Wednesday, 14 May 2025
TheStatesTimes

ผู้ช่วย ผบ.ตร. เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ พร้อมสร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน เปิดโครงการสร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมของประชาชนตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่

เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2566 ที่ห้องประชุมมหาศาลาหทัยนเรศวร์ วัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นประธานในพิธีเปิด โครงการสร้างเครือขายการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันอาชญากรรมระดับตําบล ของตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ โดยมีพระสุวรรณเมธี (แสวง ปญฺญาปโชโต) เจ้าอาวาสวัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร ประธานฝ่ายสงฆ์ พร้อมด้วย พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.ไพศาล ลือสมบูรณ์ รอง ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่, นายยุทธพงษ์ ไชยศร นายอำเภอจอมทอง, พ.ต.อ.พงษ์เดช คำใจสู้ รอง ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ พร้อมด้วยหัวหน้าสถานีตำรวจภูธรในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ข้าราชการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมในการเปิดอบรมโครงการในครั้งนี้

พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. เปิดเผยว่า โครงการสร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมของประชาชน ในการป้องกันอาชญากรรมระดับตำบล ตามยุทธศาสตร์ชาติและนโยบายขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน (Stronger Together) ของรัฐบาล โดยได้กำหนดเป้าหมายให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติกำหนดยุทธศาสตร์ การสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในทุกมิติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ซึ่งได้ให้ความสำคัญและนำนโยบายรัฐบาลมาสู่การปฏิบัติ โดยสั่งการให้ทุกหน่วยดำเนินโครงการ "สร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันอาชญากรรมระดับตำบล เพื่อสนับสนุนการป้องกันอาชญากรรม ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตามนโยบายขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน (Stronger Together)"  โดยมีเป้าหมาย "เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการเสนอและแก้ไขปัญหา ชุมชนสังคมความสงบเรียบร้อย ประชาชนมีอาชีพมีรายได้ ส่งเสริมวัฒนธรรม และการท่องเที่ยว เพื่อความผาสุกของประชาชนอย่างยั่งยืน" 

จึงได้กำหนดให้ทุกสถานีตำรวจทั่วประเทศดำเนินการ ซึ่งปีนี้เป็นปีที่ 5 แล้วที่ได้ดำเนินการมา ซึ่งตอนนี้เรามีเครือข่าย จำนวน 590,000 กว่าคนทั่วประเทศ โดยได้มีการขอความร่วมมือจากเครือข่ายในการมีส่วนร่วม ไม่ว่าจะเป็นผู้นำชุมชนปราชญ์ท้องถิ่น ปราชญ์ชาวบ้าน ให้สะท้อนถึงปัญหาของในแต่ละพื้นที่ ซึ่งในแต่ละพื้นที่จะมีปัญหาที่ไม่เหมือนกัน อีกทั้งเพื่อจะได้บูรณาการความร่วมมือของส่วนราชการภาคเอกชน และประชาชน ทุกภาคส่วน รวมพลังกัน เพื่อทำนุบำรุงสถาบันหลักของชาติ ได้แก่ ชาติ ศาสนา และ พระมหากษัตริย์ ตอบสนองความต้องการและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในทุกมิติ เพื่อให้ประเทศชาติและประชาชน มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน สืบไป ซึ่งการจัดฝึกอบรมประชาชนตามโครงการสร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมของประชาชน ในการป้องกันอาชญากรรมระดับตำบล ของ ภ.จว.เชียงใหม่ ครั้งนี้ มีผู้เข้ารับการอบรมทั้งสิ้น 1,900 คน โดยเป็นผู้แทนของประชาชนในพื้นที่ตำบลต่างๆ ในเขตพื้นที่รับผิดชอบของสถานีตำรวจในสังกัด 38 สถานี สถานีตำรวจละ 50 คน ใช้เวลาฝึกอบรม รุ่นละ 1 วัน รวมทั้งสิ้น จำนวน 3 รุ่น ในวันนี้ เป็นการอบรม รุ่นที่ 1 มีผู้แทนประชาชนในพื้นที่รับผิดชอบของ สภ.จอมทอง, ดอยหล่อ, ฮอด, บ่อหลวง, ดอยเต่า, แม่กา, แม่แจ่ม, อมก๋อย และแม่ตื่น รวมทั้งสิ้น 500 คน  โดยมีคณะวิทยากรผู้มีความรู้ ความสามารถจากภาครัฐและเอกชน มาบรรยายให้ความรู้แก่ผู้เข้ารับการฝึกอบรมในครั้งนี้ คาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้เข้ารับการฝึกอบรมทุกท่าน จะสามารถนำความรู้ และแนวทางที่ได้จากการฝึกอบรมไปปฏิบัติ เข้ามามีส่วนร่วมในการช่วยแก้ไขปัญหาอาชญากรรมในพื้นที่ระดับตำบล และเป็นเครือข่ายที่เข้มแข็งในการป้องกันอาชญากรรมในพื้นที่ต่อไป

ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่สำหรับการฝึกอบรมเครือข่ายประชาชนของตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ในวันนี้ เป็นผู้ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะต้องขอบคุณในความเสียสละที่ทุกท่านมาร่วมเป็นส่วนร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาต่างๆ และผู้ที่เข้ารับอบรมจะได้รับการคัดเลือกและอาสาเข้ามาเพื่อทำประโยชน์ให้แก่สังคม ชุมชน ท้องถิ่นที่ท่านอาศัยอยู่ เพราะพวกท่านทราบปัญหาในพื้นที่ดี และทราบว่าแต่ละพื้นที่ต้องการอะไร ทุกปัญหาไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านความขัดแย้ง ความเห็นแตกแยกทางการเมือง สภาพเศรษฐกิจ ปัญหาปากท้องความเป็นอยู่ ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ฝนแล้ง น้ำไม่พอสำหรับบริโภคหรือการเกษตร น้ำไม่ไหลไฟฟ้าดับ ปัญหาสังคม ปัญหาอาชญากรรม ปัญหายาเสพติด วัยรุ่นมั่วสุม และทุกปัญหา นอกเหนือไปจากการช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจในหน่วยงานของตำรวจ ในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม พวกท่านยังได้ร่วมสนับสนุนการทำงานของตำรวจอีกด้วย ดังนั้นการฝึกอบรมในครั้งนี้ จึงเป็นการเสริมสร้างความรู้ในด้านต่างๆ รวมทั้งได้มารู้จักพี่น้องเครือข่ายในพื้นที่ใกล้เคียง เพื่อรวมกันเป็นเครือข่ายภาคประชาชนที่มีพลังในการขับเคลื่อน ในการแก้ไขปัญหา ร่วมกับหน่วยงานราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคประชาสังคมในแต่ละพื้นที่ อันจะทำให้ทุกปัญหาได้รับการแก้ไข เรื่องของความเดือดร้อน และความต้องการของพี่น้องประชาชน จะได้รับการแก้ไข และตอบสนองโดยทันที อีกทั้งชุมชนและสังคม ก็จะมีความสงบเรียบร้อย ประชาชนมีอาชีพ มีรายได้ ส่งเสริมวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว เพื่อความผาสุกของประชาชนอย่างยั่งยืนต่อไป

