Wednesday, 14 May 2025
TheStatesTimes

รวมพฤติกรรม 'น่ารังเกียจ' ของ สส. แบบโนสต็อป จากพรรคการเมืองที่อ้างตัวว่าเป็น 'คนรุ่นใหม่' 

ป่าวประกาศบอกสังคมว่าเป็นพรรคการเมืองที่มาจาก 'คนรุ่นใหม่' ยกตนข่มท่านว่าเป็นคนดี แต่เพียงไม่กี่เดือนที่ได้เข้ามาเป็น สส. กินเงินเดือนจากภาษีของประชาชน ก็ทำเรื่องน่ารังเกียจ และสร้างความเสื่อมต่ำให้กับ 'คนอาชีพนักการเมือง' ไม่ใช่น้อย

- ประเดิมด้วย สส. เมาแล้วขับ แรกเลยไม่ยอมเป่า แต่สุดท้ายก็ยอมลาออก 

- อดีต สส. เขต 3 ระยอง มีพฤติกรรมฉาวโฉ่เคยติดคุกคดีวิ่งราวทรัพย์ ขาดคุณสมบัติเต็มๆ แต่พรรคกลับปล่อยผ่านคุณสมบัติเช่นนี้ ให้เข้ามากินเงินเดือนจากภาษีประชาชน ที่สุดก็ต้องลาออก 

- อดีตผู้สมัคร สส. ชัยภูมิ ข่มขืน คุกคามทางเพศ  

- สส. พิษณุโลก ไม่ยอมลาออกจากการเป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎร การออกจากพรรคเดิมเพื่อไปเข้าสังกัดกับพรรคใหม่ เป็นแผนแค่ไม่อยากเสียเก้าอี้รองประธานสภา เป็นปาหี่ที่สังคมดูออกว่าไร้ความจริงใจ และไร้สามัญสำนึก

- สส. ปราจีนบุรี คุกคามทางเพศผู้ช่วยหาเสียง ถูกโหวตให้ขับออกจากพรรค และตามมาติด ๆ ในเวลาทับ ๆ กันก็คือ สส. กรุงเทพมหานคร ล่วงละเมิด คุกคามทางเพศ แต่ไม่กล้าพูดยอมรับผิดด้วยความจริงใจ ซ้ำยังเปิดเผยเหยื่อให้สังคมรับรู้ ที่สุดก็ถูกพรรคขับออก 

- 22 สส. ในพรรค โหวตสนับสนุน สส. ที่คุกคามทางเพศไม่ต้องถูกขับออก แต่หัวหน้าพรรคยืนยันปกปิดชื่อ สส. 22 คนดังกล่าวไม่ให้สังคมรับรู้ เป็นการแสดงความย้อนแย้งกับสิ่งที่ตนเองเคยประกาศไว้ว่า พรรคการเมืองควรมีความจริงใจ กล้าหาญในการเปิดเผยข้อเท็จจริงให้ประชาชนรับรู้ 

- สส. กรุงเทพมหานคร ใช้ความรุนแรงเข้าข่ายผิดวินัยร้ายแรง แต่โดนแค่คาดโทษไว้

- สส. บางคนจากจังหวัด เชียงใหม่ ถูกร้องเรียนว่าปลอมลายมือชื่อผู้ช่วยหาเสียง เบิกเงินค่าใช้จ่ายจาก กกต. แล้วเอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง ฝ่ายที่กล่าวหามีหลักฐาน

- ผู้ช่วย สส. บัญชีรายชื่อ ถูกร้องเรียนว่าเรียกรับผลประโยชน์จากผู้ประกอบการบ่อขยะ จังหวัด ปราจีนบุรี 3.5 ล้านบาท อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริง 

- ผู้ช่วย สส. จังหวัด จันทบุรี บังคับให้ ผอ.โรงเรียน จังหวัด จันทบุรี ออกใบอนุโมทนาการบริจาคเงิน แต่ไม่มีการบริจาคจริง อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริง

ความฉาวโฉ่ที่เกิดขึ้นติด ๆ กันยาวเป็นหางว่าว ได้ทำลายสถิติในเรื่องความ 'เน่าเหม็น' ชนะทุกพรรคการเมืองในโลกไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย ยังไม่นับพฤติกรรมเก่า ๆ ที่อยู่เบื้องหลังการ 'ล้างสมองเด็ก' ให้แสดงออกในเรื่องการกัดเซาะสถาบันกษัตริย์อันเป็นที่รักของคนไทย จนเด็ก ๆ โดนคดี 112 นับไม่ถ้วน 

