Friday, 9 May 2025
TheStatesTimes

‘ศาลฎีกา’ ฟัน!! ‘ช่อ’ โพสต์หมิ่นสถาบันฯ ผิดจริยธรรมร้ายแรง สั่งถอนสิทธิ์รับสมัครเลือกตั้ง-ห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง

(20 ก.ย. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลฎีกา สนามหลวง นัดฟังคำพิพากษา คดี คมจ. 1/2565 ที่ ป.ป.ช. เป็นผู้ร้อง ยื่นขอให้วินิจฉัย กรณีกล่าวหา น.ส.พรรณิการ์ วานิช อดีต สส.พรรคอนาคตใหม่ ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรม โพสต์ข้อความพาดพิงสถาบันฯ

ศาลมีคำพิพากษาว่า น.ส.พรรณิการ์ ฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรงตามกฎหมาย ให้ถอนสิทธิ์รับสมัครเลือกตั้งตลอดไป ไม่มีสิทธิ์ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ส่วนคำขออื่นให้ยก

ทั้งนี้สืบเนื่องเมื่อวันที่ 11 มิ.ย.2562 นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นหนังสือต่อ ป.ป.ช.ให้ตรวจสอบ น.ส.พรรณิการ์ กรณีโพสต์ภาพและข้อความจำนวนมากในเฟซบุ๊กที่ทำให้ประชาชนเข้าใจไปในทางที่อาจเชื่อมโยงกับเรื่องของสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างมิบังควร อันเป็นพฤติการณ์หรือการกระทำที่ส่อไปในทางขัดต่อมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง และ น.ส.พรรณิการ์ เป็น สส. ได้รับโปรดเกล้าฯ และได้ถวายสัตย์ปฏิญาณตนต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งในคำถวายสัตย์ปฏิญาณตนก็ได้ระบุว่า จะปฏิบัติให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญทุกประการ

ต่อมาวันที่ 28 ก.พ. 2565 ที่ประชุมกรรมการ ป.ป.ช. มีมติเอกฉันท์ชี้มูล น.ส.พรรณิการ์ วานิช หรือ ช่อ อดีต สส.บัญชีรายชื่อ และอดีตโฆษกพรรคอนาคตใหม่ ผิดจริยธรรมร้ายแรง ตามมาตรฐานจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 ที่บังคับใช้กับ สส. กรณีโพสต์ภาพและข้อความจำนวนมากในเฟซบุ๊กที่ทำให้ประชาชนเข้าใจไปใน

ตำรวจไซเบอร์เตือนภัย ใช้บริการนายหน้าหาคู่รักชาวต่างชาติออนไลน์ผ่านเพจเฟซบุ๊ก เสี่ยงสูญเงินฟรี

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ โฆษก กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) กล่าวว่า ตามที่ปรากฏเป็นข่าวในสื่อสังคมออนไลน์ และได้รับรายงานจากศูนย์บริหารการรับแจ้งความออนไลน์ตรวจสอบพบมีผู้เสียหายซึ่งเป็นหญิงหลายรายใช้บริการหาคู่รักผ่านเพจที่มีชื่อเสียงเพจหนึ่ง มีผู้ติดตามกว่า 150,000 ราย ถูกผู้ต้องหาที่อ้างตัวว่าเป็นโค้ช หรือนายหน้า ช่วยเหลือทำการติดต่อหาคนรักเป็นชายชาวต่างชาติให้ โดยมีการคิดค่าบริการแบ่งออกเป็นระดับตามสาขาอาชีพต่างๆ ได้แก่ คนรักชาวต่างชาติแบบธรรมดา อาชีพรับราชการ วิศวกร ราคา 20,000 บาท คนรักชาวต่างชาติแบบพิเศษ อาชีพนักธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์ ราคา 30,000 บาท คนรักชาวต่างชาติแบบพิเศษ อาชีพแพทย์ เภสัชกร ราคา 50,000 บาท คนรักชาวต่างชาติแบบ Exclusive อาชีพเจ้าของไร่องุ่น ฟาร์มโคนม ราคา 100,000 บาท เป็นต้น รวมไปถึงการบริการสร้างโปรไฟล์ภาษาอังกฤษ เพื่อแนะนำตัว ในราคา 7,000 บาท และสอนวิธีการหาคนรักชาวต่างชาติแบบส่วนตัว (Private Coaching) ในราคา 5,000 บาท แต่สุดท้ายผู้ต้องหาก็ไม่ได้ติดต่อชายชาวต่างชาติให้ผู้เสียหายแต่อย่างใด หรือได้รับการติดต่อจากผู้ต้องหาว่ามีชายชาวต่างชาติสนใจผู้เสียหาย แต่ภายหลังกลับพบว่ารูปภาพบุคคลที่ส่งมาให้เป็นดารา นักกีฬา และนักธุรกิจที่มีชื่อเสียง จึงเชื่อว่าตนถูกหลอกลวงได้รับความเสียหาย จึงได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาดังกล่าวให้ได้รับโทษตามกฎหมาย
ทั้งนี้ที่ผ่านมานับตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.65 – 17 ก.ย.66 มีประชาชนถูกหลอกลวงในลักษณะดังกล่าว หรือในลักษณะใกล้เคียงกันกว่า 2,621 เรื่อง หรือคิดเป็น 0.80% สูงเป็นลำดับที่ 12 ของจำนวนเรื่องการรับแจ้งความออนไลน์ทั้งหมด ความเสียหายรวมกว่า 881 ล้านบาท

การกระทำในลักษณะดังกล่าวอาจจะเข้าข่ายความผิดฐาน “ ฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชนฯ ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (1) ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” และความผิดฐานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