‘เพื่อน Classy Records’ แชร์มุมคนเข้าชม ‘บอล-แปรอักษรจตุรมิตร’ ชี้!! ตื่นตา-สวยงาม เห็นถึงความสามัคคีร่วมมือทำเพื่อสถาบันของตน

(15 พ.ย. 66) ผู้ใช้งานเฟซบุ๊ก ‘เพื่อน ณัฐิภา Classy Records’ ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีดรามาแปรอักษรจตุรมิตร ระบุว่า…

ประเด็นเรื่องการ "แปรอักษร" เด็กผู้หญิงอย่างเพื่อน ขอออกความคิดเห็นบ้าง คงไม่ว่ากันนะคะ

เรื่องมีอยู่ว่า น้องชายสุดหล่อของเพื่อน เรียนอยู่ที่โรงเรียน สวนกุหลาบ ค่ะ ปีนี้เพื่อนจึงได้มีโอกาสไปดูคู่เปิดสนาม และพิธีเปิดงาน ‘ฟุตบอลประเพณีจตุรมิตรสามัคคี’ เมื่อวันเสาร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา 

เพื่อนเพิ่งรู้ว่าการเชียร์บอลนั้นสนุกมาก รู้สึกฮึกเหิมอย่างบอกไม่ถูก เวลาได้ยินเสียงเชียร์ของแต่ละโรงเรียน การได้มาเชียร์ที่สนามมันไม่เหมือนกับการชมถ่ายทอดสด 

คนละเรื่องเลยล่ะค่ะ 

คือเราจะเห็นการแข่งขันอย่างใกล้ชิด ได้เห็นผู้คนจับจ้อง ได้สัมผัสถึงอารมณ์ผู้คน ได้ลุกยืนลุ้นตอนบอลมาใกล้ประตู 

ที่ชอบมาก ๆ ไม่แพ้กันก็คือการได้ชมภาพการ ‘แปรอักษร’ ที่สวยงามของทั้ง 4 โรงเรียนพร้อม ๆ กัน ที่ใคร ๆ เรียกกันว่า ‘แปรอักษรจตุรมิตร’ และนี่คือสิ่งที่น้องชายของเพื่อนรอคอยที่จะได้ขึ้นสแตนไปทำหน้าที่ตรงนี้บ้าง

น้องบอกว่าการได้ขึ้นไปทำหน้าที่แปรอักษร มันคือความภาคภูมิใจ ทั้งรู้ว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้าง ต้องเหนื่อยแค่ไหน แต่มันคือพลังของเด็กสวนกุหลาบที่อยากจะทำผลงานตรงหน้านี้ให้ออกมาอย่างดีเยี่ยม 
เป็นประสบการณ์ที่หาซื้อไม่ได้ 

เชื่อว่าเพื่อน ๆ รอบตัวรวมถึงเพื่อนอีก 3 โรงเรียนก็จะคิดไม่ต่างกัน เพราะได้นั่งดูภาพที่สวยงามด้านหน้า จึงอยากไปเป็นหนึ่งในผู้สร้างความงดงามนี้ในด้านหลัง มันคงยากน่าดูกว่าจะออกมาได้งดงามขนาดนี้
คนดูอย่างเพื่อน จึงเห็นถึงความสามัคคี เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ดีใจที่น้องชายของเพื่อนมีใจใฝ่งานกิจกรรมของโรงเรียน น้องจะได้มีมุมมองในการใช้ชีวิต รู้จักหน้าที่ รู้จักความเสียสละ และเข้าสังคมเป็น เติบโตมาก็จะเป็นผู้ใหญ่ที่เข้าใจเด็ก เข้าใจสังคม มีแต่ประโยชน์ทั้งนั้นเลย

ใครนะที่กล้ามาปั่น เป่าหูเด็ก ใส่ร้าย และยุยงว่าการ ‘แปรอักษรจตุรมิตร’ เป็นเรื่องถูกบังคับขู่เข็ญ เป็นเรื่องที่ทรมานเด็ก 

ถ้าเด็กถูกทรมาน ถูกบังคับให้ทำโดยไร้ความสมัครใจ และไม่มีประโยชน์ต่อสังคมใด ๆ เลย จะมีผู้ใหญ่จำนวนมากที่มีชื่อเสียง มีอาชีพการงานที่ดี ที่เคยผ่านการแปรอักษรมาก่อนแล้วนับไม่ถ้วน พูดถึงกิจกรรมการแปรอักษรไปในทางที่ดีได้อย่างไร?

เพื่อนสงสัย??

อย่ามาทำให้เรื่องดี ๆ ของเด็ก ของน้องชายของเพื่อนต้องมัวหมองเพราะความคิดที่ไม่สะอาด และหัวจิตหัวใจที่สกปรกเลยนะคะ

ที่นี่ไม่มีสามนิ้ว มีแต่สิบนิ้วจากมือทั้งสองข้างประกบเข้าหากันคอยไหว้ผู้ใหญ่ที่สนับสนุนให้เด็กทำในเรื่องดี ๆ ต่อส่วนรวม ต่อสถาบันที่เขาศึกษา และรัก

สังคมไทยเราเละมากแล้วค่ะ ถ้าไม่ช่วยให้ดีขึ้น ก็อย่าพยายามหาช่อง หารู มาเจาะทำลายเลย
ขอให้ความงดงามจากความสามัคคีของเด็ก เติบโตไปพร้อมกับความคิด ๆ ของเขากันนะคะ
ที่เพื่อนจะเล่าก็มีเพียงเท่านี้

ก็ยาวบ้าง อะไรบ้าง 

ไม่ว่ากันนะคะ แหะ แหะ

ขอบคุณที่อ่านจนจบค่ะ

‘ช่อง 3’ ส่ง 2 ละครดังแกะกล่อง สตรีมบน ‘Prime Video’ ที่แรก หวังโชว์วิถีชีวิตคนไทยร่วมสมัย ดึงดูดความสนใจผู้ชมทั่วโลก

