Saturday, 10 May 2025
TheStatesTimes

‘ยูเอ็น’ หวั่นโรคระบาดคุกคาม 'ลิเบีย' หลังเกิดเหตุน้ำท่วม จากการขาดสุขอนามัย เตรียมหาวิธีป้องกัน ไม่ให้เกิดวิกฤติซ้ำสอง

(19 ก.ย. 66) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า สหประชาชาติ หรือยูเอ็น เตือนว่า เมืองเดอร์นาของลิเบียที่ถูกน้ำท่วมใหญ่และมีคนเสียชีวิตจำนวนมากเมื่อสัปดาห์ก่อน เสี่ยงเกิดโรคระบาดที่จะทำให้เกิดวิกฤติร้ายแรงซ้ำสอง

ภารกิจสนับสนุนของยูเอ็นในลิเบียแถลงว่า ทีมงานของยูเอ็น 9 หน่วยงานได้ลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือและการสนับสนุนแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากพายุแดเนียล (Daniel) และน้ำท่วม ขณะนี้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น หน่วยงานบรรเทาทุกข์ และองค์การอนามัยโลกกำลังวิตกเรื่องความเสี่ยงที่จะเกิดโรคระบาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากน้ำปนเปื้อนและการขาดสุขอนามัย ทีมงานจึงต้องหาทางป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น เพราะจะกลายเป็นวิกฤตร้ายแรงซ้ำสอง

ชาวเมืองเดอร์นาที่รอดชีวิตจากน้ำท่วมใหญ่ที่เกิดขึ้นหลังจากพายุพัดถล่มเมื่อวันที่ 10 กันยายน กำลังขาดแคลนน้ำสะอาด อาหาร และสิ่งจำเป็นพื้นฐาน ในขณะที่เสี่ยงจะเกิดอหิวาตกโรค ท้องร่วง ภาวะขาดน้ำ และโรคขาดสารอาหาร น้ำท่วมทำให้เมืองเดอร์นาที่มีประชากร 100,000 คน เสียชีวิตราว 3,000-11,300 ราย ไร้ที่อยู่อาศัย  30,000 คน และสูญหายอยู่หลายหมื่นคน

‘โบว์ ณัฏฐา’ เตือน ‘หยก’ เป็น ‘นางสาวแล้ว’ อีกไม่นานจะบรรลุนิติภาวะ หวังว่าจะรู้ตัว-กลับบ้าน ก่อนใช้ประโยชน์คำว่า ‘เด็ก’ ไม่ได้อีก

(19 ก.ย. 66) น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา หรือโบว์ พิธีกรรายการวิเคราะห์ข่าว และนักกิจกรรมเพื่อสิทธิมนุษยชน โพสต์ทวิตเตอร์ Bow Nuttaa Mahattana ระบุว่า…

“แทนที่ บุ้ง จะสนับสนุนให้ หยก กลับบ้าน บุ้งกลับสนับสนุนให้หยกออกจากบ้าน แล้วย้ายมาอยู่กับตัวเอง และเปิดบัญชีบริจาคให้คนโอนเงินสนับสนุนกิจกรรมของกลุ่มทะลุวัง เพื่อจะป่วนไปทั่ว สะสมคดีความ ดับอนาคต .. อีกสองสามปีหยกก็จะบรรลุนิติภาวะ ไม่มีคำว่าเด็กเป็นเกราะคุ้มกันอีกต่อไป ในวันที่คดีความของบุ้งสิ้นสุดและเดินเข้าคุก .. หวังว่าหยกจะรู้ตัว กลับบ้าน หรือยอมเข้ากระบวนการช่วยเหลือของรัฐ ไม่ใช้คำว่าเด็กสิ้นเปลืองเกินไปจนหมดเวลา

ถ้าหยกอายุต่ำกว่า 9 ปี รัฐจะสามารถดำเนินคดีพ่อแม่ข้อหาทอดทิ้งบุตรได้ แต่เมื่ออายุเกิน 9 ปี กระบวนการช่วยเหลือจึงซับซ้อนกว่านั้น และยากขึ้นไปอีกเมื่อเด็กไม่ให้ความร่วมมือ จนถึงยากที่สุดเมื่อมีกลุ่มการเมืองคอยจับผิดและพร้อมจะมีปัญหากับหน่วยงานรัฐ ในขณะที่มีเด็กอีกมากมายที่ต้องการและสมควรได้รับการช่วยเหลือและทุ่มเททรัพยากร

ความร่วมมือของหยกเองซึ่งเป็น ‘นางสาว’ แล้วไม่ใช่ ‘เด็กหญิง’ จึงเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งในการคลี่คลายปัญหาด้วย แต่ที่ผ่านมา หยก ปฏิเสธทุกอย่าง เพราะมีแนวร่วมและกลุ่มการเมืองคอยทำให้เขาเชื่อว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นคือความกล้าหาญที่น่ายกย่อง … แต่สุดท้ายคนที่จะต้องรับผลของการตัดสินใจเลือกนั้นคือตัวหยกเอง และโดยลำพัง ในวันที่ไม่เหลือคำว่าเด็กไว้ให้ใครหาประโยชน์อีกต่อไป”

