Friday, 9 May 2025
TheStatesTimes

สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยฯ จัดพิธีมอบโล่เกียรติคุณ และทุนการศึกษาแก่เยาวชนดีเด่น เนื่องในโอกาสวันเยาวชนแห่งชาติ ประจำปี 2566

คณะรัฐมนตรีได้กำหนดให้วันที่ 20 กันยายน ของทุกปีเป็นวันเยาวชนแห่งชาติ เนื่องจาก เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพ ของพระมหากษัตริย์ไทยในพระบรมราชจักรีวงศ์ สองพระองค์ คือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหา อานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 ที่ได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ ตั้งแต่ยังทรงเป็นยุวกษัตริย์ จึงถือเป็นวันสิริมงคลแก่การพัฒนาเยาวชนแห่งชาติ

สภาสังคมสงเคราะห์ฯ จัดพิธีมอบโล่เกียรติคุณ และทุนการศึกษาแก่เยาวชนดีเด่น สภาสังคมสงเคราะห์ฯ เนื่องในงานวันเยาวชนแห่งชาติ ประจำปี 2566 โดยมี ร้อยตำรวจโท ดร.มนัส โนนุช ประธานสภาสังคมสงเคราะห์ฯ เป็นประธานในพิธี ในวันพุธที่ 20 กันยายน 2566 ณ ห้องประชุม ชั้น 3 ตึกนวมหาราช สภาสังคมสงเคราะห์ฯ ในการนี้ได้รับเกียรติจากศิลปิน นักแสดง และรุ่นพี่เยาวชนดีเด่น ร่วมแสดงความยินดี และกล่าวแสดงความรู้สึกเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้แก่เยาวชนดีเด่น อาทิ   

🔹คุณอรุณณภา พานิชจรูญ นักแสดงช่อง 3  และลูกกตัญญูฯ ปี 2566 
🔹ว่าที่ ร.ต.อ.หญิง อาทิติยา เบ็ญจะปักนางสาวไทยชลบุรีปีล่าสุด นักร้องลูกทุ่ง และรองสารวัตรกลุ่มงานวิชาการและงานสารบรรณ 
🔹น้องอายจิงจิง ไทดอลมิวสิค-ณัฐฎา กุลกรรณ์  น้กร้องสังกัดค่าย GMM และเยาวชนดีเด่น สภาสังคมสงเคราะห์ฯ ปี 2560
🔹ว่าที่ร้อยตรี ธนัท ชัชวาลย์ นักแสดงช่อง 3 และลูกกตัญญู ปี 2564 
🔹แพรพลอย เดชชินบัญชร ทูตการท่องเที่ยวและทูตการกีฬาประจำจังหวัดกาญจนบุรี  ปี 2022
🔹คุณภาคภูมิ เปี่ยมปัจจัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีพี ไลเซนส์ จํากัด
🔹คุณพัชมณ สินธนเจริญวงศ์ ผู้แทนบริษัท เซิร์ช เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด

สภาสังคมสงเคราะห์ฯ ได้รับเกียรติจาก คุณชรินทร์ ทองสุข รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา คุณชนมณัฐ รอดบุญธรรม รองผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ คุณพิริยะ ฉันทดิลด ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย กรรมการอำนวยการ กรรมการส่งเสริมและพัฒนาเด็ก เยาวชน อนุกรรมการคัดเลือกเด็กและเยาวชนดีเด่น ตลอดจนผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน ครู อาจารย์ และผู้ปกครอง รวมทั้งสมาชิกชมรมเด็กและเยาวชนดีเด่น สภาสังคมสงเคราะห์ฯ ร่วมในงานด้วย

ตำรวจไทย คว้ารางวัลความร่วมมือในการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติเป็นปีแรก จากสาธารณรัฐประชาชนจีน หลังปราบทุนจีนเทา คอลเซ็นเตอร์ และทัวร์ศูนย์เหรียญ โดยมี 46 ชาติร่วมแสดงจุดยืน ขณะที่รัฐมนตรีตรีจีนให้คำมั่น นทท.จีนไปไทยทะลุ 10 ล้านคนแน่ หลังไทยเปิดฟรีวีซ่า

