Saturday, 10 May 2025
TheStatesTimes

20 กันยายน วันพระราชสมภพ 2 พระมหากษัตริย์ไทย ล้นเกล้า รัชกาลที่ 5 และ รัชกาลที่ 8

วันนี้ นับเป็นอีกวันรำลึกที่สำคัญยิ่ง เพราะวันที่ 20 กันยายน เป็นวันพระราชสมภพของพระเจ้าแผ่นดินถึง 2 พระองค์ ได้แก่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ซึ่งประสูติเมื่อวันนี้ของ 166 ปีก่อน ตรงกับวันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2396 แรม 3 ค่ำเดอน 10  ปีฉลู

และ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร รัชกาลที่ 8 ซึ่งพระราชสมภพเมื่อวันนี้ของ 94 ปีก่อน ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2468 ขึ้น 3 ค่ำ เดือน 11 ปีฉลูเหมือนสมเด็จพระบรมอัยกาธิราช (ปู่) อีกด้วย

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 5 แห่งราชวงศ์จักรี  ทรงเป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 4 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระองค์แรกในพระองค์เจ้ารำเพยภมราภิรมย์ (ในเวลาต่อมาทรงได้รับการสถาปนาเฉลิมพระเกียรติยศเป็น สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี และสมเด็จพระเทพศิรินทรามาตย์ พระบรมราชชนนี ตามลำดับ)

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสวยราชสมบัติเมื่อวันพฤหัสบดี เดือน 11 ขึ้น 15 ค่ำ ปีมะโรง พ.ศ. 2411 เสด็จสวรรคต เมื่อวันอาทิตย์ เดือน 11 แรม 4 ค่ำ ปีจอ ตรงกับวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453

เนื่องจากพระองค์ทรงเป็นที่รักใคร่ของพสกนิกรทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ พระองค์จึงได้รับการถวายพระราชสมัญญานามว่า “สมเด็จพระปิยมหาราช” ซึ่งมีความหมายว่า “พระมหากษัตริย์ที่ทรงเป็นที่รักยิ่งของปวงชน”

สำหรับ พระราชประวัติของ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร หรือ ล้นเกล้า ร.8 นั้นพระองค์เป็นพระโอรสในสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมขุนสงขลานครินทร์ (ภายหลังดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก) และหม่อมสังวาลย์ (ภายหลังดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี)

พระองค์มีพระเชษฐภคินี และพระอนุชาร่วมพระชนกชนนีอีก 2 พระองค์ ได้แก่ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช (ภายหลังทรงขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร)

พระองค์เสด็จขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 8 แห่งราชวงศ์จักรี เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 ขณะที่มีพระชนมายุเพียง 8 พรรษา และทรงประทับอยู่ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ดังนั้น จึงมีการแต่งตั้งคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เพื่อทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินจนกว่าพระองค์จะทรงบรรลุนิติภาวะ

พระองค์เสด็จนิวัตพระนครครั้งแรกภายหลังทรงราชย์เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481 และครั้งที่สองเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2488

แต่ก่อนถึงกำหนดการเสด็จพระราชดำเนินกลับไปทรงศึกษาต่อที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เพียง 4 วัน พระองค์ก็ได้เสด็จสวรรคตด้วยทรงต้องพระแสงปืนเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 ณ ห้องพระบรรทม พระที่นั่งบรมพิมาน ภายในพระบรมมหาราชวัง รวมระยะเวลาที่ทรงครองสิริราชสมบัติทั้งสิ้น 12 ปี

และเนื่องจากด้วยวันที่ 20 กันยายน เป็นวันที่เป็นสิริมงคล เนื่องจากตรงกับวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระมหากษัตริย์ แห่งราชวงศ์จักรีถึงสองพระองค์ด้วยกัน และได้เสด็จขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติในขณะที่ยังทรงพระเยาว์ จึงถือเอาวันนี้เป็นวันเยาวชนแห่งชาติ อีกด้วย

‘ทล.’ ขยายถนน ‘มาบตาพุด-นิคมพัฒนา’ เป็น 6 เลน แล้วเสร็จ รองรับการสัญจร-ระบบโลจิสติกส์ หนุนเขตเศรษฐกิจ EEC

(19 ก.ย. 66) กรมทางหลวง โดยสำนักก่อสร้างสะพาน ดำเนินการโครงการก่อสร้างทางหลวงสาย ต.มาบตาพุด - อ.นิคมพัฒนา รวมทางลอดจุดตัดทางหลวงหมายเลข 3191 กับทางหลวงหมายเลข 3375 (เดิม) (แยกนิคมพัฒนา) จ.ระยอง ระยะทาง 13.6 กิโลเมตร แล้วเสร็จ เพิ่มประสิทธิภาพการเดินทาง การขนส่ง และระบบโลจิสติกส์ รองรับการสนับสนุนการพัฒนาโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)  