เปิดตัวเลขกราดยิงหมู่ในสหรัฐฯ ทะลุ 500 เคสในปีนี้ คู่ขนาน ปชช.ถือครองอาวุธปืนเพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

(19 ก.ย. 66) จำนวนเหตุกราดยิงหมู่ในสหรัฐฯ พุ่งผ่าน 500 เหตุการณ์แล้วเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา จากข้อมูลของ ‘Gun Violence Archive’ (GVA) องค์กรไม่แสวงกำไรที่ศึกษาเกี่ยวกับความรุนแรงจากอาวุธปืน เฉลี่ยแล้วเท่ากับเกือบ 2 เหตุการณ์ต่อวันเลยทีเดียว

เมื่อวันอาทิตย์ (17 ก.ย.) ที่ผ่านมา กรมตำรวจเดนเวอร์ โพสต์แจ้งเตือนบนแฟลตฟอร์ม X (เดิมคือ ทวิตเตอร์) ยืนยันเกิดเหตุกราดยิงมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 5 ราย ซึ่งนับเป็นเหตุกราดยิงเหตุการณ์ที่ 500 ของปีนี้

ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ตำรวจเอลปาโซ รัฐเทกซัส รายงานว่า พวกเขากำลังสืบสวนเหตุการณ์ยิงกันเหตุการณ์หนึ่งช่วงเช้าในอีสต์ เอลปาโซ ซึ่งคร่าชีวิตชายวัย 19 ปีรายหนึ่ง และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 5 คน ส่งผลให้ตัวเลขรวมของเหตุกราดยิงเพิ่มเป็น 501 เหตุการณ์

อ้างอิงข้อมูลบนเว็บไซต์ของ GVA ได้ให้คำจำกัดความเหตุกราดยิงว่าเป็นเหตุการณ์ที่มีผู้ถูกยิงได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต 4 คน หรือมากกว่านั้น ไม่นับรวมผู้ก่อเหตุ

ปี 2021 กลายเป็นปีที่มีเหตุกราดยิงหมู่มากที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ หลังมีรายงานเกี่ยวกับเหตุกราดยิง 689 เหตุการณ์ ก่อนที่จำนวนเหตุกราดยิงจะลดลงเล็กน้อยเหลือ 647 เหตุการณ์ในปี 2022 อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลของเอฟบีไอพบว่า จำนวนผู้เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บกลับเพิ่มขึ้น

เมื่อเร็วๆ นี้ ศูนย์สถิติศึกษาแห่งชาติสหรัฐฯ (NCES) เผยแพร่รายงานอาชญากรรมและความปลอดภัยประจำปี พบว่า มีเหตุยิงกันที่มีผู้เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บในโรงเรียน 188 เหตุการณ์ ในปีการศึกษา 2021-22 เพิ่มขึ้นจากหนึ่งปีก่อนหน้านี้กว่าเท่าตัว

เหตุกราดยิงหมู่ในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่องในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา หลังจากก่อนหน้านี้เคยมีเหตุกราดยิงหมู่เพียงแค่ 273 เหตุการณ์ในปี 2014

ผลการศึกษาหนึ่งที่เผยแพร่โดยวารสารการแพทย์ Annals of Internal Medicine เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ บ่งชี้ว่ามีประชาชนครอบครองอาวุธปืนเพิ่มมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยระหว่างเดือนมกราคม 2019 ถึงเมษายน 2021 มีผู้ใหญ่ชาวสหรัฐฯ กลายเป็นเจ้าของอาวุธปืนรายใหม่มากถึง 7.5 ล้านคน

รัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา มาตรา 2 บัญญัติว่า อนุญาตให้ชาวอเมริกันที่อายุ 21 ปีขึ้นไป (หรือ 18 ปีในบางรัฐ) มีสิทธิครอบครองอาวุธปืนเพื่อป้องกันตนเองโดยชอบธรรม และผลสำรวจความคิดเห็นพบว่ามีราว 1 ใน 3 ของผู้ใหญ่ในสหรัฐฯ มีอาวุธปืนในครอบครอง อย่างไรก็ตาม อีกโพลหนึ่งที่จัดทำโดยแกลลัพ ในเดือนตุลาคม 2022 พบว่าชาวอเมริกาส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการควบคุมอาวุธปืน โดยมีถึง 57% ที่สนับสนุนกฎหมายควบคุมอาวุธปืนเข้มข้น

กระนั้น เรื่องนี้ยังคงเป็นประเด็นแตกแยกอย่างรุนแรงในสังคมอเมริกา โดยผลสำรวจอีกอันของแกลลัพ พบว่า ชาวเดโมแครตมีความเห็นเกือบเป็นเอกฉันท์สนับสนุนควบคุมอาวุธปืน แต่สำหรับชาวรีพับลิกันแล้ว มีไม่ถึง 1 ใน 4 ที่สนับสนุนกฎหมายควบคุมอาวุธปืน

'กวาง กมลชนก' เคลื่อนไหวในฐานะลูกตำรวจ "ขอเป็นกำลังใจให้ตำรวจน้ำดีทุกคนยึดมั่นในการทำความดี"