หลังจากที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ มาอย่างต่อเนื่องทั้งในส่วนของทุนจีนสีเทาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ไปจนถึง ปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญ ที่ทำให้นักท่องเที่ยวได้เห็นประเทศไทยเพียงด้านเดียว มายาวนาน รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงของจีน ได้ประกาศมอบรางวัลเหรียญสดุดี The Gold Great Wall Commemorative Award (เหรียญทองกำแพงเมืองจีนสดุดีตำรวจชั้นสูงสุด)หรือรางวัลความร่วมมืออันดียิ่งในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติให้แก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่มีการมอบรางวัลนี้ให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

นอกจากมอบรางวัลการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติแล้ว รัฐบาลจีน ยังได้แสวงหาความร่วมมือในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติกับนานาประเทศโดยมี กลุ่มประเทศมากกว่า 46 ประเทศสนใจเข้าร่วม ประชุมความร่วมมือปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ที่เมืองเหลียนหยุนก่าง มณฑลเจียงซู สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมี นายหวังเฉี่ยว หง รัฐมนตรี ว่าการกระทรวงคำมั่นคงของจีนเป็นประธาน

และจากการพูดคุยแบบทวิภาคีระหว่างรัฐมนตรช่วยว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีน กับ พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะตัวแทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่มาประชุมในครั้งนี้ ได้มีการพูดคุยถึงแนวทางในการดูแลความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว โดยระบุว่าขณะนี้รัฐบาลไทยเปิดกว้างให้นักท่องเที่ยวจีนเข้าไปท่องเที่ยวได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า และจะ ใช้เทคโนโลยีในการติดตามดูแลความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะตามหัวเมืองสำคัญในโครงการสมาร์ทเซฟตี้โซน ซึ่งปัจจุบันได้นำร่องในหลายเมืองแล้ว

เสียง
พล ต อ สุรเชษฐ์ หักพาล
รอง ผบ ตร

ขณะที่รัฐมนตรช่วยว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีนเปิดเผยว่า ไทยยังคงเป็นประเทศปลายทางที่คนจีน อยากเดินทางไปท่องเที่ยวโดยที่ผ่านมามีคนจีนไปเที่ยวเมืองไทยมากกว่า 12,000,000 คนแต่หลังจากสถานการณ์โควิดทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวลดลงแต่เชื่อมั่นว่ามาตรการที่จะทำร่วมกันจากนี้จะทำให้คนจีนมีความมั่นใจและเดินทางไปเที่ยวประเทศไทยมากกว่า 10,000,000 คนอย่างแน่นอน

ทั้งนี้น่าจะเริ่มต้นในช่วงเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ เนื่องจากเป็นช่วงวันหยุดยาวของชาวจีน โดย กลุ่มจังหวัดที่ชาวจีนอยากแวะไปเยือนอย่างเป็นทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกและภาคใต้ โดยเฉพาะกระบี่ ภูเก็ต และพังงา

เสียง 
ฉู่ กานลู่
รัฐมนตรช่วยว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ จีน

นอกจากนี้ยัง เปิดเผยด้วยว่าจะส่งหน่วยปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีไปทำงานร่วมกับประเทศไทยในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลังจาก พบเบาะแสว่ามีกลุ่มคนจีนไปแอบฟังคอลเซ็นเตอร์ตามตะเข็บชายแดนระหว่างประเทศไทยกับลาว  เมียนมาร์ และกัมพูชา พร้อมทั้งระบุว่าที่ผ่านมาได้ส่งทีมงานเข้าไปกวาดล้างรอบแรกแล้วในพื้นที่ของชนกลุ่มน้อยในเมียนมาร์ จึงได้ผู้ต้องหาชาวจีนกลับมานับ 100 คน 

‘บีทีเอส’ โร่ชี้แจง กรณีประตูรถไฟฟ้า ‘ขัดข้อง’ ระหว่างวิ่ง เตรียมหามาตรการป้องกัน เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำอีก

(21 ก.ย. 66) จากกรณีที่มีการแชร์ภาพในโลกโซเชียล ปรากฏให้เห็นว่าประตูรถไฟฟ้า BTS เปิดอ้างขณะขนวบรถกำลังวิ่ง สร้างความหวาดเสียว ตกใจให้แก่ผู้ใช้บริการเป็นอย่างมาก รวมถึงถูกวิพากษ์วิจารณ์ในโลกออนไลน์