โครงการก่อสร้างทางหลวงสาย ต.มาบตาพุด - อ.นิคมพัฒนา รวมทางลอดจุดตัดทางหลวงหมายเลข 3191 กับทางหลวงหมายเลข 3375 (เดิม) (แยกนิคมพัฒนา) พื้นที่ อ.นิคมพัฒนา จ.ระยอง เป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมโยงการคมนาคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ รองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งทางหลวงสายดังกล่าวเป็นเส้นทางที่ประชาชนเลือกใช้ในการเดินทางไปสู่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ปัจจุบันมีปริมาณการจราจรรวมถึงรถบรรทุกขนาดใหญ่วิ่งผ่านเป็นจำนวนมาก จึงทำให้มีอัตราการเกิดอุบัติเหตุค่อนข้างสูงและส่งผลกระทบถึงการจราจรในเส้นทางใกล้เคียงด้วย 

กรมทางหลวงเล็งเห็นความสำคัญโดยคำนึงถึงความสะดวกและความปลอดภัยของผู้ใช้ทางเป็นสำคัญ จึงดำเนินการก่อสร้างโครงการก่อสร้างทางหลวงสาย ต.มาบตาพุด - อ.นิคมพัฒนา รวมทางลอดจุดตัดทางหลวงหมายเลข 3191 กับ ทางหลวงหมายเลข 3375 (เดิม) (แยกนิคมพัฒนา) ช่วง กม.0+000 ถึง กม.13+600 โดยมีจุดเริ่มต้นโครงการที่ ต.มาบตาพุด สิ้นสุดที่ อ.นิคมพัฒนา จ.ระยอง รวมระยะทางทั้งหมด 13.6 กิโลเมตร 

โครงการมีลักษณะเป็นการก่อสร้างขยายทางหลวงหมายเลข 3191 จากเดิมขนาด 4 ช่องจราจร เป็นมาตรฐานทางชั้นพิเศษขนาด 6 ช่องจราจร (ไป - กลับ) ผิวจราจรคอนกรีต ช่องจราจรกว้างช่องละ 3.50 เมตร ไหล่ทางด้านนอกกว้าง 2.50 เมตร แบ่งทิศทางการจราจรแบบเกาะยก และดำเนินการก่อสร้างทางลอดบริเวณแยกนิคมพัฒนา ขนาด 4 ช่องจราจร (ไป - กลับ) มีความยาว 893 เมตร ความกว้าง 21 เมตร เพื่อไปสู่พื้นที่นิคมอุตสาหกรรมในภาคตะวันออกได้อย่างสะดวกรวดเร็ว รวมทั้งก่อสร้างขยายสะพาน (เดิม) 12 แห่ง ก่อสร้างสะพานข้ามแยก (ที่ กม.7+500) 1 แห่ง พร้อมงานไฟฟ้าแสงสว่างตลอดทั้งโครงการ วงเงินงบประมาณ 1,473,482,804.86 บาท 

เมื่อโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จ ได้ช่วยลดปัญหาการจราจรที่คับคั่ง สามารถรองรับปริมาณจราจรที่จะเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต รวมถึงปรับทัศนียภาพทางหลวงให้เป็นระเบียบ เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว ยกระดับคุณภาพการให้บริการ อำนวยความสะดวกในการเดินทางให้แก่นักลงทุนตลอดจนนักท่องเที่ยวในพื้นที่จังหวัดระยอง ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20ปี และนโยบาย Thailand 4.0 ในการสนับสนุน EEC ได้อย่างมีประสิทธิภาพตามเป้าหมาย

‘ศาลอาญากรุงเทพใต้’ สั่งจำคุก ‘มานี-จินนี่’ ไม่รอลงอาญา หลังปราศรัยดูหมิ่นศาล ‘หยาบ-แรง’ แบบไม่มีมูลความจริง

(19 ก.ย.66) พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ ๒ ยื่นฟ้อง นางสาวเงินตา คำแสน หรือ มานี และจิรัชยา สกุลทอง หรือ จินนี่ เป็นจำเลย ในความผิดต่อเจ้าพนักงานในการยุติธรรม, หมิ่นประมาท, พระราชบัญญัติควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียงในคดีหมายเลขดำที่ อ๑๔๕๑/๒๕๖๕ หมายเลขคดีแดงที่ อ๑๖๖๕/๒๕๖๖ ว่า เมื่อวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๕ เวลากลางวัน จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันกล่าววาจาดูหมิ่นผู้พิพากษาในการพิจารณาคดีว่า... 

“อันนี้ความคิดหนูเองนะ บางทีเนี่ย อ่า ที่ทำงานได้พวกเหี้ยเนี่ย ไอ้พวกพิพากที พิพากเหี้ยอะไรเนี่ย อ่า บางวันมันก็จะมีคนที่คุณธรรม มีจิตใจที่ดี คุณธรรม แล้วก็มองเห็นอนาคตของเด็ก แล้วก็เห็นอกเห็นใจเด็ก มันมีนะฮะ มันก็จะไม่มีการไต่สวนไง ไม่มีการยื่น ยื่นไปมันก็ คนนั้นยังไม่ได้มาทำงานไงพี่จินนี่ แต่วันไหนที่ยื่นก็จะโดนแต่ไอ้ตัวเหี้ยๆ ที่มานั่งรับคำสั่ง”

