Friday, 9 May 2025
TheStatesTimes

ผบ.ตร. ร่วมพิธีมอบเงินรายได้ จัดสร้างพระพุทธโสธรรุ่น “ตร.108 ปี” ให้ 4 หน่วยงาน (มูลนิธิโรงพยาบาลตำรวจ โรงพยาบาลตำรวจ สมาคมตำรวจ และมูลนิธิสงเคราะห์ข้าราชการตำรวจและครอบครัว ) พร้อมนำตัวแทน นรต.รุ่น 38 และภาคเอกชนร่วมบริจาคสมทบ ได้ยอดรวมกว่า 57 ล้านบาท

วานนี้ (19 ก.ย.66) เวลา 15.00 น. ณ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย คุณสุมนา กิตติประภัสร์ นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ ร่วมเป็นสักขีพยานพิธีมอบเงินรายได้จากการเปิดให้เช่าบูชาพระพุทธโสธรรุ่น “ตร.108 ปี” โดยมี พล.ต.อ.จงเจตน์ อาวเจนพงษ์ รองประธานมูลนิธิโรงพยาบาลตำรวจ ในพระบรมราชินูปถัมภ์ เป็นผู้แทนมอบ

ทั้งนี้ รายได้จากการเปิดให้เช่าบูชาพระพุทธโสธรรุ่น “ตร.108 ปี” จำนวนทั้งสิ้น 46,010,000 บาท ได้ถูกแบ่งบริจาคเป็น 4 ส่วน ตามวัตถุประสงค์ในการจัดสร้าง ดังนี้ 

1) มอบให้ มูลนิธิโรงพยาบาลตำรวจ ในพระบรมราชินูปถัมภ์ เพื่อปรับปรุงห้องฟอกเลือดล้างไต และจัดซื้อเครื่องฟอกเลือดล้างไต และอุปกรณ์ที่จำเป็น จำนวน 30,010,000 บาท 
2) มอบให้โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อสมทบจัดซื้อเครื่อง เพทซีทีสแกน (PET CT Scan) เพื่อประสิทธิภาพสูงในการตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็ง จำนวน 10,000,000 บาท โดยมี พล.ต.ท.โสภณรัชต์ สิงหจารุ นายแพทย์ใหญ่ (สบ8) เป็นผู้รับมอบแทนมูลนิธิฯ และ รพ.ตร. /
3) มอบให้ สมาคมตำรวจ เพื่อกิจกรรมสาธารณกุศล หรือสาธารณประโยชน์ จำนวน 3,000,000 บาท โดยมี พล.ต.อ.วินัย ทองสอง เป็นผู้รับมอบ  
4) มอบให้มูลนิธิสงเคราะห์ข้าราชการตำรวจและครอบครัว เพื่อเป็นสวัสดิการ หรือช่วยเหลือข้าราชการตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บ ทุพพลภาพ หรือเสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ จำนวน 3,000,000 บาท โดยมี พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการสำนักงานกำลังพล

ผบ.ตร. ยังร่วมกับ พล.ต.อ.ปรีชา เจริญสหายานนท์ และ พล.ต.อ. มนตรี ยิ้มแย้ม เป็นตัวแทนนักเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่นที่ 38 มอบเงินสมทบอีกจำนวน 9,800,000 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1) จัดซื้อเครื่องเพทซีทีสแกน (PET/CT Scan) จำนวน 5,000,000 บาท / 2) บริจาคเครื่องบำบัดทดแทนไตต่อเนื่อง รุ่น PrisMax จำนวน 2 เครื่อง มูลค่า 2,800,000 บาท ให้แก่โรงพยาบาลตำรวจ และ 3) มอบให้สมาคมแม่บ้านตำรวจ เพื่อบำรุงขวัญแก่ข้าราชการตำรวจ จำนวน 2,000,000 บาท โดย คุณสุมนา กิตติประภัสร์ นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ เป็นผู้รับมอบ

นอกจากนี้ ยังได้มีภาคเอกชนร่วมบริจาคเงินแก่โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อจัดซื้ออุปกรณ์ที่จำเป็นแก่การช่วยเหลือผู้ป่วยและสนับสนุนการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการแพทย์ โดยมีรายนามของผู้บริจาค ดังนี้ 1) บริษัท สหพิพัฒนกิจ จำกัด โดย คุณคุปโกเมน วิริยาภิรมย์กรรมการผู้จัดการ เป็นผู้แทนมอบ จำนวน 1,000,000 บาท / 2) บริษัทโรลลิ่ง คอนเซปต์ อินโนเวชั่น จำกัด  โดย คุณประสงค์ สุดอำพัน ตัวแทนผู้บริหาร เป็นผู้แทนมอบ จำนวน 500,000 บาท / 3) คุณไกรสร จันศิริ จำนวน 200,000 บาท และ 4) คุณพิพัฒน์ เตียรวัฒน์ จำนวน 200,000 บาท  รวมยอดรวมการบริจาคในครั้งนี้ทั้งสิ้น 57,710,000 บาท

‘สวนนงนุชพัทยา’ เปิดพิพิธภัณฑ์พระพุทธคุณ รวบรวมพระเก่าล้ำค่า เปิดให้นักท่องเที่ยว-ผู้ศรัทธา เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00-17.30 น.

(19 ก.ย. 66) นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา ได้ทำพิธีเปิดพิพิธภัณฑ์พระพุทธคุณ แหล่งเรียนรู้ทางพุทธศาสนา และรวบรวมสมบัติอันล้ำค่าของแผ่นดิน ณ สวนนงนุชพัทยา จ.ชลบุรี โดยมีเจตนารมณ์ในการจัดสร้างคือ ต้องการให้เด็ก เยาวชน และผู้มีความสนใจเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ได้เข้ามาเยี่ยมชมศึกษาพระพุทธรูป พระเครื่อง และสมบัติอันเก่าแก่ รวมถึงได้เจริญจิตภาวนานำไปสู่การมีสติที่ตั้งมั่น มีปัญญาอันประเสริฐ และมีจิตที่บริสุทธิ์

สำหรับพระพุทธรูป เหรียญ และวัตถุมงคลต่าง ๆ ที่ได้นำมาจัดแสดง ได้รับการสนับสนุนจาก นายคมสัน จันทร์สืบสาย ซึ่งเป็นผู้เก็บรวบรวมของเก่าแก่ล้ำค่าไว้จำนวนมากที่ล้วนผ่านช่วงเวลาแห่งความศรัทธาในแต่ละยุค แต่ละสมัย อายุยาวนานนับร้อยปี บางชิ้นหลายร้อยปี และเป็นสมบัติตกทอดมารุ่นสู่รุ่น เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00-17.30 น.

