Wednesday, 14 May 2025
TheStatesTimes

'รมว.พิมพ์ภัทรา' เปิดงานประจำปี สศอ. OIE Forum 2566 พลิกโฉมอุตสาหกรรมไทย เผยวาระเร่งด่วน 6 ด้าน หนุน 'ภาคอุตฯ - ผู้ประกอบการไทย' เติบโตอย่างยั่งยืน

(13 พ.ย. 66) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดงานและปาฐกถาพิเศษในงานประจำปี OIE FORUM 2566 ครั้งที่ 15 'MIND : Set for Sustainability ปรับมุมคิด พลิกอุตสาหกรรมไทย สู่ความยั่งยืน' จัดโดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เพื่อเปิดเวทีแลกเปลี่ยนแนวคิดในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยสู่การเติบโตที่ยั่งยืน เผยวาระเร่งด่วน 6 ด้านสำคัญเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยให้เข้มแข็ง และเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว

รมว.พิมพ์ภัทรา กล่าวว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจและสังคมโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและซับซ้อนมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ได้ส่งผลกระทบในวงกว้าง รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดด ความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ การเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ การแข่งขันในภูมิภาคและสภาพเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าทั่วโลก รวมถึงความขัดแย้งด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงระหว่างประเทศที่ยังยืดเยื้อ ทำให้ภาคเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไทยอยู่ในภาวะที่ต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ ตลอดเวลา

อย่างไรก็ตาม ภาพรวมเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากครึ่งปีแรก เป็นผลมาจากการขยายตัวของการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนในเกือบทุกหมวดสินค้า สอดคล้องกับการปรับตัวดีขึ้นของการจ้างงาน รวมทั้งผลจากการฟื้นฟูของภาคการท่องเที่ยวที่ส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมที่อยู่ในห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) เช่น อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ยารักษาโรค อุตสาหกรรมแฟชั่น เป็นต้น 

แต่การขยายตัวทางเศรษฐกิจยังมีปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ความขัดแย้งระหว่างประเทศ ตลอดจนภาระหนี้สินครัวเรือนและภาคธุรกิจที่อยู่ในระดับสูงท่ามกลางการเพิ่มขึ้นของภาระดอกเบี้ย ที่เป็นข้อจำกัดต่อการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ และความสามารถในการชำระหนี้ของคนไทย โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs ซึ่งจะมีการผลักดันเรื่องการพักหนี้ให้กับผู้ประกอบการ SME ตามนโยบายรัฐบาล โดยหาแนวทางการช่วยเหลือที่เหมาะสม เช่น การพักเงินต้น การพักดอกเบี้ย โดยไม่สร้างปัญหา Moral Hazard หรือการจงใจผิดชำระหนี้ของลูกหนี้ ขณะที่ ความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศได้ส่งผลกระทบต่อผลผลิต ภาคเกษตรและส่งผลต่อเนื่องมายังวัตถุดิบที่จะเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะพื้นที่อ่อนไหวสูงที่ต้องมีการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพร่วมกันระหว่างภาคเกษตรกรรมและภาคอุตสาหกรรม รวมถึงการบริหารจัดการทรัพยากรอื่น ๆ ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างทันท่วงที

ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมได้กำหนดนโยบายในการส่งเสริม สนับสนุนภาคอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการไทยทุกกลุ่มให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ เพื่อเป็นฟันเฟืองขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ควบคู่กับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยกำหนดวาระเร่งด่วน 6 ด้านสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรม ประกอบด้วย...

1. อุตสาหกรรมเป้าหมาย เน้นอุตสาหกรรมที่จะเป็นอนาคตของประเทศ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ครอบคลุมสินค้าที่เกี่ยวข้อง อาทิ การผลิตแบตเตอรี่ แผงวงจร 

2. อุตสาหกรรมเดิมที่มีศักยภาพสู่อุตสาหกรรมเศรษฐกิจ ภายใต้แนวคิด 'เศรษฐกิจนำอุตสาหกรรม' โดยนำมาตรฐาน ผลิตภาพ และนวัตกรรม มาเป็นเครื่องมือเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในอุตสาหกรรมที่ไทยมีศักยภาพ เช่น อุตสาหกรรมฮาลาล ผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางอาหารฮาลาลในภูมิภาค (Halal Hub) ควบคู่กับการขยายตลาดไปยังกลุ่มประเทศที่มีกำลังซื้อและเป็นฐานลูกค้ามุสลิมรายได้สูงของไทย รวมถึงยาและเครื่องสำอาง และสปาฮาลาล 

3. อุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยการปรับปรุงกฎหมายและบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและกำหนดมาตรฐานการปล่อยมลพิษในพื้นที่อุตสาหกรรมให้เข้มงวดขึ้น 

4. มุ่งสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล เพื่อให้การบริการ และการปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการปรับปรุงฐานข้อมูลภาคอุตสาหกรรมให้เป็นระบบ 

5. การส่งเสริมผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและสตาร์ตอัป ให้มีความเข้มแข็งและอยู่รอดได้ ภายใต้สถานการณ์ความเสี่ยงต่าง ๆ ด้วยการสนับสนุนองค์ความรู้ ผู้เชี่ยวชาญ เทคโนโลยี และแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ ผ่านกลไกของหน่วยงานภายในกระทรวง 

และ 6. การเตรียมพร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่อ่อนไหวสูงที่ต้องมีการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพร่วมกันระหว่างภาคเกษตรกรรมและภาคอุตสาหกรรม 

ทั้งนี้ การดำเนินการตามแผนดังกล่าวจะส่งผลให้เศรษฐกิจอุตสาหกรรมไทยมีทิศทางที่ดีขึ้น นำไปสู่การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว สามารถนำพาประเทศไทยก้าวข้ามวิกฤตต่างๆ และเดินหน้าสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนได้ในอนาคต

ด้านนายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า นโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรมมุ่งสู่ 'อุตสาหกรรมเศรษฐกิจ' ที่ 'เติบโตอย่างยั่งยืนคู่ชุมชน' ใน 4 มิติ ได้แก่...

มิติที่ 1 ด้านความสำเร็จทางธุรกิจ 
มิติที่ 2 ความอยู่ดีกับสังคมโดยรวม 
มิติที่ 3 ความลงตัวกับกติกาสากล 
และมิติที่ 4 การกระจายรายได้สู่ชุมชนและสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน 

นอกจากนี้ เพื่อยกระดับการทำงานสู่รัฐบาลดิจิทัล กระทรวงอุตสาหกรรมได้เปิดแพลตฟอร์ม การบริหารจัดการศูนย์ข้อมูลกลางของกระทรวงอุตสาหกรรม (i-Industry) ให้ลูกค้าของกระทรวงอุตสาหกรรมลงทะเบียนเพื่อเข้าถึงบริการของกระทรวงในด้านต่าง ๆ ทั้งการอนุมัติ อนุญาต การชำระค่าธรรมเนียม การส่งเสริมพัฒนาให้คำปรึกษาทางธุรกิจ รวมถึงการรายงานข้อมูลการประกอบกิจการผ่านระบบ iSingleForm เพื่อนำมาใช้ในการวิเคราะห์ดัชนีอุตสาหกรรม ออกแบบนโยบายและสร้างกลไกการพัฒนาอุตสาหกรรมได้อย่างตรงประเด็น ประกอบกับการลงพื้นที่ตรวจสอบโรงงาน ภายใต้กฎหมายของกระทรวงอย่างเข้มข้น ครอบคลุม 4 ด้าน คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ เพื่อให้ผู้ประกอบกิจการมีการประกอบกิจการที่ดี ลดข้อขัดแย้งและขจัดปัญหาข้อร้องเรียนของชุมชนและสังคม