(19 ก.ย. 66) จากกรณีที่ ‘พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์’ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ลงนามคำสั่งให้โอนสำนวนการสอบสวน คดีที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ไปที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางทั้งหมด เนื่องจากเป็นคดีที่เกี่ยวเนื่องกับคดีคนร้ายก่อเหตุยิง ‘สารวัตรแบงค์’ เสียชีวิต แต่ยังคงสอบปากคำพยานในฐานความผิดเกี่ยวกับละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และสอบพยานในคดีที่บริษัทกำนันนกมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฮั้วประมูลนั้นกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 เช่นเดิม

หลังจากนั้นที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ‘พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช’ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) แถลงว่า ปัจจุบันรับโอนคดีจาก สภ.เมืองนครปฐม ทั้ง 2 คดี ทั้งคดีฆ่าตำรวจและคดีเจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตามมาตรา 157 ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) มอบให้ตำรวจสอบสวนกลางสืบสวนสอบสวนต่อ อย่างไรก็ตาม ดำเนินคดีตำรวจ 6 นายไปแล้ว มีพฤติการณ์ช่วยเหลือซ่อนเร้นอำพรางกลุ่มผู้ต้องหาพ้นการกระทำผิด

เเละล่าสุด ‘กวาง กมลชนก’ อดีตนางเอกดัง นั้นก็ได้เคลื่อนไหวแล้ว ในฐานะลูกสาวตำรวจท่านหนึ่ง หลัง ‘บิ๊กก้อง’ รับโอนคดีสารวัตรแบงค์

โดยเธอนั้นได้ระบุข้อความว่า “สารวัตรศิวกร สายบัว คือผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่ทำให้ทุกคนยอมรับว่าตำรวจน้ำดี ตงฉิน ไม่เกรงกลัวต่ออิทธิพลยังมีอยู่จริงในยุคนี้ ขอให้การจากไปของท่านไม่สูญเปล่า ขอให้การทำคดีนี้เป็นไปอย่างตรงไปตรงมา ขออย่าเข้าข้างคนผิดไม่ว่าจะเป็นตำรวจหรือผู้มีอิทธิพลคนใด เพื่อกู้ศักดิ์ศรีตำรวจกลับคืนมาให้ได้ ขอเป็นกำลังใจให้ตำรวจน้ำดีทุกคนยึดมั่นในการทำความดีต่อไป #ลูกสาวนายตำรวจตงฉินคนหนึ่ง #ชีวิตคิดบวกของกวางกมลชนก”

เปิดบทสนทนา 'ท่านอ้น-อ.ปวิน' ในงานนิทรรศการเหยื่อ 112 ใต้บริบท 'ไม่มีใครผิด-ถูก' แต่อยู่ที่ทุกฝ่ายควรฟังซึ่งกันและกัน

(19 ก.ย. 66) รศ.ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการมหาวิทยาลัยเกียวโต เปิดนิทรรศการโฉมหน้าเหยื่อ 112 (Faces of Victims of 112) ที่ Leroy Neiman Gallery มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย นครนิวยอร์ก เผยแพร่เรื่องราวของผู้ต้องหาที่ได้รับผลกระทบจากมาตรา 112 ในประเทศไทย โดยมีผู้สนใจรับฟังแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเชิงวิชาการ รวมไปถึงคุณวัชเรศร วิวัชรวงศ์ หรือ ‘ท่านอ้น’ โอรสคนที่ 2 ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ขณะดำรงพระอิสริยยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ที่เดินทางไปร่วมชมนิทรรศการ

‘ท่านอ้น’ คุณวัชเรศร วิวัชรวงศ์ กล่าวว่า “ผมมา (ร่วมนิทรรศการโฉมหน้าเหยื่อ 112) เพราะว่า ตามความคิดเห็นส่วนตัวก็คือ รู้ดีกว่าไม่รู้ แต่ละคนก็มีความคิดเห็นและว่ามุมมองที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งมาจากประสบการณ์ของตัวเอง ไม่ว่าใครจะมีความคิดอย่างไร เราจะฟังหรือไม่ฟัง เขาก็มีความคิดนั้นอยู่ดี การที่เราไม่ฟังเขาก็ไม่ได้ทำให้ความคิดเห็นเขาหายไป เพราะฉะนั้นรู้ไว้ดีกว่าที่จะไม่รู้ จะเชื่อหรือว่าจะเห็นด้วยไม่เห็นด้วย ก็เรื่องของส่วนตัว มาฟังไว้รับรู้ไว้เป็นสิ่งที่ดีที่สุด…”

“เรื่องมาตรา 112 เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน มีความคิดเห็นกันทุกฝ่าย หลายฝ่าย หลายด้าน ก็ไม่ใช่ว่าฝ่ายไหนจะผิดฝ่ายไหนจะถูก แต่จริง ๆ แล้วขอให้ทุกฝ่ายฟังซึ่งกันและกัน มันก็มีเหตุผล เรามีความคิดเห็นยังไง เราฟังของอีกฝ่ายหนึ่งด้วย แล้วมาปรับความคิดของเราเอง”

