Friday, 9 May 2025
TheStatesTimes

‘นายกฯ เศรษฐา’ หารือทวิภาคี ‘ประธานาธิบดีเกาหลีใต้’ พร้อมเสริมสร้างความร่วมมือในด้านต่างๆ ให้ครอบคลุมทุกมิติ

(21 ก.ย.66) ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา นายยุน ซ็อก ย็อล (Mr. Yoon Suk Yeol) ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐเกาหลี ได้พบหารือทวิภาคี กับ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีไทย ในโอกาสเข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญครั้งที่ 78 (UNGA78)

นายกรัฐมนตรี กล่าวยินดีที่มีโอกาสได้พบกับประธานาธิบดีฯ อย่างเป็นทางการครั้งแรก ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับสาธารณรัฐเกาหลีมีความใกล้ชิดกันอย่างมาก โดยเฉพาะระดับประชาชน ความนิยมวัฒนธรรมระหว่างประชาชนไทยและประชาชนเกาหลี โดยในปีนี้จะครบครอบ 65 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับสาธารณรัฐเกาหลีอีกด้วย

จากนั้น ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงประเด็นต่าง ๆ ที่สำคัญ โดยด้านการเมือง ทั้งไทยและสาธารณรัฐเกาหลี ต่างต้องการพัฒนาความสัมพันธ์ทวิภาคีในฐานะหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น โดยนายกรัฐมนตรีผลักดันให้ทั้งสองฝ่ายมีการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงระหว่างกันอย่างสม่ำเสมอ และได้เชิญประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลีและภริยาเดินทางเยือนไทย สำหรับด้านเศรษฐกิจ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันเร่งรัดผลักดันการเจรจาจัดทำความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ (Economic Partnership Agreement: EPA) ระหว่างกัน และได้หารือแนวทางการส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจในสาขาต่าง ๆ อาทิ ซอฟต์เพาเวอร์ อวกาศ พลังงานนิวเคลียร์ สตาร์ทอัป ยานยนต์ไฟฟ้า ธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้เชิญชวนให้นักลงทุนเกาหลีเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น โดยรัฐบาลพร้อมช่วยอำนวยความสะดวกการลงทุนดังกล่าว รวมทั้งเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวเกาหลีเดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทยมากขึ้นอีกด้วย

‘ศาลอินโดฯ’ สั่งจำคุก ‘ติ๊กต็อกเกอร์สาวมุสลิม’ 2 ปี ปรับอีก 5 แสนบาท ฐานหมิ่นศาสนา หลังโพสต์คลิปสวดมนต์ก่อนกิน ‘หนังหมูทอดกรอบ’

เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 66 สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ศาลอินโดนีเซียได้ตัดสินโทษจำคุก ติ๊กต็อกเกอร์สาวรายหนึ่ง เป็นเวลา 2 ปี ฐานกระทำผิดกฎหมายหมิ่นศาสนา หลังเธอโพสต์คลิปวิดีโอลงติ๊กต็อกที่กลายเป็นไวรัล ขณะเธอกล่าวบทสวดมนต์ ก่อนกินหนังหมูทอดกรอบ

ในเอกสารสำนวนคดีของศาลระบุว่า ‘ลีนา ลุตเฟียวาตี’ หรือรู้จักในชื่อ ‘ลีนา มูเคอร์จี’ อายุ 33 ปี ที่ระบุว่าตนเองเป็นมุสลิม ได้โพสต์วิดีโอลงติ๊กต็อกเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งเธอกล่าวบทสวด ที่แปลความได้ว่า “ในนามของพระเจ้า” ก่อนที่เธอจะกินหนังหมูทอดกรอบหรือแคบหมู

ศาลเมืองปาเลมบัง บนเกาะสุมาตรา ตัดสินลงโทษการกระทำของเธอ โดยวินิจฉัยว่าเธอตั้งใจเผยแพร่ข้อมูลเพื่อปลุกปั่นให้เกิดความเกลียดชังหรือสร้างความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างบุคคล/กลุ่มคนบนหลักศาสนา นอกจากศาลจะสั่งลงโทษจำคุก 2 ปีแล้ว ยังสั่งปรับเงินเธอจำนวน 250 ล้านรูเปียห์ (ราว 5.85 แสนบาท) ด้วย