แต่ก็ยังมีคนอีกไม่น้อยที่ยังหลงเชียร์ หลงสนับสนุนชนิดไม่ลืมหูลืมตา 

Nomad Media ชวนสัมผัสประสบการณ์ใหม่วันลอยกระทง สวดขอขมาพระแม่คงคา พร้อมลอยกระทงแบบรักษ์โลก

(13 พ.ย.66) รายการ Thailand Morning Call ทาง Nomad Media Thailand เชิญ Groupies มาปาร์ตี้พบปะสังสรรค์กับ commentators แพท แสงธรรม บุญรัตน์ อภิชาติไตรสรณ์, พิม และ ปูเป้ ในงาน 

Meet and Float 
ลอยกระทง 2566 

ครั้งแรกกับการสวดขอขมาพระแม่คงคาแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนในประเทศไทย พร้อมลอยกระทง Eco-Friendly ริมคลองบางกอกใหญ่ 

อาทิตย์ที่ 26 พ ย 2566 
เวลา 16:00 น. ณ Arpo Pool Villa 

บัตรราคา 2,599 รวม 

สำหรับในงานนี้ ทุกท่านจะได้เอ็นจอยไปกับ :
- อาหารญี่ปุ่นสไตล์เทปปันยากิจาก Bikuta Sushi Teppan 
- Prosecco & น้ำดื่ม 
- กระทงแป้งข้าวโพด (อาหารปลา) 
- Dress Code : ชุดไทยในจินตนาการ 
- พิเศษ! รางวัล Best Dress ให้แก่ผู้ที่แต่งเป็นนางนพมาศ และ/หรือ พระแม่คงคา 

ติดต่อสำรองบัตรได้ที่ : 
คุณปัท 089-250-9151

เปิดตัวแปร ‘สนธิญาณ’ ไขก๊อก!! งัดข้อใคร หรือ บ้านใหม่ไม่เวิร์ก 

การตัดสินใจทิ้ง ท็อปนิวส์ฯ ของ ต้อย-สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สถานีข่าวท็อปนิวส์ น่าสนใจยิ่งกับเหตุผล ‘เนื่องด้วยทิศทางธุรกิจผมกับคณะบริหารไม่ตรงกัน’

ฟังดูเหตุผลแล้วดูเรียบง่าย แต่ภายในน่าจะเดือดปุด ๆ มาก่อนหน้านี้แล้ว จนมาถึงจุดระเบิดในที่สุด

ทิศทางธุรกิจไม่ตรงกันกับคณะผู้บริหาร จนนำมาสู่การทิ้งบ้าน เป็นเรื่องน่าสนใจ แค่ไม่มีใครให้รายละเอียดเพิ่มเติม

พลิกดูข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า บริษัท ท็อปนิวส์ ดิจิตัล มีเดีย จำกัด ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท มีกรรมการบริษัท ประกอบด้วย นายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม, นายฉัตรชัย ภู่โคกหวาย, นางลักขณา รัตน์วงศ์สกุล (ภรรยานายกนก รัตน์วงศ์สกุล), นายตระกูล วินิจนัยภาค, นายเอกชัย ชัยเชิดชูกิจ (คนสนิทของสนธิญาณ), นายชยธร ธนวรเจต, นายเอกพันธุ์ แป้นไทย, นางสาวกิ่งการะเกด ชื่นฤทัยในธรรม (บุตรสาวนายสนธิญาณ), นายพงษ์ศักดิ์ ชมสุวรรณ และนางสาวสุธิดา สาริกุล

โดยกรรมการลงชื่อผูกพัน นายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม หรือ นายฉัตรชัย ภู่โคกหวาย หรือ นายเอกชัย ชัยเชิดชูกิจ หรือ นางลักขณา รัตน์วงศ์สกุล 

ส่วนข้อมูลงบการเงินพบว่า ปี 2564 ซึ่งเป็นปีเริ่มก่อตั้งท็อปนิวส์ฯ มีรายได้รวม 192,067,527.00 บาท กำไรสุทธิ 10,329,294.00 บาท และปี 2565 มีรายได้รวม 224,422,932.00 บาท เพิ่มขึ้น 16.84% กำไรสุทธิ 9,065,781.00 บาท ลดลง 12.23% โดยสรุปสองปีมีกำไร ไม่มีขาดทุน แต่ต้องหารายได้มีใช้จ่ายแบบเดือนต่อเดือน เหนื่อยกันอยู่ไม่น้อย

ท็อปนิวส์ฯ จะเล่นข่าวแนวหวือหวา ดุดัน ซึ่งมีแฟนคลับกลุ่มหนึ่งติดตามชมอยู่แม้นจะอยู่บนทีวีดาวเทียมก็ตาม มีพิธีกรที่เป็นแม่เหล็ก อย่างกนก รัตน์วงศ์สกุล, ธีระ ธัญญะไพบูลย์, ปอง-อัญชะลี ไพรีรัก, สันติสุข มะโรงศรี, สนธิญาณ เองก็ร่วมจัดรายการแนววิเคราะห์อยู่ด้วย