ทางด้านรศ.ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ได้แสดงความคิดเห็นในประเด็นที่ท่านอ้น เดินทางมาร่วมชมนิทรรศกาล โดยระบุว่า "ผมก็คิดว่าเป็นสัญลักษณ์ในเชิงบวกนะ สำหรับผมก็คิดว่าเขายังเป็นส่วนหนึ่งของพระบรมวงศานุวงศ์ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลส่วนตัวอะไรก็ตามที่กลับเมืองไทยไม่ได้ แต่การที่เรามีคนที่เป็นสมาชิกของพระบรมวงศานุวงศ์มาชมนิทรรศการแบบนี้ ซึ่งหนึ่งเกี่ยวข้องกับเมืองไทย สองเกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชน และสามประเด็นมาตรา 112 มันเป็นอะไรที่ผมคิดว่าน่าชื่นชม ประเด็นนี้ไม่ใช่เป็นประเด็นว่าคุณเป็นเจ้าหรือไม่เป็นเจ้า ประเด็นนี้คือคุณเป็นคนหรือไม่เป็นคน เท่านั้นแหละ"

สำหรับนิทรรศการโฉมหน้าเหยื่อ 112 (Faces of Victims of 112) จะจัดแสดงที่ Leroy Neiman Gallery มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย (Columbia University) ระหว่างวันที่ 18-25 กันยายนนี้

‘สสส.’ ผนึกกำลัง ’BEM-BMN’ ชวนผู้โดยสาร MRT สำรวจ 'อุโมงค์ปอด' หวังกระตุ้นสังคม ‘หยุดสูบ-ลดเสี่ยง’ จากต้นเหตุมะเร็งปอด ที่คร่าชีวิตคนไทย

(19 ก.ย. 66) ณ สถานีรถไฟฟ้า MRT ลุมพินี สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ผู้ให้บริการทางพิเศษและรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงินและสีม่วง บริษัท แบงคอก เมโทร เน็ทเวิร์คส์ จำกัด หรือ BMN ผู้ให้บริการสื่อโฆษณาและพื้นที่จัดกิจกรรมในระบบรถไฟฟ้า สื่อสารสุขต่อยอดโครงการ ’MRT Healthy Station’ ความร่วมมือนี้เป็นจุดที่ 5 ของความร่วมมือในการสร้างสังคมสุขภาวะ ด้วยการเปิดตัว ’อุโมงค์ปอด’ Lung Tunnel เพื่อกระตุ้นสังคมให้รับรู้ว่า แค่คุณหยุดสูบ ปอดฟื้นฟูได้ ลดเสี่ยงการเสียชีวิต ชวนผู้โดยสารทีใช้บริการรถไฟฟ้า MRT เดินเข้าสู่สถานีลุมพินี เสมือนการเดินสู่อวัยวะปอด ผ่านระยะทางความยาวของอุโมงค์และพื้นที่สื่อ กว่า 100 เมตร ทั้งลายเส้นกราฟิกภาพภายในปอด พร้อมกับเทคโนโลยี AR ที่จะพาคุณไปรู้จักผลกระทบและตัวช่วยเลิกบุหรี่

ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า สถานการณ์การสูบบุหรี่มีแนวโน้มที่ลดลง จากสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ล่าสุด ปี 2564 มีผู้สูบบุหรี่ 9.9 ล้านคน คิดเป็น 17.4% ของประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไป ทั้งนี้ ข้อมูลจากองค์การสหประชาชาติ องค์การอนามัยโลก และกระทรวงสาธารณสุขไทย ปี 2564 พบแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตจากบุหรี่มากกว่า 80,000 คน คิดเป็น 18% ของการเสียชีวิตทั้งหมด ในจำนวนนี้เสียชีวิตจากควันบุหรี่มือสองกว่า 6,000 คน คิดเป็นความสูญเสียทางเศรษฐกิจเฉลี่ย 352,000 ล้านบาทต่อปี สสส. สนับสนุนทั้งการผลักดันนโยบายควบคุมยาสูบ พัฒนาองค์ความรู้วิชาการ และรณรงค์สื่อสารสังคม มองถึงแนวทางการสื่อสารที่สกัดกั้นไม่ให้คนไทย ก้าวเข้าสู่วงจรการทำร้ายสุขภาพ ได้ต่อยอดโครงการ ’MRT Healthy Station’ สร้างพื้นที่สาธารณะ ให้เป็นพื้นที่สร้างเสริมสุขภาวะสำหรับคนเมือง กระตุ้นให้สังคมตระหนักรู้ ถึงประโยชน์การดูแลสุขภาพ จุดประกายปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