หลังการไต่สวนคดี ลีนากล่าวกับผู้สื่อข่าวว่าเธอรู้สึกประหลาดใจกับคำตัดสิน “ฉันรู้ว่าฉันผิด แต่ไม่คิดว่าจะได้รับโทษขนาดนี้”

ทั้งนี้ อินโดนีเซีย เป็นชาติมุสลิมที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเนื้อหมู ถือเป็นสิ่งต้องห้ามในศาสนาอิสลาม ขณะที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า การบังคับใช้กฎหมายหมิ่นศาสนาอันเข้มงวดของอินโดนีเซียนั้น ได้กัดกร่อนชื่อเสียงของการมีความอดทนอดกลั้น และมีความหลากหลายที่มีมานานของปรเทศอินโดนีเซีย

โดยนายอุสมาน ฮามิด ผู้อำนวยการบริหารของกลุ่มแอมเนสตี อินเตอร์เนชันแนล อินโดนีเซีย กล่าวว่า มาตราหมิ่นศาสนาในกฎหมายของอินโดนีเซีย ถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด โดยพุ่งเป้าไปที่ชนกลุ่มน้อยและผู้เห็นต่าง สิ่งนี้ขัดแย้งกับพันธกิจระหว่างประเทศของอินโดนีเซียที่เกี่ยวข้องกับการเคารพ และการคุ้มครองเสรีภาพทางความคิด และความเชื่อทางศาสนา ตลอดจนเสรีภาพในการแสดงความเห็นและการแสดงออก

‘อี้ แทนคุณ’ จี้ ‘รองอ๋อง’ ลาออกรอง ปธ.สภา เซ่นปม ‘เจี๊ยบ อมรัตน์’ คุกคาม-ล่าแม่มดคนเห็นต่าง

(21 ก.ย. 66) ดร.แทนคุณ​ จิตต์​อิสระ​ รักษา​การ​ประธาน​คณะกรรมการ​ส่งเสริม​สิทธิ​มนุษยชน​และ​ความ​เสมอภาค​ระหว่าง​เพศ ​พรรค​ประชา​ธ​ิ​ปัตย์ ​กล่าว​ถึง​นางอมรัตน์​ โชคปมิตต์กุล หรือ เจี๊ยบ ก้าวไกล ที่ปรึกษารองประธานสภาคนที่ 1 นายปดิพัทธ์​ สันติ​ภาดา ​หรือ หมออ๋อง ที่มีพฤติกรรมละเมิดสิทธิส่วนบุคคลและสิทธิ​มนุษยชนด้วยการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของแฟนคลับ​การเมือง​ผู้ที่วิจารณ์นักการเมือง ซึ่งถือเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตยและบุคคลสาธารณะย่อมถูกวิจารณ์ได้ภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย 

โดยพฤติกรรมของนางเจี๊ยบ อม​รัตน์​ ได้ใช้วิธีล่าแม่มด คุกคามทำให้ผู้เห็นต่าง รู้สึกไม่ปลอดภัยในชีวิต การงานและจิตใจ โดยเฉพาะการไปบุกไปถึงที่ทำงาน ถือเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบเหมือนกับที่คนในโลกโซเชียล ขนานนามให้ว่า ‘เจี๊ยบ ศาลเตี้ย’ หรือไม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดจากการให้ท้ายของนายปดิพัทธ์ด้วยหรือไม่ ที่คิดว่าพอมีตำแหน่งใหญ่โตแล้วจะทำอะไรผิดกฎหมายซ้ำ ๆ ​หลังล่าสุดพบว่าที่สิงคโปร์​จัดงานเทศกาล​อาหารและเบียร์ ​ที่อาจจะ​เป็น​เป้าหมายจริงของการผลาญ​งบแผ่นดินหรือไม่​ เพราะการกระทำดังกล่าวของ ‘เจี๊ยบ’ ถือเป็นการใช้สิทธิเกินสิทธิ​ มีการเปิดเผย ชื่อที่อยู่ และโยงสมาชิกในครอบครัว เป็นการละเมิดสิทธิคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยโดยพฤติกรรม​ต่อหน้าปากประชาธิปไตย แต่น้ำใจอนาธิปไตย​ 