(15 พ.ย. 66) บีอีซี เวิลด์ หรือ ช่อง 3 เปิดดีลธุรกิจส่งละครสตรีมบน Prime Video เป็นที่แรก เพื่อเผยแพร่ใน 10 ประเทศและเป็นการสตรีมก่อนหน้าจอ ช่อง 3 อีกด้วย เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมผลิตคอนเทนต์ ของไทยสู่ตลาดสากล  

โดย ช่อง 3 ยังคงเร่งขับเคลื่อนธุรกิจการขายลิขสิทธิ์ละครไปยังตลาดต่างประเทศหรือผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ ทั้งฝั่งเอเชีย แอฟริกา และ ยุโรป และล่าสุดได้เปิดดีลโมเดลใหม่โดยร่วมมือกับผู้ให้บริการวิดีโอสตรีมมิ่งระดับโลกอย่าง Prime Video ได้ลิขสิทธิ์นำ 2 ละครใหม่แกะกล่องที่ยังไม่เคยออกอากาศมาก่อน อย่างเรื่อง ‘ร้อยเล่มเกมส์ออฟฟิศ’ (The Office Games) และ ‘มือปราบกระทะรั่ว’ (My Undercover Chef) ซึ่งผลิตโดย BEC Studio สตรีมพร้อมกันทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ ไทย, สิงคโปร์, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, เวียดนาม, กัมพูชา, ลาว, เมียนมาร์, บรูไน และ ติมอร์-เลสเต 

สำหรับละคร เรื่อง ‘ร้อยเล่มเกมส์ออฟฟิศ’ (The Office Games) ว่าด้วยเรื่องราวของเหล่ามนุษย์ออฟฟิศที่พยายามต่อสู้ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดในแต่ละวัน โดยใช้สารพัดเล่ห์เหลี่ยมเพื่อให้ตัวเองไปสู่ความสำเร็จ นำแสดงโดย ‘มิ้นต์ ชาลิดา วิจิตรวงศ์ทอง’ รับบท ‘อลิศ’ นักขายฝีปากดีที่แบกโลกทั้งใบไว้ภายใต้คำว่า ‘เพื่อความอยู่รอดของครอบครัว’ ประกบคู่กับ ‘นนกุล’ หรือ ‘ชานน สันตินธรกุล’ รับบท ‘เมษ’ วิศวกรหนุ่มที่ชีวิตพังเพราะตึกที่ได้ออกแบบเกิดพังถล่มลงมา ทั้งคู่จึงตัดสินใจเดินเข้าสู่วงการขายกองทุนที่มีความท้าทาย แต่ที่นั่นกลับเปรียบดังสมรภูมิรบที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมกลโกงมากมาย อลิศ และ เมษ จะเอาตัวรอดได้อย่างไร เริ่มวันพฤหัสบดีที่ 23 พฤศจิกายน 2566 ทาง Prime Video

และต่อมากับเรื่อง ‘มือปราบกระทะรั่ว’ (My Undercover Chef) เรื่องราวของ ‘มาวิน’ นำแสดงโดย ‘เต๋อ ฉันทวิชช์ ธนะเสวี’ มือปราบหัวร้อนที่ถูกพักงานเพราะความบุ่มบ่ามทำให้เอเย่นต์ค้ายาหลุดรอดไป เขาจึงต้องออกตามล่าอย่างกัดไม่ปล่อย และสถานที่ที่พวกค้ายาชอบมารวมตัวกันคือ ‘ร้านเภาโภชนา’ ที่เจ้าของร้านมีหลานสาวชื่อ ‘ขิง’ อาชีพยูทูบเบอร์ ที่อยากจะปิดร้านอาหารหนีพวกค้ายาอยู่ทุกวัน นำแสดงโดย ‘เต้ย จรินทร์พร จุนเกียรติ’ เมื่อมาวินเข้าไปแฝงตัวเป็นเด็กเสิร์ฟและทำให้ร้านขายดี ขิงจึงตั้งตัวเป็นคู่กัดและคอยขัดขวางภารกิจการสืบหาคนร้ายเสมอมา แล้วอะไรจะสามารถเปลี่ยนให้ทั้งคู่กลับมาร่วมมือและช่วยกันทำให้ย่านอาชญากรรมกลายเป็นย่าน Street Food ได้บ้าง เริ่มวันที่ 21 ธันวาคม 2566 ทาง Prime Video  

สำหรับ Prime Video คือผู้ให้บริการวิดีโอสตรีมมิ่งระดับโลก ที่ได้นำคอนเทนต์ความบันเทิงไทยออกเผยแพร่ให้กับคนไทยทั่วประเทศได้รับชม ทั้งนี้ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา Prime Video ได้มีการประกาศแคมเปญ ‘แกะกล่องไทยบันเทิง’ ขึ้นโดยเปิดพื้นที่เก็บรวบรวมคอลเลกชันเนื้อหาคอนเทนต์ของไทยมากมายไว้ในที่เดียว มีทั้งภาพยนตร์ ละคร ซีรีส์ คอนเสิร์ต เป็นการให้บริการสมาชิกแบบครบวงจรที่คนไทยสามารถเข้าถึงได้โดยตรง ดังนั้นจึงถือเป็นแหล่งส่งเสริมอุตสาหกรรมบันเทิงไทยอีกหนึ่งช่องทางที่จะเติบโตได้ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศต่อไป

และด้วยละครใหม่ทั้ง 2 เรื่อง ‘ร้อยเล่มเกมส์ออฟฟิศ’ (The Office Games) และ ‘มือปราบกระทะรั่ว’ (My Undercover Chef) ล้วนมีบทที่แสดงถึงเอกลักษณ์การใช้ชีวิตแบบคนไทยในยุคปัจจุบัน มีแนวคิดในการดำเนินชีวิตที่ร่วมสมัย จึงถือเป็น Soft Power ของคอนเทนต์จากประเทศไทยที่จะสร้างความสนใจเกี่ยวกับประเทศไทยจากผู้ชมในต่างประเทศ และเมื่อละครของ ช่อง 3 ได้สตรีมบน Prime Video ซึ่งเป็นผู้ให้บริการวิดีโอสตรีมมิ่งระดับโลกก็จะยิ่งทำให้ผู้ชมต่างประเทศได้เข้าใจวัฒนธรรมไทยผ่านคอนเทนต์ได้ง่ายและมากขึ้น

‘กลุ่ม ปตท.’ ผนึกกำลังแสดงนวัตกรรมสร้างรอยยิ้มให้ชุมชน  ในงาน ‘PTT Group Innovation for Future Society 2023’ 