ก.แรงงาน จัดสัมมนาเครือข่ายแรงงาน เพิ่มประสิทธิภาพ ขับเคลื่อนภารกิจสำคัญ สู่ประชาชนระดับพื้นที่

ปลัดแรงงาน เปิดสัมมนาเครือข่ายแรงงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนภารกิจสำคัญของกระทรวงแรงงาน ไปสู่ประชาชนในระดับพื้นที่ พร้อมมอบใบประกาศเกียรติคุณ และเข็มประกาศเกียรติคุณให้แก่อาสาสมัครแรงงานดีเด่นระดับจังหวัด ประจำปี 2566 จำนวน 79 คน

วันที่ 19 กันยายน 2566 เวลา 15.30 น. นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานพิธีเปิดโครงการสัมมนาเครือข่ายแรงงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนภารกิจสำคัญของกระทรวงแรงงาน ไปสู่ประชาชนในระดับพื้นที่ ณ ห้องบอลรูม 2 ชั้น 3 โรงแรม ดิ เอมเมอรัลด์ กรุงเทพฯ โดยกล่าวว่า การสัมมนาฯ ในครั้งนี้ เป็นความตั้งใจของกระทรวงแรงงาน ที่เล็งเห็นการพัฒนาเป็นสิ่งสำคัญ เพราะการพัฒนาจะส่งผลให้บุคลากรและเครือข่ายของกระทรวงแรงงาน มีองค์ความรู้ ประสบการณ์ มีศักยภาพและสามารถที่จะนำไปประยุกต์ใช้ในการขับเคลื่อนภารกิจสำคัญของกระทรวงแรงงาน ได้บรรลุตามเป้าหมายที่กำหนดและเกิดประโยชน์ต่อประชาชนโดยรวม ซึ่งได้มอบแนวทางในการจัดสัมมนาโดยให้มีการเรียนรู้ การศึกษาดูงาน การทำกิจกรรม และการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น รวมถึงในโอกาสต่อไป กระทรวงแรงงาน จะผลักดันให้เครือข่ายของกระทรวงแรงงานได้รับสิทธิสวัสดิการและค่าตอบแทนที่สูงขึ้น เพื่อเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจในการเข้าร่วมขับเคลื่อนภารกิจของกระทรวงแรงงานอย่างมีประสิทธิภาพ 

ขอแสดงความยินดีกับอาสาสมัครแรงงานและบัณฑิตแรงงานดีเด่น ประจำปี 2566 และขอขอบคุณอาสาสมัครแรงงาน และบัณฑิตแรงงานทุกท่าน ที่เข้าร่วมเป็นเครือข่ายการทำงานในระดับพื้นที่และชุมชนให้กับกระทรวงแรงงาน ด้วยความเสียสละ ทุ่มเท อุทิศแรงกาย แรงใจ และเวลาอย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อสนับสนุนภารกิจของกระทรวงแรงงานที่มีความหลากหลาย ทั้งด้านส่งเสริมการมีงานทำ การพัฒนาฝีมือแรงงาน การฝึกอาชีพ การคุ้มครองแรงงาน และการประกันสังคม จนประสบความสำเร็จตามเป้าหมายและมีผลการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรม อีกทั้ง ในปีงบประมาณ 2567 กระทรวงแรงงานมีภารกิจสำคัญที่จะขับเคลื่อนเพื่อให้ผู้อยู่ในวัยทำงานได้มีงานทำเพิ่มมากขึ้น เช่น ส่งเสริมการไปทำงานในต่างประเทศ การหาตำแหน่งงานให้กับผู้ว่างงานได้มีงานทำ การเพิ่มทักษะ เพื่อการมีรายได้ที่สูงขึ้น ซึ่งจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากเครือข่ายทุกท่าน ซึ่งเป็นพลังสำคัญที่เข้มแข็ง และมีความพร้อมในการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ประชาชนในพื้นที่ต่อไป ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวท้ายที่สุด

นอกจากนี้ ปลัดกระทรวงแรงงาน ยังได้มอบใบประกาศเกียรติคุณอาสาสมัครแรงงานดีเด่น ประจำปี 2566 จำนวน 75 คน และเข็มประกาศเกียรติคุณบัณฑิตแรงงานดีเด่น ประจำปี 2566 จำนวน 4 คน ได้แก่ นายกูไซพูดีน อาแด บัณฑิตแรงงานจังหวัดนราธิวาส นายซำซีย๊ะ มาฮะ บัณฑิตแรงงานจังหวัดยะลา นางสาวสุณัฐฐา ยอดไกร บัณฑิตแรงงานจังหวัดปัตตานี และนางสาวสาริศา ลังคง บัณฑิตแรงงานจังหวัดสงขลา

'มือเศรษฐกิจจุลภาค' เตือน!! หยุดกู้เงินมาใช้บริโภค หากไม่อยากชีวิตพัง แนะ!! ค่านิยมฟุ้งเฟ้อ กำจัดได้ตั้งแต่ 'ครอบครัว-รั้วโรงเรียน'

(20 ก.ย.66) จากรายการ 'ถลกข่าว ถลกปัญหา' ทาง THE STATES TIMES เมื่อวันที่ 19 ก.ย.66 ได้พูดคุยกับ นายพลัฏฐ์ ศิริกุลพิสุทธิ์ มือเศรษฐกิจจุลภาค อดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในประเด็นการวางแผนวินัยทางการเงินของคนยุคใหม่ ไว้อย่างน่าสนใจ ว่า…

“ประเทศไทยเริ่มมีการให้สินเชื่อหนี้บุคคลกว้างขวางขึ้น และง่ายขึ้นมาก ๆ แต่หากนำไปใช้เพื่อการบริโภคก็น่าเป็นห่วง ปกติส่วนใหญ่แล้วหากจะก่อหนี้ จะก่อหนี้เพื่อซื้อสิ่งของที่คงทนถาวร เช่น ซื้อรถ ซื้อบ้าน แต่หากกู้ไปเพื่อการบริโภคจะมีปัญหา เช่น การกู้ไปซื้อโทรศัพท์มือถือ แต่ถ้าใช้โทรศัพท์นั้นมาเป็นเครื่องมือทำมาหากิน เช่น ไลฟ์ขายของ อันนี้ถือว่าเป็นหนี้คุณภาพ แต่ถ้ากู้มาเพื่อเอาไปเที่ยวต่างประเทศ อันนี้ผมก็ไม่เห็นด้วยเท่าไหร่”