และ “คือ คนพวกนี้ พวกคนเหี้ยๆ ที่มานั่งรอรับคำสั่งเนี่ย โดยจิตใต้สำนึกเค้าด้วยนะคะ เค้าเป็นคนที่ชอบเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว ก็คือลิดรอน...” และ “สารเลวอยู่แล้ว” และ “สารเลวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าเรียนมาหาพ่อหาแม่หาพระแสงง้าวอะไรนะ” และ “พ่อกับแม่ขายควายส่งควายเรียน อันนี้ได้ยินคนเฒ่าคนแก่พูด มาวันเนี้ย หนูถึงเข้าใจไงเนี่ยแหละไอ้พวกควายมันนั่งอยู่ข้างบนนี่แหล่ะ แล้วก็มีเหี้ยอยู่ข้างบนสั่งการนะฮะ” 

และ “ลูกเต้ามึงอ่ะไปโรงเรียน กูกลัวมันจะเอาปี๊บคลุมหัว ที่มีพ่อจังไรอัปรีย์ อย่างพวกมึง ทำงานยังไม่มีอิสระในการทำงาน ความคิดยังไม่มีอิสระเป็นของตัวเอง ถ้ามึงจะมาทำงานแบบเนี้ยมึงไปขายน้ำเต้าหู้เถอะ อีสัตว์ มึงอย่ามาเป็นผู้พิพากษาไอ้หน้าเหี้ย ตัดสินแบบนี้กูก็ทำได้ ไม่ต้องเรียนหรอกกฎหมายประเทศไทยอ่ะ กูไม่พอใจกูก็ขัง กูไม่พอใจใครก็อยากให้ให้ตายกูก็สั่งให้แม่งตายได้”

อันเป็นการดูหมิ่นผู้เสียหาย ซึ่งเป็นผู้พิพากษาในการพิจารณาคดีดังกล่าว ว่าเป็นบุคคลที่มีความประพฤติไม่ดีเป็นคนไม่ดี ไม่มีความเป็นกลาง และเป็นการใส่ความผู้เสียหายต่อบุคคลที่สามทำให้บุคคลทั่วไป เข้าใจว่าผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้พิพากษาไม่มีความเป็นกลางในการพิจารณาคดี 

ทั้งนี้ การดูหมิ่นและหมิ่นประมาทผู้เสียหายดังกล่าว ผู้ต้องหาทั้งสองได้ร่วมกันกระทำด้วยการกล่าววาจาโดยใช้ไมโครโฟนผ่านเครื่องขยายเสียงซึ่งใช้กำลังไฟฟ้า อันเป็นการโฆษณาโดยการกระจายเสียง โดยเครื่องขยายเสียงด้วยกำลังไฟฟ้า ต่อบุคคลที่สามซึ่งเป็นประชาชนที่สัญจรไปมาผ่านที่บริเวณหน้าศาลอาญากรุงเทพใต้ โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้เสียหายเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นและถูกเกลียดชัง ทั้งนี้โดยจำเลยทั้งสองไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย

จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ทุกประการ วันนี้ (๑๙ กันยายน ๒๕๖๖) ศาลอาญากรุงเทพใต้มีคำพิพากษาว่า “จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๙๘, ๓๒๘ พระราชบัญญัติควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียง พ.ศ. ๒๔๙๓ มาตรา ๔ วรรคหนึ่ง, ๙ ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓ การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการกระทำกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๙๘ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ 

จำเลยทั้งสอง รู้สำนึกในการกระทำความผิดของตนโดยให้การรับสารภาพและแถลงขอโทษต่อผู้เสียหายตามคำแถลงประกอบคำรับสารภาพ ตลอดจนได้ลงประกาศข้อความขอโทษผู้เสียหายผ่านบัญชีผู้ใช้โปรแกรมเฟซบุ๊กของจำเลยทั้งสอง เห็นสมควรลงโทษจำเลยทั้งสองสถานเบา จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ ๑ ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ ให้คนละกึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ ๖ เดือน 

พิเคราะห์รายงานการสืบเสาะและพินิจ จำเลยทั้งสองของพนักงานคุมประพฤติแล้ว เห็นว่า แม้จำเลยทั้งสองจะไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน และจำเลยทั้งสองจะเขียนข้อความขอโทษผู้เสียหายและลงประกาศข้อความขอโทษดังกล่าวในบัญชีผู้ใช้โปรแกรมเฟซบุ๊กของจำเลยทั้งสองในทำนองว่า จำเลยทั้งสองสำนึกในการกระทำที่ได้ร่วมกันดูหมิ่นศาลและผู้เสียหายว่าเป็นการกระทำที่ไม่สมควรอันเกิดจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของจำเลยทั้งสอง 