เมื่อวันที่ 14 พ.ย. 66 ที่ผ่านมา บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) จัดงาน ‘PTT Group Innovation for Future Society 2023 จุดพลังสร้างอนาคต ขับเคลื่อนชุมชนสู่ความยั่งยืน’ แสดงนวัตกรรมและผลสำเร็จของโครงการนวัตกรรมสร้างรอยยิ้ม กลุ่ม ปตท. โดยมี นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท. เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยผู้บริหารบริษัทใน กลุ่ม ปตท. ผู้นำชุมชนและสมาชิกชุมชนจาก 45 พื้นที่เครือข่าย รวมถึงเยาวชนจากโครงการ Restart Thailand เข้าร่วมงาน ณ ปตท. สำนักงานใหญ่ 

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท. กล่าวว่า ‘โครงการนวัตกรรมสร้างรอยยิ้ม กลุ่ม ปตท.’ เป็นอีกหนึ่งโครงการ ที่ ปตท. และบริษัทในกลุ่มรวมพลังกันเพื่อช่วยเหลือฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาความเป็นอยู่ของชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยนำนวัตกรรม องค์ความรู้ และความเชี่ยวชาญของแต่ละบริษัทมาพัฒนาชุมชนเครือข่าย 45 ชุมชน ใน 29 จังหวัดทั่วประเทศ ผ่านการพัฒนาให้สอดคล้องกับบริบทชุมชนใน 3 ด้านประกอบด้วย Smart Farming ยกระดับการเกษตรด้วยนวัตกรรมให้ผลผลิตที่มีคุณภาพในปริมาณที่สูงขึ้น Smart Marketing การเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์โดยการแปรรูปและสร้างมาตรฐานให้ผลิตภัณฑ์ เพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายให้แก่ชุมชน และ Community-Based Tourism ส่งเสริมการบริหารจัดการการท่องเที่ยวโดยชุมชนตามอัตลักษณ์ของท้องถิ่น ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม 

ทั้งนี้ การดำเนินโครงการฯ เป็นไปตามเป้าหมาย ทุกชุมชนสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นจากฐานรายได้เดิม ร้อยละ 10 มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนรวม 45 รายการ พัฒนาพื้นที่ท่องเที่ยวโดยชุมชนจำนวน 6 พื้นที่ รวมถึงชุมชนมีทักษะและศักยภาพที่สามารถดำเนินการและพึ่งพาตนเองได้ ซึ่งผลสำเร็จจากโครงการจะทำให้ชุมชนมีความเข้มแข็งและยั่งยืนต่อไป

นอกจากนี้ กลุ่ม ปตท. ยังร่วมแก้ปัญหาการว่างงาน โดยจ้างบัณฑิตจบใหม่ผ่านโครงการ Restart Thailand กว่า 280 อัตรา เพื่อให้เป็นพลังร่วมขับเคลื่อนโครงการฯ พัฒนาและสร้างความเป็นอยู่ที่ดีแก่ชุมชนบ้านเกิด เป็นโอกาสให้เยาวชนที่จบใหม่และอยู่ในพื้นที่โครงการฯ ได้มีโอกาสทำงานร่วมกับท้องถิ่นและสามารถประยุกต์ใช้ความรู้ที่ได้รับจากกลุ่ม ปตท. พัฒนาพื้นที่บ้านเกิด นับเป็นผลสำเร็จของการพัฒนาชุมชนในทุกมิติ ให้ชุมชนในพื้นที่สามารถต่อยอด และพึ่งพาตนเองต่อไปได้

การจัดงาน PTT Group Innovation for Future Society 2023 ครั้งนี้ จึงเป็นการสรุปผลสำเร็จของโครงการฯ ที่ได้ดำเนินมาตลอดเป็นระยะเวลา 3 ปี ตั้งแต่ปี 2564 - 2566 รวมถึงเป็นการนำนวัตกรรมและองค์ความรู้ของ กลุ่ม ปตท. และองค์ความรู้ของชุมชนที่เกิดขึ้นในโครงการฯ พัฒนาเป็น ‘จุดเรียนรู้’ 12 พื้นที่ มาจุดประกายให้ผู้ที่ร่วมงานได้นำความรู้ไปประยุกต์ใช้ เพื่อขยายพื้นที่สร้างรอยยิ้มให้กับชุมชนอื่น ๆ ได้ต่อไป เพราะทุกชุมชนคือรากฐานสำคัญในการพัฒนาประเทศ”

สำหรับการจัดงาน ‘PTT Group Innovation for Future Society 2023 จุดพลังสร้างอนาคต ขับเคลื่อนชุมชนสู่ความยั่งยืน’ จัดขึ้น ระหว่างวันที่ 14-15 พฤศจิกายน 2566 โดยมีการจัดแสดงนวัตกรรมและผลสำเร็จของโครงการฯ ผ่านพื้นที่จัดแสดงนิทรรศการ 3 โซน ประกอบด้วย โซนที่ 1 นวัตกรรมเพื่อชุมชน โดย กลุ่ม ปตท. และพื้นที่เรียนรู้ชุมชน โซนที่ 2 การท่องเที่ยวโดยชุมชน ผลิตภัณฑ์ชุมชน และโซนที่ 3 ตลาดนัดชุมชน 

นอกจากนี้ ยังมีเวทีเสวนาเพื่อให้ชุมชนได้แบ่งปันประสบการณ์ในการดำเนินโครงการฯ รวมถึงได้รับเกียรติจากวิทยากรภายนอก อาทิ คุณสรกล อดุลยานนท์ ‘หนุ่มเมืองจันทร์’ เจ้าของสวนสันติเกษตรอินทรีย์ เป็นผู้ดำเนินเวที, คุณชารีย์ บุญญวินิจ จาก ฟาร์มลุงรีย์ Uncle Ree Farm, คุณนิพนธ์ พิลา จาก พิลาฟาร์มสตูดิโอ, คุณจรงศักดิ์ รองเดช จากภัตตาคารบ้านทุ่ง และคุณธราณิศ ประเสริฐศรี Co-Founder Technical จาก Varuna สตาร์ตอัปสายเขียวเกษตรกรยุคใหม่ ร่วมเติมเต็มเรื่องราวการพัฒนาชุมชนที่น่าสนใจอีกด้วย

“กลุ่ม ปตท. จะยืนหยัดมุ่งมั่นดูแลความมั่นคงทางด้านพลังงานของประเทศ พร้อมพัฒนาธุรกิจใหม่ที่ยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย ควบคู่ไปกับการดูแลชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน 