“จริง ๆ เรื่องแบบนี้ ต้องเริ่มสอนจากครอบครัวและโรงเรียน เริ่มสอนกันตั้งแต่เด็ก ๆ โรงเรียนในต่างประเทศจะสอนเรื่องวินัยการเงินตั้งแต่เด็ก ๆ เขาจะซื้อของใช้เท่าที่จำเป็น เช่น หากจะซื้อโทรศัพท์สักเครื่อง เขาจะซื้อรุ่นที่เขาจำเป็นต้องใช้ ไม่ได้ซื้อเพราะมีเงินพอที่จะซื้อได้ หรือแม้แต่เรื่องการซื้อกาแฟ เขาก็ซื้อดื่มเท่าที่จำเป็น ผมจึงขอยืนยันอีกครั้งว่า เรื่องพวกนี้ต้องสอนกันตั้งแต่เด็ก ๆ และเป็นวาระแห่งชาติครับ” นายพลัฏฐ์ กล่าวทิ้งท้าย

รับชมสัมภาษณ์เต็มได้ที่ >> https://www.youtube.com/watch?v=raLF6-cwG08

‘โฆษก รบ.’ แจง!! ‘นายกฯ’ ภารกิจแน่น ร่วมประชุม UNGA ที่สหรัฐฯ วอนกลุ่มจับผิดหยุดให้ข่าวเท็จ-ด้อยค่าความทุ่มเทเพื่อบ้านเมือง

โฆษกรัฐบาล แจง นายกฯ ร่วมประชุม UNGA 78 สหรัฐฯ ภารกิจแน่น จวกกลุ่มตามจับผิดให้ความเท็จต่อประชาชน แจงถึงไทย 24 ก.ย.ทั้งที่ประชุมเสร็จ 22 ก.ย.เพราะเวลาต่างกัน ยันผลหารือนักลงทุนได้ประโยชน์คุ้มค่าแน่นอน

เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 66 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายชัย ชัชวรงค์ โฆษกสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงถึงภารกิจเดินทางต่างประเทศครั้งแรกของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่เกิดข่าวลือและการวิพากษ์วิจารณ์ที่ไม่เป็นความจริงในสังคมไทย โดยระบุว่า เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ความตั้งใจของนายกรัฐมนตรี ในการเดินทางมาปฏิบัติภารกิจครั้งแรกที่ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ถูกด้อยค่า และจับผิด จนทำให้เกิดความเข้าใจผิด ตลอดเวลา

สำหรับภารกิจนายกรัฐมนตรี ครั้งนี้มี 3 ด้านหลัก คือ การประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 78 (UNGA78) ซึ่งมีประเด็นหลักเรื่องเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) ที่นายกรัฐมนตรียังเป็นเจ้าภาพการประชุมในกรอบของอาเซียน โดยนายกรัฐมนตรี ยังได้แสดงวิสัยทัศน์ในเรื่องดังกล่าว และยังจะกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก

ขณะที่ ช่วงเย็นของวันที่ 19 ก.ย. 66 นายกรัฐมนตรีจะเข้าร่วมงานเลี้ยงรับรอง ซึ่งประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐฯ จัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้เข้าร่วมประชุม

นอกจากนี้ การเดินทางครั้งนี้ยังมีกำหนดหารือทวิภาคีกับผู้นำโลก เช่น ประธานาธบดีเกาหลีใต้ นายกรัฐมนตรี เวียดนาม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และเลขาธิการสหประชาชาติ รวมถึงประธาน FIFA และท่านนายกรัฐมนตรี มีเป้าหมายที่จะแสวงหาโอกาสพัฒนาทีมฟุตบอลไทยในเวทีโลก รวมถึงการจัดการแข่งขันระดับโลกในประเทศไทย

โฆษกสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวด้วยว่า สิ่งที่สำคัญที่สุด นายกรัฐมนตรีได้เน้นการพัฒนาเศรษฐกิจ และดึงการลงทุนจากต่างชาติให้ไหลเข้าประเทศไทย เนื่องจาก ในช่วง 8-9 ปีที่ผ่านมา การลงทุนขนาดใหญ่แทบไม่เคยเกิดขึ้นในครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีมีกำหนดพบผู้บริหารขนาดใหญ่ 8-9 บริษัท อาทิ Black Rock ซึ่งเป็นบริษัทจัดการลงทุนขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีเงินทุน 7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 250 ล้านล้านบาท แค่เพียงบริษัทเดียวจะเห็นว่ามีเงินลงทุนมากขนาดไหน

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังจะได้พบกับผู้บริหาร SpaceX, Tesla, Google, GoldMan Sachs, CitiBank, J.P.Morgan และ estee Lauder, Microsoft, บริษัทเหล่านี้ เมื่อรวมกันแล้วมีเม็ดเงินลงทุนนับพันล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นเป้าหมายสำคัญในเรื่องเศรษฐกิจการเงินการลงทุน

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังจะพบหารือกับทีมประเทศไทย ทีมีทูตพาณิชย์และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือสร้างโอกาสการค้าการลงทุนในประเทศไทย เพื่อให้ทิศนทางว่า ประเทศไทยจะเดินไปข้างหน้าทางเศรษฐกิจอย่างไร และยังจะมีโอกาสพบปะกับชุมชนชาวไทยในสหรัฐฯ เพื่อรับฟังว่าคนไทยในสหรัฐฯ มีปัญหาอย่างไร และต้องการให้รัฐบาลไทยช่วยเหลือในประเทศไทยทำอะไรบ้าง

“กิจกรรมทั้งหมดอัดแน่นเพียงเวลา 3 วันกว่าเท่านั้น แต่ยังมีการจับผิดถึงภารกิจ ทั้งๆ ที่มีภารกิจอัดแน่นจนถึง 22.00 น.วันที่ 22 ก.ย. 66 แต่ทำไมกลับถึงไทยในวันที่ 24 ก.ย. 66”

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า ระยะเวลาในการเดินทางจากกรุงเทพมายังนครนิวยอร์ก สหรัฐฯ ใช้เวลาเดินทางร่วม 20 ชั่วโมง และเวลาไทยก็เร็วกว่าเวลาในนิวยอร์ก 11 ชั่วโมง ดังนั้น เมื่อออกเดินทางจากนิวยอร์ก เวลา 22.00 น. วันที่ 22 ก.ย. 66 ซึ่งในประเทศไทยเป็น 09.00 น.ของวันที่ 23 ก.ย. 66 และการเดินทางกลับใช้เวลาประมาณ 20 ชม. ดังนั้น นายกรัฐมนตรี จะเดินทางถึงไทย เวลา 08.40 น.ของวันที่ 28 ก.ย. 66 จึงแปลได้ว่า การเอาเวลาไปตามจับผิด จึงเป็นความเท็จทั้งหมด 