แต่ปัญหาความไม่ลงรอยน่าจะครุกรุ่นมานาน และขยายวงไปเรื่อย

ก่อนหน้านี้สถานีข่าวท็อปนิวส์ เข้าร่วมเป็นผู้ผลิตรายการให้กับสถานีโทรทัศน์เจเคเอ็น 18 และยุบช่องทีวีดาวเทียมของตัวเอง แต่ยังใช้สถานที่สถานีท็อปนิวส์ฯ ย่านกิ่งแก้วเป็นที่ทำงาน ส่งสัญญาณมายัง JKN-18 ย่านแบริ่ง หลังจากเข้ามาร่วมผลิตกับ JKN ไม่นาน อัญชะลี ไพรีรัก ผู้ประกาศข่าวตัวแม้ก็โบกมือลาท็อปนิวส์ไปก่อนเมื่อเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา ก่อนจะไปรับหน้าที่ผู้อำนวยการข่าว เว็บไซต์แนวหน้าออนไลน์ แต่ต่างฝ่ายต่างไม่ให้เหตุผลที่แท้จริง แต่ก็มีกระแสข่าวว่า เกิดจากทัศนคติไม่ตรงกันระหว่างนายสนธิญาณ กับ อัญชะลี เรื่องแนวทางการทำงาน

แม้สนธิญาณจะให้เหตุผลชัดว่า ทิศทางการทำธุรกิจไม่ตรงกับคณะผู้บริหาร แต่เมื่อพลิกดูรายชื่อกรรมการบริหารแล้ว ส่วนใหญ่เป็นคนของสนธิญาณเอง ไม่ว่าจะเป็นฉัตรชัย เอกชัย ที่หอบหิ้วกันมาตั้งแต่ทำทีนิวส์แล้ว หรือปุ้ม ลักขณา รัตน์วงศ์สกุล ภรรยาของกนก ก็หอบหิ้วกันมาจากเนชั่น หรือกิ่ง การะเกด ก็เป็นลูกสาวของสนธิญาณเอง มีบางคนที่ #นายหัวไทร ไม่รู้จัก แต่ถ้าดูรายชื่อคณะผู้บริหารส่วนใหญ่แล้วเป็นคนของสนธิญาณ จึงยังนึกไม่ออกว่า ขัดแย้งกันใครในคณะผู้บริหาร

มาดูรายชื่อผู้หุ้นในท็อปนิวส์ฯ ว่ามีใครบ้าง แน่นอนว่า เมื่อเริ่มก่อตั้งสนธิญาณถือหุ้นอยู่ถึง 95% คนอื่น ๆ อีกคนละเล็กน้อย เช่น ฉัตรชัย, กนก, ลักขณา, ธีระ, อัญชะลี, ชยธร, เอกชัย และอื่นๆ

แต่เมื่อไม่นานมานี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนผู้ถือหุ้น (น่าจะเพิ่มทุน) ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของกลุ่มชื่นฤทัยในธรรม เหลือแค่ 26% ฉัตรชัยเพิ่มเป็น 26% กนก 5% ลักขณา 5% อัญชะลี 4% ชยธร 4% ธีระ 4% เอกชัย 4% และอื่นๆอีก 21%

แม้กลุ่มสนธิญาณจะยังมีสัดส่วนการถือหุ้นมากเกิน 25% แต่ฉัตรชัยคนเดียวถือหุ้นมากถึง 26% รายอื่น ๆ ก็ 4-5%

ก็ไม่รู้ว่านี้จะเป็นสาเหตุทำให้สนธิญาณต้องไขก็อกหรือเปล่า กับการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนผู้ถือหุ้นอย่างมีนัยสำคัญ

แต่ข้อมูลในเชิงลึกให้ข้อมูลน่าสนใจว่า การตัดสินใจเข้าไปร่วมผลิตรายการกับ JKN ก็น่าจะมีส่วนในการตัดสินใจถอยออกมาของสนธิญาณ เพราะโฆษณาไม่ได้เข้ามาตามเป้าที่วางไว้เมื่อเทียบกับงบลงทุน การที่โฆษณาไม่เข้าเป้าส่วนหนึ่งมาจากการเปลี่ยนขั้วทางการเมือง ทีวีเลือกข้างจึงน่าจะประสบปัญหาในการสนับสนุนการผลิต นายทุนอาจจะถูกบีบโดยผู้มากบารมี ไม่ให้ซื้อโฆษณา หรือสนับสนุนท็อปนิวส์ฯ ก็เป็นได้