ล่าสุด บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ชี้แจงถึงกรณีประตูรถไฟฟ้าบีทีเอสขัดข้อง ระหว่างสถานีบางจาก ถึงสถานีปุณณวิถี เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2566 ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เนื่องจากระบบความปลอดภัยมีสัญญาณแจ้งเตือนประตูรถไฟฟ้าขัดข้อง เจ้าหน้าที่ควบคุมรถไฟฟ้า (TC) จึงได้ทำการติดต่อไปยังเจ้าหน้าที่ห้องศูนย์ควบคุม (CCR) และประสานเจ้าหน้าที่ไปยืนดูแลบริเวณประตูที่ขัดข้อง เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้โดยสารเข้าใกล้บริเวณประตู พร้อมทั้งได้ดำเนินการแก้ไขประตูดังกล่าวที่สถานีถัดไป

อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทฯ ได้ดำเนินการตรวจสอบขบวนรถไฟฟ้าดังกล่าว และประตูที่ขัดข้องอย่างละเอียด เพื่อหามาตรการป้องกันเพิ่มเติม ไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวซ้ำขึ้นอีก พร้อมกำชับพนักงานที่ปฏิบัติหน้าที่ทุกราย ให้เตรียมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ในทุกกรณี และเข้าประจำจุดโดยเร็วที่สุด เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้โดยสาร บริษัทฯ ได้เน้นย้ำให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ในเรื่องความปลอดภัยของผู้โดยสาร และหากพบเหตุไม่ปกติในขบวนรถไฟฟ้า ผู้โดยสารสามารถกดปุ่มกระดิ่งแจ้งเจ้าหน้าที่ควบคุมรถไฟฟ้าได้ทันที

บริษัทฯ ต้องขออภัยผู้โดยสารทุกท่านที่เกิดเหตุขัดข้อง และได้รับความไม่สะดวกในการเดินทาง สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์บีทีเอส โทรศัพท์ 0 2 - 617- 6000 Line official : @btsskytrain หรือเช็กสถานะการเดินรถได้ที่  Application ‘THE SKYTRAINs’ และ Facebook Page : รถไฟฟ้าบีทีเอส

เจ้าของธุรกิจส่งออกปลา กล่าวผ่านช่องยูทูบ ‘CK Cheong’ เมื่อวันที่ 15 ก.ย. 66

เมื่อไม่นานนี้ จากช่องยูทูบ ‘CK Cheong’ ได้เชิญ คุณวีรวัฒน์ วลัยเสถียร หรือ ‘คุณดิว’ เจ้าของธุรกิจส่งออกปลา ให้สัมภาษณ์ถึงมุมมองธุรกิจ ซึ่งช่วงหนึ่งของรายการ คุณดิว ได้แชร์มุมมองต่อ ‘เงื่อนไข 2 ข้อ ที่คนรวยใช้ตัดสินใจ ก่อนซื้อจะซื้ออะไรก็ตาม’ โดยระบุว่า…

คนรวย เวลาจะใช้เงินออกจากกระเป๋า จะมี 2 อย่างที่เขาต้องคิด ข้อแรกคือ ‘จําเป็น’ ข้อ 2 คือ ‘เร่งด่วน’ อันนี้จําเป็นไหม? เร่งด่วนหรือเปล่า? ถ้าจำเป็นและเร่งด่วน ก็ซื้อ เช่น ถ้าหิวข้าว ข้าวจําเป็น เร่งด่วนไหม? ก็หิวแล้ว แปลว่าเร่งด่วน ก็ซื้อข้าวกิน หรืออย่างเช่น นาฬิกา จําเป็นไหม? นาฬิกาก็ม่ความจําเป็น แต่เร่งด่วนไหม? ก็ไม่เร่งด่วน เพราะดูเวลาจากโทรศัพท์มือถือได้ ไม่เป็นไร ก็ไม่ซื้อ เป็นต้น