ส่วนกรณีเครื่องเช่าเหมาลำการบินไทยนั้น รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายบริหาร ซึ่งรับผิดชอบการบริหารจัดการเที่ยวบิน ได้ชี้แจงไปแล้ว กรณีว่าทำไมมีการนำผู้ไม่ใช่ข้าราชการการเมืองและข้าราชการการเมืองมาด้วยนั้น เนื่องจากนายกรัฐมนตรี เป็นผู้มีความคิดก้าวหน้า ท่านมองว่าบุคคลใดก็ตามที่มีความสามารถทางเศรษฐกิจ หากเดินทางมาร่วมคณะ จะสามารถช่วยงานได้ จะเป็นประโยชน์กับประเทศ เพราะใครก็ตามที่สามารถเข้ามาเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการทำให้ประชาชนกินดีอยู่ดี ขณะที่บางท่านเป็นคณะทำงานของนายกรัฐมนตรี มาแต่ต้น บางท่านเพิ่งเข้ามา

ส่วนกรณีบุตรสาวของนายกรัฐมนตรีนั้น เดินทางมาด้วยการออกค่าใช้จ่ายเอง ซึ่งวิธีการคำนวณนั้นมีอยู่แล้ว หารเป็นค่าใช้จ่ายต่อหัว คิดเป็นเท่าไหร่ ก็จ่ายเป็นราคาเต็ม และรัฐบาลไทย ก็จ่ายน้อยลง

“ยืนยันว่าการเดินทางมาสหรัฐฯ เพื่อร่วมประชุมของนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ โปรแกรมแน่นเอี้ยด และประเทศไทยได้ผลตอบแทนอย่างคุ้มค่าอย่างแน่นอน”

‘ศิธา’ เปรียบ!! รัฐบาลเศรษฐาดีกว่า 9 ปีที่ผ่านมา ชี้!! ต้องให้เวลาทำงาน หวัง!! ไม่มีอุบัติเหตุทางการเมือง

เมื่อวานนี้ 19 ก.ย. 66 ที่ทำการพรรคก้าวไกล น.ต.ศิธา ทิวารี แกนนำพรรคไทยสร้างไทย ให้สัมภาษณ์ถึงแววการทำงานของรัฐบาลชุดนี้เป็นอย่างไรบ้าง ว่า ดีกว่า 9 ปีที่ผ่านมา อาจจะมีคนจำนวนมากผิดหวังกันบ้าง เพราะช่วงเลือกตั้งที่ผ่านมา คนก็คาดหวังว่า เครือข่ายของรัฐบาลชุดเก่าจะออกไป ซึ่งตอนนี้ก็ต้องเดินหน้าต่อ หากไม่เกิดอุบัติเหตุทางการเมืองรัฐบาลก็สามารถดำรงอยู่ได้ครบวาระ ต้องปล่อยให้เขามีโอกาสได้ทำงาน

ส่วนขัดใจการบริหารของรัฐบาลตรงไหนบ้างนั้น ตนว่าประชาชนก็คงค่อย ๆ ปรับความรู้สึก ถามว่าขัดใจหรือไม่นั้น หลายคนก็คงรู้สึก เพราะในช่วงเลือกตั้งที่ผ่านมาเราก็คาดหวังไว้อีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งตอนนี้ก็คงปรับอารมณ์กันได้บ้างแล้ว คิดในแง่บวกว่าดีกว่า 9 ปีที่ผ่านมา

ในฐานะที่เป็นอดีตทหาร มองศักยภาพการทำงานของนายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็นพลเรือนคนแรก ที่ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีในการดำรงตำแหน่งนี้ น.ต.ศิธา กล่าวว่า ตนมองว่านายสุทินเป็นนักการเมืองที่อาวุโส อยู่ในการเมืองมานาน เลือกตั้งก็ประสบความสำเร็จมาตลอด ถ้ามองในแง่ดีก็คือเป็นนิมิตรหมายอันดี จริง ๆ แล้ว ระบบของประเทศทุกประเทศต้องเป็นระบบสั่งการทางเดียว ต้องควบคุมกลไกทุกอย่างให้ได้ ทั้งในเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องสังคม เรื่องการศึกษา แต่ปรากฏว่า ประเทศไทยผิดแผกแตกต่างจากประเทศอื่น คือทหารไม่ได้ฟังคำสั่งจากรัฐบาล ถ้าเกิดขยับมาในจุดที่พอดี ก็จะเป็นสิ่งที่ดี ไม่อย่างนั้น อาจจะมีการรัฐประหารเกิดขึ้นอีกได้

ในอีกมุมหนึ่งการที่นายสุทินนั่งกระทรวงกลาโหมจะสามารถบังคับบัญชากระทรวงในเรื่องต่าง ๆ ได้จริงมากน้อยแค่ไหนนั้น ก็ต้องรอดู แต่เท่าที่ดูในหลาย ๆ เรื่อง ก็มีการปรับเรื่องเกณฑ์ทหาร ตนมองว่า 

1.พลทหารมีความจำเป็นที่จะต้องมีในกองทัพ 
2.คือมีจำนวนประมาณ 100,000 คนต่อปี หากเกณฑ์ 2 ปี ก็แบ่งปีละ 50,000 คน

ทั้งนี้ คนที่ต้องการเป็นทหารจริง ๆ มีน้อย แต่ความต้องการทหารมีจำนวนมาก จึงเกิดการบังคับให้มีการเกณฑ์ทหาร หากเป็นแบบสมัครใจไปเลยน่าจะดีกว่า ตนยังยืนยันว่า ทหารจำเป็นต้องมี แต่ต้องมีในปริมาณที่เหมาะสม

‘สาวชาวเน็ต’ ส่งจดหมายเปิดผนึก ร้อง ‘ปธ.สภาฯ-ก้าวไกล’ เหตุถูก ‘เจี๊ยบ อมรัตน์’ ตามคุกคาม หลังประกาศยุติสงครามเหลือง-แดง