มองไปข้างหน้ากับตัวเลขรายได้กับเวลาอายุสัญญาทีวีดิจิทัลที่เหลืออยู่ 6 ปี ไม่น่าจะคุ้มกับงบประมาณที่ลงทุนไป

การถอยออกมาเวลานี้จึงน่าจะเป็นช่วงจังหวะที่เหมาะสม เพื่อไปดูแลธุรกิจโรงแรมที่สิชล ซึ่งลงทุนไปเยอะแล้ว หรือจะพลิกตัวไปสู่การเมืองก็ยังไม่สาย

‘YG’ ปล่อยทีเซอร์!! ‘ชิกิต้า’ ไอดอลสายเลือดไทยวัย 14 ปี  หนึ่งสมาชิกวง BABYMONSTER เตรียมเดบิวต์ 27 พ.ย.นี้

(13 พ.ย.66) สิ้นสุดการรอคอย เมื่อ ‘วายจี เอ็นเตอร์เทนเมนต์’ ได้ออกมาประกาศเดบิวต์ เกิร์ลกรุ๊ปวงใหม่ ‘เบบี้ มอนสเตอร์’ (BABYMONSTER) ว่าจะเปิดตัวในเดือนพฤศจิกายนนี้ โดยมีรายงานว่าขณะนี้กำลังเตรียมการสำหรับการถ่ายทำมิวสิกวิดีโอ ในช่วงปลายเดือนตุลาคม

ต่อมาในวันที่ 10 ตุลาคมทาง ‘BABYMONSTER’ ออกมาระบุว่า “เร็วๆ นี้” จึงเป็นการยืนยันอย่างเป็นทางการว่า BABYMONSTER จะเปิดตัวในวงการเพลงเร็วๆ นี้

ซึ่งวายจีบอกว่า “เราพิถีพิถันในการเลือกเพลงเดบิวต์ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดที่จะเป็นไปได้ เราขอความเข้าใจเกี่ยวกับความล่าช้าเล็กน้อย จากวันเปิดตัวครั้งแรกในเดือนกันยายน ซึ่งเป็นผลจากกระบวนการที่เต็มที่กับมัน”

ล่าสุด ทางเพจ BABYMONSTER ออกมาโพสต์ กำหนดวันเดบิวต์คือ วันที่ 27 พ.ย.นี้ และได้เผยแพร่ภาพสมาชิกคนแรก คือ ชิกิต้า (CHIQUITA) หรือ แคนนี่-ริรชา พรเดชาพิพัฒ ไอดอลจากประเทศไทย อายุเพียง 14 ปีเท่านั้น

หลังจากเผยแพร่ไปไม่นาน มี #BABYMONSTER และ #CHIQUITA ทะยานขึ้นอันดับ 1 และอันดับ 2 ในเทรนด์ประเทศไทยทันที

เพราะเป็นสมาชิกของวงคนแรกที่ถูกปล่อยภาพเดบิตว์ออกมา และยังเป็นคนไทยอีกด้วย!!

งานนี้ทำเอาแฟนคลับในประเทศไทย และต่างประเทศต่างดีใจอย่างมาก เพราะสัญญาณที่จะได้เห็น BABYMONSTER เดบิวต์ใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว!!

สำหรับสมาชิกทั้ง 7 คน ประกอบด้วย…

1.อาฮยอน (AHYEON) สัญชาติเกาหลี อายุ 15 ปี 
2.รุกะ (RUKA) สัญชาติญี่ปุ่น อายุ 20 ปี 
3.ชิกิต้า (CHIQUITA) หรือ แคนนี่-ริรชา พรเดชาพิพัฒ สัญชาติไทย อายุ 13 ปี 
4.ฮารัม (HARAM) สัญชาติเกาหลี อายุ 15 ปี 
5.ภริตา (PRITA) หรือ แพร-ภริตา ชายคง สัญชาติไทย อายุ 17 ปี 
6.โรร่า (RORA) สัญชาติเกาหลี อายุ 14 ปี
7.อาสะ (ASA) สัญชาติญี่ปุ่น อายุ 17 ปี

‘FETCO’ ชี้!! รบ.ออก พ.ร.บ.กู้เงินแจกดิจิทัลวอลเล็ต  เป็นแนวทางที่ถูกต้อง ‘มีความโปร่งใส-มีผู้ตรวจสอบ’ 

(13 พ.ย.66) นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ และประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวถึงกรณีการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ว่า การที่รัฐบาลมีการออก พ.ร.บ.กู้เงิน 500,000 ล้านบาท ถือเป็นแนวทางที่ถูกต้อง เพื่อให้เกิดความโปร่งใส และมีผู้ตรวจสอบ ดังนั้นเรื่องนี้ต้องโปร่งใส ตรงไปตรงมา 