ด้านนางวรวรรณ ชิตอรุณ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กล่าวเสริมว่า สำหรับงานประจำปี OIE FORUM 2566 ถือเป็นกิจกรรมสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนการดำเนินงานให้บรรลุเป้าหมาย จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี เข้าสู่ปีที่ 15 มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีนำเสนอมุมมอง และแลกเปลี่ยนแนวคิดในการขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมไทยสู่การเติบโตที่สมดุลและยั่งยืน ตอบสนองเป้าหมายการพัฒนาตามยุทธศาสตร์ชาติ และการพัฒนาที่ยั่งยืนในระดับสากล โดยการจัดงานในครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมงานทั้งสิ้นกว่า 2,000 คน ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายทั้งผู้ประกอบการอุตสาหกรรม หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ภาคการศึกษา นักวิชาการ ผู้ทรงคุณวุฒิ สื่อมวลชน ตลอดจนผู้สนใจทั่วไป แบ่งเป็นผู้เข้าร่วมงาน ณ สถานที่จัดงาน จำนวนกว่า 550 คน และผู้เข้าร่วมผ่านระบบออนไลน์ (Live Streaming) จำนวน 1,500 คน 

ทั้งนี้ ภายในงานประกอบด้วยกิจกรรมสำคัญ ได้แก่ การปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ 'ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทย สู่เศรษฐกิจไทยที่ยั่งยืน' โดย รมว.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล, ผลการดำเนินงานของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม รวมถึงเสวนาในหัวข้อ 'MIND : Set for Sustainability ปรับมุมคิด พลิกอุตสาหกรรมไทยสู่ความยั่งยืน' จากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากแวดวงอุตสาหกรรม 

นอกจากนี้ ยังมีการจัดนิทรรศการนำเสนอผลการดำเนินงานที่สำคัญของสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม จำนวน 11 เรื่อง ตลอดจนการเสวนาออนไลน์ 3 หัวข้อย่อย เผยแพร่ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 4 วัน โดยหัวข้อที่ 1 'Manpower : ยกระดับแรงงานยุคใหม่ พลิกอุตสาหกรรมไทยสู่ความยั่งยืน' หัวข้อที่ 2 'Empowering Innovation & Digital Transformation : เสริมพลัง สร้างอนาคตอุตสาหกรรมไทย' และหัวข้อที่ 3 'Next Moves to Net Zero : อุตสาหกรรมไทย ก้าวต่อไปสู่เป้าหมายโลก'

‘มาครง’ สนับสนุนม็อบนับแสน แสดงจุดยืนต่อต้านลัทธิเหยียดยิว

เมื่อวานนี้ (12 พ.ย.66) ชาวฝรั่งเศษกว่า 1.8 แสนคนทั่วประเทศ นัดชุมนุมประท้วงกลุ่มเคลื่อนไหวที่ออกมาต่อต้านชาวยิว ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากในช่วงวิกฤติสงคราม ฮามาส-อิสราเอลในเขตฉนวนกาซาของชาวปาเลสไตน์ 

ทั้งนี้ เฉพาะตัวเลขผู้ชุมนุมในกรุงปารีส ก็มีผู้ชุมนุมมากกว่า 1 แสนคนแล้ว แถมยังมีผู้นำฝ่ายการเมืองคนสำคัญในฝรั่งเศส ออกมาร่วมชุมนุมอย่างคับคั่ง อาทิ เอลิซเบธ บอร์น นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส ซึ่งเปรียบเสมือนตัวแทนของพรรค Renaissance พรรคฝ่ายรัฐบาลของเอมานูเอล มาครง รวมทั้ง ฟรองซัวส์ โอลองด์ อดีตผู้นำฝรั่งเศส, มารีน เลอ แปง ผู้นำฝ่ายค้านขวาจัดก็มาปรากฎตัวในการชุมนุมด้วย โดยทางการฝรั่งเศสได้เตรียมทีมรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนาตลอดช่วงเวลาการชุมนุม 

ถึงแม้ เอมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศสจะไม่ได้มาร่วมชุมนุมด้วย แต่เขาก็ได้ออกมากล่าวสนับสนุนการชุมนุมในวันดังกล่าว และยังเรียกร้องให้ชาวฝรั่งเศสช่วยกันออกมาแสดงจุดยืนต่อต้านกระแสเกลียดชังชาวยิว ที่มาครงใช้ความว่า ‘ฟื้นคืนชีพ’ อีกครั้งอย่างไม่อาจรับได้

ซึ่งฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีชุมชนชาวยิวเป็นจำนวนมากที่สุดในยุโรป หากนับเฉพาะคนยิวที่เป็นเชื้อสายแท้ๆ มีราวๆ 4 แสนคน แต่หากนับรวมครอบครัวชาวยิว ที่อาจบางส่วนมีเชื้อสายอื่นๆ ด้วย พบว่าในฝรั่งเศสจะมีชุมชนชาวยิวมากกว่า 6 แสนคน คิดเป็นสัดส่วน 6.87 ต่อประชากร 1,000 คนในฝรั่งเศส

การนัดชุมนุมใหญ่ในครั้งนี้ มาจากแคมเปญของ ประธานสภาบน เฌราร์ ลาร์เชอร์ ร่วมกับประธานสภาล่าง, ยาแอล โบรน-ปีแว ด้วยการออกมาเรียกร้องให้ชาวฝรั่งเศส ออกมาชุมนุมร่วมกันในกรุงปารีส และตามเมืองใหญ่ๆ ของฝรั่งเศส เช่น นีซ, ลียง และสตราสบูร์ก เพื่อต่อต้านกระแสเกลียดชังชาวยิว ที่ประธานสภากล่าวว่า เป็นสิ่งที่ขัดต่อหลักการปกครองระบอบสาธารณรัฐของฝรั่งเศส

ทว่า ก็มีนักการเมืองฝรั่งเศสจำนวนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยในการจัดกิจกรรมดังกล่าว หนึ่งในนั้นคือ ฌ็อง-ลุก เมล็องชง ผู้นำพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายจัด ที่มองว่า การแสดงจุดยืนเช่นนี้ในสถานการณ์นี้ สุ่มเสี่ยงที่จะถูกตีความว่าเป็นการสนับสนุนอย่างไม่มีเงื่อนไขของรัฐบาลฝรั่งเศสต่อการสังหารหมู่ในกาซาได้

และสังเกตได้ว่า การนัดชุมนุมของกลุ่มต่อต้านการเหยียดชนชาติยิว จัดคู่ขนานกับกลุ่มผู้ชุมนุมที่สนับสนุนปาเลสไตน์หลายพันคนที่ออกมาเดินขบวนเรียกร้องให้มีการหยุดยิงในฉนวนกาซาเมื่อช่วงศุกร์-เสาร์ ที่ผ่านมาเช่นเดียวกัน 

การชุมนุมของทั้ง 2 กลุ่ม จึงถูกมองว่ามีความพยายามที่จะดึงกระแสมวลชนที่มากกว่าเพื่อส่งสัญญาณต่อทิศทางนโยบายของรัฐบาลฝรั่งเศสต่อความขัดแย้งในฉนวนกาซา ถึงแม้ว่าแกนนำผู้ชุมนุมจะบอกว่าเป็นการแสดงออกของมวลชนที่ไม่เกี่ยวกับการเมืองก็ตาม

