-เศรษฐกิจให้ประเทศ

(14 พ.ย. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณ จำนวน 5,375,000 เหรียญสหรัฐ และแผนการดำเนินงานประจำปี 2567 ขององค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย

แบ่งเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน จำนวน 5,250,900 เหรียญสหรัฐ และค่าใช้จ่ายที่เป็นทุน จำนวน 124,100 เหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นงบประมาณเพิ่มขึ้นจากปี 2566 จำนวน 375,000 เหรียญสหรัฐ

-ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) เพิ่มขึ้น 8.6% เทียบเท่า 414,800 เหรียญสหรัฐ
-ค่าใช้จ่ายที่เป็นทุน (CAPEX) ลดลง 24.3% เทียบเท่า 39,800 เหรียญสหรัฐ

นางรัดเกล้ากล่าวว่า โดยแผนการดำเนินงานในปี 2567 ประกอบด้วย ด้านการสำรวจและการประเมินผล ด้านการพัฒนาปิโตรเลียม และด้านการผลิตปิโตรเลียมในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย - มาเลเซีย เช่น เจาะหลุมพัฒนา จำนวน 8 หลุม รักษาระดับการผลิตก๊าซธรรมชาติที่เรียกรับสูงสุดในอัตรา 869 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน

ดำเนินการเจาะหลุมพัฒนาตามแผนพัฒนาแหล่งในระยะที่ 6 จำนวน 17 หลุม รักษาระดับอัตราการผลิตก๊าซธรรมชาติที่เรียกรับสูงสุดในอัตรา 308 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ซ่อมแซมหลุมผลิตเดิมและเจาะผนังหลุมเพิ่ม เพื่อรักษาอัตราการผลิตของหลุม

นางรัดเกล้ากล่าวว่า ทั้งนี้ให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังที่ให้คำนึงถึงประเด็นความคุ้มค่า ต้นทุนและผลประโยชน์ เสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม

ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐด้วย และความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ให้กระทรวงพลังงานเร่งรัดการเสนองบประมาณและแผนการดำเนินงานประจำปีขององค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย ต่อคณะรัฐมนตรีตามกรอบระยะเวลา ข้อ 3 แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2536) ออกตามความในพระราชบัญญัติองค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย พ.ศ. 2533 กำหนด ไปดำเนินการอย่างเคร่งครัดต่อไปด้วย

จับตา!! ‘โจ ไบเดน’ พบ ‘สี จิ้นผิง’ สะท้อนสงคราม ‘ชิป’ ผ่อนคลาย ส่อดันหุ้นกลุ่มเทคฯ-EV พุ่ง ลุ้น!! ท่าทีตอบสนองตลาดทุนจีน

เปิด 3 ประเด็นที่ต้องจับตาในการเจอกันของ ‘โจ ไบเดน - สี จิ้นผิง’ คือ ท่าทีที่ผ่อนคลายขึ้นเรื่องสงครามชิป อาจดันตลาดหุ้นกลุ่มเทคฯ พุ่ง ขณะที่การหารือเพื่อบรรลุข้อตกลงเรื่องความเป็นกลางทางคาร์บอน อาจผลเชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า ส่วนหากมีมุมมองที่ดีต่อการลงทุนภาคเอกชน-ฟื้นฟูความเชื่อมั่นทางธุรกิจ อาจทำให้ตลาดเงิน-ตลาดทุนจีนตอบสนองเชิงบวก

(14 พ.ย. 66) สำนักข่าวบลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานว่า นักลงทุนหวังว่าการพบกันตามแผนระหว่างประธานาธิบดี ‘โจ ไบเดน’ (Joe Biden) และ ‘สี จิ้นผิง’ (Xi Jinping) ของจีนจะเป็นสัญญาณการกระชับความสัมพันธ์ และเพิ่มความเชื่อมั่นต่อสินทรัพย์ของเอเชียที่ปรับตัวลงอย่างร้อนแรง

โดยบทวิเคราะห์ของสำนักข่าวบลูมเบิร์ก ประเมินว่า การประชุมในวันพุธที่ซานฟรานซิสโกจะเป็นช่วงเวลาสําคัญในการเยือนสหรัฐครั้งแรกของประธานาธิปสีนับตั้งแต่ปี 2017 ซึ่งเป็นช่วงที่เขาได้พบกับประธานาธิบดี ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ (Donald Trump) และยังเป็นการสนทนาครั้งแรกของทั้งสองในรอบหนึ่งปี ซึ่งส่วนใหญ่ก็อาจจะยังคงเป็นประเด็นเรื่องภาษีที่ทรัมป์เรียกเก็บจากสินค้าจีนหลายชนิดและการปิดกั้นการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง

ทั้งนี้ การผ่อนคลายความตึงเครียดระหว่างสองมหาอํานาจอาจเป็นจุดเปลี่ยนเพื่อล่อนักลงทุนให้กลับมาที่จีน โดยนักลงทุนตราสารทุนและนักลงทุนอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินกําลังจับตาดูอย่างใกล้ชิดเนื่องจากหุ้นของประเทศกําลังฟื้นตัวจากวิกฤตอสังหาริมทรัพย์และการอพยพออกของกองทุนทั่วโลก ท่ามกลางเงินหยวนที่ร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 16 ปีเมื่อเทียบกับดอลลาร์

“สัญญาณเรื่องความสัมพันธ์ทวิภาคีที่ดีมากขึ้น หรือแม้แต่การพยายามกระชับความสัมพันธ์เล็กน้อย อาจช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นในการลงทุนชั่วคราว” เสี่ยว เจียจือ (Xiaojia Zhi) หัวหน้าฝ่ายวิจัยของ Credit Agricole CIB กล่าว

ขณะที่แหล่งข่าววงในของบลูมเบิร์ก เปิดเผยว่า เมื่อไม่นานมานี้ทั้งสองประเทศพยายามเพื่อบรรเทาความตึงเครียด ซึ่งไบเดนและสีเตรียมประกาศข้อตกลงที่จะเห็นรัฐบาลจีนปราบปรามการผลิตและส่งออกเฟนทานิล (Fentanyl) ซึ่งใช้ในการผลิตสารสังเคราะห์ซึ่งมีอันตรายถึงตาย

นอกจากนี้ รัฐบาลจีนอาจเปิดเผยคํามั่นสัญญาเพื่อซื้อเครื่องบินโบอิ้ง 737 (Boeing’s 737) ระหว่างการประชุมสุดยอดเอเปค (APEC) ตามรายงานของบลูมเบิร์ก และจีนซึ่งเป็นผู้นําเข้าถั่วเหลืองอันดับต้น ๆ เพิ่งจะซื้อสินค้าจากสหรัฐมากกว่า 3 ล้านตันเมื่อสัปดาห์ที่แล้วด้วยท่าทีปรารถนาดีก่อนการเจรจาในวันพุธ

ดังนั้น ในการเจอกันที่จะถึงนี้มีประเด็นทางเศรษฐกิจที่ต้องจับตา ดังนี้

1.) เทคโนโลยี
จีนซึ่งเป็นตลาดเซมิคอนดักเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกกําลังต่อสู้กับการคว่ำบาตรของสหรัฐที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเทคโนโลยี ดังนั้นสัญญาณของการกระชับความสัมพันธ์และระงับข้อพิพาทอาจช่วยหนุนความเชื่อมั่นของนักลงทุนสําหรับบริษัทต่างๆ ตั้งแต่ Apple Inc. Chip Bellwethers Taiwan Semiconductor Manufacturing Co., Samsung Electronics Co. และ Nvidia Corp.

2.) พลังงานสะอาด
การเน้นเป้าหมาย ‘สีเขียว’ อาจจุดประกายทำให้หุ้นที่เชื่อมโยงกับรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ขยับตัวสูงขึ้น เช่น ผู้ผลิตแบตเตอรี่ชั้นนํา Contemporary Amperex Technology Co. และผู้ผลิตอุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์ LONGi Green Energy Technology Co.

3.) ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตรา
นักลงทุนส่วนหนึ่งอยู่ในช่วงพิจารณาว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศจะมีโมเมนตัมแบบใดนอกเหนือจากการประชุมสุดยอดผู้นำจี 20 ไม่ว่าจะมีขั้นตอนในการผ่อนคลายกฎระเบียบส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชนและฟื้นฟูความเชื่อมั่นทางธุรกิจ เพราะหากมีการผ่อนคลายกฎระเบียบเหล่านั้นอาจทำให้เงินหยวนหยุดการอ่อนค่าลงได้และตลาดหุ้นก็จะมีแง่มุมเชิงบวกด้วย

‘ดู๋ สัญญา’ ออกตัวป้อง 'เกียรติสวนกุหลาบ' หลังมีกระแสดรามา 'ยกเลิกแปรอักษร-จตุรมิตร’

(15 พ.ย. 66) ‘ดู๋ สัญญา คุณากร’ นักแสดงและพิธีกรชื่อดัง โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ‘Sanya Kunakorn’ กรณีกระแสในโซเชียลที่เรียกร้องให้ยกเลิกการแปรอักษร ฟุตบอลจตุรมิตร ระบุว่า…