(20 ก.ย. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ใช้เฟซบุ๊ก ‘ปีใหม่ ปีใหม่’ โพสต์จดหมายเปิดผนึกถึง นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล, นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1, นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม เรื่อง ขอความเป็นธรรม และ ขอความคุ้มครองจากการถูกข้าราชการการเมือง (ที่ปรึกษารองประธานสภาคนที่ 1) เผยแพร่ข้อมูลส่วนตัว ข่มขู่คุกคาม ไล่ล่าแม่มด และ ใช้อำนาจหน้าที่บีบบังคับให้เอกชนสนองความต้องการให้ตน

เนื้อหาของจดหมายเปิดผนึก ระบุว่า เนื่องด้วยเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2566 เวลาเช้า ดิฉันได้ทราบข่าวจากเพื่อนเฟซบุ๊กว่า นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ที่ปรึกษารองประธานสภาคนที่1 (นายปดิภัทธ์ สันติภาดา) ได้โพสต์ และ ทวีตข้อมูลส่วนตัวของดิฉัน อาทิ ชื่อเล่น อายุ วันเดือนปีเกิด บ้านเลขที่ ที่อยู่ หมู่บ้าน รูปพรรณสัณฐานที่พักอาศัยของดิฉัน เช่นสีประตูรั้วบ้าน สีรถยนต์ที่ดิฉันใช้ รวมถึงระบุชื่อมารดาของดิฉัน จำนวนบุตรของดิฉัน และยังได้ระบุสถานที่ทำงานของดิฉันพร้อมเบอร์โทรศัพท์ที่ทำงานโดยละเอียด อีกทั้งยังแจ้งว่าหากใครต้องการทราบชื่อ นามสกุลจริง และ รูปของดิฉันให้ติดต่อสอบถามได้จากนางอมรัตน์นางยินดีมอบให้

ซึ่งภายหลังจากนางอมรัตน์ได้โพสต์และทวีตไปไม่นาน ได้มีสื่อ ‘ข่าวสด’ นำข้อมูลของดิฉันไปเผยแพร่ต่อ และ Top News รายงานข่าว จากนั้นได้มีผู้ใช้เฟซบุ๊กและทวิตเตอร์จำนวนมาก แสดงความคิดเห็นเชิงข่มขู่คุกคามด้วยถ้อยคำหยาบคาย สร้างความเกลียดชังต่อดิฉัน บางส่วนชักชวนกันมาทำร้ายดิฉัน บางส่วนนำบัตรประชาชนของดิฉันแปะในคอมเมนต์ บางส่วนเอ่ยชื่อจริงของดิฉัน ทั้งในโพสต์ และ ทวิตเตอร์ของนางอมรัตน์ ลุกลามมาถึงในเฟซบุ๊กของดิฉัน

ในเวลาบ่ายโมง ดิฉันได้รับทราบจากผู้จัดการบริษัทที่ดิฉันทำงานอยู่ว่า นางอมรัตน์ ได้โทรศัพท์เข้ามาหาเธอ และส่งข้อมูลมาให้เธอทางไลน์ กล่าวหาว่าดิฉันโพสต์หมิ่นนาง อ้างว่าคนอ่านรู้ว่าดิฉันหมายถึงนาง โดยนางอมรัตน์ได้ขอให้ผู้จัดการฝ่ายบุคคลตักเตือนหรือดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งต่อดิฉันต่อไป

ผู้จัดการฝ่ายบุคคลและผู้บริหารท่านหนึ่งของบริษัท ได้สอบถามดิฉัน ซึ่งดิฉันยอมรับว่าโพสต์วิจารณ์การเมือง, นักการเมือง และ พรรคก้าวไกลจริง โดยใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ไม่ได้ระบุชื่อ สกุลจริงของใคร ไม่มีคำไหนสร้างความเสียหาย และ ไม่ได้คิดร้ายหมายขวัญใครถึงชีวิต ใช้สิทธิเสรีภาพตามกรอบกฎหมายทุกประการ ซึ่งหากนางอมรัตน์รู้สึกว่าดิฉันทำความเสียหายให้นาง นางก็สามารถดำเนินคดีตามกฎหมายได้

ทั้งนี้ดิฉันไม่ได้กระทำในนามบริษัท และ ไม่ได้โพสต์ในเวลางาน เวลาที่โพสต์นอกเวลางาน เช่น ก่อนเริ่มงาน พักเที่ยง หลังเลิกงาน วันหยุด หรือ วันที่ดิฉันใช้สิทธิลางานทั้งสิ้น ซึ่งดิฉันได้แจ้งต่อผู้บริหารว่า นางอมรัตน์เริ่มโพสต์เผยแพร่ข้อมูลส่วนตัวดิฉันก่อนหน้านี้แล้ว 1 ครั้งเมื่อกลางเดือนสิงหาคม โดยดิฉันไม่ได้ตอบโต้อะไรนางรุนแรงเกินไปกว่าการโพสต์อธิบายข้อเท็จจริงหักล้างข้อความเท็จที่นางกล่าวหาดิฉัน

เหตุเกิดหลังดิฉันประกาศยุติสงครามเหลืองแดง ขอเชิญชวนเหลืองแดงสมานฉันท์เดินหน้าประเทศด้วยกัน และ ขอโทษคนเสื้อเหลืองหากเคยใช้วาจาไม่สุภาพต่อกันในอดีต ซึ่งจากการประกาศนั้น หลายสื่อได้นำข้อความของดิฉันไปลงข่าว ทำให้ NGO แกนนอนม็อบคนหนึ่งโพสต์และทวีตถามว่าดิฉันเป็นใคร นางอมรัตน์จึงได้โพสต์เผยแพร่ข้อมูลด้านการศึกษาของดิฉันเพื่อตอบคำถามนั้น แต่เป็นข้อความเท็จเกี่ยวกับตัวดิฉัน กล่าวหาว่าเมื่อก่อนดิฉันรับข้อมูลจากอดีตนักการเมืองพรรคหนึ่งมาโพสต์ ดิฉันได้โพสต์อธิบายข้อเท็จจริง พร้อมแนบหลักฐานเป็น ‘คำนิยม’ ที่นักการเมืองท่านนั้นให้เกียรติเขียนในหนังสือของดิฉัน โดยเนื้อความระบุว่า นักการเมืองท่านนั้นได้รับประโยชน์จากข้อมูลที่ดิฉันค้นคว้านำมาเผยแพร่ ไม่ใช่ดิฉันไปรับข้อมูลจากเขามาโพสต์แต่อย่างใด