ซึ่งหากดูจากจำนวนตัวแทนฝ่ายการเมืองที่เข้าร่วมชุมนุมเพียงกิจกรรมของฝ่ายหนึ่ง แต่ไม่มีการพูดถึงกิจกรรมของอีกฝ่าย ก็พอจะมองออกถึงจุดยืนของรัฐบาลฝรั่งเศส ต่อสถานการณ์ที่มีความละเอียดอ่อนด้านมนุษยธรรมที่สุดครั้งหนึ่งในตะวันออกกลางได้เหมือนกัน 

‘SME D Bank’ มอบ ‘ทุนการศึกษา-อุปกรณ์กีฬา’ ให้นร. รร.วัดป่าระกำ พร้อมบริจาคแผงโซล่ารูฟท็อป ติดบนหลังคา ช่วยวัดประหยัดค่าใช้จ่าย

(13 พ.ย.66) นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ ร่วมขับเคลื่อนองค์กร ตามแนวทาง ESG ได้แก่ การดูแลสิ่งแวดล้อม (Environment) ความรับผิดชอบต่อสังคม (Social) และการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Governance) ควบคู่การดำเนินกิจกรรมด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม (CSR) จัดกิจกรรมมอบทุนการศึกษาและอุปกรณ์กีฬา ให้แก่นักเรียนโรงเรียนวัดป่าระกำ และศูนย์พัฒนาเด็กเล็กวัดอัฑฒศาสนาราม จ.นครศรีธรรมราช ช่วยแบ่งเบาภาระครอบครัวและการดําเนินชีวิต เพื่อให้นักเรียนได้ใช้จ่ายในชีวิตประจําวัน

นอกจากนั้น ธนาคารได้รับเกียรติจาก นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานสักขีพยานรับมอบกิตติมศักดิ์ จาก บริษัท ไพร์ม โรด เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ PRIME ผู้นำธุรกิจด้านนวัตกรรมพลังงานทดแทนครบวงจร หน่วยงานพันธมิตรของ SME D Bank ร่วมบริจาคและติดตั้งแผงโซล่ารูฟท็อป บนหลังคากุฏิอนุสรณ์พระครูนิโครธจรรยานุยุต (พ่อท่านมุ่ย) เพื่อสร้างประโยชน์ผลิตกระแสไฟฟ้าใช้งานภายในวัด ช่วยให้วัดประหยัดค่าใช้จ่าย โดยธนาคารและประชาชนผู้มีจิตศรัทธา ยังได้ร่วมกันทำความสะอาดโดยรอบบริเวณวัด เพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา สืบทอดประเพณีอันดีงามที่มีมาแต่โบราณ ก่อให้เกิดความมั่นคงแห่งพระพุทธศาสนาให้วัฒนาถาวร รวมทั้งสนับสนุนวัดให้เป็นแหล่งเรียนรู้พระธรรมวินัย เป็นศูนย์รวมของประชาชนในการจัดพิธีวันสำคัญต่าง ๆ ทางพระพุทธศาสนาสืบไป ณ วัดป่าระกําเหนือ จ.นครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2566

‘ผอ.โรงพยาบาลในจีน’ ขายสูติบัตรปลอมให้แก๊งลักเด็ก เจอสาวประวัติ ‘เปิดอุ้มบุญผิด กม. - ส่อเอี่ยวค้ามนุษย์’

เมื่อไม่นานมานี้ สำนักข่าวโกลบอลไทมส์รายงานว่า ตำรวจเมืองเซี่ยงหยาง มณฑลหูเป่ย ของจีนรวบตัวแพทย์หญิงผู้อำนวยการโรงพยาบาลเจี้ยนเฉียว หลังจากพบหลักฐานขายสำเนาสูติบัตรปลอมสำหรับใช้ในการจดทะเบียนบ้านให้เด็กซึ่งถูกลักพาตัว เพื่อฟอกตัวตนของเด็กไม่ให้พ่อแม่ที่แท้จริงตามหาลูกเจอ

แพทย์หญิงแซ่เย่ ลอบขายสำเนาสูติบัตรพร้อมบันทึกการฉีดวัคซีนรวม 5 ชุดในปีนี้ รับทรัพย์เข้ากระเป๋ากว่า 6 หมื่นหยวน (ราว 3 แสนบาท) ต่อหนึ่งชุด เย่กับพวกอีก 6 คนถูกตำรวจควบคุมตัวเพื่อสอบปากคำเพิ่มเติม โดยตำรวจพบเครือข่ายเชื่อมโยงอีกมากมาย และอาจเป็นการสมรู้ร่วมคิดกับแก๊งค้ามนุษย์ 

นายซ่างกวน เจิ้งอี้ว์ นักต่อต้านการค้ามนุษย์ชื่อดังเปิดเผยกับสื่อสังคมออนไลน์เมื่อสัปดาห์ก่อนว่า เขาแอบสืบความไม่ชอบมาพากลอยู่นานหนึ่งปี โดยเขาแกล้งแต่งข้อมูลเกี่ยวกับทารกขึ้นมาชุดหนึ่งเพื่อล่อซื้อสูติบัตรและเอกสารอื่น ๆ จนสำเร็จด้วยเงิน 9 หมื่น 6 พันหยวน (ราว 4 แสน 8 หมื่นบาท) เอกสารมีข้อมูลจัดเตรียมให้พร้อมสรรพ เช่น การตรวจครรภ์ก่อนคลอด การพักในโรงพยาบาล การคลอดบุตร และวันเวลาในการฉีดวัคซีน ซึ่งจะช่วยให้กระบวนการรับเป็นบุตรเสร็จเรียบร้อยภายใน 7 วัน มีอยู่คราวหนึ่ง เย่ยังอ้างด้วยว่า โรงพยาบาลของเธอมีบริการอุ้มบุญ ซึ่งเป็นเรื่องผิดกฎหมายบนแดนมังกร

นายซ่างกวนให้สัมภาษณ์ต่อมาอีกว่า โรงพยาบาลแห่งนี้กับนายหน้าค้ามนุษย์ยังได้ขายทารก 2 คน ซึ่งถูกพ่อแม่ทอดทิ้งให้มณฑลเสฉวนและกว่างตงในราคา 1 แสน 1 หมื่นหยวน (ราว 5 แสน 5 หมื่นบาท) และ 1 แสน 6 หมื่นหยวน (ราว 8 แสนบาท) ตามลำดับ นอกจากนั้น ยังพบโรงพยาบาลบางแห่งในเมืองหนันหนิง เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงต้องสงสัยขายสูติบัตรเช่นกัน และนายหน้ายังเคลื่อนไหวอยู่ในโซเชียลมีเดีย โดยเขาได้มอบหลักฐานให้ตำรวจสืบสวนต่อไปแล้ว

จากการเปิดเผยของแหล่งข่าวใกล้ชิด สมัยเป็นแพทย์แผนกนรีเวชวิทยาและสูติศาสตร์ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งเมื่อปี 2553 เย่ได้ทดสอบเพศของทารกให้หญิงตั้งครรภ์ 2 คนอย่างผิดกฎหมาย และทำแท้งให้ จนถึงถูกตัดสินจำคุก 5 เดือน และปรับ 1 หมื่นหยวน

ขณะที่ทนายความชี้ พฤติกรรมของเย่เข้าข่ายการซื้อและขายเอกสารและใบรับรองของหน่วยงานรัฐ เป็นความผิดอาญา อาจมีโทษจำคุกสูงสุด 10 ปี ซึ่งขึ้นอยู่กับความรุนแรงของสถานการณ์ แต่ถ้าขายให้โดยที่รู้ว่าเด็กคนนั้นถูกลักพาตัวมาก็เข้าข่ายสมรู้ร่วมคิดกับขบวนการค้ามนุษย์ ซึ่งความผิดฐานค้าเด็กมีโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป และอาจถึงขั้นประหารชีวิต