ทั้งนี้ นายกอบศักดิ์ เผยว่าอีก โครงการดังกล่าว คาดว่า จะก่อหนี้ให้กับประเทศเพิ่ม 2-3% แต่คงไม่ถึงกับไปกระทบให้ถูกปรับลดเครดิตเรตติ้งของประเทศไทย 

ภัยสังคม!! สืบนครบาล รวบหนุ่มแสบ เดินตามสาว เอามือถือแอบถ่ายขณะเข้าห้องน้ำในห้างดัง

ตามนโยบายของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ธนา ชูวงศ์  รรท. รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. ให้ปราบปรามอาชญากรรมที่กระทำความผิดทุกรูปแบบซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนในสังคม คดีนี้เกิดขึ้นในห้าง ย่านฝั่งธน เป็นภัยในห้องน้ำหญิง ที่คนร้ายแอบถ่ายคลิบขณะทำกิจธุระของผู้เสียหาย

เมื่อวันที่ 12 พ.ย.2566  พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. , พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ 
รอง ผบช.น.   พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น.,พ.ต.อ.นิวัฒน์ พึ่งอุทัยศรี รอง ผบก.สส.บช.น., พ.ต.อ.ธนากร อ่อนทองคำ ผกก.สส.4 บก.สส.บช.น.,พ.ต.ท.รัฐนันท์ สมวงศ์ รอง ผกก.สส.4 บก.สส.บช.น.ได้สั่งการให้ พ.ต.ท.ภัทร  บุญอารักษ์ สว.กลุ่มงานสอบสวนฯ ช่วยราการ กก.4ฯ , ร.ต.อ.ณพวิทย์ ดิษฐ์ป้าน รอง สว.กก.สส.4ฯ ได้ร่วมกันจับกุมตัว  

นายพงษ์สิทธิ์ หลุมนา อายุ 29 ปี ที่อยู่ 400 ต.แวง อ.โพนทอง จว.ร้อยเอ็ดผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาตลิ่งชันที่ จ.295/2566 ลงวันที่ 12 มิถุนายน 2566 

ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน  “พยายามกระทำอนาจารแก่บุคคลอายุกว่าสิบห้าปีโดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยบุคคลนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทำให้บุคคลนั้นเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่น” โดยจับกุมได้ที่บริเวณหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ต.ดอนหัวฬ่อ อ.เมืองชลบุรี จ.ชลบุรี พฤติการณ์ ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า ในวันเกิดเหตุตนได้เป็นเซลส์ขายสินค้าของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง  โดยมาตั้งบูทขายสินค้าอยู่ภายในห้างสรรพสินค้าย่านเพชรเกษม กรุงเทพฯ ในระหว่างนั้นพบผู้เสียหายผู้หญิงซึ่งมีรูปร่างหน้าตาดี เดินเลือกซื้อสินค้าในห้างดังกล่าว จึงเดินติดตามผู้เสียหาย จนกระทั่งผู้เสียหาย เดินเข้าห้องน้ำ ต่อจากนั้นผู้ต้องหาจึงได้เข้าห้องน้ำห้องข้างๆที่ผู้เสียหายกำลังทำธุระส่วนตัว โดยใช้โทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหา อัดคลิปวิดิโอขณะผู้เสียหายทำธุระส่วนตัวอยู่ ผู้เสียหายเห็นโทรศัพท์ยื่นมาจากห้องน้ำข้างห้องผู้เสียหาย จึงได้ร้องตะโกนให้คนช่วย ผู้ต้องหาจึงออกจากห้องน้ำ และวิ่งหลบหนีออกจากห้างสรรพสินค้าดังกล่าว

จากการตรวจสอบประวัติพบมีคดีติดตัวดังนี้
1. ข้อหา" ตัวการลักทรัพย์โดยเข้าช่องทางซึ่งได้ทำขึ้นโดยไม่ได้จำนงให้เป็นทางคนเข้า "
วันเวลาที่เกิดเหตุ 27 มิ.ย. 2565 สภ.เมืองยโสธร
2. ข้อหา" พยายามกระทำอนาจาร "
วันเวลาที่เกิดเหตุ 7 มิ.ย. 2566 สน.หนองค้างพูล 

จากนั้นได้นำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน สน.หนองค้างพูล เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ศาลยกฟ้อง 'บุญระดม' หลัง 'สรยุทธ' ฟ้อง หมิ่นประมาท 1 ล้านบาท กรณี 'เจาะข่าวเด้ง' เผยสถานทูตจีนวอนบางสื่อหยุดเสนอด้อยค่าวัคซีนจีน