ก่อนหน้านี้​เวลาไม่พอใจใครจะใช้คำหยาบ​คายวิจารณ์คนอื่นได้หมดพอโดนวิจารณ์กลับบ้าง กลับไปคุกคามเขาและการที่ขอโทษสำนึกผิด​ต่อให้ ‘อมพระรัตนตรัย’ มาพูดก็ไม่เชื่อ ซึ่งขอให้พี่น้องประชาชนได้จับตาดูว่า ถ้าหากนายปดิพัทธ์ไม่ทำอะไรใด ๆ ก็เท่ากับ ‘รู้เห็นเป็นใจ’ พฤติกรรมดังกล่าว เพราะตั้งแต่มีสภาผู้แทนราษฎรมา ไม่เคยมีรองประธานคนไหนมีพฤติกรรมอื้อฉาวรายสัปดาห์ให้คนเอือมระอาได้แบบนี้ ควรพิจารณา​ตัวเอง ‘ลาออก’ ดีกว่าอยู่ต่อไป

นอกจากนี้กรณีช่อ พรรณิการ์ ที่ผลการตัดสินของศาลฎีกาที่ตัดสิน​ให้การกระทำผิดจริยธรรม​ได้รับผลกรรมเสมือนเด็ดดอกไม้ช่อเดียวสะเทือนทั้งสวนส้ม โดยการตัดสิทธิ์​การเมือง ‘ช่อ’ ชั่วชีวิต​ จะทำให้ สส.พรรคนี้ ที่ชอบทำอะไรเอาแต่ใจไม่สนว่าผิดกฎหมายผิดจริยธรรม ​รวมทั้งนายพิธาด้วยที่มีพฤติกรรม​​นำเด็ก​ไปหาประโยชน์​ทางการเมือง​ โดยที่บอกว่ากาก้าวไกลประเทศไทย​ไม่เหมือนเดิมคือมาตรฐาน​จริยธรรม​และสิ่งที่ดีงามที่เคยมีจะค่อย ๆ ถดถอยเสื่อมทราม ตกต่ำลงเรื่อย ๆ หรือไม่ โดยเชื่อว่าเมื่อกฎหมาย​ศักดิ์​สิทธิ​์บ้านเมือง​จะหอมกลิ่น​ความเจริญ​ บรรดา สส.กระทำความผิด​จะค่อย ๆ ถูกดำเนินคดี​จนหมดไปในที่สุด​

AOT ชี้แจง ผู้โดยสารต่อแถวนาน 3 ชั่วโมง ไม่ใช่เรื่องจริง ยัน!! ใช้เวลาต่อคิว-ตรวจพาสปอร์ต ไม่เกินท่านละ 25 นาที

(21 ก.ย. 66) ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) กล่าวว่า ตามที่มีการเผยแพร่ภาพผู้โดยสารหนาแน่นบริเวณจุดตรวจลงตราหนังสือเดินทาง ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ในสื่อสังคมออนไลน์ พร้อมระบุว่าใช้เวลานานกว่า 3 ชั่วโมง นั้น AOT ในฐานะผู้บริหาร ทสภ.และมีท่าอากาศยานอีก 5 แห่งในความรับผิดชอบ ได้แก่ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ท่าอากาศยานภูเก็ต และท่าอากาศยานหาดใหญ่ ขอชี้แจงว่า โพสต์ดังกล่าวไม่เป็นความจริง 

โดย AOT ได้ตรวจสอบการให้บริการของ ทสภ.จากกล้องวงจรปิดในช่วงระหว่างวันที่ 1 - 31 สิงหาคม 2566 พบว่า กระบวนการผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศใช้เวลาสูงที่สุดเพียง 40 นาที และเวลารอคิวน้อยที่สุดใช้เวลาเพียง 12 นาที เฉลี่ยโดยรวมผู้โดยสารใช้เวลาประมาณ 25 นาที 