จากรายงานของสื่อมวลชน เย่เป็นรองประธานสมาคมผู้ประกอบการสตรีในเมืองเซี่ยงหยาง และเปิดบริษัทดำเนินธุรกิจเกี่ยวการทารกและการมีบุตรอยู่หลายแห่ง อีกทั้งยังได้รับมอบตำแหน่ง ‘ผู้มุ่งมั่นที่สวยที่สุด’ ซึ่งเป็นตำแหน่งกิตติมศักดิ์ของสมาพันธ์สตรีในเซี่ยงหยาง แต่ตอนนี้ถูกถอดไปเรียบร้อยแล้ว

‘พีระพันธุ์’ ขอบคุณทุกฝ่ายร่วมแก้ปัญหา ลั่น!! ตอนนี้ทุกปั๊มมีน้ำมันพร้อมให้บริการ

(13 พ.ย. 66) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเปิดเผยว่า จากกรณีที่สัปดาห์ที่ผ่านมาเกิดปัญหาน้ำมันในสถานีบริการมีไม่เพียงพอต่อการจำหน่ายเนื่องจากประชาชนตอบรับนโยบายลดราคาน้ำมันกลุ่มเบนซิน ทำให้ก่อนวันลดราคาในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2566 ประชาชนชะลอการเติม และมาเติมพร้อมกันในวันที่ 7 พฤศจิกายน ซึ่งมียอดเติมน้ำมันเบนซินทุกชนิดรวมกันสูงถึงเกือบ 70 ล้านลิตรในวันเดียว จากปกติมีการเติมเฉลี่ยวันละ 30 ล้านลิตร

โดยจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น หลังทราบปัญหา จึงได้มีการสั่งการตั้งคณะทำงานตรวจสอบการจำหน่ายน้ำมันขึ้นทันที และมีการจัดประชุมในเย็นวันเดียวกันเพราะเข้าใจถึงความเดือดร้อนของประชาชน ซึ่งสำนักงานพลังงานจังหวัด พาณิชย์จังหวัด และเจ้าหน้าที่ศูนย์ดำรงธรรม ก็ได้เร่งลงพื้นที่ พร้อมกำชับสถานีบริการน้ำมันที่มีน้ำมันไม่เพียงพอจำหน่ายเร่งซื้อน้ำมันเข้ามาเติมเพื่อให้ประชาชนไม่ได้รับผลกระทบ 

ทั้งนี้ ต้องขอบคุณทั้งข้าราชการ เจ้าหน้าที่ ทุกฝ่าย ที่เร่งดำเนินการแก้ปัญหา รวมทั้งขอบคุณเจ้าของสถานีบริการน้ำมันและผู้ค้าน้ำมัน ที่เร่งดำเนินการ ทั้งการเพิ่มรอบส่งน้ำมัน การปรับแผนกระจายน้ำมันให้ทั่วถึง จากการตรวจสอบก็พบว่า สถานีบริการที่อยู่ในเมือง สามารถแก้ปัญหาได้ภายใน 1-2 วัน ยกเว้นสถานีบริการน้ำมันที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลที่จำเป็นต้องจ้างรถเอกชนเพิ่มเติม ก็สามารถแก้ไขปัญหาได้ใน 3-4 วัน

"ผมยังยึดมั่นคำเดิม อะไรที่ทำได้ ทำก่อน อย่างกรณีวันแรก (7 พ.ย.66) ทันทีที่มีการแชร์ข้อมูลเรื่องสถานีบริการมีน้ำมันไม่เพียงพอต่อการจำหน่าย ผมได้สั่งการให้ตั้งคณะทำงานตรวจสอบการจำหน่ายน้ำมันขึ้นทันที ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายในการลงพื้นที่ตรวจสอบสถานีบริการน้ำมัน และส่งข้อมูลเข้าส่วนกลาง เพื่อแจ้งไปยังกรมธุรกิจพลังงานให้เร่งประสานผู้ค้าน้ำมันในการเพิ่มรอบการส่ง กระจายปริมาณน้ำมันจากคลังให้เพียงพอและทั่วถึง ซึ่งบางสถานีบริการอยู่ในพื้นที่ห่างไกล จึงอาจเกิดความล่าช้าในการขนส่ง และบางสถานีระบบสั่งจ่ายน้ำมันก็เกิดเหตุขัดข้อง ซึ่งเป็นเหตุสุดวิสัย ผมขอขอบคุณทุกฝ่ายที่ร่วมกันแก้ไขปัญหาและสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว ถึงแม้สถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติแล้ว กระทรวงพลังงานจะยังคงติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง หากประชาชนพบว่าปัญหาเรื่องการจำหน่ายน้ำมัน สามารถแจ้งเรื่องได้ที่ศูนย์บริการร่วมกระทรวงพลังงาน โทร 02-140-7000” นายพีระพันธุ์กล่าว

‘อนุทิน’ เคาะ!! ‘TCAS 67’ รอบแอดมิชชั่น สมัครเลือกคณะฟรี  หวังช่วยแบ่งเบาภาระผู้ปกครอง - นักเรียนกว่า 125,000 คน

(13 พ.ย.66) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ได้ตรวจเยี่ยม และมอบนโยบายกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยมีนางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. พร้อมผู้บริหาร และบุคลากรให้การต้อนรับ โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก โดยนายอนุทิน ได้เข้าถวายสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) จากนั้นขึ้นรถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้า EV ( MuvMi) ที่ผลิตโดยคนไทยเพื่อแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 และลดการใช้พลังงานน้ำมันที่กระทรวง อว.ให้การสนับสนุนภาคเอกชนเพื่อมาชมนิทรรศการการจัดแสดงผลงานเด่นของหน่วยงานต่างๆ ของกระทรวง อว. ก่อนมอบนโยบายให้กับผู้บริหารกระทรวง อว.

นายอนุทิน กล่าวมอบนโยบายว่า ได้เน้นย้ำให้กระทรวง อว. ให้ความสำคัญในการตอบโจทย์ ความต้องการของประเทศและของโลก และให้ความสำคัญกับ ‘การพัฒนาที่ยั่งยืน’ ส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ โดยดําเนินการภายใต้หลักการ ‘เอกชนนํา รัฐสนับสนุน’ ที่สำคัญวาระเร่งด่วนที่กระทรวง อว. ต้องดำเนินการทันที คือ การลดความเหลื่อมล้ำ และกระจายโอกาสการเข้าถึงการศึกษาในระดับอุดมศึกษา โดยการให้กระทรวง อว. และที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้ปกครอง และนักเรียน ในการสมัครคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยผ่านระบบการรับสมัครสอบกลาง ประจําปี 2567 หรือ ‘TCAS 67’ ในรอบแอดมิชชั่น ซึ่งเป็นรอบที่มีนักเรียนจํานวนมากที่สุดกว่า 125,000 คนต่อปี เข้ามาสมัคร

“ผมขอประกาศข่าวดีว่ากระทรวง อว. และ ทปอ. จะนํางบประมาณมาอุดหนุนการสมัครในรอบแอดมิชชั่น โดยจะเริ่มตั้งแต่ ‘TCAS 67’ ในเดือนพฤษภาคม ที่จะถึงนี้ เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย โดยให้นักเรียน แต่ละคน สามารถสมัครเลือกคณะ 1 - 10 อันดับได้ฟรี เป็นการช่วยแบ่งเบาภาระได้สูงสุดคนละ 900 บาท ถือเป็นหนึ่งในความพยายามระยะสั้นในการลดค่าใช้จ่ายในการเข้าถึงการศึกษา ขณะที่รัฐบาลกําลังพลิกฟื้นเศรษฐกิจให้กลับมาเติบโตอย่างแข็งแรง ซึ่งจะเป็นการเพิ่มโอกาสให้กับเยาวชนไทย ได้มีทางเลือกในการศึกษา ในระดับอุดมศึกษามากขึ้น” นายอนุทิน กล่าว 