หลังจากกรณีเมื่อวันศุกร์ที่ 3 ก.ย.64 สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย โพสต์ข้อความผ่านบัญชีเฟซบุ๊กอย่างเป็นทางการของหน่วยงาน (Chinese Embassy Bangkok สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย) เรียกร้องให้หยุดการด้อยค่าวัคซีน ซิโนแวค ชี้เป็นการกระทำผิดร้ายแรง ทำร้ายความหวังดี ไม่เคารพในข้อมูลวิทยาศาสตร์และความเป็นจริง ทำให้มีการวิพากษ์วิจารณ์จำนวนมาก โดยมีทั้งคอมเมนต์ต่อว่า และคอมเมนต์จากคนไทยที่ขอโทษประเทศจีน

ต่อมาในวันเดียวกัน นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา พิธีกรข่าว ในรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ได้โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก 'สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว' ระบุถึงเรื่องนี้ว่า...

"โฆษกสถานทูตจีน แถลง เรียกร้องให้หยุดด้อยค่าใส่ร้ายวัคซีนของจีน ระบุเป็นการทำร้ายความหวังดีของจีน ครับ …

"… เมื่อเร็ว ๆ นี้ บางคนและบางองค์การของประเทศไทยได้ด้อยค่าและใส่ร้ายวัคซีนจีนโดยไม่มีเหตุผลใด ๆ ซึ่งเป็นการกล่าวหามุ่งร้ายที่ไม่เคารพข้อมูลวิทยาศาสตร์และความเป็นจริง และเป็นการทำร้ายความหวังดีของฝ่ายจีนในการสนับสนุนประชาชนไทยต่อสู้กับโรคระบาด สถานทูตจีนจึงขอคัดค้านอย่างเด็ดขาด และเรียกร้องให้บุคคลและองค์การที่เกี่ยวข้องยุติการกระทำผิดอย่างร้ายแรงเช่นนี้ …"

"#ร่วมแรงร่วมใจฝ่ามหันตภัยโควิด" พร้อมตามด้วยข้อความจากเพจสถานทูตจีน

หลังจากนั้น ในรายการ 'เจาะข่าวเด้ง' ที่นำเสนอผ่านช่องทางยูทูบ สถาบันทิศทางไทย ก็ได้นำเรื่องราวของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา มานำเสนอ ว่านายสรยุทธ ได้ออกมาแสดงท่าที ต่อการแถลงของสถานทูตจีน จนทำให้มีคอมเมนต์เข้าไปโจมตีสถานทูตเป็นจำนวนมาก รวมทั้งนายสรยุทธ นำเอาคอมเมนต์ที่ 'ดี้ นิติพงษ์' เข้าไปขอโทษสถานทูตจีนมานำเสนอ ทำให้ต่อมา มีแก๊งทัวร์ไปลง ด่าหยาบคายในโพสต์ของดี้ นิติพงษ์ด้วย

และนั่นก็ทำให้ นายสรยุทธ ตัดสินใจฟ้องเรียกค่าเสียหาย ต่อ 'นางสาวบุญระดม จิตรดอน' จากรายการ 'เจาะข่าวเด้ง' พร้อมเรียกค่าเสียหายจำนวน 1 ล้านบาท 

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดจาก เฟซบุ๊ก 'บุญระดม จิตรดอน' ได้โพสต์อัปเดตสถานการณ์การฟ้องร้องดังกล่าว ระบุว่า...

ล่าสุด ชนะแล้ว ??!! ศาลยกฟ้องคดี สรยุทธ ฟ้องหมิ่นประมาท เด้ง เพื่อเรียกค่าเสียหาย 1 ล้านบาท !!!!

และจากคดีดังกล่าวนี้ เด้งถือเป็นบทเรียนที่มีคุณค่าอย่างที่สุดที่ให้โอกาสเด้งได้มีประสบการณ์ในการเรียนรู้ในฐานะ 'จำเลย' เป็นครั้งแรก จากที่เคยมีโอกาสเป็นแค่เพียงพยานมา 3 คดีเท่านั้น และด้วยการเป็นจำเลยครั้งนี้ เด้งได้มีโอกาสค้นข้อมูลเรียนรู้ข้อกฎหมายเพื่อต่อสู้คดี จนครั้งหนึ่งในนัดสืบพยาน สามารถทำให้ทนายฝ่ายโจทก์ต้องขอเลื่อนการสืบพยานออกไป เพื่อหาข้อมูลในการต่อสู้คดีได้

เด้งต้องขอขอบคุณ พี่ทนุ 'ธนุ สุขบำเพิง' ทนายความผู้ไม่เคยแพ้คดีต่อใคร 

และยิ่งไปกว่านั้นค่ะ ขอขอบคุณ คนที่มีความสำคัญอย่างมากในคดีนี้ นั่นก็คือ...