ดังนั้น คนรวยจะมีความคิดนี้เสมอก่อนจะตัดสินใจซื้ออะไร คือ ‘ความจําเป็น’ กับ ‘เร่งด่วน’

‘บอย ถกลเกียรติ’ เร่งสืบหาข้อมูล เรื่อง ‘สไมล์-มาตัง’ เผื่อสื่อสารผิดพลาด หลังสองสาวแฉพฤติกรรมผู้จัดการเก่าคุกคาม จนกลายเป็นคนวิตกจริต

(21 ก.ย. 66) ‘บอย ถกลเกียรติ’ ให้สัมภาษณ์ ขณะนี้กำลังสืบหาความจริง หลังสองนักร้องสาวจากบ้านเดอะสตาร์ ‘สไมล์ ภาลฎา’ และ ‘มาตัง ระดับดาว’ เปิดใจพูดถึงพฤติกรรมของผู้จัดการเก่า จนเกิดเป็นประเด็นร้อนทั่วโซเซียล

กลายเป็นประเด็นร้อนยิ่งกว่าเดิม หลัง ‘มาตัง ระดับดาว ศรีระวงศ์’ หรือ ‘มาตัง เดอะสตาร์ 11’ นักร้องสาวเสียงเพราะ หนึ่งในผู้เข้าประกวดรายการเดอะสตาร์ ได้ออกมาเผยถึงพฤติกรรมของผู้จัดการเก่า โดยตนไม่เคยถูกคุกคามทางเพศแต่อย่างใด เพียงแต่เคยถูกคุกคามความเป็นส่วนตัวจนเครียดหนัก กลายเป็นคนวิตกจริต

ซึ่งผู้จัดการคนที่มาตังกล่าวถึงนั้นเป็นบุคคลเดียวกับที่นักร้องรุ่นพี่ ‘สไมล์ ภาลฎา ฐิตะวชิระ’ หรือ ‘สไมล์ เดอะสตาร์ 8’ ได้ออกมาเผยปมในใจในวัย 15 ปี ในช่วงเวลาก่อนหน้าผ่านรายการ De – Talk EP.17 เกี่ยวกับการถูกคุกคามทางเพศ เนื่องจากโดนผู้ใหญ่ที่เคารพเหมือนแม่ มีความคิดกับตนในเชิงชู้สาว แต่กลับไม่มีใครเชื่อ และตราหน้าสไมล์ว่าเป็นเด็กเลี้ยงแกะ

ล่าสุด เมื่อบรรดาผู้สื่อข่าวได้เจอกับ ‘บอย ถกลเกียรติ วีรวรรณ’ ผู้บริหารใหญ่ จึงมีการสอบถามถึงเรื่องราวดังกล่าว ซึ่งได้ความว่า “ผมก็เพิ่งรู้เรื่องเมื่อวานนี้ กำลังสืบหาข้อมูลอยู่ว่ามันคืออะไร เรื่องมันเกิดขึ้นเป็นสิบกว่าปีแล้วมั้ง เราก็ต้องดูดีๆ ว่ามันคืออะไร มันมีการสื่อสารที่ผิดพลาดกันไปหรือเปล่า เราไม่ทราบได้ เราก็ต้องดูดีๆ ครับ”

เมื่อถูกถามว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบกับภาพลักษณ์ขององค์กรหรือไม่ ทาง ‘บอย ถกลเกียรติ’ ก็ได้ตอบว่า “อย่าลืมว่ามันสิบกว่าปีแล้ว ผมว่าอะไรมันก็เปลี่ยนไป ก่อนหน้านี้สิบปีกับตอนนี้ มันก็ไม่เหมือนกับปัจจุบัน ทุกอย่างมันก็ไปหมดแล้ว”

อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ทางผู้บริหารใหญ่ก็ได้ออกมาเผยว่า กำลังสืบความจริงถึงประเด็นร้อนแรงที่เกิดขึ้น ไม่ได้นิ่งนอนใจแต่อย่างใด ส่วนบทสรุปของเรื่องราวปมในใจที่สองนักร้องสาวได้ออกมาเปิดเผยนั้นจะเป็นอย่างไร คงต้องติดตามกันต่อไป