“การสูบบุหรี่เป็นสาเหตุหลักของโรคมะเร็งปอด การสัมผัส หรือได้รับควันบุหรี่มือสอง มือสาม ยังเพิ่มความเสี่ยงเช่นกัน เพราะปอดเป็นด่านแรกที่ได้รับสารพิษจากควันบุหรี่มากที่สุดเมื่อเทียบกับอวัยวะอื่น ๆ สสส.จึงเชิญชวนสำรวจ อุโมงค์ปอด Lung Tunnel หยุดสูบ ลดเสี่ยง เพลิดเพลินไปกับลายเส้นกราฟิกบนทางเดินและสื่อโดยรอบ กว่า 100 เมตร  ให้ทีละก้าว เป็นก้าวแห่งการตื่นรู้ ปอดคุณจะเป็นอย่างไร เมื่อคุณเลิกสูบบุหรี่ เพียงแค่ 20 นาที ที่คุณเลิกสูบ ความดันโลหิตลดลง  2-12 สัปดาห์ เหนื่อยน้อยลง เพราะสมรรถภาพปอดเริ่มฟื้นตัว หากเดินถึงปลายอุโมงค์ จะค้นพบว่าแท้จริงแล้วร่างกาย และปอดสามารถฟื้นฟู แค่เลิกสูบบุหรี่ เท่ากับลดเสี่ยง” ดร.สุปรีดา กล่าว

นางวัฒนา สิทธิไวทยาภรณ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ BEM กล่าวว่า ภายใต้ธุรกิจที่เป็นผู้ให้บริการด้านการคมนาคมของ BEM  ยังมีการเปิดพื้นที่สาธารณะภายในสถานีรถไฟฟ้า เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้ามาใช้ประโยชน์ในเชิงสร้างสรรค์ได้อย่างสูงสุด ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญด้านคุณภาพชีวิตที่ดี และการมีสุขภาพที่ดี ดังนั้นความร่วมมือระหว่าง BEM สสส. และ BMN ในโครงการนี้ จึงเป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นขององค์กรอย่างแท้จริง พร้อมร่วมรณรงค์ให้ประชาชนทุกคน ได้ใช้พื้นที่สาธารณะร่วมกันด้วยความรับผิดชอบ เพื่อให้สังคมได้อยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน

นาย วิทสุวัฒน์ อำคาเพท กรรมการผู้จัดการ BMN  กล่าวว่า ทุกวันนี้พฤติกรรมของตัวเราที่คอยทำลายสุขภาพโดยไม่รู้ตัว ความร่วมมือระหว่าง BEM BMN และ สสส. ในครั้งนี้ จะสร้างประสบการณ์การเดินทางแบบน่าประทับใจ ด้วยเส้นทางแห่งความสุขที่จะทำให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดีขึ้น ตระหนักรู้ถึงผลเสีย และเข้าใจถึงผลดีของการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม สู่การมีสุขภาพที่ดีกว่าเดิม การสื่อสารโครงการนี้ ได้ใช้พื้นที่สื่อโฆษณาในสถานีรถไฟฟ้า MRT ลุมพินี ทางออกที่ 2-3 ซึ่งเป็นสถานีที่มีผู้ใช้บริการหนาแน่น เป็นพื้นที่หลักในการสื่อสารโครงการ สำหรับ สถานีลุมพินีถือเป็นแหล่งรวมของหนุ่มสาวชาวออฟฟิศ และเป็นตำแหน่งที่มีผู้คนสัญจรผ่านเป็นจำนวนมาก เชื่อว่าใครที่ได้เดินทาง และสำรวจอุโมงค์ปอดจนถึงทางออกปลายอุโมงค์ จะได้พบกับแรงบันดาลใจนำไปสู่การตัดสินใจ เริ่มต้นชีวิตใหม่กับสุขภาพที่ดีกว่าเดิม เพียงแค่เลิกบุหรี่”

น.ส.สุพัฒนุช สอนดำริห์ ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารการตลาดเพื่อสังคม สสส. กล่าวว่า สื่อในพื้นที่สาธารณะเป็นสื่อที่คนเข้าถึงได้ทุกวัน มีมูลค่าทางการตลาดสูง สร้างการรับรู้กับสังคมได้เป็นอย่างดี สสส. BMN และ BEM มีเป้าประสงค์เดียวกัน คือ การทำสื่อเพื่อสังคม เป็นหัวใจสำคัญของการร่วมมือครั้งนี้ เพื่อแสดงให้เห็นว่าพื้นที่สื่อสาธารณะ สามารถส่งสาร ข้อมูล ให้ประชาชนที่สัญจรไปมา หันมาดูแลสุขภาพได้ สสส. จึงได้รับการสนับสนุนพื้นที่ภายในอุโมงค์ และพื้นที่สื่อโดยรอบความยาวกว่า 100 เมตร ถูกออกแบบผ่านการเล่าเรื่องของปอด จากปอดปกติเมื่อสูบบุหรี่แล้ว จะค่อย ๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร  สสส. ได้เปลี่ยนข้อมูลวิชาการสู่เรื่องราวสนุก ๆ ให้ทุกคนได้รับสื่อ และประสบการณ์ร่วม ที่จะทำให้ฉุกคิด เตือนสติ โดยร่วมกันพัฒนาชิ้นงานอุโมงค์ปอดกว่า 9 เดือน  นอกจากนี้ได้รับความร่วมมือสร้างสรรค์ไอเดียการออกแบบ และวาดลายเส้นอุโมงค์ปอดยักษ์จากภาคเอกชนอีกด้วย  เพื่อให้ทุกคนตระหนักว่า การดูแลสุขภาพร่างกายเริ่มต้นได้ทันที ไม่ต้องรอ