พี่ดี้ นิติพงษ์ ห่อนาค บุคคลซึ่งเปี่ยมไปด้วยน้ำใจ ที่แม้พี่ดี้จะไม่ได้รู้จักเด้งเลย แต่พี่ดี้ก็มีน้ำใจ เสียสละเวลาอันมีค่า มาเป็นพยานให้เด้ง ขอบคุณในน้ำใจของพี่ดี้มากๆ นะคะ 😍🙏

ป.ล. เด้งขอขอบคุณกับประสบการณ์ที่ล้ำค่าที่เข้ามาในชีวิตครั้งนี้ค่ะ 🙏😍

ปทุมธานี ร่วมมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลประชาธิปัตย์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายภ้สพลภ์ ชัยสุริยทวีกูล นายกสมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดปทุมธานี, ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดปทุมธานีและ นายปกรณ์พัฒน์ เทพเอื้อตระกูก นายกสมาคมส่งเสริมการค้าธุรกิจท่องเที่ยวปทุมธานี, นางสาวอรพิน จักรกฤษณ์ เลขาธิการสมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวปทุมธานี, ดร.ยุวดี บำรุงบุตร เลขาธิการสมาคมส่งเสริมการค้า ธุรกิจท่องเที่ยวปทุมธานี พร้อมคณะทำงานในการจัดกิจกรรม "การแสดงอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยเพื่อการกุศล" ในหัวข้อ ท่องที่ยวสร้างความสุข สนุก ได้กุศล เพื่อคนปทุมธานี ร่วมมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลประชาธิปัตย์ ดังนี้ 1. บันไดขึ้นเตียง 2 ขั้น ขนาด 30x45x46 cm จำนวน 3 ด้ว 2. โต๊ะวางเครื่องมือแพทย์ ขนาด 4 ล้อ จำนวน 5 ตัว 3. โต๊ะคร่อมเตียงสแตนเลส ทั้งชุด รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 30,000 บาท (สามหมื่นบาทถ้วน) ด้วยความห่วงใยและตระหนักถึงความเดือดร้อนของสังคมไทยที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักหน่วงจากสถานการณ์ การแพร่ระบาดของไวรัส โควิด - 19 ที่ผ่านมา และเพื่อเพิ่มคุณภาพของการรักษาพยาบาลและความปลอดภัยของผู้ป่วย เพื่อพัฒนาระบบบริหารจัดการ ให้สามารถบริการรักษาพาบาลแก่ผู้ป่วยกลุ่มต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิกาพและมุ่งเน้นผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางจำเป็นต้องเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงบริการ ได้อย่าง สะดวก รวดเร็ว ปลอดกัย เพื่อให้สามารถบริการผู้ป่วยได้อย่างเต็มศักยภาพและเพียงพอกับความต้องการของประชาชนจึงขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือสังคมและเป็นกำลังใจให้บุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลประชาธิปัตย์ทุกท่าน ซึ่งการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดปทุมธานีและ สมาคมส่งเสริมการค้าธุรกิจท่องเที่ยวปทุมธานี สมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดปทุมธานี

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนและส่งสริมกิจกรรมของการท่องเที่ยวจังหวัดปทุมธานีและ เพื่อสนับสนุนซื้ออุปกรณ์การแพทย์ให้กับโรงพยาบาลในจังหวัดปทุมธานึ จึงขอขอบพระคุณทุกท่านที่ให้การสนับสนุนและใหัความอนุเคราะห์ซื้อบัตร เข้าชมการแสดงซึ่งถือเป็นการร่วมกิจกรรม ช่วยประชาสัมพันธ์ แหล่งท่องเที่ยว ที่สำคัญในจังหวัดปทุมธานี และช่วยเหลือด้านการสังคมสงเคราะห์ เพื่อบรรเทา และป้องกันปัญหาทางสังคมไปในคราวเดียวกัน

ภาพ/ข่าว วะจะนะชัย วาจาพารวย/รายงาน

‘สาธารณสุข’ เผย ‘โซลาร์’ บนหลังคา รพ. คืบหน้า ช่วยลดปล่อยคาร์บอน เซฟค่าไฟกว่า 300 ล้านต่อปี

จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้ระบุถึง ความคืบหน้าการขับเคลื่อนการอนุรักษ์พลังงาน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตามนโยบาย Smart Energy and Climate Action 

ล่าสุดหน่วยงานในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แล้ว 1,252 แห่ง ช่วยลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 35,420 tCO2-eq /ปี ประหยัดค่าไฟได้กว่า 322 ล้านบาท/ปี