‘มาคาเลียส’ มัดรวม 4 ที่พักสุดฟิน ‘เขาใหญ่’ จัดโปรเด็ดต้อนรับลมหนาว ลดสูงสุด 70%

(21 ก.ย. 66) มาคาเลียส แหล่งรวมอี-วอเชอร์ที่พัก ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว อันดับ 1 ของประเทศไทย จัดโปรโมชันต้อนรับลมหนาวไปพักสุดฟินท่ามกลางอ้อมกอดแห่งขุนเขากับ 4 ที่พักเขาใหญ่ ลดสูงสุดกว่า 70% ได้แก่ Bergh Apton Khao Yai ห้อง Deluxe หรือ Deluxe Premium พร้อมอาหารเช้า ราคาเพียงคืนละ 1,909 บาท, Movenpick Resort ห้อง Deluxe room พร้อมอาหารเช้า ราคาเพียงคืนละ 4,999 บาท, MYS Hotel ห้อง Deluxe room พร้อมอาหารเช้า ราคาเพียงคืนละ 5,499 บาท และสุดท้ายที่ InterContinental Khao Yai Resort ห้อง King Classic พร้อมอาหารเช้าและสามารถพาน้องหมาน้องแมวพักฟรี ราคาเพียงคืนละ 7,099 บาท เริ่มตั้งแต่วันนี้หรือจนกว่าดีลจะหมด

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ ‘มาคาเลียส’ (Makalius) แหล่งรวมอี-วอเชอร์ที่พัก ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว อันดับ 1 ของประเทศไทย www.makalius.co.th โทร. 02-821-5215 หรือ Line Official @makalius

‘foodpanda’ ถอดใจไม่ขอไปต่อ เตรียมขายกิจการในอาเซียนให้ ‘Grab’

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า Delivery Hero บริษัทแม่ของ Foodpanda (ฟู้ดแพนด้า) ซึ่งตั้งอยู่ในเยอรมนี ยืนยันการเจรจาเกี่ยวกับการขายธุรกิจในเอเชียบางส่วน ซึ่งได้แก่ สิงคโปร์, กัมพูชา, ลาว, มาเลเซีย, พม่า, ฟิลิปปินส์ และไทย โดยเสริมว่ามูลค่าของข้อตกลงยังอยู่ระหว่างการเจรจา

โดยมีข่าวว่าผู้ที่จะมาซื้อกิจการต่อก็คือ Grab ซึ่งบริษัทแม่นั้นตั้งอยู่ในสิงคโปร์ ขณะที่นิตยสารธุรกิจ Wirtschaftswoche รายงานว่า Grab สิงคโปร์ สามารถจ่ายเงินมากกว่า 1.07 พันล้านดอลลาร์เพื่อซื้อกิจการ

ทั้งนี้ Delivery Hero นั้นมุ่งเน้นไปที่การทำกำไรในขณะที่ยังคงรักษาการเติบโตไว้ แต่ทว่าความเชื่อมั่นของนักลงทุนในบริษัทเริ่มลดลงตั้งแต่โควิดระบาด

บริษัท ระบุว่าช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ ได้บรรลุผลกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ที่ปรับปรุงแล้ว หลังจากขาดทุน 323 ล้านยูโรในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม Delivery Hero ไม่ได้ระบุว่าครึ่งปีแรกนี้ได้กำไร (EBITDA) เท่าไหร่

เมื่อเดือนที่แล้ว Niklas Oestberg ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า เอเชียเป็นกลุ่มที่บริษัทมองเห็นโอกาสในการลงทุนมากที่สุด

สำหรับ Grab ในสิงคโปร์ประกาศรายได้ครึ่งปีแรกอยู่ที่ 567 ล้านดอลลาร์ และคาดว่าจะคุ้มทุนได้ในไตรมาสนี้ ทั้งนี้ Grab สร้างรายได้ส่วนใหญ่จากธุรกิจจัดส่งอาหาร และเมื่อเร็ว ๆ นี้ได้เห็นการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในธุรกิจเรียกรถ

‘โพลสหรัฐ’ เผย 63% ชาวอเมริกันไม่มั่นใจระบบการเมืองประเทศอีกแล้ว พร้อมเห็นพ้อง 2 พรรคใหญ่ ให้ความสำคัญกับการสู้กัน มากกว่าแก้ปัญหา

