Saturday, 10 May 2025
TheStatesTimes

‘พีระพันธุ์’ เตรียมลดราคาน้ำมันเบนซิน ระบุ!! ให้ทันสิ้นปีเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ 

(18 ก.ย. 66) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวถึงการประชุมคณะรัฐมนตรีจะมีการหารือเรื่องมาตรการการปรับลดราคาน้ำมันเบนซินหรือไม่ ว่า จะมีการหารือเรื่องราคาน้ำมันเบนซิน เพื่อช่วยแก้ไขปัญหา ซึ่งจะพยายามลดให้ทัน เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน แต่จะเน้นไปที่กลุ่มเปราะบางก่อน โดยจะเร่งคุยกับกรมธุรกิจพลังงาน ซึ่งในวันพรุ่งนี้ (19ก.ย.) จะไปหารือกับกรมศุลกากร

นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า จากการพูดคุยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พบว่ามีปัญหาในเรื่องของน้ำมันและไฟฟ้าต่างกัน ซึ่งไฟฟ้ามีคณะกรรมการต่างๆ คอยกำกับดูแลอยู่ แต่น้ำมันกลับไม่มีการกำกับดูแล อีกทั้งหน่วยงานภาครัฐ ก็ไม่มีอำนาจเข้าไปตรวจดูเรื่องต้นทุน

แม้ในภาพใหญ่ก็พบว่าเกิดจากต้นทุนที่ปรับเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังไม่ทราบว่าต้นทุนที่ขึ้นมีอะไรบ้าง และขึ้นจริงหรือไม่ โดยตรงนี้จะต้องหาแนวทางแก้ไขตามอำนาจของหน่วยงานรัฐในการกำกับดูแลต่อไป 

“น้ำมันเป็นสินค้าพิเศษ ประเภทอุปโภคบริโภคธรรมดา เป็นสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิตของคน และเกี่ยวกับต้นทุนสินค้าต่างๆ รวมถึงเป็นเรื่องของความมั่นคง เพราะฉะนั้นน้ำมันเป็นสินค้าพิเศษ ต้องกำหับดูแลที่รอบคอบรัดกุม และต้องได้ข้อมูลที่ถูกตัองมากกว่านี้” นายพีรพันธุ์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ยืนยันว่า การลดราคาน้ำมันเบนซินจะต้องเกิดขึ้นภายในปีนี้ โดยจะพยายามทำให้โครงสร้างมีความถูกต้องมากขึ้น

‘หยก’ นั่งปักหลักถือป้าย “หนูขอเข้าสอบ” หน้าเตรียมพัฒน์ฯ  ถาม!! โรงเรียนไม่ให้เข้าสอบ รมว.ศึกษาฯ รู้เรื่องหรือยัง?

(18 ก.ย. 66) น.ส.ธนลภย์ (ขอสงวนนามสกุล) หรือหยก เยาวชนอายุ 15 ปี โพสต์รูปพร้อมข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า

“วันนี้วันที่ 18 กันยายน 2566 วันแรกของการสอบปลายภาคชั้นมัธยมปลายโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ หนูไปที่โรงเรียนเพื่อจะเข้าสอบ แต่โรงเรียนไม่ให้เข้าสอบ โรงเรียนบอกว่าที่ได้เข้าสอบประมวลกลางภาคเป็นไปเพื่อความสบายใจทุกฝ่าย ซึ่งครูพูดว่าก็เคยได้แจ้งหนูแล้วว่าให้สอบเพื่อจะได้ส่งไปยังที่ ๆ เหมาะสม”

“ในวันนี้ครูบอกว่าไม่ให้สอบ และโรงเรียนประชุมกันมาแล้ว และไม่ให้สอบด้วยเหตุผลว่าหนูไม่ใช่นักเรียนโรงเรียนนี้”

“หนูถามครูว่ารัฐมนตรีกระทรวงฯ รู้หรือไม่ ครูไม่ยอมตอบ บอกว่าจะไม่พูดถึงเรื่องนั้น”

“หนูยังคงสงสัย สงสัยว่าทำไมไม่ได้สอบประมวลตอนปลายภาค สงสัยในคำตอบที่เขาตอบ รู้สึกว่าย้อนแย้งกันในหลาย ๆ อย่างที่ผ่านมา”