ปตท. ได้นำส่งรายได้เข้ารัฐเพื่อใช้ในการพัฒนาประเทศ นับตั้งแต่ปี 2544 จนถึงปัจจุบัน (9 เดือนแรกของ ปี 2566) ในรูปแบบภาษีเงินได้และเงินปันผล แล้วกว่า 1.21 ล้านล้านบาท ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ปตท. ได้ตระหนักถึงการมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือสังคมและชุมชน ทั้งในกิจกรรมและโครงการต่าง ๆ  ทั้งด้านการส่งเสริมชุมชนเข้มแข็ง การแก้ปัญหาภัยพิบัติ การส่งเสริมการศึกษา และการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สำหรับโครงการนวัตกรรมสร้างรอยยิ้ม กลุ่ม ปตท. แม้ว่าระยะเวลาการดำเนินโครงการฯ จะสิ้นสุดลงแล้ว แต่เชื่อว่าองค์ความรู้ นวัตกรรม และวิถีการเกษตรครบวงจรจะยังดำเนินการและพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง” นายอรรถพล กล่าวปิดท้าย

'เพจตี๋น้อย' มอง!! 'จตุรมิตร' เป็นมากกว่าการแข่งกีฬา 'แพ้-ชนะ' แต่คือพื้นที่แสดงพลังสามัคคี-หลอมมิตรภาพ 4 รร. ให้แน่นแฟ้น

(16 พ.ย. 66) เพจเฟซบุ๊ก ‘ตี๋น้อย’ นักเรียนไทยในมณฑลซินเจียง โพสต์ข้อความถึง ‘การแข่งขันฟุตบอลจตุรมิตรสามัคคี’ ระบุว่า…

โพสต์นี้ขอเล่าอะไรนิดนึง ไม่เกี่ยวกับจีนซักโพสต์

การแข่งขันฟุตบอลจตุรมิตรสามัคคีคือ การแข่งขันฟุตบอล 4 โรงเรียน คือ อัสสัมชัญ กรุงเทพคริสเตียน สวนกุหลาบ เทพศิรินทร์

มันคือการแข่งขัน ดาร์บี้แมตช์ ของวัดไทย และวัดฝรั่ง ในสนามคือเอาเป็นเอาตาย กองเชียร์ เชียร์กันอย่างเมามัน

สเน่ห์ของฟุตบอลรายการนี้ที่มันไม่เหมือนรายการไหน ๆ และมันเป็นอย่างนั้นตลอดคือ มันคือมิตรภาพของทั้งสี่โรงเรียน ในสนาม เราเชียร์กันสุด นอกสนามคือเพื่อนกัน เวลาเรียนต่อมหาวิทยาลัย ผมสามารถพูดได้ว่า เพื่อนจากโรงเรียนเครือจตุรมิตร เป็นเพื่อนที่สนิทกันง่ายที่สุด มันเหมือนกับว่ามีอะไรมาร้อยเรียงเข้าด้วยกัน 

กูเด็กคริสเตียนเว้ย กูเด็กอัสสัมเว้ย กูเด็กสวนฯ เว้ย กูเด็กเทพฯ เว้ย เวลาเจอกันในมหาวิทยาลัยมันกลายเป็นเคมีที่เข้ากันได้ดีที่สุด 

สเน่ห์ของจตุรมิตรอีกอย่างคือ มันมากกว่าการไปดูและเชียร์ฟุตบอล บางครั้งเราก็เจอพี่ ๆ น้องๆ เพื่อน ๆ บางคนที่ไม่ได้เจอกันนานมาก ๆ มาเจอกันที่สนามฟุตบอล ได้ร่วมเชียร์ด้วยกัน เหมือนย้อนวัยกลับไปมัธยมอีกครั้ง ได้พบปะพูดคุยกับเพื่อน พี่ น้อง คุณครูของตัวเองในวัยมัธยม อัปเดตชีวิตกันและกัน มีความสุขไปด้วยกันอีกครั้งนึง ชนะดีใจ แพ้เสียใจ ร้องเพลงเชียร์กันสุดเสียง มีแซวโรงเรียนอื่นกันบ้างเป็นสีสัน แต่สุดท้ายก็คือเพื่อน

จตุรมิตรสามัคคีดีเด่น จตุรมิตรนั้นเป็นสายใย ยึดดวงใจให้ เราสี่พี่น้องต่างปองรักกัน จิตใจนั้นของเราเป็นเลิศ

สุดประเสริฐเพราะความสามัคคี มิตรและไมตรี เราทั้งสี่นี้มาร่วมกัน

สวนกุหลาบ เทพศิรินทร์ จำให้มั่น
อัสสัมชัญ กรุงเทพคริสเตียน ร่วมเพียรจัดหา
เกียรติยศชื่อเสียงก้องลือชา
ซึ้งในคุณค่าคำว่าสามัคคี
จตุรมิตรสามัคคีดีเลิศ
ช่วยชูเชิดบรรเจิดเกรียงไกร
รักดังดวงใจ
จรรโลงให้คงอยู่ชั่วนิรันคร์

ปล. อัสสัมชัญของผมปีนี้ชนะบ้างเถิดนะพ่อนะะะ ไม่มีซักแต้มเลยยยย

#ตี๋น้อย #จีน #เล่าเรื่องเมืองจีน #ซินเจียง #ชีวิตในซินเจียง #จตุรมิตรสามัคคีครั้งที่30

‘นายกฯ’ ยัน ไม่ทอดทิ้งรถยนต์สันดาป ‘ญี่ปุ่น’ ในไทย พร้อมเล็งเปิดฟรีวีซ่าของทั้ง 2 ชาติ เอื้อนักธุรกิจลงทุน

(16 พ.ย.66) ที่โรงแรมเดอะริทซ์คาร์ลตัน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวถึงการหารือทวิภาคี กับนายคิชิดะ ฟูมิโอ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ในการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 30 ว่า หารือเรื่องของความสัมพันธ์ที่มีมานาน 50 ปี และหารือเรื่องการใช้รถยนต์สันดาป โดยตนให้ความมั่นใจกับทางญี่ปุ่นไปว่าจะไม่ทอดทิ้ง มีการพูดคุยกันว่าให้การประกอบรถยนต์สันดาปของญี่ปุ่น และกระบวนการจัดการผลิตอยู่ได้ ขณะที่รถไฟฟ้า (อีวี) ที่มีความต้องการสูง และได้พูดในหลายเวทีว่าประเทศญี่ปุ่นมีการลงทุนในประเทศไทยสูงที่สุดในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา จึงต้องมาดูแลช่วยเหลือกัน และทางญี่ปุ่นยืนยันว่าธุรกิจยานยนต์เป็นธุรกิจสำคัญและจะพัฒนาต่อในประเทศไทย และในระหว่างวันที่ 16 - 18 ธ.ค.นี้ ตนจะเดินทางไปร่วมประชุมอาเซียน ตามคำเชิญของนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น นอกจากนั้นยังพูดคุยอีกหลายเรื่อง เช่น การฟรีวีซ่าสำหรับนักธุรกิจของสองประเทศ ที่ทั้งสองฝ่ายมีการตกลงเห็นตรงกันว่าไม่จำเป็นต้องขอเพื่อให้นักธุรกิจ ติดต่อธุรกิจและไปมาหาสู่สะดวกมากขึ้น เป็นเรื่องที่ดีที่สองฝ่ายเห็นตรงกัน 