(21 ก.ย. 66) ศูนย์วิจัยพิว (Pew Research Center) สถาบันวิจัยของสหรัฐ ที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับประเด็นทางสังคม และความเห็นสาธารณชน ได้เปิดเผยถึงผลการสำรวจความเห็นล่าสุดว่า ผู้ตอบแบบสำรวจ 63 เปอร์เซ็นต์ รู้สึกไม่มั่นใจต่ออนาคตของระบบการเมืองของสหรัฐเลย และมีเพียง 4 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ระบุว่า ระบบการเมืองกำลังดำเนินไปอย่างดีเยี่ยม ทั้งนี้ เมื่อให้มีการอธิบายถึงความรู้สึกตัวเอง เกี่ยวกับระบบการเมืองของประเทศก็พบว่า 79 เปอร์เซ็นต์ ใช้คำวิจารณ์เป็นไปในเชิงลบ ซึ่งคำที่อธิบายที่พบเยอะที่สุดคือคำว่า แตกแยก และทุจริต

นอกจากนี้ การสำรวจยังพบว่า ประชาชนชาวอเมริกันได้รับผลกระทบอย่างยิ่ง ของการแบ่งขั้วพรรคการเมือง โดยชาวอเมริกันมากกว่า 86 เปอร์เซ็นต์เห็นพ้องกันว่า พรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตให้ความสำคัญกับการต่อสู้ซึ่งกันและกัน มากกว่าการแก้ปัญหา นี่ถือเป็นส่วนแบ่งที่เพิ่มขึ้นของสาธารณชนในสหรัฐ และเป็นส่วนแบ่งสูงสุดในรอบ 3 ทศวรรษ ของการเลือกตั้งสหรัฐ กับการไม่ชอบพรรคการเมืองทั้ง 2 พรรค โดยเกือบ 28 เปอร์เซ็นต์ แสดงความเห็นในเชิงลบต่อทั้งพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครต

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยพิวกล่าวว่า การศึกษาวิจัยนี้ อิงจากการสำรวจที่ดำเนินการระหว่างวันที่ 10-16 กรกฎาคม 2023 ในกลุ่มผู้ใหญ่ 8,480 คน และยังมีข้อมูลเพิ่มเติมจากการสำรวจ ที่ดำเนินการระหว่างวันที่ 5-11 มิถุนายน 2023 ในกลุ่มผู้ใหญ่ 5,115 คนด้วย

‘ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ’ ทดลองใช้อาคาร SAT-1 ครั้งสุดท้าย  มั่นใจ!! พร้อมเปิดให้บริการแบบ Soft Opening 28 ก.ย.นี้ 

(21 ก.ย. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 20 ก.ย. 66 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมกับสายการบินไทยเวียตเจ็ท ผู้ประกอบการให้บริการภาคพื้น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทดลองปฏิบัติการเต็มรูปแบบอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (SAT-1 Full - Scale Trial Operations) ครั้งที่ 3 ซึ่งเป็นการทดลองปฏิบัติการฯ ครั้งสุดท้ายก่อนการเปิดให้บริการแบบ Soft Opening ในวันที่ 28 กันยายน 2566

นายกิตติพงศ์ กิตติขจร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กล่าวว่า การทดลองปฏิบัติการฯ ครั้งที่ 3 เป็นการทดลองเฉพาะกระบวนการผู้โดยสารขาออกในช่วงเวลากลางคืน ตั้งแต่เวลา 20.00 - 00.00 น. เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าการบริการในช่วงเวลากลางคืนที่ต้องมีระบบสนับสนุนที่ต่างจากเวลากลางวัน เช่น ระบบไฟฟ้าส่องสว่าง ณ จุดบริการต่าง ๆ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย

สำหรับการทดลองปฏิบัติการฯ ครั้งนี้ ทสภ. ได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างดี  
โดยสายการบินไทยเวียตเจ็ทให้การสนับสนุนอากาศยานพร้อมลูกเรือ อุปกรณ์การให้บริการภาคพื้น และเจ้าหน้าที่ ในการทดลองปฏิบัติการฯ รวมทั้งสนับสนุนเจ้าหน้าที่จำลองเป็นผู้โดยสารสมมติเพื่อสร้างความคุ้นเคย ขณะที่กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 2 สำนักงานศุลกากรตรวจของผู้โดยสาร สำนักงานศุลกากรตรวจสินค้า บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด ตลอดจนบริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ได้สนับสนุนเจ้าหน้าที่เข้าร่วมทดลองและสังเกตการณ์ในครั้งนี้ด้วย