ผมเป็นคนไม่ชอบมีเรื่องกับใคร แต่ทำไมผมมีความรู้สึกว่า ประโยคที่ได้ยินจากเรื่องนี้ มันตรงกับที่รู้สึกว่า

”…(คุณ)อย่า…(มาหาเรื่อง) กับโรงเรียนของ…(ผม)เลย”

คุณไม่เคยรับรู้ถึงเกียรติภูมิ ของโรงเรียน ความอดทน ความเสียสละ การภาคภูมิใจที่เป็นส่วนหนึ่งของโรงเรียนที่จะสร้างเยาวชนที่มีเกียรติ มีรากเหง้า มีกำลังสติปัญญา และมีความเป็นมนุษย์ …

ทั้งหมดต้องถูกหล่อหลอมโดยหลายช่องทาง หลายกิจกรรม…มีทั้งยาก และง่าย ทั้งเหน็ดเหนื่อย…และลำบาก

โปรดรับรู้ว่า นักเรียนสวนกุหลาบ จะรักษาความถูกต้องจากการแอบแฝงผลใด ๆ และจะรักษาเกียรติของโรงเรียนเสมอไป

#ผมคือนักเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย

'พัชรวาท' ตั้งเป้าปีหน้า 'สวนสัตว์เชียงใหม่' ปั๊มเม็ดเงินเกือบ100 ล้านบาท หลังเพิ่มสัตว์นานาชนิด ดึงดูดนักท่องเที่ยว

มีกิจกรรมหลากหลาย พร้อมชวนคนไทยหนาวนี้ ปักหมุดเที่ยวจุดแลนด์มาร์ค “แหล่งเรียนรู้ อนุรักษ์ วิจัย สัตว์ป่า” เชิญชวนสักการะ “พระนวพุทธมหาบารมี” พระพุทธรูปองค์แรกของไทยที่บูรณะจากชิ้นส่วนองค์เดิมสมัยล้านนา 

พล.ต.อ. พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า หลังจากที่ได้ลงพื้นที่เชียงใหม่เพื่อมอบนโยบายเรื่องไขปัญหาหมอกควัน ตนยังได้ไปตรวจเยี่ยมการดำเนินงานและรับฟังการบรรยายพิเศษของสวนสัตว์เชียงใหม่ องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย พร้อมนั่งรถชมพื้นที่โดยรอบสวนสัตว์เชียงใหม่ สามารถเข้าชมสัตว์ได้อย่างใกล้ชิด ซึ่งตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.เป็นต้นมา สวนสัตว์เชียงใหม่ได้เพิ่มความหลากหลายของสัตว์มากขึ้น เพื่อส่งมอบความสุขให้นักท่องเที่ยวและผู้มาเยือน โดยมีโซนสัตว์แอฟริกา อาทิ ยีราฟ ที่ได้รับมอบเพิ่มมาใหม่ 1 ตัว ชื่อเดิมว่า "น้องแหว่ง" หรือ "น้องต้นคูน" เพศผู้ อายุ 6 ปี 1 เดือน และ ม้าลาย ชื่อ "ต้นหนาว" เพศผู้ อายุ2 ปี11 เดือน  ตลอดจนสัตว์อื่นๆ ซึ่งได้รับทราบจากรายงานว่าสวนสัตว์เชียงใหม่ในปีนี้มีรายได้ถึง 79.50 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามแผน และในปีหน้าตั้งเป้าไว้ที่ 97 ล้านบาท

พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ตนยังได้ร่วมกิจกรรม “แอ่วเหนือ ม่วนหนาว สุดว้าว ที่สวนสัตว์เชียงใหม่” “Chiangmai Zoo Winter Land” ณ บริเวณด้านหน้าส่วนจัดแสดงหิมะเทียม (Snow Buddy Winter Land) และนั่งรถบริการไปสักการะองค์ “พระนวพุทธมหาบารมี” ณ โบราณสถานวัดกู่ดินขาว ภายในสวนสัตว์เชียงใหม่ ซึ่งเป็นองค์ที่ตนเคยเป็นประธานในพิธีพุทธาภิเษก เมื่อวันที่ 8 พ.ค. 2562 สำหรับองค์พระนวพุทธมหาบารมีองค์นี้ มีความพิเศษ เพราะเป็นการบูรณะพระพุทธรูปองค์แรกของประเทศไทยที่ใช้นวัตกรรมการบูรณะโดยใช้ชิ้นส่วนเดิมเป็นองค์ประกอบขึ้นเป็นองค์พระ เพื่อให้มีความศักดิ์สิทธิ์และรักษาองค์พระเดิม ภายหลังที่ได้พบชิ้นส่วนพระอุระที่หลงเหลือจากสมัยล้านนา

พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวว่า การมาตรวจเยี่ยมสวนสัตว์เชียงใหม่ในครั้งนี้ ได้เห็นว่า เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดร่วมมือกัน จนทำให้สวนสัตว์มีการพัฒนาอย่างมาก เป็นแหล่งเรียนรู้ อนุรักษ์ วิจัย สัตว์ป่า และเป็น Landmark แหล่งท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ เชื่อว่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่สร้างรายได้ให้กับจังหวัดอีกทางหนึ่งด้วย อย่างไรก็ตาม สำหรับฤดูหนาวที่จะมาถึงนี้ อยากเชิญชวนพี่น้องประชาชนเดินทางมาเที่ยวสวนสัตว์แห่งนี้ รับรองว่าจะประทับใจไม่รู้ลืม ทางสวนสัตว์จะมีกิจกรรมมากมาย อาทิ ช่วงปลายเดือนนี้ จะมีกิจกรรมลอยกระทงในสโนว์บัดดี้ เดือนธ.ค.จะมีกิจกรรมเกิดวันไหนไปสวนสัตว์ และหมอกบนดินถิ่นล้านนา เป็นต้น

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ รอง ผบ.ตร.(มค) ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายตำรวจท่องเที่ยว เด้งรับนโยบายรัฐบาล เพื่อช่วยสร้างรายได้ให้กับประเทศ

เมื่อวานนี้ (วันอังคารที่ 14 พ.ย.66) เวลาประมาณ 13.30 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.(มค) พร้อมด้วย พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร.(มค 4) เดินทางมายังกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายในการปฏิบัติราชการ โดยมี พล.ต.ท.ศักย์ศิรา เผือกอ่ำ ผบช.ทท. และ รอง ผบช.ทท. ให้การต้อนรับ ในการมอบนโยบายการปฏิบัติราชการ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ รอง ผบ.ตร.(มค) ได้กำชับการทำคนน้อยให้เป็นคนมาก ตำรวจท่องเที่ยวต้องร่วมเข้าไปตรวจตราดูแลนักท่องเที่ยวและพี่น้องประชาชนในพื้นที่ร่วมกับสถานีตำรวจ ต้องตรวจตามแผนการตรวจ พื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญ ต้องป้องกันเหตุให้ได้ ต้องไม่มีเหตุเกิดกับนักท่องเที่่ยว หากเกิดเหตุกับนักท่องเที่ยว เราต้องให้ความสำคัญ ต้องกระตือรือร้น ตำรวจท่องเที่ยวต้องช่วยตำรวจพื้นที่สืบสวนติดตามจับกุมคนร้าย หากเป็นเหตุสำคัญ หรือคดีสำคัญ ผู้กำกับการต้องไปควบคุมกำกับดูแลด้วยตนเอง หากติดปัญหาทางตัว รอง ผบ.ตร. ก็จะช่วยแก้ปัญหา ประสานการปฏิบัติให้เอง จะไม่ปล่อยให้ลูกน้องต้องทำงานโดดเดี่ยวอย่างแน่นอน 

ตำรวจท่องเที่ยวต้องหมั่นดูแลสถานทูต ต้องรู้จักประสานงานกับเจ้าหน้าที่สถานทูตในพื้นที่ และช่วยกันดูแลนักท่องเที่ยวชาติต่าง ๆ ในการประชุมระดับจังหวัด สารวัตรท่องเที่ยวต้องรู้จักไปประชุมด้วยตนเอง เพื่อบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานอื่น ๆ ในจังหวัดได้ ไม่ใช่มอบรองสารวัตร หรือชั้นประทวนไปประชุม จนทำให้ตำรวจท่องเที่ยวไร้ตัวตนในการทำงานในพื้นที่สำคัญ หรือการทำงานระดับจังหวัด หรือตามสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ๆ เช่น สวนสนุกที่มีเครื่องเล่นอุปกรณ์ต่าง ๆ ต้องประสานความร่วมมือตรวจสอบความปลอดภัย การบำรุงรักษาเครื่องเล่นหรืออุปกรณ์เหล่านั้น เพื่อป้องกันเหตุร้ายที่จะเกิดกับนักท่องเที่ยว และต้องรู้จักประชาสัมพันธ์สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวด้วย