หากจำเลยทั้งสองได้ใช้ความระมัดระวัง และศึกษาข้อมูลมากกว่าในขณะเกิดเหตุจำเลยทั้งสองคงไม่กระทำความผิด จำเลยทั้งสองทราบดีแล้วว่าศาลยุติธรรมได้อำนวยความยุติธรรมในการพิจารณาคดีมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคดีการเมืองซึ่งจำเลยทั้งสองเข้าใจผิดไปว่าศาลไม่ให้ประกันตัวนักโทษ การเมืองและได้กล่าวถ้อยคำไม่สุภาพอันเป็นการดูหมิ่นและหมิ่นประมาทผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้พิพากษาไปนั้น จำเลยทั้งสองกระทำไปด้วยความรู้น้อยและไม่ได้ใช้สติไตร่ตรองอย่างถ่องแท้

จำเลยทั้งสองรู้สึกสำนึกผิดและกราบขอโทษต่อผู้พิพากษาและผู้บริหารศาลอาญากรุงเทพใต้ โดยจำเลยทั้งสองให้คำมั่นว่าจะไม่กระทำความผิดอีก แต่การกระทำของจำเลยทั้งสองที่กล่าวถ้อยคำกล่าวหาผู้เสียหาย ซึ่งเป็นผู้พิพากษาที่ปฏิบัติหน้าที่ไปตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายด้วยถ้อยคำหยาบคาย กล่าวหาว่าเป็นผู้พิพากษาที่มีความประพฤติไม่ดี ไม่มีความเป็นกลางในการพิจารณาสั่งคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว ไม่ได้ใช้ดุลพินิจโดยชอบของตนเอง แต่ต้องรอฟังคำสั่งจากบุคคลอื่นและมีคำสั่งไปตามที่บุคคลอื่นสั่งมา อันเป็นการกล่าวหาว่าผู้เสียหายพิจารณาสั่งคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวไปภายใต้อิทธิพลครอบงำของบุคคลอื่น มีผลกระทบต่อชื่อเสียงเกียรติคุณของทั้งผู้เสียหายและองค์กรศาลยุติธรรม 

ซึ่งจำเลยทั้งสองรับว่า กล่าวถ้อยคำดูหมิ่นศาลไปโดยไม่มีมูลความจริง ทั้งจำเลยทั้งสองยังกล่าวถ้อยคำดังกล่าวผ่านเครื่องขยายเสียงอยู่ที่บริเวณหน้าที่ทำการศาลอาญากรุงเทพใต้ ซึ่งเป็นสถานที่ทำงานของผู้เสียหายในลักษณะเป็นการข่มขู่ ต้องการให้ผู้เสียหายและผู้พิพากษาซึ่งปฏิบัติงานอยู่ในศาลเสียขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงาน การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นเรื่องร้ายแรงและส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นต่อองค์กรศาลยุติธรรม จึงไม่เห็นสมควรรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยทั้งสอง

โดยสรุปสำหรับกรณี ‘ศาลอาญากรุงเทพใต้’ ฟ้องและสั่งจำคุก จำเลยทั้ง 2 นั้น สืบเนื่องมาจากทั้ง 2 ได้ถูกดำเนินคดีจากการเข้าร่วมกิจกรรมและปราศรัยเรียกร้องสิทธิการประกันตัวของ ‘บุ้ง-ใบปอ’ ที่หน้าศาลแพ่งกรุงเทพใต้ เมื่อวันที่ 15 ก.ค. 2565 โดยมีถ้อยคำกล่าวหาผู้พิพากษาที่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ด้วยถ้อยคำหยาบคาย และกล่าวหาว่าผู้พิพากษามีความประพฤติไม่ดี ไม่มีความเป็นกลางในการพิจารณาคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว ไม่ใช้ดุลยพินิจในการพิจารณาคดีด้วยตนเอง ต้องรอคำสั่งของบุคคลอื่น ซึ่งเป็นการกล่าวหาว่าศาลอยู่ภายใต้อิทธิพลครอบงำของบุคคลอื่น การกระทำดังกล่าวเป็นเรื่องร้ายแรง-ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นขององค์กรศาลยุติธรรม 

ศาลฟันโทษ 'หมอของขวัญ' จำคุก 2 ปี 8 เดือน รอลงอาญา 2 ปี ฐานหมิ่นประมาท 'แซน วิศาพัช' สั่งโพสต์ขอโทษผ่านเฟซบุ๊ก 15 วัน

(19 ก.ย.66) คืบหน้าคดีที่ ‘แซน วิศาพัช มโนมัยรัตน์’ นำหลักฐานเป็นเอกสารถอดข้อความ และคลิปการไลฟ์สด มายื่นฟ้องต่อศาลให้ดำเนินคดี ‘หมอของขวัญ ฟูจิตนิรันดร์’ หรือ ‘หมอเคท’ ในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา โดยหมอของขวัญได้ไลฟ์สดผ่านเพจเฟซบุ๊กส่วนตัวกล่าวหาแซน และคนบนเรือสปีดโบ๊ต หลังการเสียชีวิตของนางเอกผู้ล่วงลับ ‘แตงโม นิดา พัชรวีระพงษ์’ โดยก่อนหน้านี้แซนเรียกค่าเสียหาย 1 ล้านบาทเพื่อให้จบคดี แต่หมอของขวัญไม่ยอมจ่าย