ที่ผ่านมากองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา  ผบช.สอท. ได้ขับเคลื่อนตามนโยบายของ รัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. ในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมออนไลน์ในทุกรูปแบบ ซึ่งได้ให้ความสำคัญและมีความห่วงใยต่อภัยการหลอกลวงผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ โดยได้กำชับไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งวางมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอย่างต่อเนื่องและจริงจัง พร้อมประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้แนวทางป้องกันให้ประชาชนไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ

โฆษก บช.สอท. กล่าวอีกว่า ในการใช้บริการในลักษณะดังกล่าวผ่านสื่อสังคมออนไลน์ควรตรวจสอบให้ดีเสียก่อน เพราะอาจเป็นช่องทางหนึ่งของมิจฉาชีพที่ใช้ในการหลอกลวงเอาทรัพย์สินของประชาชน ควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าทรัพย์สินที่อาจจะต้องสูญเสียไปคุ้มค่าแล้วหรือไม่ นอกจากนี้แล้วยังมีการหลอกลวงในอีกรูปแบบที่เรียกว่า Romance Scam คือ การหลอกลวงให้ผู้เสียหายหลงรัก มีความเชื่อใจ หลอกลวงว่าเป็นชายชาวต่างชาติหน้าตาดี จะเดินทางมาใช้ชีวิตในบั้นปลายด้วยกัน แต่ภายหลังก็หลอกลวงให้โอนเงินไปให้เป็นค่าต่างๆ เช่น ค่าภาษีสิ่งของที่มีมูลค่าสูงอ้างส่งมาให้จากต่างประเทศ หลอกลวงว่าพ่อแม่ป่วยขอให้โอนเงินไปให้ เป็นต้น โดยหากท่านได้รับความเสียหายจากการถูกหลอกลวงในลักษณะดังกล่าวสามารถแจ้งความออนไลน์ได้ที่ https://thaipoliceonline.com พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบจะได้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนนำผู้กระทำผิดมาฟ้องลงโทษตามกฎหมายต่อไป

ทั้งนี้ ขอฝากประชาสัมพันธ์แนวทางการป้องกันการถูกหลอกลวงในลักษณะดังกล่าว ดังต่อไปนี้
1.ระมัดระวังการหาคนรักผ่านสื่อสังคมออนไลน์ในลักษณะดังกล่าว ควรพิจารณาให้รอบคอบถึงความเสี่ยง ไม่พิจารณาเพียงเพราะช่องทางดังกล่าวมีผู้ติดตามจำนวนมาก หรือมีการรีวิวไปในทิศทางที่ดี
2.การสูญเสียทรัพย์สินในการใช้บริการหาคนรักในลักษณะดังกล่าว ไม่ได้ยืนยันว่าจะได้รับบริการตามที่มีการกล่าวอ้าง หรือโฆษณาเสมอไป
3.การพูดคุยกับคนแปลกหน้าบนโลกออนไลน์ ต้องตรวจสอบข้อมูลให้ดีเสียก่อนว่าบุคคลนั้นมีตัวตนจริงหรือไม่ มิจฉาชีพมักใช้รูปบุคคลอื่นปลอมโปรไฟล์มาหลอกลวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งรูปชาวต่างชาติหน้าตาดี มีหน้าที่การงานดี เป็นต้น
4.ไม่หลงเชื่อบุคคลที่เพิ่งรู้จัก หรือบุคคลไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน รวมถึงไม่โอนเงินให้ผู้ใดโดยเด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นชื่อบุคคลอื่นที่เราไม่ได้ต้องการจะโอนให้ (บัญชีม้า)
5.ไม่ให้ข้อมูลส่วนตัวกับบุคคลอื่น ไม่กรอก หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวลงบนสื่อสังคมออนไลน์
6.ไม่นัดพบเจอบุคคลที่รู้จักผ่านสื่อสังคมออนไลน์ หากจำเป็นควรนัดพบในสถานที่ที่มีคนพลุกพล่าน หรือพาเพื่อน หรือบุคคลที่ไว้ใจติดตามไปด้วย
7.หากเป็นมิจฉาชีพมักจะไม่ยอมเปิดกล้องให้เราเห็นใบหน้า แต่ก็ต้องระมัดระวังมิจฉาชีพใช้คลิปวิดีโอที่บันทึกภาพของผู้อื่นมา
​8.เบื้องต้นท่านสามารถนำภาพบุคคลที่ได้รับไปตรวจสอบก่อนว่าเป็นภาพบุคคล หรือดารานักแสดง หรือผู้มีชื่อเสียงหรือไม่ ผ่านเว็บไซต์การค้นหาทั่วไป

‘แม่มณี’ วิเคราะห์ปัญหาการศึกษาไทย ‘ครู-เด็กไทย’ ได้เวลาต้องปรับเปลี่ยน

จากรายการ THE TOMORROW ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES เมื่อวันที่ 23 ก.ย.66 ได้พูดคุยกับ คุณมณีรัตน์ ลิมป์รัตนกาญจน์ หรือ ‘แม่มณี’ อดีตคณะทำงานรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, ดีกรีนักกฎหมายจาก King’s College London, นักธุรกิจมากความสามารถ, นักขับเคลื่อนงานด้านประชาสังคม พ่วงบทบาทในแวดวงการเมืองร่วม 10 ปี และอดีตผู้สมัครผู้แทนราษฎรพรรคภูมิใจไทย ได้พูดคุยในมุมมองปัญหาการศึกษาไทย กับ การนำสื่อดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาด้านการศึกษาไว้อย่างน่าสนใจ ว่า... 

“ปัญหาการศึกษาไทยควรลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการศึกษาไทย” คุณมณีรัตน์ เริ่มบทสนทนา พร้อมทั้งกล่าวต่อว่า ปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นเด็กประถม หรือมัธยม ที่อยู่ในต่างจังหวัดห่างไกล ค่อนข้างเข้าถึงคุณครู หรือแม้แต่เนื้อหาต่างๆ ได้ยากกว่าเด็กที่อยู่กรุงเทพมหานคร หรือตามหัวเมืองใหญ่ๆ ขณะเดียวกันความน่าสนใจในการสอนก็เป็นอีกปัญหาที่ทำให้การซึมซับและเรียนรู้ลดลง ซึ่งถ้าเด็กเหล่านี้ได้เรียนกับครูที่มีสไตล์การสอนที่ดึงดูดอย่างน่าสนใจ เนื้อหาเข้มข้นหลากหลาย จะสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับเด็กเหล่านี้อย่างเท่าเทียม 

คุณมณีรัตน์ กล่าวว่า “ทางออกหนึ่งที่จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้ คือ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี โดยให้ครูหรือติวเตอร์ชื่อดัง สอนผ่านสื่อออนไลน์ เพื่อให้เด็กต่างจังหวัดได้มีโอกาสเรียนกับครูเก่งๆ แทนที่จะหวังแต่ผลิตครูเก่งๆ ซึ่งเอาจริงๆ ก็สามารถทำควบคู่กันได้ แต่อาจใช้ระยะเวลานานกว่า นี่คือทางแก้ในส่วนของเด็ก

“ขณะเดียวกัน ในส่วนของปัญหาการขาดแคลนบุคลากรครูทั้งจำนวนและคุณภาพ ก็เป็นเรื่องที่น่าห่วง โดย คุณมณีรัตน์ มองว่า การสอนของครูในปัจจุบันอาจต้องปรับแนวคิดการสอนให้มีความแตกต่างกันในแต่ละช่วงวัยของนักเรียน ซึ่งเรื่องนี้ภาครัฐต้องเข้ามาดูแลทั้งคุณภาพของนักเรียนและคุณภาพของครูไปพร้อมๆ กัน”

เมื่อถามถึงอีกปัญหาสำคัญของเด็กไทยที่ยังอ่อนภาษาอังกฤษ? คุณมณีรัตน์ ชี้ว่า “เนื่องจากปัจจุบันเราอาจยึดติดกับการสอนภาษาอังกฤษแบบเดิมๆ (เรียนไปไม่ได้ใช้จริง) ซึ่งหากเรามองตัวอย่างหลักสูตรการสอนภาษาอังกฤษในโรงเรียนต่างชาติ เขาจะมีหลักสูตรการสอนไม่เหมือนเรา เราอาจะต้องปรับรูปแบบการสอนและหลักสูตรให้เด็กรักการอ่านมากขึ้น หรือสร้างแพลตฟอร์มการศึกษาผ่านออนไลน์ โดยใช้ Big Data ที่รวบรวมทุกหลักสูตร แบ่งเป็นวิชา เนื้อหา แล้วให้นักเรียนมีโอกาสได้นำมาศึกษาด้วยตัวเองควบคู่ไปด้วย”

คุณมณีรัตน์ เสริมอีกด้วยว่า “รูปแบบของหลักสูตรต่อจากนี้ ก็อย่ายึดหลักแบบที่เป็นอยู่เท่านั้น แต่ควรมีหลักสูตรอื่นๆ เช่น การฝึกพูดภาษาอังกฤษ, การบริหารธุรกิจ, การเล่นดนตรี, การทำอาหาร ฯลฯ จากผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้นๆ ทั้งจากไทยและต่างประเทศ เพื่อเป็นการเปิดโอกาสทางการศึกษามากขึ้นเป็นการเรียนรู้ตลอดชีวิต” 

เมื่อถามถึงการศึกษากับความสอดคล้องต่อตลาดแรงงาน? คุณมณีรัตน์ มองว่า “ควรถึงเวลาส่งเสริมให้นักเรียน นักศึกษา เรียนจบมาได้ทำงานที่ตรงสายกับที่เรียนมา และสอดคล้องกับตลาดแรงงาน ส่งเสริมการฝึกอาชีพระหว่างเรียน ทำให้เกิดทักษะวิชาชีพ ได้พัฒนาในหลายๆ ด้านและมีรายได้จริง”

เมื่อถามถึงในอนาคต AI หรือ ปัญญาประดิษฐ์ (AI : Artificial Intelligence) จะเข้ามามีบทบาทในตลาดแรงงานมากขึ้น จนทำให้หลายคนกลัวว่า AI จะมาแย่งงานมนุษย์แค่ไหน? คุณมณีรัตน์ กล่าวว่า “จริงๆ แล้วเราควรมองว่าทำอย่างไรให้แรงงานไทยทำงานร่วมกับ AI ได้ในอนาคต ควรฝึกเด็กทำงานร่วม AI กันตั้งแต่ตอนเรียน เมื่อทำงานจริงก็สามารถทำงานร่วมกับ AI ได้อย่างไม่มีรอยต่อ”

คุณมณีรัตน์ ยังให้มุมคิดต่อผู้เกี่ยวข้องที่รับผิดชอบต่ออนาคตของชาติไว้อย่างน่าสนใจทิ้งท้ายด้วยว่า ควรส่งเสริมให้เด็กมีความฉลาดทางสติปัญญา (IQ) และ ความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) ควบคู่กันไป โดยเฉพาะครอบครัวและสถานศึกษาต้องช่วยกันปลูกฝังให้เด็กโตมามีความฉลาดทางอารมณ์ รู้เท่าทันอารมณ์ตัวเอง ควบคุมอารมณ์ได้อย่างมีทิศทางที่ถูกต้องเป็นพลังบวก 

หากเดินหน้ากระบวนทัศน์เหล่านี้ได้อย่างรวดเร็ว ก็จะเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาการศึกษาไทยสู่อนาคตได้อย่างยั่งยืน จนกลายเป็นรากฐานที่มั่นคงของประเทศชาติได้ต่อไป