“หนูควรได้สอบวันที่ 18, 20 และ 22 หนูจะมาโรงเรียนทุกวัน หนูจะเรียกร้องว่าโรงเรียนต้องให้หนูสอบ ขอให้หนูได้เข้าสอบเถอะ”

‘อี้’ จี้สำนึก ‘หมออ๋อง’ ผลาญภาษีพาพวกบินหรู   สงสัย!! หรือจะเป็นเทคนิค ‘ก้าวไกล’ ขับพ้นพรรค  

(18 ก.ย. 66) ดร​.แทนคุณ​ จิตต์​อิสระ​ รักษา​การ​ประธาน​คณะกรรมการ​ส่งเสริม​สิทธิ​มนุษยชน​และ​ความ​เสมอภาค​ระหว่าง​เพศ​พรรค​ประชา​ธ​ิ​ปัตย์ ​กล่าว​ถึง​กรณี​นาย​ปดิพัทธ์​ สันติ​ภาดา​ รอง​ประ​ธา​นสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ได้เดินทางไปดูงานที่สาธารณรัฐสิงคโปร์ โดยมี สส.พรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทยและคณะรวม 12 คนติดตามไปด้วย ในช่วงระหว่างวันที่ 21-25 ก.ย.66 โดยศึกษาดูงานด้านระบบสารสนเทศการประชุมของรัฐสภาแห่งสาธารณรัฐสิงคโปร์, การบริหารจัดการแรงงานของคนไทยในสาธารณรัฐสิงคโปร์ และการจัดการทางด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โดย นายวันมูหะหมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้อนุมัติการเดินทางเมื่อวันที่ 12 ก.ย.66 และเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้อนุมัติงบประมาณเป็นเงินจำนวน 1,379,250 บาท

แบ่งเป็น...ค่าใช้จ่ายในการเดินทางการและระบุงบประมาณอื่นที่เบิกจ่ายสำหรับ สส. 1 คน ๆ อยู่ที่คนละ 114,650 บาท แบ่งเป็น ค่าบัตรโดยสารเครื่องบินไป-กลับ 51,250 บาท, ค่าเบี้ยเลี้ยง 4 วัน ๆ ละ 3,100 บาท รวม 12,400 บาท, ค่าที่พัก (พักเดี่ยว) 4 คืน ๆ ละ 12,500 บาท รวม 50,000 บาท และค่าจัดทำหนังสือเดินทาง 1,000 บาท ส่วนของนายปดิพัทธ์ มียอดค่า​ใช้​จ่ายรวม 494,650 บาท โดยได้สิทธิ์ค่าตั๋วเครื่องบิน, ค่าเบี้ยเลี้ยง และค่าที่พัก เท่ากับ สส.คนอื่น แต่มียอดเพิ่มเติมในส่วนของค่ารับรอง 200,000 บาท ค่ายานพหนะ 150,000 บาท และค่าของที่ระลึก 30,000 บาท อยู่ในรายการของนายปดิพัทธ์

สังคมตั้งคำถามว่าสภาจำเป็นไหมที่จะต้องไปดูงานในช่วงเวลานี้ เป็น​ภารกิจที่คุ้มค่​าภาษี​ประชาชน​หรือไม่ โดย​ถือว่าเป็​นการผลาญงบประมาณแผ่นดินในช่วงเวลาสุดท้ายก่อนที่จะสิ้นปีงบประมาณ​ (30 กันยายน​) โดยมีการตั้งข้อสังเกตว่าเป็น​การ​ตั้งเรื่องอนุมัติอย่างเร่งรีบไม่ผ่านการพิจารณาของคณะอนุกรรมการแผนและงบประมาณของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร​อยากตั้งคำถามว่า ‘คนจนมีสิทธิ์​ไหมครับ’ กับการที่ผู้แทนพาพรรคพวกตัวเอง บินหรูอยู่​สบาย ด้วยภาษีจากน้ำตาประชาชน​ ที่ทำงานหนักหาเงินด้วยความทุกข์ยาก​แสนสาหัส โดยตนจะคอยติดตามผลลัพธ์​ของการไปดูงานเช่นเดียวกับ​การใช้งบประมาณ​ของรัฐบาล​ด้วย