ผู้สื่อข่าวถามเรื่องวีซ่านักธุรกิจ จะจำกัดจำนวนวัน ในการเข้ามาพำนักเพื่อประกอบธุรกิจหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ยังไม่มี เป็นหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศต้องไปศึกษา โดยการทำธุรกิจต้องใช้เวลานานเล็กน้อย ส่วนรายละเอียดคาดว่าจะตกลงกันได้ในระหว่างการไปร่วมประชุม 

นราธิวาส-ติดตามการขับเคลื่อนงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมความคืบหน้าโครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโก-ลก แห่งที่ 2 มุ่งดูแลชายแดนอย่างเต็มประสิทธิภาพ

ที่ห้องรับรอง กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ค่ายสิรินธร ตำบลเขาตูม อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี พลโท ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ให้การต้อนรับ พลโท ณัฐพงษ์  เพราแก้ว เจ้ากรมกิจการชายแดนทหาร พร้อมคณะฯ ในโอกาสเดินทางมาปฏิบัติภารกิจติดตามการทำงาน พร้อมรับทราบและหารือถึงปัญหาการขับเคลื่อนงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมี พลตรี กรกฎ ภู่โชติ รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า, พลตรี เฉลิมพร ขำเขียว ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 15 / ผู้บังคับกองบังคับการควบคุมสุริโยทัย / ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส ตลอดจนคณะผู้บังคับบัญชาจากส่วนที่เกี่ยวข้อง ร่วมให้การต้อนรับ

พลโท ณัฐพงษ์ เพราแก้ว เจ้ากรมกิจการชายแดนทหาร กล่าวว่า “วันนี้เดินทางมาเนื่องในโอกาสรับตำแหน่งใหม่ ซึ่งตั้งใจจะมารับฟังว่าอยากให้กรมชายแดนทำอะไรบ้าง และรับฟังคำแนะนำว่าทำอย่างไรให้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านชายแดนอย่างแท้จริง อย่างแรกที่จะทำในปีนี้ คือนโยบายชายแดนทางด้านมาเลเซีย วางแผนการดำเนินว่าจะทำในด้านเรื่องอะไรบ้าง โดยจะบูรณาการกับกระทรวงต่างๆ ในการทำงาน อีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญคือ ดาต้าเซ็นเตอร์เรื่องชายแดนทั้งหมด ที่จะรวบรวมข้อมูลทั้งหมดไว้ เพื่อให้สามารถค้นคว้าหาข้อมูลไปใช้ประโยชน์ได้ง่ายขึ้น“

พลโท ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 กล่าวว่า “ขอขอบคุณท่านเจ้ากรมชายแดนที่แวะมาเยี่ยม และให้ข้อมูลการทำงานต่าง ๆ ในส่วนเรื่องของแนวชายแดนกองทัพภาคที่ 4 จะมีพื้นที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้านอยู่ 2 ประเทศ คือ จังหวัดชุมพรและระนอง ที่ติดกับประเทศเมียนมา และจังหวัดสตูล สงขลา ยะลา และนราธิวาส ที่ติดกับประเทศมาเลเซีย ซึ่งในปีนี้มีการปรับเปลี่ยนในการควบคุมตามแนวชายแดน ในอดีตกองกำลังเทพสตรีจะดูแลทั้งหมด แต่ปีนี้มีการปรับหน่วยที่ต้องดูแลแนวชายแดนเพิ่มขึ้น เพื่อแบ่งเบาภาระการทำงานของกองกำลังเทพสตรี และเพื่อลดการทำงานซ้ำซ้อน โดยกองกำลังเทพสตรีก็จะรับผิดชอบตามแนวชายแดนฝั่งที่ติดต่อกับประเทศเมียนมาเหมือนเดิม  ตั้งแต่มาจนถึงจังหวัดสตูลและอำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา ส่วนตั้งแต่จังหวัดยะลาไปจนถึงจังหวัดนราธิวาส เปลี่ยนให้เป็นกองบังคับการควบคุมสุริโยทัยดูแล โดยให้กองพลทหารราบที่ 15 จัดกำลังดูแลป้องกันชายแดน สำหรับปัญหาตามแนวชายแดนของกองทัพภาคที่ 4 ทั้งเรื่องการรุกล้ำอธิปไตย การต่อสู้ตามแนวชายแดน ฝั่งประเทศเมียนมา และประเทศมาเลเซียนั้นแทบจะไม่มีเลย และในด้านการพบปะพัฒนาสัมพันธ์ ก็มีการพัฒนากันอย่างต่อเนื่อง อาจจะมีการหยุดไปในช่วงการแพร่ระบาดโควิด 19 บ้าง แต่ปัจจุบันได้กลับมาพัฒนาความสัมพันธ์กันตามปกติ และเป็นไปด้วยดี นอกจากนี้ เรายังมีการลาดตระเวนร่วมกันทั้งทางบกและทางน้ำด้วย“

จากนั้น เวลา 13.00 น. เจ้ากรมกิจการชายแดนทหาร ได้เดินทางต่อไปยังด่านศุลกากรสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส เพื่อรับฟังบรรยายสรุปการปฏิบัติงานของด่านศุลกากรสุไหงโก-ลก, ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดนราธิวาส และกองบังคับการควบคุมสุริโยทัย ก่อนลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมพื้นที่โครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโก-ลก แห่งที่ 2 ในเวลาต่อมา โดยสะพานแห่งนี้ใช้เชื่อมต่อระหว่าง อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส กับ รันเตาปันจัง รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย เป็นโครงการภายใต้ข้อตกลงความร่วมมือ IMT – GT เพื่อก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำอีก 1 สะพาน คู่ขนานกับสะพานเดิม เนื่องจากสะพานข้ามแม่น้ำ โก-ลก แห่งที่ 1 มีความคับแคบไม่สะดวกต่อการตอบสนองการเติบโตทางเศรษฐกิจและการเดินทางของประชาชนและนักท่องเที่ยวของทั้ง 2 ประเทศที่ในแต่ละวันมีเป็นจำนวนมาก หากดำเนินการก่อสร้างเสร็จก็จะยกระดับการสัญจรผ่านแดนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชนในการขนส่งการค้าชายแดน และกระตุ้นให้เกิดการท่องเที่ยวในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