‘โบว์ ณัฏฐา’ ถามบางพรรค “คุณกำลังสร้างสังคมแบบไหนขึ้นมา?” ในวันที่บทลงโทษกฎหมายหมิ่น แทบป้องผู้ถูกละเมิดไม่ได้เลย

(20 ก.ย. 66) น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา หรือ ‘โบว์’ พิธีกรรายการวิเคราะห์ข่าว และนักกิจกรรมเพื่อสิทธิมนุษยชน โพสต์เฟซบุ๊ก ‘Bow Nuttaa Mahattana’ ระบุว่า…

“กฎหมายดูหมิ่น-หมิ่นประมาท สำคัญนะคะ

โทษที่กำหนดไว้ ต่ำมากแล้ว และส่วนใหญ่รอลงอาญา แทบไม่สามารถปกป้องผู้ถูกละเมิดได้เลย ใช้กฎหมายจัดการ และอย่าพยายามทำลายกฎหมาย เพื่อให้คนในสังคมไม่ต้องไปเลือกศาลเตี้ย คือหาวิธีจัดการกันเอง

ส่วนตัวยืนยันอย่างหนักแน่นมาตลอด ว่าเราต้องเห็นความสำคัญของกฎหมายที่ใช้ปกป้องผู้ถูกละเมิด และเราต้องช่วยกันสร้างวัฒนธรรม ไม่ยอมรับการละเมิด ไม่เอาคำว่า “เสรีภาพในการพูด” มาให้ท้ายการคุกคาม

การหมิ่นประมาท ฆ่าคนได้ค่ะ

สิทธิในการละเมิดผู้อื่น ไม่มี

หวังว่า พรรคการเมืองที่เคยเสนอให้นำกฎหมายหมิ่นประมาทออกจากประมวลกฎหมายอาญา ลดโทษให้เหลือแค่ปรับ น่าจะได้ทบทวนและมองเห็นอย่างชัดเจนในวันนี้… ว่าคุณกำลังสร้างสังคมแบบไหนขึ้นมา”

ผบ.ตร. พร้อมภาคีเครือข่าย ร่วมเข้าพิธีมอบรางวัลโล่ประกาศเกียรติคุณหน่วยงานที่มีผลงานดีเด่น “โครงการสุภาพบุรุษจราจร ประชาชนสัญจรปลอดภัย” และรางวัลพลเมืองดีส่งคลิปขับขี่ฝ่าฝืนกฎหมายตาม “โครงการอาสาตาจราจร”

วันนี้ (20 ก.ย.66) เวลา 13.30 น. ณ ห้องศรียานนท์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์   กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. พร้อมด้วย นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย สมาชิกวุฒิสภา ในฐานะประธานกรรมการบูรณาการกู้ชีพฉุกเฉินและความปลอดภัยทางถนน วุฒิสภา นางสาวพรรณี ปิติกุลตัง กรรมการผู้จัดการและผู้บริหาร บริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ คุณกานดา วัฒนายิ่งสมสุข ที่ปรึกษาฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) คุณนิตยา ลีธีระกุล ผู้บริหารสถานีวิทยุพิทักษ์สันติราษฎร์ สวพ.91 และคุณอัจฉรา บัวสมบูรณ์ ผู้บริหารสถานีวิทยุ จส.100 พร้อมด้วยคณะทำงานศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

สำหรับพิธีการมอบรางวัลที่จัดขึ้นในวันนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้กับหน่วยงานที่มีการขับเคลื่อนโครงการสุภาพบุรุษจราจร ประชาชนสัญจรปลอดภัย ได้อย่างดีเยี่ยม ผลงานดีเด่น เป็นที่ประจักษ์สร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยยึดหลัก 5S ให้ตำรวจจราจรทุกนายถือปฏิบัติ ได้แก่ SMILE (ยิ้มแย้มแจ่มใส) SMART (มีบุคลิกภาพที่ดี) SALUTE (ปฏิบัติต่อประชาชนด้วยความสุภาพ) SERVICE MIND (ปฏิบัติหน้าที่ด้วยจิตใจบริการ) และ STANDARD (ยกระดับการปฏิบัติให้มีมาตรฐานเดียวกัน) และในโครงการนี้ ได้รับความร่วมมือจากบริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด ซึ่งมีแผนงานรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ภายใต้โครงการ ส่งเสริมการบังคับใช้กฎหมาย  โครงการนี้ สามารถลดการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุได้ถึง 1,550 ราย  บริษัทกลางฯ ได้สนับสนุนงบประมาณ เป็นเงินรางวัล จำนวน 4,890,000 บาท เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้กับหน่วยงานและผู้ปฏิบัติงานที่ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการ โดยหน่วยงานที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ คือ ตำรวจภูธรภาค 1 (รายละเอียดตามเอกสารแนบ)

พร้อมกันนี้ ได้จัดพิธีมอบรางวัล โครงการอาสาตาจราจร ให้กับประชาชนเจ้าของคลิปกล้องหน้ารถที่บันทึกอุบัติเหตุทางถนนหรือการกระทำผิดกฎจราจรที่สำคัญ ประจำเดือน ก.ค. และเดือน ส.ค.2566 รวมรางวัลทั้งสิ้น 40 รางวัล เงินรางวัลสูงสุด 20,000 บาท รวมเงินรางวัลที่จะมอบในวันนี้ เป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 200,000 บาท โดยบริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) และ กองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน เป็นผู้สนับสนุนเงินรางวัล โดยทั้ง 2 เดือนนี้ มีรางวัลพิเศษ จำนวน 2 รางวัล รางวัลละ 10,000 บาท เป็นรางวัลให้กับพลเมืองดี ที่ช่วยเหลือผู้พิการทางสายตาข้ามถนน และเป็นรางวัลให้กับคลิปที่ได้รับความสนใจจากโซเชียล และมีการติดตามดำเนินการในทันที 