นอกจากนี้​พี่น้อง​ประชาชน​ตั้งข้อสังเกตไว้หรืออาจจะเพราะ​ต้องเตรียมลาออกเพื่อย้ายไปพรรคอื่นที่ ‘เตี๊ยม’ กันไว้ระหว่าง  2 พรรคคือ ให้ก้าวไกลใช้เทคนิคขับหมออ๋องไปอยู่พรรคเล็กพรรคหนึ่ง เพื่อสามารถดำรงตำแหน่ง รองประธานสภาผู้แทนราษฎรได้และก้าวไกล​สามารถได้ตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านได้ เป็น​จริงหรือไม่ อาจเข้าข่ายฮั้วกันหรือไม่ต้องติดตามต่อ เชื่อว่างานนี่จบไม่สวยแน่นอน

รัฐประหารรัฐบาล ‘ทักษิณ ชินวัตร’ ฝีมือ ‘พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน’ นำทีมยึดอำนาจ

ครบรอบ 17 ปี คณะทหารในนาม ‘คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข’ (คปค.) ซึ่งมี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เป็นหัวหน้า ได้ทำการรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ซึ่งกำลังปฏิบัติภารกิจอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา

โดยในการรัฐประหารครั้งนี้ คปค. ได้ให้เหตุผลที่ต้องยึดอำนาจว่าการปกครองภายใต้รัฐบาล พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ก่อให้เกิดความขัดแย้งแบ่งฝ่าย สลายความรู้รักสามัคคีของคนในชาติ ต่างฝ่ายต่างมุ่งหวังเอาชนะ ด้วยวิธีการหลากหลายรูปแบบ และมีแนวโน้มนับวันจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น

โดยประชาชนส่วนใหญ่เคลือบแคลงสงสัยว่า การบริหารราชการแผ่นดิน ส่อไปในทางทุจริต ประพฤติมิชอบ อย่างกว้างขวาง หน่วยงานอิสระ ถูกการเมืองครอบงำ ทำให้การดำเนินกิจกรรมทางการเมือง เกิดปัญหา และอุปสรรคหลายประการ ตลอดจนหมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแห่งองค์พระมหากษัตริย์ ผู้ทรงเป็นที่เคารพ เทิดทูน ของปวงชนชาวไทย อยู่บ่อยครั้ง แม้ว่าหลายภาคส่วนของสังคมจะได้พยายามประนีประนอม คลี่คลายสถานการณ์ มาโดยต่อเนื่องแล้ว ก็ไม่สามารถรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองได้

โดยทางทหารได้เตรียมการยึดอำนาจเริ่มตั้งแต่ตอนสาย ถึงตอนบ่ายกำลังทหารจากต่างจังหวัดก็เคลื่อนกำลังเข้าประจำการในกรุงเทพฯ ในตอนค่ำกำลังพลติดอาวุธพร้อมรถถัง ฮัมวี่ และบีเอ็มซีก็บุกเข้ายึดสถานีวิทยุโทรทัศน์และตรึงกำลังอยู่ตามสถานที่สำคัญ ๆ ทั่วกรุงเทพฯ ในเวลา 22.00 น. พ.ต.ท.ทักษิณได้ชิงออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเขต กทม. สั่งปลด พล.อ.สนธิ แต่ยังประกาศไม่ทันจบ ทหารก็บุกเข้ามาตัดสัญญาณและออกประกาศการเข้ายึดอำนาจ จากนั้นก็ได้ออกประกาศ คปค. ฉบับต่าง ๆ ออกมา อาทิ...

ยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2540 จัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวโดยให้ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี จากนั้น คปค. ก็ถอยไปอยู่ในฐานะ ‘คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ’ (คมช.) คอยดูแลรัฐบาลชั่วคราวบริหารประเทศและเร่งกระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งปี จากนั้นจะเลือกตั้งใหม่ภายในปี 2550