เวลาบ่ายสามโมงวันเดียวกันนี้ ผู้บริหารได้แจ้งดิฉันว่า นางอมรัตน์ได้เข้ามาที่ทำงานของดิฉัน ได้ขอพบผู้บริหาร และ ผู้จัดการฝ่ายบุคคล โดยผู้บริหารท่านหนึ่งไม่ต้องการให้เรื่องลุกลามฟ้องร้องกัน จึงได้แจ้งนางอมรัตน์ไปว่าได้ตักเตือนดิฉันแล้ว และ จะออกหนังสือตักเตือนให้ดิฉันเซ็นรับทราบเพื่อยุติการโพสต์ถึงนางอมรัตน์ต่อไป

ซึ่งดิฉันได้บอกผู้บริหารไปว่า ดิฉันไม่ได้โพสต์ถึงนางอมรัตน์ ไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย หรือ กฎระเบียบบริษัทใด ๆ แต่สิ่งที่นางอมรัตน์โพสต์ข้อมูลส่วนตัวของดิฉันต่างหาก ที่ละเมิดสิทธิเสรีภาพ และ หมิ่นประมาทดิฉันด้วยการโฆษณา สร้างความเสียหาย และ ความไม่ปลอดภัยในชีวิต รวมถึงครอบครัวของดิฉัน เพราะไม่รู้ว่าใครจะบุกมาทำร้ายคนในครอบครัวของดิฉันเมื่อไร จากคอมเมนต์ที่คลุ้มคลั่ง ชักชวนกันมารุมทำร้าย บางคนบอกบ้านดิฉันอยู่ใกล้บ้านตนเอง เขาสะดวกจะมาจัดการให้เป็นต้น

ดิฉันคือผู้เสียหายจากการกระทำของนางอมรัตน์ มีความเสี่ยงสูงถึงชีวิต ไม่ใช่นางอมรัตน์เสียหายจากการกระทำของดิฉัน แต่ทั้งนี้ดิฉันได้แจ้งผู้บริหารไปว่าดิฉันจะไม่แจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษนาง เพื่อไม่ให้กระทบต่อบริษัทและนายจ้าง โดยมีเงื่อนไขว่า นางอมรัตน์ต้องยุติการคุกคามดิฉันด้วย

แต่ปรากฏว่านางอมรัตน์กลับไม่หยุด ยังโพสต์และทวีตเผยแพร่ข้อมูลดิฉันอีก 4 ครั้ง ครั้งแรกอ้างว่าผู้บริหารและผู้จัดการฝ่ายบุคคลจะทำทัณฑ์บนดิฉัน 1 ปี ครั้งที่สองแจ้งแก้ไขข้อความเพราะบริษัทรับปากนางว่าจะจัดการดิฉันให้แล้ว ครั้งที่ 3 ทวีตภาพบัตรผ่านเข้าบริษัทขอพบผู้บริหารพร้อมระบุว่าได้มาพบและขอบคุณผู้บริหาร โดยบริษัทจะออกหนังสือเตือนดิฉัน และ ผู้บริหารยังรับปากว่าจะสอดส่องพฤติกรรมดิฉันให้ด้วย ครั้งที่ 4 ทวีตว่าหลังออกจากบริษัทดิฉันแล้ว นางได้มาเยี่ยมบ้านดิฉันด้วย พร้อมลงภาพที่พักของดิฉันประกอบ ทำให้เกิดการแชร์โพสต์และทวีตของนางต่อ โดยมีผู้ใช้เฟซบุ๊กจำนวนมากเข้ามาแสดงความเยาะเย้ยดูหมิ่นเหยียดหยามและแสดงความอาฆาตมาดร้ายดิฉันอีกมากมาย เหตุเพราะนางอมรัตน์เป็นนักการเมืองพรรคก้าวไกลที่มีชื่อเสียง มีคนติดตามหลักล้านคน

ดิฉันจึงจำเป็นต้องเรียนมาเพื่อขอความเป็นธรรม และ ขอคืนความรู้สึกปลอดภัยให้ครอบครัวดิฉันจากทุกท่าน

ดิฉันเชื่อโดยสุจริตใจว่า ประชาชนมีสิทธิวิพากษ์ วิจารณ์การเมือง และ นักการเมืองซึ่งเป็นบุคคลสาธารณะ ที่กินภาษีของประชาชน โดยใช้สิทธิเสรีภาพตามที่รัฐธรรมนูญอนุญาต

หากนักการเมืองใดเดือดร้อน หรือ เสียหายจากการโพสต์ของประชาชน นักการเมืองมีสิทธิใช้กฎหมายคุ้มครองตัวเองได้ ไม่ใช่ใช้ศาลเตี้ยจัดการ

เช่นเดียวกัน หากประชาชนรู้สึกว่าการกระทำของนักการเมือง ข้าราชการการเมือง ที่กินภาษีของประชาชน เป็นการละเมิดสิทธิ คุกคาม หรือ ชี้เป้าให้ตกเป็นอันตรายต่อชีวิต ทรัพย์สิน และ ครอบครัว ประชาชนย่อมควรได้รับการคุ้มครองทางกฎหมายไม่ต่างกัน

ดิฉันยังเชื่อว่า จริยธรรมของนักการเมือง และ ข้าราชการการเมืองจำเป็นต้องมี การใช้อำนาจหน้าที่ของข้าราชการการเมืองข่มขู่เอกชน บีบบังคับเอกชนให้ดำเนินการใด ๆ ต่อพนักงานของตน เพื่อสนองความต้องการของข้าราชการการเมือง เป็นภัยคุกคามต่อชีวิตและเสถียรภาพของประชาชน เช่นที่ดิฉันถูกกระทำจากนางอมรัตน์ซึ่งเป็นข้าราชการการเมือง ควรถูกพิจารณาสอบสวนจริยธรรมจากหน่วยงานที่สังกัด

ดิฉันยังเชื่อว่าประชาชนของประเทศไทย ควรต้องได้รับความคุ้มครองสวัสดิภาพ ต้องไม่ตกอยู่ในอันตรายจากการไล่ล่าแม่มดจากนักการเมือง จากข้าราชการการเมือง และ/หรือ จากประชาชนด้วยกัน

โดยเฉพาะพรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่เรียกร้องยกเลิก/แก้ไข ม.112 โดยอ้างว่าเพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนมีฟรีสปีช วิจารณ์สถาบันกษัตริย์ได้โดยไม่ผิดกฎหมาย พรรคก้าวไกลอ้างเสรีภาพในการพูดและการแสดงความคิดเห็น ชักชวนให้ประชาชนมีส่วนร่วมกับการเมือง ดิฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพรรคก้าวไกลจะพิจารณาพฤติกรรมไล่ล่าแม่มดของนางอมรัตน์สมาชิกพรรคของตนอย่างจริงจัง