นายกิตติพงศ์ กล่าวสรุปว่า การทดลองปฏิบัติการฯ ทั้ง 3 ครั้งที่ผ่านมา เสร็จสิ้นตามแผนการทดลองปฏิบัติการฯ และเป็นไปด้วยความเรียบร้อยในทุกขั้นตอน โดย ทสภ. ได้นำข้อเสนอแนะจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องไปปรับปรุงกระบวนการต่าง ๆ เพื่อสร้างความมั่นใจว่าทุกระบบมีความพร้อมสำหรับการให้บริการอาคาร SAT-1 แบบ Soft Opening ในวันที่ 28 กันยายน 2566 เป็นต้นไป ทั้งนี้การเปิดให้บริการอาคาร SAT-1 จะเพิ่มศักยภาพของ ทสภ. ในการรองรับผู้โดยสารที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกทั้งยังสอดคล้องกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยวของรัฐบาลต่อไป

เปิดคำสารภาพ ‘พ่อ-แม่’ ใจโหด เผยปมสังหารลูกน้อย 5 ศพ เพราะ ‘ทนเสียงร้องเด็กไม่ได้-น้อยใจชีวิตลำบาก-ป่วยทางจิต’

(21 ก.ย. 66) จากกรณีพ่อแม่โหดสังหารลูก 2 ขวบ แล้วนำไปโบกปูนฝังอำพรางที่บ้านต่างจังหวัด จนเป็นข่าวสะเทือนใจคนไทยทั้งประเทศ ยิ่งเมื่อรู้ว่า พ่อรายนี้ยังลงมือฆ่าลูกนำฝังดินอีก 4 ศพ รวมแล้วเป็น 5 ศพด้วยกัน

ล่าสุด มีรายงานคำสารภาพของ นายส่องศักดิ์ หรือ ‘เอ็ม’ อายุ 46 ปี ผู้ต้องหาลงมือฆ่าลูก รับสารภาพว่า ได้ลงมือทำร้ายร่างกายจนทำให้เด็กถึงความตาย คือ

1.) ด.ช.ไข่ดำ (ลูกกับ น.ส.เจษ) โดยลงมือใช้มือตบตี ที่ท้องเป็นจำนวน 2-3 ครั้ง ด้วยความแรง ทำให้เกิดการชักและเสียชีวิต นำร่างไปทิ้งที่สวนจตุจักร
2.) ด.ช.เล็กต้า (ลูกกับ น.ส.เจษ) โดยลงมือใช้มือตบตี ที่ลำตัวและท้องเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่า 6 ครั้ง ด้วยความแรง แต่เด็กยังร้องไม่เลิก จึงนำไปขังไว้ในตู้วางทีวี จนกระทั่งเสียชีวิต นำร่างไปทิ้งที่สวนจตุจักร
3.) ด.ญ.โมเดล (ลูกกับ น.ส.สุนัน) โดยลงมือตีไปที่ท้อง จากนั้นเด็กก็เริ่มป่วย และเสียชีวิตลงในเวลาต่อมา จากนั้นได้นำร่างไปโบกปูนที่ จ.กำแพงเพชร

ในส่วนอีก 2 ราย นั้น นายเอ็ม สารภาพว่าไม่ได้ลงมือทำร้าย ดังนี้

4.) ด.ช.ธนาทรัพย์ (ลูกกับ น.ส.เจษ) เสียชีวิตจากการป่วยออดๆ แอดๆ และมีแผลจากการเสียดสีกับที่นอนที่บริเวณศรีษะ จึงนำร่างไปทิ้งที่ ศาลตายาย พื้นที่ สน.สายไหม
5.) ด.ช.นัฐพงศ์ (ลูกกับ น.ส.เจษ) เสียชีวิตจากที่ตนเองบังคับให้ น.ส.เจษฎา (ภรรยาคนที่ 2) เอาผ้าอุดปากจนชัก แล้วนำไปขังไว้ในตู้วางทีวี และป่วยตายในเวลาต่อมา จึงนำร่างไปทิ้งที่ ศาลตายาย พื้นที่ สน.สายไหม