ผบ.ตร.กล่าวว่า นับแต่เริ่มโครงการมาจนถึงปัจจุบัน สังคมมีความตื่นตัว มีคลิปการกระทำผิดกฎจราจรจากภาคประชาชนส่งมาให้คณะทำงานพิจารณาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลเบาะแสเหล่านี้ แสดงถึงความสนใจ ใส่ใจกับปัญหาการจราจร และจะเป็นการขับเคลื่อนที่สำคัญในการแก้ไขปัญหาการจราจร เพื่อสร้างความปลอดภัยทางถนนให้กับผู้ใช้ทาง ความสำเร็จที่เกิดขึ้นของทุกโครงการ เป็นสิ่งยืนยันได้อย่างประจักษ์ชัด ทั้งสถิติอุบัติเหตุทางถนนที่ลดลงของโครงการสุภาพบุรุษจราจรฯ  และแนวโน้มการมีส่วนร่วมของประชาชนที่ส่งคลิปมาร่วมกิจกรรมสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ของโครงการ อาสาตาจรจร นับเป็นเครื่องชี้วัดความสำเร็จที่ถือได้ว่าเป็นความภาคภูมิใจร่วมกันของทุกหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้อง นับเป็นบันไดอีกขั้นหนึ่งสู่การแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนอย่างยั่งยืน ต่อไป

‘ญี่ปุ่น’ เผย ยอดนำเข้าอาหารทะเลญี่ปุ่น ใน ‘จีน’ ลดฮวบ 67% ผลกระทบการปล่อยน้ำปนเปื้อนรังสีของโรงไฟฟ้าฟุกุชิมะสู่ทะเล

(20 ก.ย. 66) สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า นับตั้งแต่ญี่ปุ่นเริ่มทยอยปล่อยน้ำปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสี ที่ผ่านการบำบัดแล้วจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิก เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา จนเกิดกระแสไม่พอใจและเกิดการต่อต้านการนำเข้าอาหารทะเลจากญี่ปุ่น เนื่องจากความกังวลด้านความปลอดภัยนั้น มีรายงานว่า การนำเข้าอาหารทะเลจากญี่ปุ่นของจีนในช่วงเดือนเดียวกันนั้น ลดฮวบลงไปถึง 67.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดือนเดียวกันในปีที่แล้ว จากการเปิดเผยของศุลกากรจีน

จากข้อมูลของกระทรวงเกษตรและประมงของญี่ปุ่นระบุว่า จีนเป็นประเทศผู้นำเข้าอาหารทะเลจากญี่ปุ่นรายใหญ่ที่สุด โดยในปีที่แล้วจีนได้นำเข้าอาหารทะเลจากญี่ปุ่น มีมูลค่า 84,400 ล้านเยน (ราว 20,556 ล้านบาท)

ทั้งนี้ เริ่มเห็นจีนนำเข้าอาหารทะเลญี่ปุ่นลดลงมาตั้งแต่ที่ญี่ปุ่นเตรียมการจะปล่อยน้ำบำบัดแล้วจากโรงไฟฟ้าฟุกุชิมะ จนกระทั่งมีการปล่อยน้ำจริงๆ ในวันที่ 24 สิงหาคม ส่งผลให้ทางการจีนประกาศแบนนำเข้าอาหารทะเลจากญี่ปุ่นทั้งหมด ทั้งๆ ที่ญี่ปุ่นยืนยันว่าแผนการปล่อยน้ำดังกล่าวมีความปลอดภัย และยังได้รับการรับรองจากทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (ไอเออีเอ) ของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) แล้วก็ตาม

จีนยังประท้วงคัดค้านการปล่อยน้ำจากโรงไฟฟ้าฟุกุชิมะอย่างแข็งกร้าว ขณะที่มีการบิดเบือนข้อมูลเกิดขึ้น ที่นำไปสู่การก่อเหตุโจมตีโรงเรียนญี่ปุ่นในประเทศจีน และการโทรศัพท์ป่วนภาคธุรกิจในจังหวัดฟุกุชิมะของญี่ปุ่นเป็นจำนวนมาก จนทำให้รัฐบาลญี่ปุ่นออกประกาศเตือนพลเมืองของตนเองที่เดินทางไปจีน ให้ระมัดระวังตัว และเลี่ยงการพูดภาษาญี่ปุ่นเสียงดังในที่สาธารณะ เพื่อสวัสดิภาพความปลอดภัยของตนเอง

21 กันยายน ของทุกปี เป็นวันสันติภาพโลก (The International Day of Peace) ร่วมรณรงค์หยุดใช้ความรุนแรงทั่วโลก

วันที่ 21 กันยายน ของทุกปี กำหนดให้เป็น วันสันติภาพโลก (The International Day of Peace) เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนทุกคนหยุดใช้ความรุนแรงกันทั่วโลก

ย้อนไปในปี ค.ศ. 1981 คณะกรรมการสหประชาชาติได้ลงประกาศรับรองโดยคอสตาริกา โดยประกาศให้ทุกวันอังคารที่ 3 กันยายนที่เป็นวันเปิดประชุมสามัญนั้นเป็น วันสันติภาพโลก หรือ วันสันติภาพสากล เพื่อเป็นการให้ความสำคัญกับสันติภาพ ซึ่งในอดีตที่ผ่านมา เดิมแล้ววันสันติภาพไม่ได้กำหนดไว้แน่นอนเช่นทุกวันนี้ จากนั้นในปี ค.ศ. 2001 หรืออีกประมาณ 20 ปีต่อมา ก็ได้มีมติใหม่จากสหราชอาณาจักรและคอสตาริกากำหนดให้วันที่ 21 กันยายนของทุกปีเป็นวันยุติการสู้รบ และประกาศให้เป็นวันสันติภาพโลก หรือวันสันติภาพสากล (The International Day of Peace) เพื่อเป็นการรณรงค์ให้ประชาชนทุกคนหยุดใช้ความรุนแรงกันทั่วโลก และหยุดการทำสงครามตลอดทั้งวัน 