ทั้งนี้ ในช่วง Peak Hour ผู้โดยสารจะใช้เวลารอคิวเพื่อตรวจหนังสือเดินทางเฉลี่ย 15 นาที และใช้เวลาหน้าเคาน์เตอร์ตรวจหนังสือเดินทาง 60 วินาทีต่อคน ซึ่งระยะเวลาดังกล่าว ทสภ.สามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นไปตามคำแนะนำขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization: ICAO) ที่ท่าอากาศยานควรปฏิบัติใน Annex 9 เรื่องระยะเวลาการไหลเวียนผู้โดยสารขาเข้า - ขาออก โดยแนะนำให้กระบวนการผู้โดยสารขาเข้าไม่ควรเกิน 45 นาที และผู้โดยสารขาออกไม่ควรเกิน 60 นาที

สำหรับท่าอากาศยานอีก 5 แห่ง AOT ได้มีการกำหนดให้การดำเนินงานในขั้นตอนกระบวนการผู้โดยสารระหว่างประเทศขาเข้า - ขาออกมีการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นไปตามคำแนะนำของ ICAO เพื่อให้เป็นมาตรฐานสากลเช่นกัน 

ดร.กีรติ กล่าวในตอนท้ายว่า AOT มุ่งเน้นการบริหารจัดการท่าอากาศยานให้ผู้โดยสารได้รับความพึงพอใจและได้เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการให้ดียิ่งขึ้น ส่งผลให้ผู้ใช้บริการท่าอากาศยานมีความเชื่อมั่น ได้รับความสะดวก สบาย เกิดความประทับใจ เพื่อส่งมอบประสบการณ์การเดินทางที่ดีแก่ผู้เดินทางตามวิสัยทัศน์ของ AOT ในการเป็นผู้ดำเนินการและจัดการท่าอากาศยานที่ดีระดับโลก

‘Huawei’ ตอบรับลงทุน ด้าน AI & Cloud ในไทย ด้าน ‘ดีอีเอส’ เชื่อ สร้างรายได้กว่า 6 หมื่นล้าน ใน 5 ปี

(21 ก.ย. 66) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (รมว.DE) ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และคณะ บินไปเซี่ยงไฮ้ ร่วมงาน Huawei Connect 2023 เข้าร่วมประชุม ‘APAC National ICT Roundtable 2023’ ณ นครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน ในวันที่ 20 กันยายน 2566 และได้หารือกับบริษัทสาย techของ จีน กว่า 20 บริษัท ชวนตั้ง Headquarters ในประเทศไทย

รัฐมนตรีประเสริฐ เผยว่า ในการไปเซี่ยงไฮ้ครั้งนี้ ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก Huawei บริษัทเทคยักษ์ใหญ่ของจีน ตอบรับ การทำศูนย์พัฒนาบุคลากรไทยด้าน AI & Cloud ผลิตคนด้าน AI และ Cloud ปีละ 10,000 คน หรือ 50,000 คน ใน ระยะเวลา 5 ปี ประเมินว่า โครงการนี้ สร้างรายได้ ให้ผู้ที่มีทักษะ AI & Cloud กลุ่มนี้ ถึง 60,000 ล้านบาท แก้ปัญหาขาดแคลนบุคลากรด้าน AI และ Cloud และจะช่วยขับเคลื่อนประเทศไทย ให้เป็นศูนย์กลางของภูมิภาคด้าน AI & Cloud

นอกจากเรื่องบุคลากร AI & Cloud ดังกล่าว ยังได้เจรจา ชักชวน กลุ่มบริษัทเทคจีน ตั้ง headquarters ในไทย เพื่อสนับสนุนนโยบาย AI & Cloud HUB ของกระทรวง และสร้างการลงทุนด้านเทคโนโลยีขั้นสูง (Advanced Technologies) รวมทั้งสร้างรายได้เข้าประเทศ ตามนโยบายของรัฐบาล นายกเศรษฐาฯ