ดิฉันขอวิงวอนต่อทุกท่าน ได้โปรดยุติการคุกคามของนางอมรัตน์ที่มีต่อดิฉัน ได้โปรดคุ้มครองความปลอดภัยให้ดิฉันและคืนความยุติธรรมให้ดิฉันและครอบครัวด้วย

ด้วยความเคารพอย่างสูง

ปีใหม่ ศิริกุล
19 กันยายน 2566

รัฐบาลทหาร 3 ชาติ ผุดไอเดียตั้ง ‘NATO แอฟริกา’ ผนึกกำลัง เสริมความมั่นคง ต้านทัพชาติตะวันตก

‘รวมกันเราอยู่ แยกหมู่เราตาย’ น่าจะเป็นสุภาษิตที่ใช้ได้ทุกยุค ทุกสมัย ทุกสถานการณ์ และทุกประเทศจริงๆ เพราะมนุษย์เราไม่สามารถทำทุกอย่างคนเดียวได้ แม้แต่ชาติมหาอำนาจที่สุดของโลก ก็ยังต้องพึ่งพาประเทศอื่นๆ เพื่อเสริมพลังให้แก่ตน ไม่ทางใด ก็ทางหนึ่ง

เช่นเดียวกับประเทศที่กำลังมีปัญหาทางการเมืองอย่าง ‘ไนเจอร์’ ที่ตอนนี้ทั่วโลกกำลังจับตาถึงความมั่นคงของรัฐบาลทหาร ที่เพิ่งผ่านการยึดอำนาจมาหมาดๆ และกำลังถูกกดดันจากกองกำลังของ Economic Community of West African States (ECOWAS) พันธมิตรประเทศแอฟริกาอื่นๆที่ได้รับการสนับสนุนจากชาติตะวันตก ขู่ว่าจะยกกองกำลังเข้า (รุกราน) แทรกแซงการเมืองในไนเจอร์

ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวด้วยโมเดล ‘โลกล้อมไนเจอร์’ ผ่านการใช้กองกำลังจากพันธมิตรหลายชาติในกาฬทวีป คู่ขนานไปกับการคว่ำบาตรจากชาติตะวันตก ที่ดูยังไง ไนเจอร์หัวเดียวกระเทียมลีบ ไม่มีทางเอาชนะได้เลย

แต่ทว่าวันนี้ เราก็ได้เห็นการตอบโต้ที่น่าสนใจของกลุ่มประเทศในแถบซาเฮล ซึ่งตอนนี้กลายเป็น ‘แถบรัฐประหาร’ เนื่องจากมีการยึดอำนาจรัฐบาลพลเรือนหลายครั้ง จนเป็นโดมิโนในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ที่เพิ่งจะฟอร์มพันธมิตร 3 ชาติ ‘ไนเจอร์-มาลี-บูร์กินา ฟาโซ’ ก่อตั้งเป็น ‘Alliance of Sahel States’ พันธมิตรแห่งสหรัฐซาเฮล เป็นการรวมตัวกันของรัฐบาลทหาร 3 ชาติ ที่ล้วนแต่ก่อตั้งผ่านกระบวนการรัฐประหารมาเหมือนกัน ในช่วงเวลาไล่เรี่ยกัน อันประกอบด้วย

- พลเอก อับดุลราห์มาน ทะเชียนิ ผู้นำคณะทหารรัฐบาลของประเทศไนเจอร์ 
- พันเอก อัสซิมี โกยตา หัวหน้าคณะรัฐประหารของประเทศมาลี
- ร้อยเอก อิบราฮิม ทราโอเร หัวหน้าคณะรัฐประหาร และผู้นำเฉพาะกาลของประเทศบูร์กีนา ฟาโซ

โดยผู้นำทหารของทั้ง 3 ประเทศ ก็เห็นชอบที่จะจับมือกัน เพราะไหนๆ พวกเราก็เป็นพวกที่ใครๆ มองว่า ‘ฝนตก ขี้หมูไหล’ แล้ว ก็ไม่มีอะไรต้องเสีย ซึ่งความเก๋ของพันธมิตร 3 ประสานแห่งซาเฮลนี้ มีการร่างข้อตกลงทางทหารร่วมกัน โดยการยกเอาโมเดลสนธิสัญญาของ ‘NATO’ มาแทบทั้งดุ้น

โดยเฉพาะข้อความในมาตรา 5 ของสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ ที่ระบุว่า “หากมีการโจมตีชาติสมาชิกชาติใดก็ตาม ถือเป็นการโจมตีประเทศสมาชิกทั้งหมด ก็ปรากฏในมาตรา 6 ของข้อตกลงพันธมิตรสหรัฐซาเฮลเช่นกัน และรูปแบบการป้องกันแบบองค์รวม การจัดตั้งกองกำลังทางทหารร่วมกัน ก็คล้ายกับกองกำลัง NATO ที่ชาติสมาชิก สามารถยกกองทัพมาช่วยกันรบ หากมีการโจมตีดินแดนของชาติสมาชิก จะแตกต่างกันก็แค่ตอนนี้ NATO แห่งแอฟริกา ยังมีแค่ 3 ประเทศ”

ในตอนนี้การเคลื่อนไหวของทีมรัฐบาลทหาร 3 ชาติของภูมิภาคซาเฮล เป็นเรื่องที่น่าจับตาห่างๆ อย่างห่วงๆ เพราะจากปรากฏการณ์การเมืองโลกในยุคสมัยใหม่ หากประเทศใดมีการล้มล้างรัฐบาลพลเรือนด้วยการรัฐประหาร ประเทศนั้นมักถูกโดดเดี่ยวจากเวทีโลก จนกว่าจะเปลี่ยนผ่านสู่กระบวนการจัดตั้งรัฐบาลประชาธิปไตยอีกครั้ง

แต่สำหรับการฟอร์มพันธมิตรทีมรัฐประหารซาเฮลครั้งนี้ จะเรียกได้ว่าเป็นการ ‘เปิดหน้ารัฐบาลทหาร’ แบบไม่ต้องกระมิด กระเมี้ยนกันอีกแล้ว ที่ทำให้สถานภาพของรัฐบาลรักษาการณ์มีความมั่นคงขึ้น โดยเฉพาะศักยภาพในการต่อกรกับกองกำลังต่างชาติ ที่ต้องการเข้าแทรกแซงการเมืองในประเทศ