สรุปสถานการณ์ตลาดน้ำมันสัปดาห์ที่ 11 - 15 ก.ย. 66  จับตาปัจจัย ‘บวก-ลบ’ ชี้แนวโน้ม 18 - 22 ก.ย. 66

ราคาน้ำมันดิบทุกชนิด เฉลี่ยสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 15 ก.ย. 66 เพิ่มขึ้น โดยนักลงทุนคาดตลาดน้ำมันโลกจะตึงตัว และมีมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ หลังธนาคารกลางรายใหญ่กระตุ้นเศรษฐกิจ และส่งสัญญาณใกล้สิ้นสุดช่วงนโยบายการเงินแบบตึงตัว อาจสนับสนุนอุปสงค์พลังงาน

อุปสงค์น้ำมันโลกยังคงเติบโต OPEC คาดการณ์อุปสงค์น้ำมันโลกในปี 2566 เพิ่มขึ้น 2.44 ล้านบาร์เรลต่อวันจากปีก่อนหน้า อยู่ที่ 102.06 ล้านบาร์เรลต่อวัน (ปรับเพิ่มขึ้นจากคาดการณ์ครั้งก่อน 0.05 ล้านบาร์เรลต่อวัน) และในปี 2567 เพิ่มขึ้น 2.25 ล้านบาร์เรลต่อวันจากปีก่อนหน้า อยู่ที่ 104.31 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยมองว่าเศรษฐกิจหลัก และตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย โดยเฉพาะอินเดีย รวมถึงบราซิล และรัสเซีย แกร่งเกินคาด

สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีน (National Bureau of Statistics: NBS) รายงานโรงกลั่นนำน้ำมันดิบเข้ากลั่น (Refinery Throughput) ในเดือน ส.ค. 66 เพิ่มขึ้น 2.4% จากเดือนก่อนหน้า อยู่ที่ 15.23 ล้านบาร์เรลต่อวัน สูงสุดเป็นประวัติการณ์

ธนาคารแห่งชาติของจีน (People’s Bank of China: PBOC) ประกาศลดอัตราส่วนเงินสำรองขั้นต่ำ (Reserve Requirement Ratio: RRR) สำหรับธนาคารพาณิชย์ลง 0.25% (ยกเว้นธนาคาร RRR ต่ำกว่า 5%) ตั้งแต่วันที่ 15 ก.ย. 66 คาดว่าจะทำให้ RRR เฉลี่ยลดลงมาอยู่ที่ 7.4% และช่วยเพิ่มเงินเข้าสู่ระบบประมาณ 5 แสนล้านหยวน (6.87 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ) ทั้งนี้ RRR ตั้งแต่ปี 2561 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 15% ก่อนที่ PBOC จะปรับลดลงต่อเนื่องกว่า 16 ครั้ง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

วันที่ 14 ก.ย. 66 ที่ประชุมธนาคารกลางยุโรป (European Central Bank: ECB) มีมติปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้น 0.25% ทำให้ Deposit Facility Rate, Main Refinancing Operations Rate และ Marginal Lending Facility Rate อยู่ที่ 4.0%, 4.5% และ 4.75% ตามลำดับ สูงสุดตั้งแต่ ECB ก่อตั้งในปี 2542 อย่างไรก็ตาม ประธาน ECB นาง Christine Lagarde ส่งสัญญาณว่าอัตราดอกเบี้ย ECB ใกล้ระดับสูงสุดแล้ว การประชุมครั้งถัดไปในวันที่ 26 ต.ค. 66 จึงมีแนวโน้มที่จะคงอัตราดอกเบี้ย

จับตาการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (Federal Open Market Committee: FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในวันที่ 19-20 ก.ย. 66 โดยตลาดคาดว่าจะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 5.25-5.50%

คาดการณ์ราคา ICE Brent สัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวในกรอบ 85-95 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

‘จีน’ ฉุน!! ‘รมว.ตปท.เยอรมนี’ เรียก ‘สี จิ้นผิง’ ว่า “จอมเผด็จการ” ชี้ เป็นความคิดที่ไร้สาระ-ละเมิดศักดิ์ศรี-ยั่วยุทางการเมืองชัดเจน

เมื่อวันที่ 18 ก.ย. 66 ‘จีน’ ตำหนิ ‘อันนาเลนา แบร์บ็อค’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเยอรมนีอย่างดุเดือด หลังเรียกประธานาธิบดี ‘สี จิ้นผิง’ เป็น ‘เผด็จการ’ โดยตราหน้าความคิดเห็นดังกล่าวว่าเป็น ‘การยั่วยุทางการเมืองอย่างเปิดเผย’ ที่ไร้สาระเป็นอย่างยิ่ง

ปักกิ่งคือคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของเยอรมนี แต่เยอรมนีเผยแพร่นโยบายใหม่ในเดือนกรกฎาคม ลดพึ่งพาและหันมาประชันขันแข่งกับจีนแน่วแน่กว่าเดิม หลังจากใช้เวลาถกเถียงกันภายในรัฐบาลมานานหลายปีเกี่ยวกับยุทธศาสตร์ที่จะใช้กับจีน