พร้อมกล่าวเพิ่มเติมว่า ตนในฐานะกำกับดูแลกระทรวงมหาดไทย กระทรวง อว. กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงแรงงาน ให้ความสำคัญในการสร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมวิทยาศาสตร์ สังคมแห่งการเรียนรู้ สังคมแห่งเหตุผล และ สังคมแห่งปัญญา โดยกระทรวง อว. มีองค์ความรู้มากมายที่พร้อมจะถ่ายทอดให้ประชาชนทุกสาขาอาชีพ แต่การถ่ายทอดนั้นยังเป็นไปอย่างจำกัด องค์ความรู้เหล่านั้นจึงอยู่ในกระทรวง แต่ไม่ได้รับการนำเสนอ และถ่ายทอดไปถึงประชาชนกลุ่มเป้าหมาย อย่างทั่วถึง ดังนั้น กระทรวง อว. ต้องรับเป็นนโยบายให้ความสำคัญกับการเผยแพร่องค์ความรู้ ในรูปแบบ และช่องทางที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดสังคมแห่งการเรียนรู้ เพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของประเทศในภาพรวม

“เมื่อครั้งที่ผมเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ปรับเปลี่ยนมุมมองในการทำงานของกระทรวงให้เป็นหนึ่งในกระทรวงเศรษฐกิจเพราะความมั่นคงทางสุขภาพของประชาชนคือรากฐานที่สำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศ กระทรวง อว. ก็เช่นกัน ภายใต้การนำของรมว.ศุภมาส อิศรภักดี กระทรวง อว. จะก้าวสู่ความ เป็นกระทรวงเศรษฐกิจที่จะเป็นเสาหลักทางปัญญา และนำพาโอกาสทางเศรษฐกิจสู่ประชาชนต่อไป” นายอนุทิน กล่าว

14 พฤศจิกายน ของทุกปี  ‘วันพระบิดาแห่งฝนหลวง’ น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ ในหลวง ร.9

วันพระบิดาแห่งฝนหลวง ตรงกับวันที่ 14 พฤศจิกายน ของทุกปี โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2545 

เนื่องจากเป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวง รัชกาลที่ 9 ได้มีพระราชดำริโครงการฝนหลวงเกิดขึ้น เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2498 ซึ่งโครงการฝนหลวงนี้ มีประโยชน์ต่อราษฎรเป็นอย่างมาก เพราะเป็นวิธีการดัดแปรสภาพอากาศให้เกิดฝน ได้ในยามแล้งน้ำ

โครงการฝนหลวง เป็นโครงการในพระราชดำริของในหลวง ร.9 ที่ทรงห่วงใยในความทุกข์ยาก ที่ต้องประสบปัญหาขาดแคลนน้ำใช้เพื่ออุปโภคและบริโภค รวมไปถึงการใช้ในทางเกษตรกรรม เนื่องจากสภาวะแห้งแล้ง ซึ่งพบได้บ่อยในฤดูหนาวและฤดูร้อน โดยความแห้งแล้งเกิดจากการคลาดเคลื่อนของฤดูตามธรรมชาติ เช่น ฤดูฝนล่าช้าหรือหมดไวกว่าปกติ

ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงทรงศึกษาสภาพอากาศ ลักษณะต่าง ๆ รวมไปถึงภูมิประเทศของไทย ที่อยู่ในภูมิภาคเขตร้อน ทำให้อยู่ในอิทธิพลของมรสุมทวีปเอเชีย โดยเฉพาะมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นฤดูฝนและเป็นฤดูเพราะปลูกประจำปีของประเทศไทย พระองค์จึงดำริว่าจะสามารถดัดแปรสภาพอากาศ เพื่อให้เกิดฝนตกได้

ดังนั้น ตั้งแต่ พ.ศ. 2498 เป็นต้นมา พระองค์ทรงศึกษาค้นคว้า วิจัยทางเอกสาร ทั้งด้านวิชาการอุตุนิยมวิทยา และการดัดแปรสภาพอากาศ จนมั่นพระทัย ใน พ.ศ. 2499 จึงได้พระราชทาน โครงการพระราชดำริ ‘ฝนหลวง’ ให้ ม.ล. เดช สนิทวงศ์ การรับสนองพระราชดำริ

โดยได้ร่วมมือกันระหว่าง ม.ล. เดช สนิทวงศ์, ม.จ. จักรพันธ์เพ็ญศิริ จักรพันธุ์ และม.ร.ว. เทพฤทธิ์ เทวกุล ผู้เชี่ยวชาญในการวิจัยประดิษฐ์ทางด้านเกษตรวิศวกรรมของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ขณะนั้น รับไปดำเนินการศึกษา วิจัย และพัฒนากรรมวิธีการทำฝนให้บังเกิดผลโดยเร็ว ในปีถัดมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หาลู่ทางที่จะทำให้เกิดการทดลองปฏิบัติการในท้องฟ้าให้เป็นไปได้

จนกระทั่ง พ.ศ. 2512 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จัดตั้งหน่วยบินปราบศัตรูพืช กรมการข้าว เพื่อสนับสนุนโครงการฝนหลวง อีกทั้งในปีเดียวกันนี้เองที่ได้มีการทดลองปฏิบัติจริงบนท้องฟ้าครั้งแรก เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2512 เป็นวันปฐมฤกษ์ในการปฏิบัติการทดลองทำฝนเทียมกับเมฆในท้องฟ้าเหนือภาคพื้นดิน บริเวณวนอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา โดยการใช้น้ำแข็งแห้ง (Dry-Ice) ที่ยอดของกลุ่มก้อนเมฆ ปรากฏว่าหลังการปฏิบัติการประมาณ 15 นาที ก้อนเมฆในบริเวณนั้นเกิดมีการรวมตัวกันอย่างหนาแน่นจนเห็นได้ชัด สังเกตได้จากสีของฐานเมฆได้เปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีเทาเข้ม

ซึ่งผลการทดลองเป็นที่น่าพอใจ เพียงแต่ยังไม่อาจควบคุมให้ฝนตกในบริเวณที่ต้องการได้ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานคำแนะนำเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง โดยให้เปลี่ยนพื้นที่ทดลองไปยังจุดแห้งแล้งอื่น ๆ เช่น ที่อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี เป็นต้น ด้วยความสำเร็จของโครงการฝนหลวง จึงได้ตราพระราชกฤษฎีกาก่อตั้งสำนักงานปฏิบัติการฝนหลวงขึ้นใน พ.ศ. 2518 ในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

กาฬสินธุ์แม่ทัพภาคที่ 2 ติดตามแก้ปัญหาน้ำตามนโยบายรัฐบาลไม่ท่วมไม่แล้ง

แม่ทัพภาคที่ 2 ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 2 พร้อมคณะ  ลงพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์  ประชุมแนวทางแก้ปัญหาน้ำตามนโยบายรัฐบาล “ไม่ท่วม ไม่แล้ง” โดยกำหนดพื้นที่เร่งด่วนในการดำเนินการพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซากและพื้นที่ประสบภัยแล้งซ้ำซาก 3 พื้นที่ ในตำบลหัวหิน อำเภอห้วยเม็ก ตำบลลำชี อำเภอฆ้องชัย และตำบลหนองช้าง อำเภอสามชัย