ล่าสุด ศาลอาญาธนบุรี ได้พิพากษาจำคุกหมอของขวัญ 2 ปี 8 เดือน ปรับ 160,000 บาท คดีหมิ่นประมาทแซน ซึ่งจำเลยไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อนเห็นควรให้โอกาสปรับตัวเป็นคนละเมืองดี โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้สองปี และห้ามโพสต์ข้อความใดๆ ในสื่อสังคมออนไลน์ถึงแซนทั้งทางตรงและทางอ้อม ภายในระยะเวลารอการลงโทษ และให้โฆษณาคำพิพากษาทั้งหมด ในบัญชี Facebook ของจำเลยที่ว่า Doctorkatekate เป็นเวลา 15 วัน

‘คนกัมพูชา’ เซ็ง!! ทำไมค่ายรถยักษ์ใหญ่ไหลไป ‘ไทย’ แค่ ‘ดึงดูดดี-มีพันธมิตรมาก-ยึดผลประโยชน์ชาติเป็นที่ตั้ง’

เมื่อวันที่ 18 ก.ย. 66 รายการ ‘ส่องโลกคอมเมนต์’ ตอน ไทยดียังไง? ทำไมค่ายรถยนต์ไม่มาลงทุนที่กัมพูชา? ได้ข้อสังเกตเกี่ยวกับสาเหตุที่ว่า เพราะเหตุใด ‘ไทย’ ถึงเป็นประเทศที่มีแรงดึงดูดกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ ให้แห่กันมาลงทุนด้านอุตสาหกรรม EV มากกว่าประเทศอื่นรอบข้าง และเพราะเหตุใด แบรนด์ EV ดังหลายเจ้า อาทิ MG, BYD, Great Wall Motor, Changan Automobile หรือแม้แต่ GAC AION ยังย้ายโรงงานออกมานอกประเทศเป็นครั้งแรก โดยเลือก ‘ไทย’ เป็นที่ตั้งฐานการผลิตใหญ่ที่แรกในโลก

อีกทั้ง ล่าสุด KIA Motors แบรนด์รถยนต์เจ้าใหญ่ของเกาหลีใต้ และ BMW ค่ายรถยักษ์ใหญ่ชื่อดังระดับโลกจากเยอรมนี ก็เพิ่งตัดสินใจมาตั้งฐานการผลิตใหญ่ในไทยอีกด้วย

ด้วยประการทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นนี้เอง ที่สร้างความฉงนใจให้แก่ประเทศกัมพูชาไม่น้อย จนทำให้รายการดังรายการนึงของกัมพูชาต้องออกมาทำการวิเคราะห์อย่างจริงจัง ถึงข้อได้เปรียบและศักยภาพในการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติของประเทศไทย โดยระบุไว้ดังนี้…

เหตุเพราะแบรนด์ EV สัญชาติญี่ปุ่น ที่มีโรงงานผลิตรถยนต์ในประเทศไทยอยู่แล้ว ยังมีแนวโน้ม ‘สงวนท่าที’ ในปริมาณกำลังการผลิต EV ในไทย จึงทำให้ค่ายรถยนต์จีนต่างสบโอกาส แห่มาลงทุนในไทยกันอย่างเต็มที่ และนั่นก็ทำให้ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลไทย ทั้งในแง่การอำนวยความสะดวกต่อค่ายรถยนต์ ตลอดจนสิทธิพิเศษในเรื่องของภาษี เช่น งดเว้นการเก็บภาษีรถยนต์ และภาษีแบตเตอรี่ในช่วงแรก

อีกทั้งรัฐบาลไทย ยังมีมาตรการสนับสนุนให้คนไทยหันมาใช้รถ EV โดยมีส่วนลดภาษีจูงใจกว่าคันละ 150,000 บาท จนทำให้ประเทศไทยมียอดขายรถไฟฟ้าสูงที่สุดในภูมิภาคอาเซียนอีกด้วย

ในขณะที่ประเทศกัมพูชา ถูกสหภาพยุโรป หรือ ‘EU’ ตัดสิทธิพิเศษทางภาษี หรือ ‘GSP’ สำหรับอุตสาหกรรมสิ่งทอ ซึ่งถือเป็นรายได้หลักของประเทศมากกว่า 80% เนื่องจากมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนและแรงงาน รวมถึงสถานการณ์ความไม่สงบของการเมืองในกัมพูชา จนเป็นส่วนนึงที่ทำให้ EU ยกเลิก GSP ซ้ำร้ายกว่านั้น GSP ระหว่างกัมพูชากับสหรัฐฯ ก็กำลังจะหมดอายุลง ทำให้กลุ่มนักลงทุนต่างประเทศเกิดการชะลอตัวในการมาตั้งฐานการผลิตในกัมพูชากันหมด

นอกจากนี้ ก็มีชาวเน็ตกัมพูชา มาร่วมแสดงความคิดเห็นกันเป็นจำนวนมาก อาทิ...