ขณะที่ น.ส.เจษฎา หรือ ‘เจษ’ ภรรยาคนที่ 2 ซึ่งมีลูกด้วยกันกับนายเอ็ม 5 คน รับสารภาพว่า ลงมือใช้ผ้าอุดปาก ด.ช.นัฐพงศ์ (ลูกคนที่ 5) แล้วนำไปขังไว้ในตู้วางทีวี และป่วยตายในเวลาต่อมา แต่ที่ทำไปเพราะเป็นการปกป้องมิให้ นายส่องศักดิ์ลงมือเอง

อย่างไรก็ตาม นายส่องศักดิ์ ยังเปิดเผยอีกว่า ตนได้ลงมือทำร้ายภรรยาคนที่ 2 หรือ น.ส.เจษฎา และ ด.ญ.ปิ่น ลูกสาวคนโต เป็นประจำ โดยมีพฤติกรรมเอาไม้แขวนเสื้อตี, จับหัวกดน้ำ, ใช้มีดหรือไขควงรนไฟ แล้วเอามาจี้ เอาไฟแช็ครน โดยมีสาเหตุในการทำร้ายจากความหึงหวง และขัดใจที่ภรรยาไม่ทำตามคำสั่ง

ส่วนที่ลงมือทำร้ายเด็กๆ เพราะ ‘ทนเสียงร้องเด็กไม่ได้’ เมื่อได้ยินแล้วเกิดอารมณ์โมโห ฉุนเฉียว ด้วยรู้สึกว่าชีวิตตนเองต้องมาประสบกับชะตากรรมยากลำบาก หากงานทำไม่ได้เพราะมีประวัติ และมีอาการป่วยทางจิต บางครั้งลูกก็ร้องเพราะความหิว แต่ตนก็ไม่มีเงินไปซื้อนมซื้ออาหาร จึงเกลียดเสียงร้องของเด็กเป็นอย่างมาก

ส่วนที่ทำให้ ด.ญ.ปิ่น ลูกสาวคนโต ซึ่งเป็น 1 ใน ลูกทั้ง 5 คนของนายส่องศักดิ์ และภรรยาคนที่ 2 น.ส.เจษ รอดชีวิต เป็นเพราะช่วงเด็กแบเบาะได้นำไปให้พ่อตาเลี้ยง จนโตระดับหนึ่งแล้วค่อยกลับมาอยู่กับพ่อแม่ จึงไม่ค่อยส่งเสียงร้อง

อย่างไรก็ตาม เมื่อเจ้าหน้าที่ได้ให้นายส่องศักดิ์ ใช้แรงที่ตีเด็กแต่ละครั้งตีมาที่เจ้าหน้าที่ ปรากฏว่า “มือหนักมาก”

ด้าน น.ส.เจษฎา ภรรยาคนที่ 2 ผู้ต้องหาช่วยสังหารลูกคนที่ 5 เปิดใจว่า เหตุที่ยังทนอยู่กับ นายส่องศักดิ์ เพราะว่าเป็น ‘รักแรก’ และไม่เคยมองถึงชายอื่น หรือตัวเลือกอื่นๆ จำใจทนอยู่จนถึงปัจจุบัน

ส่วนสาเหตุที่ นายส่องศักดิ์ ไปมีเมียใหม่คือ น.ส.สุนัน ภรรยาคนที่ 3 (ผู้ต้องหาฆ่าโบกปูนลูก 2 ขวบ) นั้น เพราะด้วย น.ส.เจษฎา ไปทำหมัน แล้วไม่มีอารมณ์ทางเพศ นายส่องศักดิ์ บ่นว่าเหมือนนอนกับท่อนไม้ ซึ่งถุงที่พบที่จุดทิ้งศพ พื้นที่ สน.สายไหม ทั้ง นายส่องศักดิ์ และ น.ส.เจษฎา ยอมรับว่าเป็นถุงที่นำศพเด็กไปทิ้งจริงๆ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top