อีกทั้งยังได้มีการเชิญประเทศสมาชิก หน่วยงานต่าง ๆ มาเข้าร่วมงานเฉลิมฉลองและร่วมมือกันสร้างสันติภาพทั่วโลก ทั้งยังกำหนดให้ ค.ศ. 2001 - 2010 เป็นทศวรรษสากลเพื่อวัฒนธรรมสันติภาพและความไม่รุนแรงเพื่อเด็กของโลก มีจุดมุ่งหมาย 6 ประการดังต่อไปนี้

1. ให้ความเคารพต่อชีวิตทั้งมวล เคารพชีวิตและศักดิ์ศรีของแต่ละบุคคล โดยไม่แบ่งชนชั้น หรือลำเอียง
2. ไม่ใช้ความรุนแรงในทุกรูปแบบ โดยเฉพาะต่อเด็กและเยาวชน
3. แบ่งปันกับผู้อื่นอย่างมีน้ำใจ เพื่อขจัดการแบ่งแยก ความไม่ยุติธรรม และการกดขี่ทางการเมืองและเศรษฐกิจ
4. รับฟังเพื่อให้เกิดความเข้าใจต่อกัน เคารพเสรีภาพในการแสดงออก และยอมรับความแตกต่างทางวัฒนธรรม
5. สงวนรักษาผืนโลก ฝึกดำเนินชีวิตอย่างรับผิดชอบ และเคารพต่อทุกชีวิตในโลก เพื่อรักษาสมดุลของธรรมชาติบนผืนโลก
6. สร้างความสมานฉันท์ เคารพต่อหลักประชาธิปไตย และให้โอกาสทุกฝ่ายมีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสตรี

สำหรับสัญลักษณ์ของสันติภาพในการแทนความหมายของ สันติภาพ จะใช้เป็นภาพของนกพิราบคาบกิ่งมะกอกซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่ใช้กันอย่างสากล เนื่องจากชาวตะวันมีความเชื่อว่า นกพิราบ เป็นวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้า เป็นตัวแทนของความบริสุทธิ์ตามพระคัมภีร์ไบเบิล อีกทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของเรียนเรียกร้องสิทธิมนุษยชน รวมถึงเป็นการแสดงสัญลักษณ์ทางวิชาชีพสื่อสารมวลชนอีกด้วย เพราะนกพิราบนั้นมีความสามารถในการจดจำเส้นทางได้อย่างแม่นยำ ผู้คนส่วนใหญ่จึงใช้นกพิราบในการสื่อสาร ส่วน กิ่งมะกอก ก็เป็นสิ่งที่ชาวกรีกโบราณใช้งานพิธีสำคัญ เป็นมงกุฎสวมให้ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งและมอบให้ผู้ชนะในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกด้วย

DUSIT ปั้น ‘ดุสิตธานี คอลเลคชั่น’ รับบริหารอสังหาฯ หรู พร้อมโฉมใหม่ ‘ดุสิต-เดวาราณา’ เปิดตัวในจีน ต.ค.นี้

(20 ก.ย.66) นายจิลล์ เครตัลเลช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฏิบัติการกลุ่ม บมจ. ดุสิตธานี (DUSIT) เปิดเผยว่า กลุ่มดุสิตธานี เดินหน้าขยายธุรกิจโรงแรมอย่างต่อเนื่องกับการเปิดตัว 2 แบรนด์ใหม่ ได้แก่ ดุสิต คอลเลคชั่น (Dusit Collection) และ เดวาราณา-ดุสิต รีทรีตส์ (Devarana - Dusit Retreats) เพื่อรองรับตลาดที่พักระดับลักซูรี่ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

โดยทั้ง 2 แบรนด์จะเป็นเพิ่มจำนวนแบรนด์ภายใต้ธุรกิจโรงแรม รีสอร์ท และวิลล่าหรู ที่มีอยู่เดิมภายใต้กลุ่มดุสิตธานี ซึ่งประกอบด้วย ดุสิตธานี, ดุสิตสวีท, ดุสิตเดวาราณา, ดุสิตดีทู, ดุสิตปริ๊นเซส, อาศัย และอีลิธฮาเวนส์ ให้ครอบคลุมและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกกลุ่มมากขึ้น และยังถือเป็นกลยุทธ์ในการเพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจที่พักให้กระจายไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลกมากขึ้น

สำหรับแบรนด์ ‘ดุสิต คอลเลคชั่น’ ถูกพัฒนาขึ้นมา เพื่อช่วยเจ้าของโรงแรมสแตนด์อโลนหรือเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ระดับลักซ์ชูรี ให้สามารถรักษาตัวตน และเสน่ห์ดั้งเดิมของแบรนด์ ในขณะเดียวกัน ก็สามารถเพิ่มศักยภาพในการให้บริการได้อย่างเป็นระบบ จากนักบริหารมืออาชีพที่มีประสบการณ์เชี่ยวชาญในงานบริหารโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก โดยไม่ต้องยุ่งยากในการรีแบรนด์หรือปรับใหม่แต่อย่างใด คุณสมบัติอันโดดเด่นของโรงแรมภายใต้แบรนด์ดุสิตคอลเลกชั่นคือ ตั้งอยู่ในโลเคชั่นที่น่าสนใจ ตัวโรงแรมมีความโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมและเรื่องราวที่น่าสนใจ และมีการตกแต่งอย่างลงตัว ผสมผสานเข้ากับเอกลักษณ์ของท้องถิ่นได้อย่างกลมกลืน ซึ่งที่พักแบบนี้ กำลังเป็นที่ต้องการของนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่มองหาประสบการณ์การท่องเที่ยวที่แท้จริง และแตกต่างไม่เหมือนใคร ซึ่งจะช่วยสร้างประสบการณ์อันน่าจดจำให้กับนักท่องเที่ยว