วันที่ 13  พฤศจิกายน 2566 เวลา 09.00 น. ที่ห้องประชุมผาเสวย ชั้น 2 ศาลากลางจังหวัดกาฬสินธุ์ พลโท อดุลย์ บุญธรรมเจริญ  แม่ทัพภาคที่ 2 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 2 พร้อมคณะ ได้ร่วมประชุมเพื่อแก้ปัญหาน้ำตามนโยบายรัฐบาล “ไม่ท่วม ไม่แล้ง” โดยมีนายธวัชชัย  รอดงาม  รอง ผวจ.กาฬสินธุ์ พันเอกนิสิต  สมานมิตร รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดกาฬสินธุ์ (ฝ่ายทหาร)  นายสำรวย อินพิทักษ์ ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำปาว พ.จ.ต.สำเนียง หวังเจริญ ท้องถิ่น จ.กาฬสินธุ์ นายอัครนันท์ ปัญญาเจริญโรจน์ นายก อบต.หนองหิน อ.ห้วยเม็ก นายพงศ์ภรณ์ ภาระขันธ์ นายก อบต.หนองช้าง  อ.สามชัย นายสมคิด ชนะบุญ นายก อบต.ลำชี พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ร่วมให้การต้อนรับ และรายงานสภาพปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง 
พลโทอดุลย์ บุญธรรมเจริญ  แม่ทัพภาคที่ 2 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 2 กล่าวว่า จากการรับฟังรายงานจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทราบว่ามีพื้นที่เสี่ยงภัยแล้งระดับปานกลาง 3 อำเภอ 11 ตำบล 56 หมู่บ้าน พื้นที่เสี่ยงภัยระดับต่ำ 18 อำเภอ 130 ตำบล 1,479 หมู่บ้าน และพื้นที่ไม่มีความเสี่ยงต่อการเกิดภัยแล้ง 2 อำเภอ 36 ชุมชน 49 หมู่บ้าน  และข้อมูลพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค  เป็นพื้นที่เสี่ยงสูง 12 อำเภอ 22 ตำบล  54 หมู่บ้าน และพื้นที่เฝ้าระวัง 16 อำเภอ 54 ตำบล 325 หมู่บ้าน  ส่วนพื้นที่เสี่ยงอุทกภัย แบ่งเป็น 3 พื้นที่  พื้นที่เหนือเขื่อนลำปาว 6 อำเภอ 32 ตำบล 204 หมู่บ้าน  พื้นที่ท้ายเขื่อนลำปาว  4 อำเภอ 23 ตำบล 142 หมู่บ้าน และพื้นที่นอกเขตชลประทาน 8 อำเภอ 41 ตำบล  238 หมู่บ้านซึ่งมีพื้นที่เสี่ยงสูง 3 อำเภอ 4 ตำบล 17 หมู่บ้าน

พลโทอดุลย์กล่าวอีกว่าอีกว่า ในการประชุมเพื่อแก้ปัญหาน้ำตามนโยบายรัฐบาล “ไม่ท่วม ไม่แล้ง” ในครั้งนี้เป็นการหารือกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เพื่อร่วมกันแก้ปัญหา โดยได้กำหนดพื้นที่เร่งด่วนในการดำเนินการรวม 3 พื้นที่ ได้แก่  การแก้ปัญหาแล้งซ้ำซากในพื้นที่ ต.หนองช้าง อ.สามชัย ด้วยการขุดลอกหนองแก่นทราย ให้เก็บกักน้ำได้มากขึ้นเพียงพอสำหรับการผลิตน้ำประปา การแก้ปัญหาแล้งซ้ำซากและท่วมซ้ำซาก ในพื้นที่ ต.หัวหิน อ.ห้วยเม็ก  ด้วยการก่อสร้างฝายเก็บกักน้ำเพื่อเก็บน้ำไว้ใช้ในหน้าแล้ง  และการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากในพื้นที่ ต.ลำชี อ.ฆ้องชัย  ด้วยการขยายช่องระบายน้ำลำน้ำชีในช่วงฝายวังยางให้สามารถระบายน้ำได้มากขึ้น

ขณะที่นายอัครนันท์ ปัญญาเจริญโรจน์ นายก อบต.หนองหิน อ.ห้วยเม็ก กล่าวว่าปัญหาแล้งซ้ำซากและท่วมซ้ำซาก  ในระดับเคยมีการถวายฎีกาขอรับการสนับสนุนงบประมาณดำเนินการประมาณ 10 ที่ผ่านมา เพื่อดำเนินการก่อสร้างฝายชะลอน้ำบริเวณเขื่อนลำปาว เชื่อมระหว่าง ต.เสาเล้า อ.หนองกุงศรี กับบ้านโคกกลาง ต.หัวหิน อ.ห้วยเม็กระยะทางประมาณ 1,400 เมตร ซึ่งคาดว่าน่าจะใช้งบประมาณกว่า 80 ล้านบาท 

ด้านนายสมคิด ชนะบุญ นายก อบต.ลำชี กล่าวว่า ในส่วนปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากในพื้นที่ตำบลลำชีที่ผ่านมานั้น เกิดจากปริมาณน้ำในลำชีเอ่อหนุน และเคยเกิดเหตุการณ์พนังกั้นลำชีแตก 2 ครั้ง สร้างความเสียหายให้กับพื้นที่การเกษตร การประมง ที่พักอาศัยเป็นบริเวณกว้าง มูลค่าความเสียหายเป็นจำนวนมาก  จึงมีแนวทางป้องกันและบรรเทาความเสียหายที่เกิดขึ้น โดยจัดทำโครงการบายพาสน้ำ หรือขยายช่องทางน้ำ จุดร่องลำชีเดิม ด้านทิศใต้ของฝายวังยาง ซึ่งคาดว่าจะใช้งบประมาณไม่น้อยกว่า 60-70 ล้านบาท 

ส่วนนายพงศ์ภรณ์ ภาระขันธ์ นายก อบต.หนองช้าง  อ.สามชัย กล่าวว่าปัญหาที่พี่น้องประชาชน ต.หนองช้าง 8 หมู่บ้านประสบคือภัยแล้งซ้ำซาก  เนื่องจากพื้นที่อยู่บนที่สูง ทุรกันดาร ห่างไกลเขื่อนลำปาว ที่ผ่านมาอาศัยน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติ เพื่อการอุปโภคและบริโภค การเกษตร แต่ปัจจุบันแหล่งกักเก็บน้ำในพื้นที่ตื้นเขินมาก บ่อบาดาลแต่ซึ่งมีอยู่ 3  แห่งต้องขุดเจาะลึกกว่า 60 เมตร แต่สูบน้ำได้ไม่เกิน 30 นาทีน้ำก็หมด จึงได้จัดทำโครงการขอรับการสนับสนุนแก้ปัญหาภัยแล้ง 3 โครงการ คือขุดบ่อบาดาลผลิตน้ำประปา 8 โครงการ ขุดบ่อบาดาลพลังงานโซลาเซลล์ 8 โครงการ และขุดลอกหนองแก่นทรายพื้นที่ 200 ไร่ ซึ่งทุกโครงการอยู่ในระหว่างประเมินงบประมาณ 
อย่างไรก็ตาม สำหรับปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก และภัยแล้งซ้ำซาก ในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ 3 แห่งดังกล่าว เป็นความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ตามคำกล่าวที่ว่า “น้ำแล้ง 10 ปี ไม่เท่าน้ำท่วม 1 ครั้ง” จึงเป็นพื้นที่จำเป็นเร่งด่วน ที่ภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง จะได้บูรณาการป้องกัน เพื่อบรรเทาและลดปัญหา ทั้งนี้ หากได้รับการจัดสรรงบประมาณดำเนินการ ก็จะสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างยั่งยืน ตามนโยบาย “ไม่ท่วม ไม่แล้ง” ของรัฐบาลนายกเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี

เชียงใหม่-แถลงข่าวงาน ”เชียงใหม่เวลเนสแฟร์ “( CHIANG MAI WELLNESS FAIR)

วันที่ 13 พฤศจิกายน 2566 เวลา 10.00 น.สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่  บ้านพิงกันเวลเนสรีสอร์ท ร่วมกับ สมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ 2015 สมาคมส่งเสริมบริการสุขภาพ และ บริษัท ซีไอเอสดับเบิ้ลยู อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด แถลงข่าวโครงการจัดงานเชียงใหม่เวลเนสแฟร์ ( CHIANG MAI WELLNESS FAIR) โดยมีคุณทัศนีย์ศิริ ขวัญสุวรรณ กรรมการผู้จัดการ บ้านพิงกันเวลเนสรีสอร์ท คุณวัชรพงศ์ กลิ่นประณีต นายกสมาคมไทยล้านนาสปา และรอง ประธานสภาอุตสาหกรรม ท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่  คุณธนกฤษ เวียงแก้ว รักษาการนายกสมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยว เชียงใหม่ 2015 และรองประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว จังหวัดเชียงใหม่ อาจารย์ดวงสมร ไชยรัตน์ ผู้แทนคุณชวนัสถ์ สินธุเขียว นายกสมาคมส่งเสริม บริการสุขภาพจังหวัดเชียงใหม่ และ นางผ่องพรรณ ศิริวัฒนาวงศา รองผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงใหม่ ที่ บ้านพิงกันเวลเนสรีสอร์ท 

คุณทัศนีย์ศิริ ขวัญสุวรรณ กรรมการผู้จัดการ บ้านพิงกันเวลเนสรีสอร์ท กล่าวว่า ปัจจุบันธุรกิจเวลเนสและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพกำลังได้รับความสนใจอย่างมากทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยเฉพาะในปัจจุบันรัฐบาลไทยได้มีนโยบายส่งสริมการขับเคลื่อนศูนย์เวลเนสทั่วประเทศ เพื่อยกระดับมาตรฐานการบริการและสร้างความมั่นใจแก่นักท่องเที่ยว พร้อมผลักดันตลาดท่องเที่ยวเชิงสุขภาพสู่ระดับโลก

จากนโยบายดังกล่าวนี้ บ้านพิงกันเวลเนสรีสอร์ท จึงได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบจากการให้บริการที่พักทั่วไปมาเป็นศูนย์บริการเวลเนสที่มีการบริการแบบครบวงจร โดยเปิดบริการที่พัก ห้องอบซาวน่าสไตล์ตุรเคีย สระว่ายน้ำที่เหมาะสำหรับการทำธาราบำบัด สวนสุขภาพ และได้สร้างสรรค์สถานที่อาบน้ำร้อนแบบออนเซ็นที่มีระบบควบคุมการบำบัดน้ำและเพิ่มแร่ธาตุที่สำคัญด้วยระบบไฮเทคโนโลยีจากสวิตเซอร์แลนด์ ที่สะอาดปลอดภัย มีประโยชน์ต่อการฟื้นฟูสุขภาพ นอกจากนี้ยังมีห้องประชุมขนาดใหญ่และสถานที่จัดกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น ลานกางเต็นท์ ห้องฝึกสมาธิและโยคะ และศูนย์เรียนรู้ ๙ ก้าวฟาร์ม สำหรับการอบรมให้ความรู้ด้านต่างๆ เพื่อยกระดับเป็นเวลเนสชั้นนำและเป็นต้นแบบของเวลเนสในจังหวัดเชียงใหม่ต่อไป

ด้วยเหตุนี้ สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ และ บ้านพิงกันเวลเนสรีสอร์ท ร่วมกับ สมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ 2015 สมาคมส่งเสริมบริการสุขภาพ และ บริษัท ซีไอเอสดับเบิ้ลยู อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด จัดงานเชียงใหม่เวลเนสแฟร์ ( CHIANG MAI WELLNESS FAIR) จึงร่วมกันจัดงานเชียงใหม่เวลเนสแฟร์ (CHIANG MAI WELLNESS FAIR) ขึ้นในวันเสาร์ที่ 25 พฤศธิกายน 2566 ณ บ้านพิงกันเวลเนสรีสอร์ท เลขที่ 114 ม.1 ต.ห้วยทราย อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ 

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและกิจการด้านเวลเนส ประชาสัมพันธ์ไห้ประชาชนรู้จักกิจกรรมเพื่อสุขภาพและกิจการที่เกี่ยวข้องกับเวลเนสให้มากขึ้น แนะนำและส่งเสริมกิจการเกี่ยวกับเวลเนส ที่สำคัญในจังหวัดเชียงใหม่และภาคเหนือ รวมทั้งการสาธิตและจัดจำหน่ายสินค้าและบริการของกิจการเวลเนส ต่างๆ และเปิดโอกาสให้บริษัท ห้างร้าน และชุมชนได้นำสินค้าและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยว
ข้องกับเวลเนส มาจำหน่ายภายในงานโดยไม่คิดค่าบริการบูธ

สำหรับกลุ่มเป้าหมายที่จะมาร่วมในงานนี้ คือ กลุ่มคนที่รักการดูแลสุขภาพ ผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญด้านเวลเนสและการดูแลสุขภาพ กิจการเวลเนสต่างๆ กลุ่มท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ บริษัทที่จำหน่ายอุปกรณ์ทางการแพทย์ บริษัทที่จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ตลอดจนประชาชนทั่วไป

กิจกรรมในงานนี้ประกอบด้วย การจัดบูธและนิทรรศการของหน่วยงาน องค์กร บริษัท ห้างร้านและชุมชน ประมาณ 100 บูธ เปิดโอกาสให้ผู้สนใจได้เข้ารับบริการต่างๆ ในราคาโปรโมชั่น เช่น ด้านสุขภาพ บ้านพิงกันเวลเนสรีสอร์ท ให้บริการอบซาวน่า แช่น้ำร้อนออนเซ็นในป่าหิมพานต์ บริษัท เมต้า เอสเทติก อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด นำเครื่อง Hyperbaric Chamber และเครื่อง Terahertz Chamber มาแสดงและให้ทดลองใช้ สภากาชาดไทย บริการตรวจสุขภาพและให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ คลินิกมิตรมวลชน บริการตรวจสุขภาพ และให้คำปรึกษาด้านสุขภาพ ร้านแว่นแก้ว บริการตรวจวัดสายตา บริษัท Long Life Farm จัดบูธ โภชนาศาสตร์ภูมิปัญญาไทย บูธสวนชาพันปีโบราณ สาธิตการทำ Kombucha เพื่อสุขภาพ เป็นต้น

ด้านศิลปะ ความเชื่อ และจิตวิญญาณ อาจารย์จารุภา วรรณสถิตย์ ให้คำปรึกษาด้านโหราศาสตร์เพื่อชีวิต คุณต้อม บุญรักษา จัดบูธแสดงพระเครื่องและพุทธศิลป์ ด้านอาหารและเครื่องดื่ม มีการจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มหลากหลายชนิดของร้านค้าต่างๆ ชมรม HOG Chiang Mai Chapter Thailand นำขบวนรถฮาเลย์ ดาวิดสันมาร่วมแสดง บ้านพิงกันฯ และผองเพื่อน จำหน่ายของที่ระลึกต่างๆ