อีกทั้งในสถานการณ์การสู้รบระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ตำรวจท่องเที่ยวก็ต้องช่วยตำรวจพื้นที่ ออกตรวจพื้นที่ตามแผนการตรวจร่วมที่ได้ประชุมกำชับสั่งการไปแล้ว ซึ่ง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ ก็จะตรวจสอบผลการตรวจผ่าน ระบบ Police 4.0 ด้วยตนเอง หากพื้นที่ใดไม่ตรวจ ไม่มีผลการตรวจ ไม่ใส่ใจ ก็จะขอพบสารวัตรท่องเที่ยวที่รับผิดชอบเพื่อสอบถามถึงสาเหตุว่าติดขัดหรือมีปัญหาข้อขัดข้องประการใด แต่ถ้าไม่มีปัญหาใด ๆ ก็ต้องช่วยกันตรวจตามแผน ตามอำนาจหน้าที่

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ รอง ผบ.ตร.(มค) เน้นย้ำว่า กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว เป็นหน่วยตำรวจที่สำคัญ เป็นหน่วยตำรวจที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวชางต่างชาติ มีส่วนในการสร้างรายได้ให้กับประเทศ อันเป็นนโยบายสำคัญของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล นโยบายสำคัญ ๆ ของรัฐบาล เช่น ฟรีวีซ่านักท่องเที่ยวจากชาติสำคัญ เช่น จีน คาซัคสถาน อินเดีย และไต้หวัน หรือการเปิดสถานบริการในพื้นที่สำคัญ เช่น กทม. เชียงใหม่ ชลบุรี ภูเก็ต ถึงเวลา 04.00 น. ตำรวจท่องเที่ยวก็ต้องตามให้ทัน ต้องปรับแผนการตรวจ การบริการนักท่องเที่ยว ให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล

‘สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์’ ขึ้นแท่น ‘สถานีรถไฟที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน’ อนาคตจ่อเทียบชั้น ‘สถานีไทเป’ เล็งยกระดับบางซื่อสู่ ‘ชินจูกุเมืองไทย’

เมื่อวันที่ 13 พ.ย. 66 นายชัชวาลย์ วัฒนะโชติ หรือ ‘อ.คิม’ นักลงทุนและผู้ประกอบการในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เจ้าของบริษัท W ASSET (Thailand) และเป็นเจ้าของช่องยูทูบ ‘Property Expert Live’ รวมถึงแฟนเพจเฟซบุ๊ก ที่มีผู้ติดตามรวม 500,000 คน ได้ออกมาโพสต์คลิปวิดีโอผ่านทางช่องยูทูบ ‘Property Expert Live’ ในหัวข้อ ‘เทียบสถานีกลางไทยเป! สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ทำให้แถวนี้กลายเป็น ชินจูกุเมืองไทย?’ โดยระบุว่า…

‘สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์’ ซึ่งในอดีตมีชื่อว่า ‘สถานีกลางบางซื่อ’ นั่นเอง หลายๆ คนอาจจะยังไม่ทราบ ว่า สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ กลายเป็น ‘สถานีรถไฟที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน’ ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยปัจจุบันมีผู้ใช้บริการเฉลี่ยวันละ 136,000 คน เรียกได้ว่า เป็นชุมทางสายรถไฟขนาดใหญ่ที่รายล้อมไปด้วยรถไฟฟ้าและรถไฟจากทางหัวเมืองทางเหนือ ที่เมื่อก่อนหลายๆ คนอาจจะมีภาพจำ คือ ‘รถไฟหัวลำโพง’ นั่นเอง

แต่เนื่องจากที่สถานีหัวลำโพงเดิมนั้น มีขนาดค่อนข้างเล็ก จึงได้มีการโยกย้ายมายังฝั่งของบางซื่อแทน ทำให้การเดินทางต่างๆ นั้นเปลี่ยนไปจากในอดีตพอสมควร โดยสถานีกลางบางซื่อ หรือสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์นี้ จะมีรถไฟฟ้าเชื่อมเข้ามาหลายสาย เช่น รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน, สายสีเขียว, สายสีแดง, สายสีม่วง และสายสีแดงอ่อน ซึ่งหมายความว่า หากผู้คนที่อยู่ต่างจังหวัดเดินทางผ่านทางรถไฟความเร็วสูง หรือรถไฟทางคู่ต่างๆ ลงมาจากทางเหนือ ก็จะมาเชื่อมต่อการเดินทางที่ชุมทางสายรถไฟตรงนี้ จากนั้นจึงเดินทางต่อด้วยรถไฟฟ้าเพื่อเข้าสู่ใจกลางเมืองและเขตธุรกิจได้ทันที