- รัฐบาลไทย รู้วิธีดึงดูดและต่อรอง เพื่อประโยชน์ของชาติมากกว่าผลประโยชน์ส่วนตัวและพรรค

- ประเทศไทย มีแนวโน้มหันเหไปทางฝั่งตะวันตก เหมือนกับเวียดนาม คบกับประเทศร่ำรวย ที่เป็นพันธมิตรของสหรัฐอเมริกา เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และประเทศต่างๆ ในสหภาพยุโรป ส่วนนโยบายกับจีน ไทยจะให้ความสำคัญกับชาติตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก นักการเมืองไทยไม่รับสินบนจากจีนเทา จีนจะค้าขายอะไรต้องได้รับอนุมัติจากทางการไทยก่อน

- เพราะประเทศไทยมีข้อได้เปรียบ 3 ประเด็น ดังนี้ 1.) มีการทุจริตน้อย 2.) มีทรัพยากรบุคคลจำนวนมาก อีกทั้งยังมีการศึกษาดีและมีทักษะสูง และ 3.) สถานการณ์การเมืองอยู่ในเกณฑ์ดี

- ประเทศไทยฉลาดมากและไม่เคยมีสงคราม ดังนั้น ประเทศไทยจึงมีการพัฒนาทั้งด้านภูมิศาสตร์และประชากร

- ในประเทศไทย มีทรัพยากรคนที่มีทักษะ มีความคิดสร้างสรรค์ และมีศักยภาพ สอดคล้องกับวิชาชีพ ไม่ได้มีแต่แรงงานไร้ฝีมือ ประเทศไทยให้ความสำคัญ กับบุคคลที่มีความสามารถ ไม่ใช่การเลียนาย

- ไทยคอร์รัปชันน้อยกัมพูชา จริงจังกับกฎหมาย ไทยฉลาดที่อยู่ตรงกลาง ไทยไม่เสียเปรียบทั้งกับจีนและสหรัฐฯ ไม่เหมือนกัมพูชา ที่เลือกข้างจีนฝ่ายเดียว เพราะผู้นำที่โง่เขลา จนสูญเสีย EBA และ GSP

- โรงงานผลิตขึ้นส่วนรถยนต์มีหลายแห่งในประเทศไทยมี จึงมีความสะดวกทั้งด้านทรัพยากรบุคคล อะไหล่ สภาพการทำงาน ตลอดจนซับพลายเชนพร้อมอยู่แล้ว

เหตุผลแค่นี้เอง!!

‘เบียร์ เดอะวอยซ์’ โพสต์ให้กำลังใจตัวเอง บอกปล่อยทุกอย่างไป หลังถูกมือดีปล่อยภาพลับ ท่ามกลางแฟนๆ พร้อมซัพพอร์ตเต็มที่

(19 ก.ย.66) กำลังเป็นประเด็นร้อนแรงในโลกโซเชียล สำหรับนักร้องสาวเสียงดี ‘เบียร์ เดอะวอยซ์’ หรือ ‘เบียร์ ภัสรนันท์’ หลังถูกผู้ไม่หวังดีปล่อยภาพลับหลุดว่อนเน็ต จนเจ้าตัวต้องตั้งทนายความขึ้นมาเพื่อเอาผิดกับคนที่ปล่อยภาพลับนั้น

ล่าสุด ‘เบียร์ เดอะวอยซ์’ ได้ออกมาเคลื่อนไหวผ่านอินสตาแกรม โดยเขียนข้อความเป็นการให้กำลังใจตัวเองด้วยการลงข้อความภาพที่เขียนว่า “let it all go see what stays” (ปล่อยทุกอย่างไป และดูว่าอะไรคงอยู่บ้าง)

งานนี้ก็มีแฟนคลับต่างเข้ามาให้กำลังใจสาวเบียร์กันอย่างล้นหลาม เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่ความผิดของตัวเอง

เชียงใหม่- depa เหนือบน ร่วมให้การต้อนรับ นายกรัฐมนตรี ในโอกาสลงพื้นที่ตรวจราชการ จ.เชียงใหม่ 

เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2566 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมคณะ ร่วมพบปะคนรุ่นใหม่ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อพูดคุยประเด็นด้านเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว ระบบขนส่งคมนาคม สังคม และสิ่งแวดล้อม (PM 2.5) พร้อมหารือทิศทางการพัฒนาจังหวัด โดยมี นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) และ นายปรัชญา โกมณี ผู้จัดการสาขาภาคเหนือตอนบน สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) ร่วมให้การต้อนรับ ณ อุทยานวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (STeP)

โดย นายกรัฐมนตรี ร่วมพูดคุยกับผู้แทนจากภาคเอกชน ผู้ประกอบการคนรุ่นใหม่ ภาคประชาชน ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ และผศ.ดร.ชนม์เจริญ แสวงรัตน์ ผู้ช่วยอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในหลากหลายประเด็น ประกอบด้วย 1) โครงสร้างพื้นฐาน อาทิ สนามบินและระบบขนส่งสาธารณะ ขยายเวลาเปิด 24 ชั่วโมง เสนอสนามบินแห่งที่ 2 ส่งเสริมเอกชนโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล ระบบโครงข่ายถนน Links เชื่อม 25 อำเภอ 2) ส่งเสริมสนับสนุนการทำตลาด ได้แก่ อัปเกรดงานแสดงสินค้าสู่ระดับประเทศ จัดอีเวนต์ระดับโลก ดึงอีเวนต์ใหญ่มาจัดในจังหวัดเชียงใหม่ 3) ปรับปรุงกฎกระทรวงต่าง ๆ เกี่ยวกับ Visa ส่งเสริม Remote Woker และ Digital Nomad เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ 4) ส่งเสริมและสนับสนุนการทำตลาดในต่างประเทศ 5) นโยบายสนับสนุนเพิ่มจำนวนผู้ประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจก พร้อมเดินหน้าแก้ไขปัญหาผังเมืองและการใช้ประโยชน์ที่ดิน