แบร์บ็อค ซึ่งเป็นผู้ผลักดันให้เยอรมนีใช้แนวทางสายแข็งกร้าวยิ่งขึ้นกับจีน แสดงความคิดเห็นเรียก สี จิ้นผิง เป็นเผด็จการ ขณะให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวฟ็อกซ์ นิวส์ เมื่อวันที่ 14 ก.ย. ระหว่างเดินทางเยือนสหรัฐฯ

ในระหว่างให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับสงครามยูเครน เธอบอกว่า “หากปูตินชนะในสงครามนี้ มันจะเป็นสัญญาณสำหรับพวกเผด็จการคนอื่นๆ ในโลกใบนี้ อย่างเช่น สี จิ้นผิง อย่างเช่นประธานาธิบดีจีน หรือไม่? ดังนั้น เพราะฉะนั้น ยูเครนจำเป็นต้องชนะในสงครามนี้”

จีนเคลื่อนไหวตอบโต้ เมื่อวันที่ 18 ก.ย.ที่ผ่านมา บอกว่าพวกเขานั้น “ไม่พอใจอย่างมาก” และได้แสดงออกอย่างจริงจังไปถึงฝ่ายเยอรมนีผ่านช่องทางทางการทูตต่างๆ เรียบร้อยแล้ว

“ความคิดเห็นนี้ไร้สาระเป็นอย่างยิ่ง และล่วงละเมิดศักดิ์ศรีทางการเมืองของจีนอย่างร้ายแรง และเป็นการยั่วยุทางการเมืองอย่างเปิดเผย” เหมา หนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกล่าวระหว่างแถลงสรุปประจำวัน

คณะรัฐมนตรีเยอรมนีให้การอนุมัติแผนยุทธศาสตร์เกี่ยวกับจีน ซึ่งเป็นเอกสารความยาว 64 หน้า เมื่อเดือน ก.ค. โดยเน้นย้ำในแผนยุทธศาสตร์ว่า ต้องการรักษาความสัมพันธ์ด้านการค้าการลงทุนกับจีนต่อไป แต่ขณะเดียวกัน ต้องการลดการพึ่งพาจีนในภาคอุตสาหกรรมสำคัญ ด้วยการสร้างห่วงโซ่อุปทานให้หลากหลายขึ้น เพื่อเป้าหมายคือการลดความเสี่ยง มิใช่การตัดขาดจากห่วงโซ่เศรษฐกิจของจีนเสียทีเดียว

นโยบายใหม่เกี่ยวกับจีนของเยอรมนี เป็นการรักษาสมดุลระหว่าง 2 จุดยืนที่แตกต่างกันภายในรัฐบาลผสม โดยเรียกปักกิ่งเป็นทั้ง “คู่หู คู่แข่งขัน และคู่ปรับในเชิงระบบ”

แบร์บ็อค จากพรรคกรีนส์ ผลักดันให้ใช้แนวทางแข็งกร้าวกับจีน และให้ความสำคัญอย่างยิ่งในประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน ส่วน ‘โอลาฟ โชลซ์’ นายกรัฐมนตรีเยอรมนี จากพรรคโซเชียล เดโมแครต สนับสนุนให้ใช้ท่าทีที่เป็นมิตรทางการค้ามากกว่า

พังงา กองพันต่อสู้อากาศยานที่ 22 ฝึกทบทวนก่อนออกปฎิบัติราชการ 10 วันของการฝึก รู้ลึกยุทธวิธีและวิชาการ

นาวาโท ศักรินทร์ ซื่อสงวน ผู้บังคับกองพันต่อสู้อากาศยานที่ 22 / ผู้อำนวยการฝึก กองอำนวยการฝึกหน่วยปฏิบัติการหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่งที่ 452 และคณะนายทหารฝ่ายอำนวยการฝึก ให้การต้อนรับ นาวาโท บัณฑิตย์ ขันธสาลี หัวหน้าชุดประเมินผลการฝึก ศูนย์การฝึกหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง และคณะ ในโอกาสเข้าประเมินการฝึกทบทวนความพร้อมก่อนออกปฏิบัติราชการของ หน่วยปฎิบัติการ หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่งที่ 452 และหมู่ปืนต่อสู้อากาศยานขนาด 37 มิลลิเมตร หน่วยปฎิบัตการ หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่งที่ 451 วงรอบผลัดเปลี่ยน ตุลาคม 66 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การฝึกทบทวนในหัวข้อความรู้วิชาชีพต่าง ๆของกำลังพลชุดผลัดเปลี่ยนมีความพร้อมตามมาตรฐานของหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง และสามารถปฎิบัติภารกิจตอบสนองหน่วยเหนือได้อย่างมีประสิทธิภาพ และฝึกการใช้อาวุธให้ชำนาญ เมื่อปฏิบัติการจะเกิดผลสำเร็จ"โดยฝึกการใช้อาวุธประจำกายและอาวุธประจำหน่วย เพื่อให้เกิดความชำนาญในการใช้อาวุธและสามารถแก้ไขข้อขัดข้องเบื้องต้นได้อย่างรวดเร็วอันจะส่งผลสำเร็จอย่างต่อเนื่องของการปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากหน่วยเหนือ
            