พิจิตร-บิ๊กต่อนิมนต์เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อเงินบางคลานเข้าวัดยุติความขัดแย้งลืมอดีตมองไปข้างหน้า

เมื่อวานนี้ (15 พฤศจิกายน 2566) พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ , พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผู้บังคับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง , นาย ภูวิศาล เกษมสุข เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท. พร้อมด้วยผู้ที่เกี่ยวข้องร่วมกันลงพื้นที่มาที่ วัดหิรัญญาราม หรือ วัดหลวงพ่อเงินบางคลาน ซึ่งตั้งอยู่ที่ ต.บางคลาน อ.โพทะเล จ.พิจิตร โดยมาถึงเมื่อเวลาประมาณ 14.00 น. จากนั้นได้นิมนต์ พระครูพิสุทธิวรากร เจ้าอาวาสวัดบางคลาน พร้อมด้วยกำลังจิตอาสากว่า 200 คน  เดินหน้ามายังประตูวัดหลวงพ่อเงินบางคลาน ซึ่งปิดประตูอยู่ จากนั้น 2566 พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ใช้โทรโข่งเจรจาพูดคุยว่า วันนี้ถึงเวลาแล้วที่ทุกคนจะต้องข้ามความขัดแย้งแล้วหันหน้ามาเจรจาพูดคุยกัน โดยขอให้แกนนำ คือ นางสุภา หรือชื่อเดิม นางประภานันท์ อยู่ยืด ประธานองค์กรชุมชนรักษ์วัดบางคลาน ใช้โทรโข่งบอกกับชาวบ้านที่อยู่ด้านในขอให้เปิดประตู จากนั้นคณะของ “บิ๊กต่อ” ก็ได้เดินเข้าวัดพร้อมกับ พระครูพิสุทธิวรากร เจ้าอาวาสวัดบางคลาน เข้าไปภายในวัดและขึ้นไปยังวิหารหลวงพ่อเงินบางคลาน ซึ่งก็มีคณะกรรมการ 18 คน ที่เป็นทั้งฝ่ายอดีตเจ้าอาวาส และฝ่ายเจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน ขึ้นไปนมัสการรูปหล่อหลวงพ่อเงินที่ประดิษฐานอยู่บนวิหาร โดยมี พระพรหมโมลี ปธ.9 รักษาการเจ้าคณะใหญ่หนเหนือ เจ้าคณะภาค 5 เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กทม. เทศน์ให้โอวาทกับผู้ที่มาร่วมกิจกรรมบิ๊กคลีนนิ่งเดย์ครั้งใหญ่ในรอบ 9 ปี หลังจากที่มีปัญหายืดเยื้อมายาวนาน แต่ด้วยการผนึกกำลังเอาจริงของ “บิ๊กต่อ” ผบ.ตร.-ป.ป.ป. –ป.ป.ท. จึงทำให้สถานการณ์วันนี้คลี่คลายลงแล้วและเชื่อมั่นว่าความสงบจะกลับคืนสู่วัดหลวงพ่อเงินบางคลานอีกครั้ง 

จากนั้น พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้ตอนที่เราเข้ามาตั้งเเต่เเรก  เราก็จะเห็นพี่น้องชาวบางคลานเเละก็ในทีมที่เข้ามาเเก้ปัญหา รวมทั้งคณะกรรมการที่เราจัดตั้งไว้ 18 คน หรือเรียกว่า 18 อรหันต์ ทุกคนก็มีความร่วมมือร่วมใจกันจะเห็นได้ว่ายื้มเเย้มเเจ่มใส เห็นบรรยากาศเราก็รู้มันเป็นภาษากายที่สามารถสื่อได้ว่าไม่ได้มีความกังวลอะไรเลย มีความสุข ชาวบ้านเข้ามากอด ผมเชื่อว่าเขาไม่มาเสเเสร้งเเล้วเข้าก็อยากเห็นความสุข สิ่งเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่ดึงความเชื่อมั่นศรัทธาของ  พุทธศาสนิกชนที่จะมากราบขอพรองค์หลวงพ่อเงิน ไม่ใช่เฉพาะชาวบางคลานหรือคนพิจิตรเท่านั้นที่จะดีใจ แต่เชื่อว่าพุทธศาสนิกชนที่เป็นคนไทย หรือจะรวมถึงชาวต่างชาติก็จะดีใจด้วย  

ตอนนี้เรากำลังเปิดบรรยากาศการท่องเที่ยวตามที่รัฐบาลวางนโยบายไว้  ผมก็ถือว่าเป็นบรรยากาศที่ดี เงินก็จะไหลในระบบในเศรษฐกิจของพี่น้องชาวบางคลานก็จะดีการค้าขายของเศรษฐกิจก็จะดีขึ้น เราได้ทั้งห่วงโซ่เลยที่มันเป็นวงจร  ผมคิดว่าชาวบ้านก็ต้องรักษาตรงนี้ไว้ ผมว่าคนข้างนอกคนบางคลานต้องช่วยกัน เพราะคนนอกมาช่วยทำให้มันดีขึ้นฉะนั้นคนบางคลานต้องรักษาไว้มันไม่มีอะไรเอาไปได้  เเต่สิ่งศรัทธาพุทธศาสนาเราเป็นการสืบทอดพุทธศาสนามันเเป็นหน้าที่ทุกหลายหน่วยช่วยกันไม่ใช่เฉพาะตำรวจเท่านั้น แต่รวมทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด  

“บิ๊กต่อ”กล่าวย้ำว่า หลังจากวันนี้กำลังตำรวจจะยังไม่ถอนตัวออกจากวัด แต่จะวางกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจไว้ส่วนหนึ่งให้ช่วยดูแลความสงบภายในวัดหลวงพ่อเงินบางคลาน จนกว่าจะไม่มีปัญหาเกิดขึ้นอีก