“เรามั่นใจว่า ‘ดุสิต คอลเลคชั่น’ จะเป็นโมเดลที่มีประสิทธิภาพและสร้างความคุ้มค่าให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด โดยเจ้าของอสังหาริมทรัพย์จะได้รับการดูแลจากทีมที่แข็งแกร่งและเชี่ยวชาญในการบริหาร ที่มีความเข้าใจตัวตน และรักษาไว้ซึ่งความโดดเด่นของทรัพย์สินที่มีคุณค่า ขณะที่กลุ่มดุสิตธานีจะได้รับประโยชน์จากกลยุทธ์ที่สามารถเข้าสู่ตลาดได้อย่างคล่องตัว เพิ่มความหลากหลายให้กับงานบริการ และยังสามารถสร้างมูลค่าให้กับธุรกิจบริการของเรา อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุด คือ ผู้เข้าพักจะได้รับประโยชน์จากโอกาสใหม่ๆ ในการค้นหาเรื่องราวที่น่าสนใจจากเมืองปลายทางอันเต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ และเอกลักษณ์เฉพาะตัว” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฏิบัติการกลุ่ม บมจ.ดุสิตธานีกล่าว

ปัจจุบันกลุ่มดุสิตธานีมั่นใจว่า ยังมีอสังหาริมทรัพย์สุดหรูอีกมากที่รอการค้นพบ ตั้งแต่พระราชวังเก่าในเมืองแห่งประวัติศาสตร์ จนถึงที่พักริมทะเลอันเงียบสงบ จากทวีปเอเชีย เรื่อยไปจนถึงตะวันออกกลางอันมีเสน่ห์ และครอบคลุมถึงทวีปยุโรป ที่สามารถเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ ‘ดุสิต คอลเลคชั่น’ ซึ่งขณะนี้ กำลังอยู่ในระหว่างการเจรจาตกลงกับเจ้าของอสังหาริมทรัพย์หลายราย และคาดว่าจะสามารถประกาศการลงนามความร่วมมืออย่างเป็นทางการได้ในเร็วๆ นี้

สำหรับแบรนด์ใหม่ลำดับที่ 2 ของกลุ่มดุสิตธานี จะเป็นการพลิกโฉมแบรนด์หรูที่มีอยู่เดิม ‘ดุสิต เดวาราณา’ เปลี่ยนเป็น ‘เดวาราณา-ดุสิต รีทรีตส์’ เพื่อยกระดับประสบการณ์การเข้าพักที่มีคุณค่าในระดับอัลตร้า ลักซ์ชูรี

ทั้งนี้ จากความสำเร็จของการพัฒนาคอนเซปต์ ‘เทวารัณย์ เวลเนส’ (Devarana Wellness) หรือแนวคิดด้านสุขภาพแบบองค์รวมผสานกับองค์ประกอบของความเป็นอยู่ที่ดีอย่างมีเอกลักษณ์ให้กับโรงแรมและรีสอร์ทในเครือดุสิตทั่วโลก ทีมงานได้มีการต่อยอดและยกระดับการบริการดังกล่าว จนเกิดเป็นแบรนด์ ‘เดวาราณา-ดุสิต รีทรีตส์’ มุ่งหวังที่จะยกระดับแนวทางการรักษาสุขภาพแบบองค์รวมนี้ให้ดียิ่งขึ้น ด้วยการมอบประสบการณ์ของการฟื้นฟูร่างกายและจิตใจได้อย่างเต็มที่ ในที่พักอันหรูหรา ที่มีความเป็นส่วนตัว เงียบสงบทั่วโลก

แบรนด์เดวาราณา-ดุสิต รีทรีตส์ ถูกพัฒนาขึ้นจากหลักการดูแลสุขภาพแบบไทยดั้งเดิม ผสมผสานกับแนวคิดของการท่องเที่ยวเชิงฟื้นฟูอย่างยั่งยืน เพื่อให้เกิดเป็นโปรแกรมเชิงสุขภาพแบบครบวงจร ที่คัดสรรมาเป็นพิเศษจากการผสมผสานเอกลักษณ์อันโดดเด่นของธรรมชาติในแต่ละชุมชน เข้ากับหลักการบำบัดแบบโบราณ เพื่อมอบให้กับนักท่องเที่ยว ที่มองหาการฟื้นฟูและเยียวยาร่างกายและจิตใจ ในพื้นที่ที่มีความเป็นส่วนตัว อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ และโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมที่ถูกออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน เพื่อมอบความประทับใจอย่างสูงสุดแก่ผู้เข้าพัก ‘เดวาราณา-ดุสิต รีทรีตส์’ แห่งแรกมีกำหนดเปิดให้บริการในเดือนตุลาคมนี้ที่ประเทศจีน และกำลังอยู่ในระหว่างการเจรจาตกลง เพื่อลงนามเพื่อสร้าง ‘เดวาราณา-ดุสิต รีทรีตส์’ อีกหลายแห่งภายในปีนี้ ทั้งในยุโรป ตะวันออกกลาง และในจีน

ปัจจุบัน กลุ่มดุสิตธานีมีโรงแรม 55 แห่งที่ดำเนินกิจการภายใต้ ดุสิต โฮเท็ล แอนด์ รีสอร์ท และวิลล่าระดับลักซ์ชูรีกว่า 230 หลังภายใต้ อีลิธฮาเวนส์ ใน 19 ประเทศ ยังมีโรงแรมและรีสอร์ทในกลุ่มดุสิตธานีที่พร้อมจะเปิดมากกว่า 60 แห่งทั่วโลก และมีเป้าหมายการลงนามเพิ่มเติมอีก 22 แห่งในปีนี้