สำหรับเรื่องการตั้ง Headquarters ในไทย รัฐบาลนี้ ให้สิทธิประโยชน์หลายอย่าง ทั้ง ทางภาษี วีซ่า การอำนวยความสะดวก เป็นต้น นอกจากนี้ ทางกระทรวง DE ก็มีนโยบายส่งเสริมการลงทุนของบริษัทที่มีเทคโนโลยีขั้นสูง พร้อมอำนวยความสะดวก และร่วมมืออย่างใกล้ชิด และเชื่อว่า การเจรจากับ กลุ่มบริษัทเทคจีน ที่มีเทคโนโลยีขั้นสูงกลุ่มนี้ จะเกิดการลงทุนเพิ่มได้ในระยะเวลาอีกไม่นาน และเชื่อมั่นว่าจะช่วยเร่งสร้างการลงทุนด้านเทคโนโลยีขั้นสูง สร้างงาน สร้างรายได้ให้คนไทยที่เกี่ยวข้อง กับเทคโนโลยีขั้นสูง

“ผมมั่นใจว่า การตอบรับของ Huawei สร้างศูนย์พัฒนาบุคลากรไทยด้าน AI & Cloud ครั้งนี้ จะส่งผลให้ไทยเข้าใกล้การเป็น AI & Cloud HUB ที่บริษัทเทคใหญ่ๆ ต้องการเข้ามาร่วมงาน ทำให้มีการลงทุนด้าน AI & Cloud ในไทยสูงเป็นลำดับหนึ่งหรือสอง ของ ภูมิภาค ในขณะเดียวกัน ผมจะผลักดันให้ กระทรวง DE เป็นกลไกสำคัญของประเทศ ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคใหม่ เป็นกระทรวงทันสมัยในระดับโลกด้วย” รัฐมนตรี DE กล่าวในตอนท้าย

‘มัลลิกา’ ประกาศลาออก ‘พรรคประชาธิปัตย์’ ขอไปใช้ชีวิตส่วนตัว-ดูแลมูลนิธิมัลลิกาเพื่อประชาชน

(21 ก.ย. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อกลางดึกคืนที่ผ่านมา ช่วงการจัดรายการไลฟ์สดในติ๊กต็อก tiktok live ช่องทางของ Account ชื่อว่า mallikaboon ในตอนหนึ่งนั้น นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ได้ประกาศลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมเว้นวรรคทางการเมือง โดยให้เหตุผลในการไปใช้ชีวิตส่วนตัว

ขณะเดียวกันยังคงดำรงพื้นที่สาธารณะไว้เพียงช่องทางสื่อสารใน Account แพลตฟอร์ม TikTok ในชื่อว่า mallikaboon จัดเป็นรูปแบบรายการวาไรตี้ทอล์กโชว์ประจำทุกค่ำคืน และมีผู้ติดตาม 1.18 แสนคน และ 1.5 ล้านวิวในโปรไฟล์ โดยนางมัลลิกา มีจัดรายการถ่ายทอดสดเกือบทุกคืนหลังเวลา 20.00 น.ถือว่าเป็นรูปแบบใหม่ของการจัดรายการตามความถนัดและมีผู้ติดตามประจำจำนวนมาก

ผู้สื่อข่าวสอบถามถึงการลาออก นางมัลลิกา กล่าวว่า กำลังให้คนเอาหนังสือลาออกไปยื่นที่สำนักงานพรรค และเหตุผลคืออยากเว้นวรรคทางการเมือง และไปใช้ชีวิตส่วนตัว นอกจากนั้น ยังมีหน้าที่ประธานมูลนิธิมัลลิกาเพื่อประชาชน www.mallikafoundation.net ที่ทำประโยชน์ต่อสาธารณะในภาคประชาชนที่จะต้องขับเคลื่อนองค์กรและวางแผนงานกิจกรรมประจำปีโดยอิสระ อย่างไรก็ตาม นางมัลลิกา ระบุว่า เวลาขณะนี้ตกผลึกทางความคิดแล้ว และต้องการใช้ชีวิตส่วนตัวกับครอบครัวให้มากที่สุดในช่วงเวลานี้

ถอดสูตรอิฐยุคก่อนประวัติศาสตร์ จาก ‘เมืองโบราณศรีเทพ’ พบ!! มีความล้ำลึก ยากเลียนแบบ และหาสิ่งใดทดแทน