นาวาโท ศักรินทร์ ซื่อสงวน ผู้บังคับกองพันต่อสู้อากาศยานที่ 22 / ผู้อำนวยการฝึก กองอำนวยการฝึกหน่วยปฏิบัติการหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่งที่ 452 กล่าวว่า สำหรับการฝึกทบ ก่อนออกปฏิบัติราชการ เป็นการทบทวน ความรู้ความเข้าใจ ในด้านยุทธวิธี ส่วนใหญ่จะเน้นในการป้องกันฐาน ที่จะไปปรับเปลี่ยนกำลังพลในช่วงเดือนตุลาคมนี้ คนที่จะไปใหม่ก็ต้องมีพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือ ขนย้ายผู้ป่วย การยิงยุทธวิธี แบบทหารราบ ป้องกันฐานที่มั่นและ การถอนตัว เริ่มฝึกกันมาสักระยะแล้ว เป็นห้วงเวลาและเป็นช่วงการยิงอาวุธสุดท้าย ซึ่งเพิ่มความชำนาญและมั่นใจให้กับกำลังพล ที่ลงไปปฏิบัติหน้าที่ ตามหน่วยปฏิบัติการ ของหน่วยต่อสู้อากาศยานชายฝั่ง ในพื้นที่ต่างๆ การฝึกครั้งนี้ ทำให้กำลังพลมีความมั่นใจมีความรู้ในเทคโนโลยีใหม่ๆ รวมถึงภัยคุกคาม ในยุคปัจจุบันที่อาจจะเกิดขึ้นได้ และรู้ขั้นตอนการปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุการณ์ และสามารถประสานงานหน่วยข้างเคียงได้ การนำไปปฏิบัติการจริง กำลังพลฝึกมีขวัญและกำลังใจที่ดี สามารถศึกษาด้านยุทธวิธีและด้านวิชาการที่จะนำไปใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ดีเยี่ยม พร้อมเข้าปฏิบัติหน้าที่รักษาผลประโยชน์ของกองทัพเรืออย่างเต็มความสามารถ

‘ญี่ปุ่น’ กลุ้มใจ!! ประชากร 1 ใน 10 อายุเกิน 80 ปี  อัตราการเกิดต่ำ ส่งผลขาดแคลนแรงงานวัยหนุ่มสาว

(19 ก.ย. 66) รัฐบาลญี่ปุ่น เปิดเผยรายงานประจำปีเนื่องในวันผู้สูงอายุ เมื่อวันที่ 18 ก.ย.66 ว่า จำนวนประชากรที่มีอายุเกิน 80 ปีคิดเป็นสัดส่วนกว่า 10% ของประชากรทั้งหมดในประเทศเป็นครั้งแรก โดยอัตราการเกิดต่ำเรื้อรังและการที่ประชากรมีอายุยืนยาว ทำให้ญี่ปุ่นกลายเป็นประเทศที่มีผู้สูงอายุมากที่สุดในโลก เมื่อพิจารณาจากสัดส่วนประชากรที่อายุเกิน 65 ปี ซึ่งปีนี้แตะ 29.1% ของสัดส่วนประชากรทั้งหมดในประเทศ

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า การใช้จ่ายประกันสังคมที่เพิ่มสูงขึ้นได้ซ้ำเติมญี่ปุ่นที่มีหนี้สินมหาศาลอยู่แล้วและการขาดแคลนคนหนุ่มสาวส่งผลให้อุตสาหกรรมจำนวนมากขาดแคลนแรงงาน รวมถึงผู้ดูแลคนสูงอายุ โดยนายกรัฐมนตรีฟูมิโอะ คิชิดะ แห่งญี่ปุ่นระบุว่า ญี่ปุ่นเสี่ยงที่จะสูญเสียศักยภาพในการทำงาน หากไม่ใช้มาตรการที่เข้มงวด เพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้

รายงานระบุว่า ญี่ปุ่นได้ดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นอัตราการเกิด แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จ ขณะเดียวกันทางการญี่ปุ่นก็มีความลังเลที่จะเปิดรับแรงงงานต่างชาติในปริมาณมาก เพื่อชดเชยภาวะขาดแคลนแรงงาน โดยญี่ปุ่นมีเด็กเกิดใหม่ไม่ถึง 800,000 คนเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เริ่มมีการบันทึกข้อมูลในศตวรรษที่ 19 ในปีที่แล้ว

นอกจากนี้ รายงานระบุว่า ประชากรโดยรวมของญี่ปุ่นลดลงประมาณ 5 แสนราย สู่ 124.4 ล้านราย และคาดการณ์ว่าประชากรจะเหลือไม่ถึง 109 ล้านรายภายในปี 2588

ปัจจุบัน หลายประเทศในทวีปเอเชียกำลังเผชิญกับปัญหาสังคมผู้สูงอายุและประชากรหดตัว โดยเกาหลีใต้มีแนวโน้มที่จะแซงหน้าญี่ปุ่นขึ้นมาเป็นประเทศที่มีผู้สูงอายุมากที่สุดในโลกในช่วงไม่กี่ทศวรรษข้างหน้า ส่วนประชากรจีนเริ่มหดตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบ 60 ปีในปี 2565


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top