รัฐประหารครั้งนี้ก่อให้เกิดปฏิกิริยาแบ่งออกเป็น 2 ฝ่ายคือฝ่ายที่เห็นว่าประเทศชาติถึงจุดวิกฤติแล้ว รัฐประหารคือทางออกเดียวที่เหลืออยู่ ขณะที่อีกฝ่ายมองว่ารัฐประหารครั้งนี้เป็นการตัดตอนกระบวนการประชาธิปไตยไทย เป็นการฉีกรัฐธรรมนูญฉบับที่ได้ชื่อว่าเป็นของประชาชนมากที่สุด และนับเป็นการสูญเสียประชาธิปไตยอีกครั้งในรอบ 15 ปี หลังจากรัฐประหารของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) เมื่อปี 2535 ซึ่งการรัฐประหารครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 10 ของไทย โดยเป็นไปด้วยความเรียบร้อย รวดเร็ว และไร้การสูญเสียเลือดเนื้อ

‘จุลพันธ์’ เตรียมเรียกหน่วยงานฯ ถกแผน ‘พักหนี้เกษตรกร-SME’ ขีดเส้น 14 วัน ต้องได้ข้อสรุปกรอบแนวทาง-วิธีการทำงานทั้งหมด

(18 ก.ย.66) นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.การคลัง เปิดเผยว่า ในต้นสัปดาห์นี้คณะทำงานในโครงการพักหนี้ทั้งในส่วนของเกษตรกร และผู้ประกอบการเอสเอ็มอี จะมีการเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด มาประชุมเพื่อหารือเกี่ยวกับกรอบแนวทาง และวิธีการทำงานทั้งหมด ให้ได้ข้อสรุป เพื่อให้มีผลในทางปฏิบัติ สำหรับเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาภายใน 14 วัน หรือไม่เกินสิ้นเดือน ก.ย. 2566

ทั้งนี้ จากข้อมูลเบื้องต้นพบว่า มีลูกหนี้เกษตรกรทั้งสิ้นกว่า 4.2 ล้านบัญชี ขณะที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ราว 3 ล้านกว่าบัญชี ก็ต้องมาพิจารณาหลักเกณฑ์ และรายละเอียดว่าจะช่วยเหลืออย่างไร โดยคงไม่ได้ช่วยทั้งหมด เพราะในส่วนนี้เชื่อว่าจะมีรายใหญ่รวมอยู่ด้วย ส่วนว่ามาตรการจะครอบคลุมแค่ไหน หรือจะมีการกำหนดเพดานการช่วยเหลืออย่างไร ขอไปพิจารณาในรายละเอียดอีกครั้ง แต่ยืนยันว่าเป็นเรื่องที่ต้องเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด เพราะได้รับคำสั่งจากนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.การคลังมาแล้ว

“คงต้องดูกรอบวงเงินที่มีความเหมาะสม และต้องดูภาระของงบประมาณที่จะรับได้อีกส่วนหนึ่งด้วย เพราะตอนนี้กระบวนการงบประมาณปี 2567 ที่ล่าช้านั้น ได้มีการกำหนดกรอบปฏิทินใหม่มาแล้ว โดยในส่วนนี้ก็ต้องไปดูภาระงบประมาณในแต่ละส่วน แต่ละโครงการ ต้องดูกรอบใหญ่ว่างประมาณมีภาระด้านอื่น ๆ อย่างไร ดังนั้นหลักของแนวทางการให้ความช่วยเหลือในโครงการพักหนี้ก็จะต้องพิจารณาให้สอดคล้องกับความเป็นจริงและสอดคล้องกับงบประมาณด้วย” นายจุลพันธ์ กล่าว

นายจุลพันธ์ ยังกล่าวถึงความคืบหน้าของมาตรการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ว่า ยืนยันว่าการดำเนินการจะไม่ช้าไปกว่าเดือน มี.ค. 2567 อย่างแน่นอน โดยนายกรัฐมนตรีตั้งธงมาแล้วว่าจะเริ่มในวันที่ 1 ก.พ. 2567 กระทรวงการคลังก็จะต้องทำให้สำเร็จ โดยอาจจะต้องมีการทดสอบระบบก่อนวันเริ่มดำเนินการเพื่อไม่ให้เกิดปัญหา ส่วนร้านค้าที่จะเข้าร่วมโครงการ คงไม่มีการให้ลงทะเบียนใหม่ทั้งหมด เบื้องต้นอาจจะใช้ข้อมูลร้านค้าเดิมที่เคยเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งมาเป็นพื้นฐาน แต่อาจจะต้องให้มีการยืนยันตัวต้นเพิ่มเติมบ้างเท่านั้น