ในส่วนของภาควิชาการ นั้นจะมีการบรรยายพิเศษโดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญด้านเวลเนสและการดูแลสุขภาพที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ ประกอบด้วย รศ.ดร.นพ.กำพล ศรีวัฒนกุล แพทข์ผู้เชี่ยวชาญการดูแลสุขภาพและกิจกรรมเวลเนส บรรยาย เรื่อง "Holistic Wellness " ผศ.ปัญจภาณ์ สุขโข อาจารย์สถาบันการพยาบาลศรีสวรินทิรา สภากาชาดไทย ผู้เชี่ยวชาญด้านการ พยาบาล ระบบทางเดินหายใจ และการพยาบาลสาธารณภัยประธาน STIN อาสา ผศ.ดร.ธรรมรักษ์ สุขศรีชวลิต ภาควิชาเคมีคลินิก คณะเทคนิคการแพทย์มหาวิทยาลัยมหิดล
นางสาวสมกนก ยิ้มสนิท ตัวแทนจากโรงงานชาเทียนฮวา คุณภูมิเจตน์ มงคลพิทักษ์สุข ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Tlixir (ชาเพื่อสุขภาพ) บรรยาย เรื่อง " The Health Benefits of Tea: Physical Health and Mental Health" ดร.ศิริพร เดชะอูป นักวิจัยอิสระ บรรยาย เรื่อง "โภชนาการเพื่อการส่งเสริมกระบวนการ Autophagy และการสังเคราะห์สารแห่งความสุข" คุณชวนัสถ์ สินธุเขียว นายกสมาคมส่งเสริมบริการสุขภาพเชียงใหม่ บรรยาย เรื่อง "ข้อควรรู้ก่อนทำธุรกิจ Wellness" คุณนภารัตน์ ศรีละพันธ์ กรรมการผู้จัดการ บจก.สปาพลัส บรรยาย เรื่อง "การนำ Hot spring-onzen มาเพิ่มมูลค่าให้เศรษฐกิจภูมิภาค" ดร.กิตติพงษ์ ดำรงค์ปราชญ์ ประธานกรรมการ บริษัท เมตา เอสเทติก อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด บรรยาย เรื่อง "แนะนำเครื่องมือทางการแพทย์ที่สำคัญต่อการฟื้นฟูระบบสุขภาพ"

นอกจากนี้ ในภาคบ่ายยังมีกิจกรรมพิเศษสุดทางวิชาการ โดยมีการฝึกอบรมระดับนานาชาติ จัดโดย CISW Intemational Co.,Ltd. เรื่อง "CWA-CHIANG MAI : เติมชีวาให้ชีวิต" วิทยากรพิเศษ คือ คุณ TANYA STOCKDALE ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์เฉพาะทาง และผู้ก่อตั้ง ARURA WELLNESS การอบรมครั้งนี้ผู้สนใจสมัครเข้ารับการอบรมฟรี โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และจะได้รับประกาศนียบัตรจาก CIWS ด้วย

จึงขอเชิญชวนทุกท่านไปร่วมงานเชียงใหม่เวลเนสแฟร์ ในวันเสาร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2566 นี้ โดยทั่วกัน ณ บ้านพิงกันเวลเนสรีสอร์ท เลขที่ 114 ม.1 ต.ห้วยทราย อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ โทร.063 123 5114

พัฒนชัย/เชียงใหม่

'อ.พงษ์ภาณุ' หวั่น!! นโยบายการเงินแบงก์ชาติซ้ำเติมเศรษฐกิจไทย หลังเงินเฟ้อตุลาติดลบ และเสี่ยงเข้าสู่ภาวะเงินฝืดตามประเทศจีน

(11 พ.ย. 66) อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ให้มุมมองต่อภาวะความเสี่ยงเงินฝืดกับอิสรภาพธนาคารกลาง ไว้ว่า...

สมัยก่อนระบบการเงินโลกตั้งอยู่บนมาตรฐานทองคำ (Gold Standard) เงินตราสกุลต่าง ๆ มีค่าคงที่อิงอยู่กับน้ำหนักทองคำ ต่อมาหลังสงครามโลก ครั้งที่ 2 มีการใช้ระบบ Bretton Woods ค่าเงินก็ยังคงที่แต่อิงกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ภายใต้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ นโยบายการเงิน (Monetary Policy) มักจะไม่ค่อยมีบทบาททางเศรษฐกิจเท่าไหร่ 

หน้าที่หลักของนโยบายการเงินคือ การรักษาระดับคงที่ (Parity) ของอัตราแลกเปลี่ยน ต่อเมื่อระบบการเงินโลกเปลี่ยนมาเป็นระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวตั้งแต่ทศวรรษ 1970 เป็นต้นมา นโยบายการเงินจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและระดับราคา และเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปว่าธนาคารกลางจะต้องมีอิสรภาพในการทำหน้าที่นี้โดยปราศจากการแทรกแซงทางการเมือง ความเชื่อในอิสรภาพของธนาคารกลางและการใช้ Inflation Targeting มาเป็นกรอบในการดำเนินนโยบายการเงิน ได้ช่วยให้เงินเฟ้อของโลกที่เคยสูงถึงกว่า 20% ลดลงมาอยู่ระดับไกล้ศูนย์มาเป็นเวลานาน

ประเทศไทยก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่ยึดมั่นในหลักความเป็นอิสระของธนาคารกลาง โดยเฉพาะหลังจากวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งในปี 2540 ได้มีการแก้กฎหมายธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อประกันความเป็นอิสระในการดำเนินนโยบายการเงินและทำให้การปลดผู้ว่าการฯ ยากขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะกระทำไม่ได้หากผู้ว่าการฯ บกพร่องต่อหน้าที่อย่างร้ายแรง

1 ปีครึ่งที่ผ่านมาต้องยอมรับว่านโยบายการเงินได้สร้างความผันผวนอย่างรุนแรงให้กับเศรษฐกิจไทย เมื่อโลกมีเงินเฟ้อสูงเมื่อไตรมาสที่ 2 ของปีที่แล้ว ธนาคารกลางทุกประเทศได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างรวดเร็วตามกรอบ Inflation Targeting ขณะที่ทางการไทยกลับรี ๆ รอ ๆ ปรับดอกเบี้ยช้ากว่าประเทศอื่น จนอัตราเงินเฟ้อของไทยในปีที่แล้วขึ้นไปสูงถึงกว่า 6% ซึ่งเป็นระดับที่สูงสุดในอาเซียนและสูงกว่ากรอบ Inflation Targeting ที่เห็นชอบร่วมกับรัฐบาล ถึงกว่า 2 เท่า 

พอมาถึงปีนี้ ภายหลังการเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงมาเร่งขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย แต่ดูเหมือนว่าการดำเนินการนี้จะสายเกินไปและผิดที่ผิดเวลา จนซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยให้เงินเฟ้อมีอัตราติดลบในเดือนตุลาคม และมีความเสี่ยงที่จะเข้าสู่ภาวะเงินฝืดตามประเทศจีนไป และก็ถือเป็นการหลุดกรอบ Inflation Targeting 2 ปีติดต่อกัน เราไม่เคยได้ยินคำขอโทษของธนาคารแห่งประเทศไทยสักครั้งเดียว

เรายังเชื่อในอิสรภาพของธนาคารกลาง แต่อิสรภาพนี้จะต้องมีควบคู่ไปกับ Accountability ฝ่ายการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งต้อง Accountable ต่อประชาชนที่เลือกตั้งเข้ามา แต่ธนาคารกลาง ซึ่งไม่ได้มาจากการเลือกตั้งและได้รับการคุ้มครองอิสรภาพตามกฎหมาย ควรจะต้องมี Accountability มากกว่านี้ อย่างน้อยก็ควรจะต้องเคารพเป้าหมายเงินเฟ้อ ซึ่งเปรียบเสมือนสัญญาประชาคม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top