ทั้งนี้การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่ชั้นบรรยากาศ เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน (Climate Change) ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ทั้งจากโรคต่างๆ และภัยธรรมชาติที่รุนแรงมากขึ้น โดยผลการศึกษาในปี พ.ศ.2565 พบว่าโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในสัดส่วน 9% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งประเทศ หรือ 33,766,720 tCO2-eq /ปี

โดยกิจกรรมที่ทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจกสูงสุดคือ การเดินทางมาโรงพยาบาลของผู้ป่วย และญาติ และการใช้ไฟฟ้าในโรงพยาบาล ซึ่งข้อมูลการจัดการพลังงาน ปี 2564 พบว่า มีปริมาณการใช้ไฟฟ้าถึง 1,217 ล้านกิโลวัตต์/ปี คิดเป็นค่าไฟฟ้าประมาณ 4,730 ล้านบาท/ปี

สำหรับหน่วยงานในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ส่วนใหญ่เป็นโรงพยาบาลระดับต่างๆ ซึ่งข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 31 ต.ค.2566 มีหน่วยบริการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แล้ว 1,252 แห่งจากทั้งหมด 1,857 แห่ง มีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 62,245.80 กิโลวัตต์

'บิ๊กต่อ' ยัน!! ไม่เห็นด้วยนำตำรวจจีนเข้ามาดูแล นทท.จีนในไทย ย้ำ!! ตร.ไม่เคยนำเสนอรัฐบาล เชื่อเป็นความเข้าใจผิดในการสื่อสาร

(13 พ.ย.66) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ ให้สัมภาษณ์ภายหลังหารือร่วมกับ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และคณะ ถึงประเด็นเล็งนำตำรวจจีนมาร่วมลาดตระเวน เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ว่า…

แนวคิดดังกล่าวไม่มีทางเกิดขึ้น และได้รับการยืนยันแล้วว่าทุกฝ่ายไม่เห็นด้วยกับการนำตำรวจจีนเข้ามาในราชอาณาจักร เพราะมีผลกระทบในหลายมิติ หากเริ่มต้นนำตำรวจจีนเข้ามาในประเทศไทยในวันนี้ อนาคตก็จะต้องให้ตำรวจจากชาติอื่นๆ เข้ามาด้วย และตำรวจไทยก็จะไม่มีบทบาทหน้าที่อย่างเหมาะสม

ดังนั้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่เราต้องช่วยกันพัฒนาศักยภาพของตำรวจไทยให้เข้มแข็งมากขึ้น เพื่อให้สามารถดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนรวมถึงนักท่องเที่ยวได้ แต่กระแสข่าวที่เกิดขึ้นนั้น เป็นความเข้าใจผิดในการสื่อสาร ดังนั้นเพื่อให้เกิดความชัดเจน คณะกรรมาธิการจัดทำหนังสือขอให้รัฐบาลชี้แจงประเด็นดังกล่าวเป็นลายลักษณ์อักษรอีกครั้ง เพื่อให้เกิดความชัดเจนกับทุกฝ่ายในการปฏิบัติ

ด้าน พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ เปิดเผยสอดคล้องกันว่า ยืนยันไม่เห็นด้วยกับการนำตำรวจจีนเข้ามาดูแลนักท่องเที่ยวจีนในไทย เพราะเป็นการละเมิดอำนาจอธิปไตยของไทย และตำรวจไทยมีศักยภาพในการดูแลประชาชนและนักท่องเที่ยวเพียงพอ แต่กรณีที่เกิดขึ้นในอิตาลีนั้น เชื่อว่าเกิดจากปัญหาด้านการสื่อสารทางภาษา จึงมีการนำตำรวจจีนมาช่วย แต่สำหรับประเทศไทยไม่ได้มีปัญหาดังกล่าว ยืนยันว่าแนวคิดดังกล่าวไม่สามารถดำเนินการได้เพราะเป็นเรื่องความมั่นคงของประเทศ

พร้อมยืนยันว่า แนวคิดดังกล่าว สำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่ได้เป็นผู้เสนอ หรือร้องขอไปยังรัฐบาล เชื่อว่าเป็นความเข้าใจผิดในการสื่อสาร โดยยอมรับว่าก่อนหน้านี้เคยมีการพูดคุยกันในประเด็นการจัดตั้งศูนย์ประสานงานกับทางการจีน เพราะเมื่อเกิดเหตุอาชญากรรมที่เกี่ยวเนื่องกับจีน ก็จำเป็นที่จะต้องมีการประสานข้อมูลคนร้ายและข้อมูลคดีกัน และที่ผ่านมามีการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีการกำหนดผู้ประสานงาน ซึ่งมักจะเป็นตำรวจจีนที่ดูแลสถานทูตจีนประจำประเทศไทย อาจทำให้เกิดความสับสนขึ้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top