‘ดีอีเอส’ เตือน หยุดปล่อยข่าวปลอม ‘นายกฯ’ ไฟเขียวตั้ง ‘กาสิโน-เปิดเว็บพนัน’ หวังดึงภาษีเข้ารัฐบาล 30% เพื่อสร้างอาชีพ เพิ่มรายได้เข้าประเทศ

(20 ก.ย. 66) นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ในฐานะโฆษกกระทรวงดีอี กล่าวถึงการส่งต่อข้อมูลในประเด็น นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เตรียมแผนอนุมัติบ่อนคาสิโนเว็บพนันถูกกฎหมาย เสียภาษีให้รัฐบาล 30% เพื่อสร้างอาชีพ เพิ่มรายได้เข้าประเทศนั้น ว่าดีอีโดยศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง ไปยังกรมประชาสัมพันธ์ สำนักนายกรัฐมนตรี พบว่าประเด็นดังกล่าวไม่เป็นความจริง เป็นข้อมูลเท็จ ปัจจุบันรัฐบาลยังไม่ได้มีการเตรียมแผนอนุมัติ หรือการดำเนินนโยบายเปิดบ่อนกาสิโน หรือเว็บพนันถูกกฎหมาย เสียภาษี 30% ตามที่ถูกกล่าวอ้างแต่อย่างใด

นายเวทางค์กล่าวต่อว่า หากพี่น้องประชาชนพบเบาะแสการกระทำความผิด สามารถแจ้งผ่าน 4 ช่องทาง ได้แก่ เว็บไซต์ https://www.antifakenewscenter.com, เฟซบุ๊ก ANTI-FAKE NEWS CENTER, ทวิตเตอร์ @AFNCThailand, ไลน์ @antifakenewscenter และช่องทางโทรศัพท์ โทรสายด่วน GCC 1111 ต่อ 87 ได้ ตลอด 24 ชั่วโมง

‘รมว.พิพัฒน์’ ลุยขยายตลาดแรงงานประเทศใหม่ๆ หนุนทำงานต่างแดนถูกกฎหมาย 100,000 อัตรา

(20 ก.ย. 66) นายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2566 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้มอบนโยบายสำคัญให้กับกรมการจัดหางานในการส่งเสริมและขยายตลาดแรงงานไทยในต่างประเทศ จำนวน 100,000 อัตรา ภายในปี 2567 

เกี่ยวกับเรื่องนี้กรมการจัดหางานพร้อมขับเคลื่อนนโยบายสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม โดยใช้การส่งเสริมให้แรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ในตลาดแรงงานเดิมที่มีความต้องการจ้างแรงงานเพิ่มขึ้น ในตำแหน่งงานใหม่ อาทิ ประเทศสวีเดน, ประเทศฟินแลนด์, ประเทศอิสราเอล, ประเทศญี่ปุ่น, สาธารณรัฐเกาหลี, ไต้หวัน และการขยายตลาดแรงงานในประเทศใหม่ๆ ที่มีแนวโน้มความต้องการจ้างแรงงานไทย 

นอกจากนี้ ยังเจรจาเพื่อให้เกิดการจัดทำข้อตกลงความร่วมมือด้านแรงงานมุ่งประโยชน์สูงสุดต่อแรงงานไทย โดยเน้นไปที่กลุ่มแรงงานกึ่งฝีมือและทักษะฝีมือ อาทิ ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ในตำแหน่งพยาบาล ผู้ช่วยพยาบาล ผู้ดูแลผู้ป่วยและคนชรา / ประเทศกาตาร์ ในแรงงานภาคก่อสร้าง ภาคบริการเกี่ยวกับท่าอากาศยานและรถไฟ ภาคการท่องเที่ยวและสุขภาพ และภาคการขนส่ง / ประเทศจอร์แดน ในแรงงานภาคเกษตร / ประเทศนิวซีแลนด์ ในแรงงานทักษะฝีมือภาคบริการ ภาคเกษตร และแรงงานที่มีทักษะ ความรู้ ความชำนาญ เฉพาะสาขาที่ขาดแคลน เช่น สถาปนิก ผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมาย ทันตแพทย์ และพยาบาลวิชาชีพ / ประเทศโปรตุเกส ในแรงงานเกษตรกรรมและงานร้านอาหาร และประเทศออสเตรเลีย พร้อมรับพ่อครัวคนไทยที่มีประกาศนียบัตรจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน

นายไพโรจน์ กล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมากรมการจัดหางานสนับสนุนให้แรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศอย่างถูกต้องตามกฎหมายมาโดยตลอด เพื่อให้แรงงานไทยมีรายได้และโอกาสทำงานเพิ่มขึ้น ได้เปิดโลกทัศน์สั่งสมประสบการณ์การทำงานในต่างประเทศ โดยจากนี้กระทรวงแรงงานจะต้องหารือร่วมกับหลายฝ่ายทั้งนายจ้างในต่างประเทศ ประเทศปลายทาง ภาคเอกชนในประเทศไทย ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศ เพื่อแลกเปลี่ยนความเข้าใจในกฎหมาย ระเบียบ สัญญาจ้างงานของประเทศไทย และประเทศปลายทาง ตลอดจนวิธีการและขั้นตอนการนำแรงงานไทยเข้าไปทำงานในประเทศต่างๆ เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศและเพิ่มโอกาสในการจ้างแรงงานไทย

ซึ่งหากส่งแรงงานไทยทำงานต่างประเทศได้ 100,000 คน ตามนโยบายท่านรัฐมนตรี นอกจากช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของแรงงานไทยทั้งหมดให้ดีขึ้นแล้ว ยังทำให้ 100,000 ครอบครัวของแรงงานมีโอกาสยกระดับคุณภาพชีวิตตามไปด้วย

สำหรับคนไทยที่ต้องการเดินทางไปทำงานต่างประเทศ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 - 10 หรือ สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top