และด้วยพื้นที่ที่มีค่อนข้างมหาศาล รวมถึงอยู่ใกล้กับขั้วต่อแหล่งการเดินทางเชื่อมไปยังรถไฟฟ้าสายต่างๆ มากมายหลากหลายสาย จะเดินทางเชื่อมต่อไปยังสนามบินก็ง่ายดาย จึงทำให้เกิดโปรเจกต์ ‘เมืองอัจฉริยะ’ ขึ้นมา ที่สถานีกลางบางซื่อ หรือสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ตรงนี้นั่นเอง

ซึ่งเป็นที่น่าสนใจอย่างมาก เพราะหากดูจากตำแหน่งจริงๆ นั้น จะเห็นว่า ตัวสถานีกลางบางซื่อนั้น มีขนาดค่อนข้างกว้างใหญ่มาก และกินพื้นที่ไปหลายสถานีเลยทีเดียว

และด้วยเทรนด์รถไฟในต่างประเทศที่ส่วนใหญ่นั้นออกมาแบบมาให้ใช้งานสะดวก หลากหลาย ต้องมีการเชื่อมต่อได้หลายการเดินทาง เชื่อมต่อกับสนามบินให้ชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวสู่ตัวเมืองได้อย่างง่ายดาย และรองรับนักท่องเที่ยว นักเดินทางได้ในปริมาณมหาศาล หรือแม้แต่ประชาชนที่เดินทางไปทำงาน ก็จะเดินทางได้อย่างสะดวก รวดเร็วมากยิ่งขึ้น กล่าวคือ รถไฟและสนามบินเป็นสิ่งที่แยกออกจากกันไม่ได้นั่นเอง ในปัจจุบันสนามบินดอนเมืองนั้น ไม่ได้ถูกเชื่อมต่อกับรถไฟที่ทันสมัย เมื่อลงเครื่องมาจึงต้องหารถแท็กซี่ หรือรถโดยสารอื่นๆ ซึ่งทำให้เกิดปัญหาการจราจรติดขัดตามมาเป็นทอดๆ อีกด้วย

หากพูดถึงเรื่องขนาดแล้ว สถานีกลางบางซื่อ หรือสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ นับเป็นสถานีที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่หากพูดถึงในเรื่องของจำนวนผู้ใช้บริการก็คงต้องบอกว่ายังไม่ได้เป็นอันดับ 1 ขนาดนั้น เพราะเมื่อเทียบกัน จริงๆ แล้ว ‘สถานีรถไฟไทเป’ ที่เป็นสถานีรถไฟใต้ดินและสถานีรถไฟหลักในเมืองหลวงไทเป ของไต้หวัน ซึ่งมีผู้คนมาใช้บริการเฉลี่ยแล้ว 600,000 คนต่อวัน หรือเมื่อเทียบแล้ว คือ มากกว่าตัวของสถานีกลางบางซื่อถึง 4 เท่าเลยทีเดียว

หากพูดถึงเรื่องของทำเลนั้น ค่อนข้างคล้ายคลึงกัน คือ สามารถเข้าถึงสนามบินได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และมีรถไฟฟ้าหลากหลายสายมาบรรจบในบริเวณพื้นที่รอบๆ สถานีเหมือนกัน ทำให้เดินทางเข้าสู่เมืองสะดวก เนื่องจากสถานีรถไฟไทเปนั้นตั้งอยู่ตรงกลาง เป็นเหมือนจุดเซ็นเตอร์เพื่อเชื่อมไปยังสถานที่อื่นๆ ต่อได้ อีกทั้งยังมีจุดแข็งที่โดดเด่น คือ มี ‘ห้างสรรพสินค้า’ อยู่ในสถานีรถไฟถึง 5 ห้าง ทำให้ผู้คนที่มาใช้บริการ นอกจากจะมาที่นี่เพื่อเดินทางแล้ว ยังเดินทางมาเพื่อจับจ่ายใช้สอย มาเพื่อชอปปิง มาเดินเที่ยว หรือใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่นี้ได้มากขึ้นจริงๆ

เพราะในส่วนของสนามบินหรือสถานีรถไฟฟ้านักท่องเที่ยว นักเดินทางแต่ละคนก็ล้วนแต่โฉบมาและโฉบไป ลงเครื่องบินเสร็จก็ขึ้นรถบัส ขึ้นรถไฟออกเดินทางต่อ ไม่ได้อาศัยอยู่ในบริเวณพื้นที่ตรงนั้นมากนัก แต่เมื่อมีห้างสรรพสินค้า ก็จะสามารถตรึงผู้คนให้อยู่ที่นี่ได้นานมากขึ้นนั่นเอง จึงทำให้ภายในสถานีรถไฟไทเปนั้น ถือเป็น ‘ศูนย์รวมขนส่งมวลชนทุกประเภท’ ตั้งแต่ MRT 2 สาย, รถไฟเชื่อมท่าอากาศยานนานาชาติไต้หวันเถา-ยฺเหวียน 2 สาย และยังมีรถไฟทั้งแบบธรรมดาและรถไฟไฮบริด รวมถึงมีสถานีรถโดยสารประจำทาง (Bus station) อีกด้วย เรียกว่า มีครบทุกอย่างในสถานีเดียว สมกับเป็นสถานีกลางจริงๆ