และหากโมเดล ‘NATO แห่งแอฟริกา’ สามารถรักษาเสถียรภาพของรัฐบาลทหารของ 3 พันธมิตรได้จริง และอาจลากเอาชาติอื่นๆใน ‘แถบรัฐประหาร’ ทั้งหมดมารวมกลุ่มได้อีก กลายเป็นกองกำลังที่เป็นปึกแผ่น แข็งแกร่งที่สุดกลุ่มหนึ่งในภูมิภาคนี้ก็เป็นไปได้ และเท่ากับดับฝันฝรั่งเศสที่อาจต้องสูญเสียอิทธิพลในดินแดนแถบนี้ไปตลอดกาลด้วย

แต่จุดที่น่าเป็นห่วงคือ การตั้งอยู่ได้ของ NATO แอฟริกา อาจเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการรัฐประหารในทวีปนี้ให้ขยายวงกว้างออกไปได้เรื่อยๆ ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวของประเทศในแอฟริกาทั้งหมด

อีกทั้งยังเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นฟูระบอบประชาธิปไตย ในประเทศที่สูญเสียรัฐบาลพลเรือนจากการยึดอำนาจได้ สิ่งที่จะตามมาคือ กลุ่มประชาชนที่ไม่เห็นชอบกับรัฐบาลทหาร จะถูกกวาดล้าง บีบให้พวกเขาต้องลงใต้ดิน และกลายเป็นกลุ่มต่อต้านรัฐบาลด้วยความรุนแรงเช่นกัน และมีแนวโน้มจะยกระดับเป็นกลุ่มก่อการร้าย ที่เป็นปัญหาใหญ่ในภูมิภาคแถบนี้ ให้เลวร้ายลงไปอีกนั่นเอง 
ถึงจะดูเป็นการมองโลกในแง่ร้ายไปหน่อย ก็ต้องยอมรับว่า สถานการณ์ในซาเฮลยังน่าเป็นห่วง และคาดเดาอนาคตได้ยาก กับดินแดนคืบก็ทะเลทราย ศอกก็ทะเลทราย พอลองได้หลงแล้ว หาทางออกลำบากจริงๆ

‘หมอเดชา’ เผย ตัวเลขค่าใช้จ่าย ‘นายกฯ เศรษฐา-รองฯ อ๋อง’ ลั่น!! ไม่แปลกใจ ทำไม ‘ยุคลุงตู่’ 9 ปี ฐานะการเงินมั่นคงขึ้น

(20 ก.ย. 66) นายเดชา ศิริภัทร ประธานมูลนิธิข้าวขวัญ เจ้าของสูตรน้ำมันกัญชา (ตำรับหมอเดชา) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า…

คนไทยเพิ่งเลือกสมาชิก​สภา​ผู้แทน​ราษฎร​ (สส.)​ และจัดตั้งรัฐบาล​ชุดใหม่ได้ไม่ถึงเดือน ก็มีข่าวทั้งจากฝ่ายรัฐบาล​ (เศรษฐา)​ และฝ่ายค้าน (หมออ๋อง)​ เรื่องการใช้จ่ายที่ดูฟุ่มเฟือย

เมื่อนำไปเปรียบกับการใช้จ่ายในงานแบบเดียวกัน​ ของนายกฯ​ คนก่อน​ (ลุงตู่)​ ยิ่งเห็นชัด

ระยะเวลา​ 9​ ปี​ ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี​ของลุงตู่​ ไม่มีข่าวเช่าเหมาลำ​ เครื่องบินเดินทาง และทางด้านรัฐสภา​ ก็ไม่มีข่าวประธาน​ฯ หรือรองประธานสภาฯ​ พาลูกพรรคเดินทางดูงาน

จึงไม่น่าแปลกใจที่หลังจาก​ 9​ ปี​ของยุคลุงตู่​ ประเทศไทย​มีฐานะการเงินการคลังมั่นคงขึ้น

ข้อมูลตัวเลขทางการ​ บ่งบอกฐานะของประเทศไทย​ที่รัฐบาล​ชุดใหม่รับไว้ มารอดูกันว่า​ เมื่อจบหน้าที่ของรัฐบาลเศรษฐาแล้ว​ ฐานะของประเทศ​จะเป็นอย่างไร…

‘บิ๊กอ้วน’ จ่อหารือผู้ประกอบการ ปรับราคา ‘ข้าว ไข่ ไก่ หมู’ หวังสร้างสมดุล ‘ผู้ซื้อ-ผู้ขาย’ คาด!! ตุลาคมนี้ชัดเจน

(20 ก.ย. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงมาตรการลดราคาสินค้า หลังจากที่รัฐบาลประกาศลดราคาน้ำมันดีเซล ว่า การลดราคาน้ำมันของรัฐบาลเนื่องจากเป็นปัญหาต่อค่าครองชีพของพี่น้องประชาชน ซึ่งมีปัญหาเรื่องต้นทุนสินค้าตามมา เพราะในต้นทุนสินค้า มีค่าโลจิสติกส์และค่าผลิต เรื่องนี้ได้มอบหมายนโยบายเร่งด่วนให้กรมการค้าภายใน ดูเรื่องการลดราคาสินค้า ภายใน 15 วัน โดยให้ดูรายการสินค้าทั้งหมดที่มีผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน สินค้าตัวไหนมีต้นทุนอย่างไร และจะลดราคาได้แค่ไหน คาดว่าต้นเดือนตุลาคมนี้น่าจะมีความชัดเจน

นายภูมิธรรม กล่าวอีกว่า สิ่งสำคัญคือภายในสัปดาห์หน้า ตนจะไปพูดคุยกับผู้ประกอบการรายใหญ่เพื่อหารือกันเรื่องนี้ด้วย คนตัวใหญ่ต้องช่วยคนตัวเล็กให้ขึ้นไปด้วยกัน แก้ปัญหา สร้างจุดสมดุลให้กับผู้ผลิตผู้ประกอบการและผู้บริโภคให้ไม่กระทบกับทุกฝ่าย หาจุดที่ประนีประนอมกันได้ โดยคาดว่าสินค้าที่จะได้รับการพิจารณา จะเป็นสินค้าที่อยู่ในชีวิตประจำวันประมาณ 20 ตัว เช่น ข้าว ไก่ หมู ไข่ เราจะลดต้นทุนอย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้นโยบายหาจุดสมดุลและอยู่ร่วมกันได้กับทุกฝ่าย น่าจะเป็นทางออกในการแก้ไขปัญหา


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top