(21 ก.ย. 66) นับเป็นอีกความภาคภูมิใจสำหรับชาวไทยเมื่อ ‘เมืองโบราณศรีเทพ’ ในจังหวัดเพชรบูรณ์ ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมแห่งใหม่ ซึ่งก่อนมีการประกาศข่าวดีนี้ นักวิทยาศาสตร์ของสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ได้ร่วมศึกษาก้อนอิฐโบราณเพื่อผลิตอิฐสูตรโบราณสำหรับการบูรณะโบราณสถาน

ดร.วุฒิไกร บุษยาพร นักวิทยาศาสตร์ระบบลำเลียงแสง สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศษสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า “เมืองโบราณศรีเทพมีจุดเด่นที่มีความคาบเกี่ยวระหว่างยุคก่อนประวัติศาสตร์และยุคประวัติศาสตร์ ซึ่งเมื่อประมาณเดือน มี.ค.66 คณะนักวิทยาศาสตร์ของสถาบันฯ พร้อมด้วยนักวิจัยจาก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ, สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง, มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา, มหาวิทยาลัยศิลปากร และหัวหน้าอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ กรมศิลปากร ได้ลงพื้นที่สำรวจแหล่งขุดสำรวจเมืองโบราณศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ และได้พบปัญหาในบูรณะโบราณสถานที่เพิ่งขึ้นทะเบียนมรดกโลกนี้”

“อิฐโบราณศรีเทพเหมือนอิฐโบราณทั่วไป คือเป็นอิฐดินเผาผสมแกลบ แต่ในการบูรณะเราใช้อิฐยุคปัจจุบันไปใช้ ซึ่งพบว่า ก่อปัญหาต่อโบราณสถาน เนื่องจากมีการใช้ปูนซีเมนต์เป็นยาแนว และปูนซีเมนต์นี้ไปขวางเส้นทางการระบายความร้อนและความชื้น จึงเก็บความชื้นไว้ทำให้วัตถุที่นำไปซ่อมแซมเกิดการผุกร่อน ไม่เพียงเท่านั้นยังส่งผลให้อิฐของเก่าในโบราณสถานเสียหายไปด้วย ขณะที่อิฐโบราณจะใช้ยาแนวที่มีส่วนผสมของปูนหมักและดินสอพอง ซึ่งมีสมบัติในการส่งผ่านความร้อนและความชื้นได้ดี แต่เรายังไม่พบสูตรการผลิตอิฐโบราณและยาแนวโบราณของเมืองโบราณศรีเทพ” ดร.วุฒิไกร ระบุ

ทั้งนี้ ดร.วุฒิไกร และทีมวิจัยวางแผนในการใช้แสงซินโครตรอนวิเคราะห์อิฐโบราณ และจะเริ่มศึกษาอิฐของเจดีย์รายที่อยู่ถัดจาก ‘เขาคลังนอก’ โบราณสถานขนาดใหญ่ของเมืองโบราณศรีเทพ ซึ่งเจดีย์ดังกล่าวมีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาเจดีย์รายที่รอบๆ และอยู่ในมีทิศที่ชี้ตรงไปเขาถมอรัตน์ โดยจะถอดสูตรอิฐโบราณเพื่อผลิตขึ้นใหม่ให้ใกล้เคียงของเดิมมากที่สุด และมีสมบัติในการส่งผ่านความร้อนและความชื้นที่ใกล้เคียงของเดิมหรือดีกว่าเดิม ตั้งเป้าใช้ดินเหนียวด่านเกวียนของ จ.นครราชสีมา สำหรับผลิตอิฐสูตรโบราณ เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ให้แก่ชุมชนด่านเกวียนด้วย

‘สุริยะ รมว.คมนาคม’ ยัน!! ไม่เคยสั่งยกเลิก ‘แลนด์บริดจ์’ อยู่ในขั้นตอนศึกษาแผนงานอย่าง ‘รอบด้าน-รอบคอบ’

(21 ก.ย.66) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตามที่มีสื่อมวลชนเผยแพร่ข่าวตนสั่งชะลอการดำเนินการโครงการสะพานเศรษฐกิจเชื่อมฝั่งทะเลอ่าวไทย - อันดามัน (ชุมพร - ระนอง) หรือที่เรียกกันว่า ‘โครงการแลนด์บริดจ์’ (Land Bridge) นั้น ขอยืนยันว่า ข่าวดังกล่าวเป็นเท็จ โดยไม่เคยมีการสั่งการให้ยกเลิกการดำเนินงานโครงการตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด 