ขณะที่ข้อเสนอของคนรุ่นใหม่ อาทิ ประเด็นเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว ระบบขนส่งคมนาคม สังคม และสิ่งแวดล้อม (PM 2.5) Soft power โอกาสในการแข่งขันทางธุรกิจ การขอให้ขับเคลื่อน พ.ร.บ.อากาศสะอาด พื้นที่สาธารณะที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก การทำ  Wellness Tourism ฯลฯ ซึ่งในบางเรื่องที่หารือนั้นอยู่ในแผนการดำเนินงานของรัฐบาลอยู่แล้ว 

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ ยังได้ร่วมพูดคุยและรับฟัง Solution จาก Digital Startup ในจังหวัด ได้แก่ ระบบเตือนภัยแผ่นดินไหว ซึ่งเป็นแนวคิดจากเด็ก ป.6 สามารถนำมาต่อยอดให้การแจ้งเตือนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นวัตกรรมการผลิตน้ำเชื้อโคแยกเพศ ระบบบริหารจัดการหอพัก อพาร์ทเมนท์และธุรกิจรายวัน (Horganice) บริการทำความสะอาดและรีดผ้า (BeNeat) โดย นายกรัฐมนตรี ได้พิจารณาการจับคู่ค้า (Matching) กับต่างประเทศมาร่วมลงทุนด้วย พร้อมย้ำถึงการมีความทะเยอทะยานให้มากขึ้น เพื่อคิดหาแนวทางและขับเคลื่อนธุรกิจของตนเองให้มีศักยภาพ

ในโอกาสเดียวกันนี้ นายประเสริฐ ได้พบปะผู้แทนของหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวง อาทิ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (NT) ไปรษณีย์จังหวัดเชียงใหม่ สถิติจังหวัดเชียงใหม่ ศูนย์อุตุวิทยาภาคเหนือ และ depa โดย นายปรัชญา ได้รายงานการดำเนินงานที่ผ่านมาของ depa สาขาภาคเหนือตอนบน ไม่ว่าจะเป็นการผลักดันให้เกิดการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ในพื้นที่ การขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจดิจิทัลในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน รวมถึงการยกระดับกำลังคนดิจิทัล การเพิ่มทักษะใหม่ด้านดิจิทัลสำหรับวัยเรียนและผู้สูงอายุ

“พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง” รมว.ยุติธรรม ประชุมขับเคลื่อน พ.ร.บ.ป้องกันทรมานและอุ้มหายฯ ชี้ ประชาชนจำนวนมากฝากความหวังไว้สูง

วันที่ 19 กันยายน 2566 ผู้สื่อข่าว รายงานว่า พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ครั้งที่ 2/2566 ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม 10-01 ชั้น 10 อาคารกระทรวงยุติธรรม 

ทั้งนี้ การประชุมดังกล่าวเป็นการรายงานผลการขับเคลื่อนพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปราม การทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 และเพื่อพิจารณาร่างระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม การทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายว่าด้วยการบันทึกภาพและเสียงในขณะจับและควบคุม การแจ้งการควบคุมตัว และการบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับผู้ถูกควบคุมตัว พ.ศ. 2566 และ พิจารณาร่างแบบบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับผู้ถูกควบคุมตัว ตามมาตรา 23 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2515 (ปท.1) 

พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าว ระหว่างการประชุม ตอนหนึ่งว่า “พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ พรก.ฉุกเฉิน ถ้าไปถามข้าราชการ ข้าราชการก็อยากจะได้ แต่ถ้าไปถามประชาชน ภาคประชาสังคม หรือท่านนายกฯ ก็จะเป็นประเด็น สำหรับประชาชนในภาคใต้ กระบวนการยุติธรรมทางอาญา เวลาจับตามกฎอัยการศึก 7 วัน แล้วจากนั้นก็ไปอยู่ พรก.ฉุกเฉิน อีก 30 วัน  พอพ้น 37 วัน ก็ไปเริ่มเหมือนคนอื่น ไปเริ่มประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา หรือ ป.วิ.อาญาฯ” 

พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า “คราวนี้ ในกระบวนการ 7 วัน หรือ 30 วัน การค้นหาความจริงที่สำคัญ คือ ส่วนใหญ่แล้วมีผู้ได้รับผลกระทบมากมาย ส่วนที่รัฐบาลจะต่อเวลาเนื่องจาก ครม. เราเข้ามาเร็วไป ถ้าจะต่อก็ควรจะต่อสักเดือนเดียว แล้วเมื่อจะครบระยะเวลาเดือนเดียว ก็ให้คณะ หรือให้รองนายกฯ ที่เป็นประธาน ผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งหน่วยงานความมั่นคง ลองประเมินดูว่า พอครบเดือนแล้ว จะต้องยกเลิกหรือไม่ ?  หรือจะทยอยยกเลิกตามแผน ในปี พ.ศ. 2570 ซึ่งจะอีกนาน ก็อยากให้พิจารณา และก็ พระราชบัญญัติเรื่องความมั่นคงที่ออกมาหลังปี พ.ศ.2551 ซึ่งตอนนั้นออกมาเพื่อจะยกเลิก พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ก็เหมือนว่าออก พรก.ฉุกเฉิน เพื่อยกเลิกกฎอัยการศึก ยิ่งออกยิ่งใช้คู่กันไปหมด ก็เลยต่อ  และท่านนายกฯ ก็จะให้ยกเลิกที่กะพ้อ 1 อำเภอ แค่เดือนเดียว และในอีก 1 เดือน คงจะต้องมาพิจารณาว่าควรจะต่อหรือไม่ ?” 

“แต่เมื่อเกิด พระราชบัญญัติ ป้องกันและปราบปราม การทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ก็อยากให้พิจารณาดูว่า มันจะมีศักดิ์สูงกว่า กฎอัยการศึก หรือ พรก. ฉุกเฉิน หรือไม่ ? เพราะว่าสิ่งที่ถูกทำให้มองว่าเป็นการละเมิดสิทธิ์ อย่างการเอาตัวไป 37 วัน เพื่อไปค้นหาความจริงจากผู้ที่จะถูกจับ ให้เขารับสารภาพ ให้เขาเล่าเรื่องพยานหลักฐาน เมื่อ พระราชบัญญัติ ป้องกันและปราบปราม การทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายเกิดขึ้นมา กฎหมายใหม่ จะมายกเลิกกฎหมายเก่าหรือไม่ ฝากช่วยพิจารณาครับ”

“ซึ่งพระราชบัญญัติ ป้องกันและปราบปราม การทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย นั้น ประชาชนฝากความหวังไว้สูง ดังนั้นกฎหมายจะดีแค่ไหน ถ้าผู้ปฏิบัติหรือผู้ที่เกี่ยวข้องไม่มีความรับผิดชอบ หรือไม่จริงจัง หรือไม่สัตย์ซื่อต่อการปฏิบัติตามกฎหมาย มันจะเหมือนกฎหมายดี ๆ จำนวนมาก ที่เกิดมาแล้วไม่ได้ใช้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นที่คาดหวังของประชาชนครับ” พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าว

นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

‘เศรษฐา’ ปลื้ม!! ‘เมืองโบราณศรีเทพ’ ขึ้นแท่นมรดกโลก ชี้!! เป็นสมบัติล้ำค่า หวังใช้ต้อนรับ นทท. เยือนไทย

(19 ก.ค. 66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง กล่าวแสดงความยินดีภายหลังที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก สมัยสามัญ ครั้งที่ 45 มีมติให้ขึ้นทะเบียนแหล่งเมืองโบราณศรีเทพเป็นมรดกโลกว่า ประธานคณะกรรมการมรดกโลก สมาชิกคณะกรรมการมรดกโลกและแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ในนามของรัฐบาลไทยและประชาชนคนไทยทุกคน ตนขอขอบคุณคณะกรรมการมรดกโลกและองค์กรที่ปรึกษาอย่างยิ่งที่เล็งเห็นคุณค่าความโดดเด่นอันเป็นสากลของเมืองโบราณศรีเทพ และมีมติขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในวันนี้ ซึ่งเมืองโบราณศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ ประกอบด้วย 3 พื้นที่ที่เกี่ยวข้องกัน สามารถกำหนดอายุได้ก่อนประวัติศาสตร์ 

นายเศรษฐา กล่าวว่า นอกจากจะเป็นเมืองเก่าแก่ที่เป็นตัวแทนของวัฒนธรรมสมัยทวารวดีแล้ว ยังมีลักษณะโดดเด่นกว่าเมืองในยุคเดียวกัน มีศิลปะ สถาปัตยกรรมที่ได้รับการยอมรับ ในชื่อศิลปะสกุลช่างศรีเทพ การขึ้นทะเบียนเมืองโบราณศรีเทพ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือที่จะดำเนินการร่วมกันในการอนุรักษ์ฟื้นฟูและปกป้องสถานที่อันทรงคุณค่าแห่งนี้ให้เป็นศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้ และเป็นสมบัติอันล้ำค่า ไม่เพียงแต่ต่อคนทั่วโลกเท่านั้น แต่ยังเพื่อคนรุ่นหลังต่อไป 

ตนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้ต้อนรับทุกท่านให้เยี่ยมเยือนแหล่งมรดกโลกเมืองศรีเทพ รวมทั้งประสานความร่วมมือในการอนุรักษ์ และพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงนิเวศร่วมกับประชาชนชาวไทย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top