หากย้อนกลับไป สถานีรถไฟไทเปแห่งนี้ ถูกสร้างขึ้นครั้งแรกในปี 1891 เมื่อเทียบกับประเทศไทยบ้านเรา คือ ในช่วงก่อนหน้าที่จะสร้าง ‘สถานีรถไฟหัวลําโพง’ เพียงแค่ 19 ปีเท่านั้น ต่อมา ไต้หวันก็เติบโตอย่างรวดเร็ว ประชากรชาวไต้หวันก็เติบโตขึ้นมาปรับปรุง พัฒนาประเทศมาโดยตลอด จนกระทั่งในปี 1980 GDP ของไต้หวันนั้น เติบโตจนถึงขีดสุด ผู้คนที่หลั่งไหลเข้ามาใช้บริการสถานีรถไฟไทเปแห่งนี้หนาแน่นขึ้นอย่างมาก

จนทำให้ในปี 1985 ทางรัฐบาลไต้หวันตัดสินใจรื้อสถานีรถไฟเก่า และสร้างสถานีรถไฟใหม่ตรงบริเวณเดิม แต่จัดวางโครงสร้างทั้งหมดขึ้นมาใหม่ โดยนำเอาสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ รวมถึงรางรถไฟไปไว้ในใต้ดิน ทำให้ระบบใหม่นี้ สามารถเชื่อมโยงเมืองอื่นๆ ได้มากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจต่างๆ ในไต้หวัน ดำเนินกิจการไปอย่างราบรื่น และเติบโตอย่างรวดเร็ว ผู้คนไม่จำเป็นต้องซื้อรถยนต์ เพราะว่าระบบขนส่งสาธารณะ การเดินรถไฟของเขานั้นดีมาก ทำให้การออกแบบผังเมืองถูกปรับเปลี่ยนตามไปด้วย ยิ่งผลักดันให้ไต้หวันเจริญมากยิ่งขึ้นนั่นเอง

ซึ่งตรงจุดนี้ต่างจากเมืองไทยบ้านเรา เนื่องจากผู้คนในไทยนั้นยังคงชื่นชอบการขับรถยนต์อยู่ จึงทำให้โครงสร้างคมนาคมนั้น อยู่ที่ตัวถนนหนทางนั่นเอง ส่งผลให้เวลาสร้างตึก อาคาร สำนักงานต่างๆ ทุกที่จึงจำเป็นต้องมีที่จอดรถไว้เพื่อรองรับ ในขณะที่ในไต้หวัน ไม่ได้มีความจำเป็นต้องสร้างพื้นที่จอดรถ ทำให้สามารถนำเอาพื้นที่ส่วนนั้นมาทำเป็นสถานที่เอาไว้ปล่อยเช่าได้ ด้วยเหตุนี้ทำให้ไต้หวันมีสัดส่วนที่จอดรถค่อนข้างน้อยกว่าเมืองไทยนั่นเอง

ทุกอย่างเหมือนเป็น ‘ผลกระทบแบบโดมิโน่’ (Domino Effect) เพราะการที่มีพื้นที่เพิ่มขึ้น ก็สามารถรองรับผู้คนได้มากยิ่งขึ้น คนก็หันมานั่งรถไฟกันมากขึ้น ธุรกิจกิจการโดยรอบสถานีก็เจริญเติบโตมากยิ่งขึ้น เป็นภาพลักษณ์ที่ดีต่อภาคการท่องเที่ยว จนช่วยสร้างรายได้อย่างมหาศาลให้กับประเทศอีกด้วย เรียกว่าเป็นเอฟเฟกต์ที่ดีด้วยกันทั้งระบบ และนอกเหนือจากการวางโครงข่ายการเดินทางที่ดีแล้ว ยังทำให้เกิดความเป็นเมือง สร้างแหล่งท่องเที่ยวในตัวของมันเองอีกด้วย