“บิ๊กต่อ” ยังบอกเพิ่มเติมอีกว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะทำโครงการอุปสมบทนาคหมู่ เนื่องในโอกาสปีมหามงคล 72 พรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในปี 2567 โดยจะนำตำรวจมาบวชที่วัดหลวงพ่อเงินบางคลานแห่งนี้อีกด้วย ทั้งนี้เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับพี่น้องประชาชนว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้ทอดทิ้งวัดหลวงพ่อเงินบางคลาน หรือหนีหายไปไหน? พร้อมทั้งจะดูเเลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน รวมถึงการจัดระเบียบภายในวัดให้เรียบร้อยเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่จะมากราบไหว้นมัสการหลวงพ่อเงินวัดบางคลานแห่งนี้ อีกด้วย

ร้อยเอ็ด…จังหวัดร้อยเอ็ดเปิดตลาดนัดข้าวเปลือก แหล่งกลางซื้อ-ขายข้าวเปลือก อย่างเป็นธรรม

เมื่อวานนี้ ( 15 พฤศจิกายน 2566 )เวลา 09.30 น. นายทรงพล ใจกริ่ม ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด เปิดตลาดนัดข้าวเปลือก ปีการผลิต 2566/2567 เพื่อเป็นแหล่งกลางในการซื้อ-ขายข้าวเปลือก ที่ให้ความเป็นธรรม ทางด้านราคา การชั่งน้ำหนัก และการตรวจสอบคุณภาพสินค้าเกษตร โดยมี นายพงษ์ศักดิ์ วรวงศ์ พาณิชย์จังหวัดร้อยเอ็ด พร้อมด้วย ผู้จัดการสหกรณ์ การเกษตรเพื่อการตลาดลูกค้า ธ.ก.ส ร้อยเอ็ด จำกัด หัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอตรวิสัย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ที่ ณ สหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาดลูกค้า ธ.ก.ส. ร้อยเอ็ด จำกัด ตำบลเหล่าหลวง อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด

โดยสำนักงานพาณิชย์จังหวัดร้อยเอ็ด ได้ดำเนินโครงการจัด ตลาดนัดข้าวเปลือกช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตออกสู่ตลาด เนื่องจากข้าวเปลือกเข้าสู่ตลาด ปริมาณมาก จะส่งผลให้ราคาข้าวเปลือกปรับลดลง จึงได้กำหนด จัดตลาดนัดข้าวเปลือก จำนวน 3 ครั้ง ได้แก่ ครั้งที่ 1 วันที่ 15 - 17 พฤศจิกายน 2566 เปิดจุดรับซื้อ ข้าวเปลือก ณ สหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาดลูกค้า ธ.ก.ส.ร้อยเอ็ด จำกัด ตำบลเหล่าหลวง อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด ครั้งที่ 2 วันที่ 22 - 24 พฤศจิกายน 2566 เปิดจุดรับซื้อ ข้าวเปลือก ณ ตลาดกลางสินค้าเกษตรร้อยเอ็ด ตำบลดงลาน อำเภอเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด และครั้งที่ 3 วันที่ 29 พฤศจิกายน - 9ธันวาคม 2566 เปิดจุดรับซื้อ ข้าวเปลือก ณ สหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาดลูกค้า ธ.ก.ส. ร้อยเอ็ด จำกัด ศูนย์ ธุรกิจโพนทอง อำเภอโพนทอง จังหวัดร้อยเอ็ด 

ทั้งนี้ นายทรงพล ใจกริ่ม ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด กล่าวว่า การจัดทำตลาดนัดข้าวเปลือก เป็นการสร้างความเป็นธรรมให้กับเกษตรกร ในการขายข้าวได้ราคาดี ยังมีบวกราคาข้าวเพิ่มขึ้น จากสหกรณ์ จะทำให้ชาวบ้านจะเกิดความมั่นใจ และมีช่องทางเลือกในการขายสินค้าเกษตรมากขึ้น รวมถึงเกษตรกรจะได้เรียนรู้ระบบการซื้อขายแบบตลาดกลาง ใช้เป็นฐานในการพัฒนาระบบตลาด อีกทั้งเป็นแรงกระตุ้นให้เกษตรกรหันมาสนใจพัฒนา และปรับปรุงคุณภาพข้าวเปลือกอย่างจริงจัง และให้เป็นไปตามความต้องการของตลาด ต่อไป

จังหวัดร้อยเอ็ด แถลงข่าวการจัดประกวดมิสแกรนด์ร้อยเอ็ด 2024

(15 พฤศจิกายน 2566 )เวลา 15.00 น. นายชูศักดิ์ ราชบุรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด เป็นประธานการแถลงข่าว การจัดประกวดมิสแกรนด์ร้อยเอ็ด 2024 โดยมี เพื่อเฟ้นหาสาวงามที่มีศักยภาพ ทั้ง 20 อำเภอ มาเป็นตัวแทนจังหวัดร้อยเอ็ด ไปแข่งขันต่อบนเวทีระดับประเทศ รวมทั้งเป็นส่วนหนึ่งในการเสริมสร้างภาพลักษณ์ กระตุ้นเศรษฐกิจ และส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่ 

โดยมี ผู้สนับสนุนการประกวด คณะทำงานที่เกี่ยวข้อง สื่อมวลชน และประชาชนร่วมงานเป็นจำนวนมาก ที่ โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ ร้อยเอ็ด อำเภอเมืองร้อยเอ็ด โดย ได้มีการเปิดตัวมงกุฎเพชร มูลค่ากว่า 300,000 บาท ซึ่งเป็นการนำ เอกลักษณ์ของจังหวัดร้อยเอ็ด มาออกแบบ เช่น บึงพลาญชัย โหวด ข้าวหอมมะลิ ชื่อจังหวัดร้อยเอ็ด เป็นต้น ซึงมีความอลังการเป็นอย่างมาก 

ส่วนกำหนการดจัดกิจกรรมการทำกิจกรรมการเก็บตัวของนางงามในจังหวัดร้อยเอ็ด ระหว่างวันที่ 21 – 24 ธันวาคม 2566 ส่วนในวันที่ 25 ธันวาคม 2566 ได้จัดให้มีการประกวด “มิสแกรนด์ร้อยเอ็ด” รอบตัดสิน ณ โรงแรม เพชรรัชต์การ์เด้นท์ ตำบลเหนือเมือง อำเภอเมืองร้อยเอ็ด 

ทั้งนี้ มีกิจกรรมของนางงาม ในการร่วมเผยแพร่สถานที่ท่องเที่ยว และวิสาหกิจชุมชน รวมถึงอาหารพื้นเมือง นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นให้ขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้ดียิ่งขึ้น มากกว่าแค่การจัดประกวดหานางงามเพียงอย่างเดียว ยังให้นางงามนำเสนอการท่องเที่ยว การใช้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของจังหวัด ผ่านช่องทางการประชาสัมพันธ์ต่างๆ ให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top