ทว่าโดยข้อเท็จจริงแล้วนั้น กระทรวงคมนาคมพร้อมสนับสนุนโครงการนี้อย่างเต็มที่ ซึ่งในขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาโครงการของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) หากเมื่อศึกษาแล้วเสร็จ จะเดินหน้าตามกระบวนการต่อไป 

ทั้งนี้ แนวทางการดำเนินงานของกระทรวงคมนาคมนั้น เป็นไปตามการมอบนโยบายให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา มอบหมายให้ดำเนินงานโครงการต่างๆ ภายใต้นโยบาย ‘คมนาคมเพื่อความอุดมสุขของประชาชน’ พร้อมทั้งได้เน้นย้ำให้ดำเนินงานอย่างรอบคอบ และให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกระทบกับประชาชนเป็นลำดับแรก เพื่อยกระดับการเดินทางและส่งเสริมคุณภาพชีวิตให้กับพี่น้องประชาชน ขณะเดียวกันการพัฒนาโครงการต่างๆ ของกระทรวงฯ จะมีการจัดลำดับเป้าหมายในการขับเคลื่อนตามความสำคัญ ยึดหลักผลประโยชน์ประเทศและประชาชนจะได้รับเป็นที่สำคัญ โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ทุกโครงการ จะต้องมีการศึกษาและบูรณาการงานร่วมกันอย่างรอบคอบมากที่สุด โครงการไหนที่เป็นประโยชน์ พร้อมที่จะเดินหน้าผลักดันให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป

ด้านนายปัญญา ชูพานิช ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร กล่าวว่า สำหรับโครงการแลนด์บริดจ์นั้น ขอยืนยันว่าไม่ได้มีการยกเลิกโครงการฯ ตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมผลักดันโครงการแลนด์บริดจ์ และได้มอบหมายให้ สนข. ทำการศึกษาโครงการฯ ให้ครอบคลุมทุกมิติอย่างรอบคอบ  และรัดกุม เพื่อประโยชน์ประเทศชาติและประชาชน เนื่องจากเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าการลงทุนสูง โดยในขณะนี้โครงการฯ อยู่ระหว่างดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาและลงทุนโครงการ โดยเฉพาะการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมต้องดำเนินการด้วยความรอบคอบ 

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ตามแผนการดำเนินงานจะมีการจัดประชุมทดสอบความสนใจและรับฟังความเห็นของภาคเอกชน ประชาชนในพื้นที่ และทุกภาคส่วนที่มีต่อโครงการฯ เพื่อนำมาประกอบการศึกษาความเป็นไปในการพัฒนาโครงการฯ ต่อไป

สำหรับโครงการนี้จะให้เอกชนลงทุน 100% โดยรัฐจะลงทุนเฉพาะค่าเวนคืนเท่านั้น เนื่องจากวงเงินลงทุนมีมูลค่าสูงประมาณ 1 ล้านล้านบาท โดยที่ผ่านมามีนักลงทุนต่างประเทศให้ความสนใจประมาณ 2 - 3 ราย แต่เงียบไป ดังนั้น เพื่อดึงดูดให้นักลงทุนมีความสนใจในโครงการมากขึ้น กระทรวงฯ จะต้องไปทำ Roadshow เพื่อรับฟังความเห็นจากนักลงทุนต่างในประเทศ ทั้งในจีน ยุโรป อเมริกา และประเทศอื่น ๆ

นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานเร่งรัดและดำเนินโครงการของกระทรวงฯ ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการให้บริการด้านคมนาคมขนส่งในทุกมิติ ทั้งทางบก ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ ให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลให้เกิดผลเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน มีประสิทธิภาพ มีความปลอดภัย และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงบริการได้อย่างเสมอภาค และให้ความสำคัญกับการบูรณาการการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ ถูกต้องตามระเบียบและกฎหมาย มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อขับเคลื่อนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศและความอุดมสุขของพี่น้องประชาชน