ซึ่งไอเดียหรือโมเดลนี้นั้น ก็มีความคล้ายคลึงกับทางประเทศอื่นๆ เช่น ญี่ปุ่น เนื่องจากสถานีรถไฟของญี่ปุ่นนั้น สามารถเป็นแหล่งท่องเที่ยวได้ด้วยตัวของมันเอง โดยสถานีที่โดดเด่นที่สุด คือ ‘สถานีรถไฟชินจูกุ’ ซึ่งถือเป็นสถานีที่มีผู้ใช้บริการมากที่สุดในโลก โดยมีผู้ใช้บริการสูงสุดอยู่ที่ 3.59 ล้านคนต่อวัน ทิ้งอันดับนำโด่งห่างจากทั้งสถานีรถไฟไทเปของไต้หวัน และสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ของไทยเราแบบไม่เห็นฝุ่นเลยทีเดียว

ความพิเศษของสถานีรถไฟชินจูกุนี้นั้น นอกจากจะมีขนาดที่ใหญ่มากแล้ว ยังเต็มด้วยสำนักงาน หรือก็คือแหล่งของคนวัยทำงาน ทำให้ในช่วงเช้าจะมีผู้คนวัยทำงานอยู่ในบริเวณนี้กันอย่างคับคั่ง แต่ในช่วงกลางคืนก็จะกลายเป็นแหล่งชอปปิงที่ดีที่สุดในญี่ปุ่น อีกทั้งยังมีห้างสรรพสินค้าอีกมากมาย หลากหลายที่ให้นักท่องเที่ยวได้เดินเลือกจับจ่ายใช้สอย นอกจากนี้ สถานีรถไฟชินจูกุ ยังขึ้นชื่อในเรื่องความซับซ้อนเป็นอย่างมาก เนื่องจากตัวสถานีแห่งนี้มีทางเข้า-ออกมากถึง 200 ทางเลยทีเดียว

ทำให้หลายๆ คนมองว่า หากโปรเจกต์ ‘เมืองอัจฉริยะ’ บริเวณสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ เกิดขึ้นจริงๆ พื้นที่นี้อาจจะกลายเป็น ‘ชินจูกุเมืองไทย’ ก็เป็นได้ เพราะว่าบริเวณโดยรอบก็มีคอมมูนิตี้ สำนักงาน แหล่งทำงาน แหล่งชอปปิง อีกทั้งการเดินทางก็แสนจะสะดวกสบาย เพราะมีชุมทางสายรถไฟเชื่อมต่อไปยังสนามบินต่างๆ มีรถไฟฟ้าหลายสายเชื่อมการเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองและเขตเศรษฐกิจมากมายอีกด้วย และที่สำคัญ คือ มีพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่ไม่แพ้ใคร เป็นอันดับ 1 ของอาเซียน

ถึงแม้โครงสร้างของไทยจะแตกต่างจากโครงสร้างของประเทศอื่น แต่ว่าประชากรของไทยนั้นก็มีมากกว่าเช่นกัน โดยไทยมีประชากรมากกว่าไต้หวันถึง 3 เท่าเลยทีเดียว ดังนั้น หากวางระบบให้ดี สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์อาจมีผู้ใช้บริการสะพัดมากกว่า 600,000 คน อย่างสถานีรถไฟไทเปก็เป็นได้…

นอกจากนี้ สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ยังมีจุดแข็งอีกอย่าง คือ ไม่เพียงแค่เชื่อมกับฝั่งของกรุงเทพมหานครอย่างเดียว แต่ยังเป็นการจุดศูนย์รวมของ ‘รถไฟความเร็วสูง’ ที่เชื่อมโยงการเดินทางกับประเทศจีน และยังเชื่อมการเดินทางกับอีกหลายประเทศ เช่น เวียดนาม, สปป.ลาว และเมียนมา จนสุดท้ายมาบรรจบจุดสิ้นสุดที่กรุงเทพมหานครนั่นเอง จากนั้นจึงรวมสายการเดินทางเชื่อมลงไปสู่ภาคใต้ ซึ่งมีทั้งประเทศมาเลเซีย และสิงคโปร์อีกด้วย ซึ่งหมายความว่าเส้นทางการเดินรถนี้ สามารถเติบโตต่อไปได้อีกมากเลยทีเดียว

และเรื่องของการเช่าพื้นที่ภายในสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์นั้น ก็ได้มีธุรกิจมากมายหลายเจ้า เช่น ทางเครือซีพีเอ็น หรือ ‘เครือเซ็นทรัล’ รวมถึงคิงเพาเวอร์ และแพลน บี มีเดีย เข้ามาขอยื่นซองประมูลบริหารพื้นที่เช่นเดียวกัน

ซึ่งทั้งหมดนี้ ก็เป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไปว่า ‘สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์’ นั้น จะสามารถเทียบชั้น ‘สถานีรถไฟไทเป’ หรือจะกลายเป็น ‘ชินจูกุเมืองไทย’ ได้หรือไม่


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top