‘นายกฯ เศรษฐา’ กินข้าว ‘ผัดกะเพราเนื้อ’ เป็นมื้อเที่ยง ที่นิวยอร์ก ลั่น!! มีแรงทำงานต่อแล้ว พร้อมเดินสูดอากาศบนดาดฟ้ายูเอ็นชิลๆ

(21 ก.ย.66) ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ที่ยังปฏิบัติภารกิจอยู่ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 78 (UNGA78) โดยอินสตาแกรมส่วนตัว ‘sretthathavisin’ โพสต์คลิปวิดีโอภาพและข้อความตลอดทุกภารกิจที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยล่าสุดมีการเผยคลิปนายเศรษฐานั่งรับประทานกลางวัน ข้าวผัดกะเพราเนื้อไข่ดาว พร้อมกล่าวว่า "จานเบ้อเร่อเลย เดี๋ยวต้องพูดต่อด้วย ไม่ใช่ประชุมอย่างเดียว อร่อยครับ อร่อยมาก ผัดกะเพราเนื้อ" พร้อมข้อความระบุใต้คลิปว่า "แค่ได้ผัดกะเพราไข่ดาว ก็มีแรงประชุมต่อแล้ว ได้ทานอาหารไทยที่ต่างประเทศมีความสุขครับ"

นอกจากนี้ อินสตาแกรมส่วนตัว ยังมีการเผยแพร่คลิปเดินพักผ่อน ผ่อนคลาย ด้วยอิริยาบถสบายฯ ของนายเศรษฐา ขณะพักเบรกการประชุม พร้อมข้อความระบุใต้คลิปว่า "ขอขึ้นมาสูดอากาศบนดาดฟ้า UN ช่วงพักเบรกสักหน่อยครับ" โดยเป็นคลิปขณะนายเศรษฐา เดินขึ้นไปพักผ่อนอิริยาบถบนดาดฟ้า ตึกที่ประชุมสหประชาชาติ (ยูเอ็น) พร้อมสอบถามสถานที่โดยรอบตึกว่าคือที่ไหนบ้าง และพูดคุยกับผู้เข้าร่วมประชุมจากประเทศอื่นๆ ที่ขึ้นมาเดินพักผ่อนบนดาดฟ้าอย่างเป็นกันเองด้วย

‘อดีตทูตนริศโรจน์’ ชม ‘ท่านอ้น’ ร่วมงานนิทรรศการ ม.112 เป็นวิธีที่แยบยล ช่วยลดความเดือดดาลให้เจือจางบางลง

(21 ก.ย. 66) นายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก ‘Fuangrabil Narisroj’ ถึงกรณีท่านอ้น วัชรเรศร วิวัชรวงศ์ เข้าร่วมชมนิทรรศการ ‘Faces of Victims of 112 : An Exhibition’ ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย นครนิวยอร์ก ซึ่งจัดขึ้นโดย อ.ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการมหาวิทยาลัยเกียวโต และผู้ลี้ภัยจากคดี ม.112 ว่า...

นิทรรศการมีจุดประสงค์ให้ร้ายเบื้องบนฝ่ายเดียว และมีแผนไปจัดในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก

ที่ผ่านมารัฐทำได้แค่เพียงส่งคนเข้าไปสังเกตการณ์เท่านั้น

การที่ท่านเดินเข้าไปดูนิทรรศการนั้นด้วยตัวเอง เข้าไปคุยแบบตรง ๆ ไปรับรู้รับทราบไปเลย นั่นแหละได้ impact ที่สุด !

ซึ่งเรื่องแบบนี้คนในภาครัฐทำไม่ได้ ไม่มี impact บางทีคนของรัฐเข้าไปอาจกลายเป็นเติมเชื้อฟืนให้ลามด้วยซ้ำ ผลที่ตามมา ผมมองว่านิทรรศการนั้นดู soft ลงไปเลย ขนาดคนจัดยังยืนหงอ ๆ บางครั้งพนมมือ ในขณะที่ท่านยืนยิ้ม หลังตรง 

นี่คือการเบรกนิทรรศการแบบแยบยลที่สุด

ท่านยอมถูกต่อว่า ถูกสงสัยเคลือบแคลงจากคนที่มองอะไรแค่มิติเดียว

แต่ผลที่ได้ตามมามันมีอะไรที่ลึกซึ้งมากมายนัก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top