ส่วนข้อเสนอแนะเกี่ยวกับเงื่อนไขการใช้จ่ายในโครงการ โดยเฉพาะการกำหนดรัศมีการใช้จ่ายไม่เกิน 4 กิโลเมตรตามทะเบียนบ้านนั้น ยอมรับว่าที่ผ่านมามีข้อเสนอแนะเข้ามาเยอะว่าเรื่องนี้อาจเป็นข้อจำกัด ซึ่งรัฐบาลเองอาจจะมีการผ่อนปรนหรือเปลี่ยนแปลงเรื่องรัศมีในการใช้จ่าย โดยอาจจะปรับมาเป็นให้ใช้ได้ภายในอำเภอตามทะเบียนบ้าน เพื่อทำให้กระบวนการใช้เงินของประชาชนผ่านดิจิทัลวอลเล็ตราบรื่นที่สุด

“ยอมรับว่าข้อเสนอที่ให้ปรับมาเป็นใช้จ่ายจากรัศมี 4 กิโลเมตรมาเป็นใช้จ่ายได้ภายในอำเภอตามทะเบียนบ้านนั้น เป็นข้อเสนอที่เป็นไปได้มากที่สุด แต่สุดท้ายจะเป็นอย่างไรอยากให้รอฟังดี ๆ อีกครั้ง โดยรัฐบาลยังคงยึดเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจระดับชุมชนเป็นหลัก ดังนั้นหากจะปรับโดยการปลดล็อกการใช้จ่ายจนอิสระ หรือฟรีไปเลยคงไม่มีทาง เพราะอย่างไรก็ตามคนก็ต้องกลับภูมิลำเนากันอยู่แล้ว ส่วนข้อกำหนดในการซื้อสินค้ายังต้องรอสรุปอีกนิด เพราะมีเรื่องที่ต้องพิจารณาค่อนข้างมาก เช่น กรณีที่เป็นบริการของรัฐ ควรจะให้ใช้ได้หรือไม่ เพราะเงินอาจจะไม่หมุนเข้าระบบเศรษฐกิจตามที่ควรจะเป็น เช่น การจ่ายค่าไฟฟ้า แต่ที่กำหนดชัดเจนแน่นอนแล้ว คือ ไม่สามารถใช้ซื้อสินค้าประเภทอบายมุข และการชำระหนี้สินได้อย่างแน่นอน” นายจุลพันธ์ กล่าว

สำหรับแหล่งเงินที่จะนำมาใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตนั้น ยืนยันว่าไม่มีความจำเป็นต้องกู้อย่างแน่นอน รัฐบาลมีกลไกในการดำเนินการได้ ส่วนรายละเอียดทั้งหมดอยากให้รอดู ตอนนี้ยังตอบอะไรไม่ได้ ส่วนที่มีข้อเสนอว่าให้นำแอปพลิเคชันเป๋าตังเข้ามาใช้นั้น มองว่า แอปพลิเคชันเป๋าตังก็คือเป็นสินทรัพย์ของรัฐบาลอยู่แล้ว หากท้ายที่สุดแล้วสรุปว่าจะนำแอปฯ เป๋าตังไปใส่ในบล็อกเชนของโครงการ ก็มองงว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ หากทำจริงก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร ในมุมมองของรัฐบาลเห็นว่าหากอะไรที่พัฒนาแล้วทำให้ดีขึ้นก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เพราะเชื่อว่าโครงการจะเป็นประโยชน์กับการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมาก โดยเพียงแค่รัฐบาลส่งสัญญาณว่าจะเดินหน้าโครงการ ก็เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจแล้ว ร้านค้ามีการวางแผนการสั่งซื้อสินค้า วัตถุดิบเพื่อมารอจำหน่าย เรียกว่าเกิดการหมุนเวียนในระบบทันทีตั้งแต่โครงการยังไม่เริ่ม และเรายังมองว่า การใช้จ่ายในโครงการจะได้รับความนิยม ประชาชนจะใช้จ่ายหมด 10,000 บาทภายในไม่เกิน 1-2 สัปดาห์แน่นอน

อย่างไรก็ดี ข้อกังวลเกี่ยวกับการทุจริตที่อาจเกิดขึ้นในโครงการ เช่น การใช้จ่ายแบบผิดวัตถุประสงค์ โดยการฮั้วกับร้านค้าเพื่อนำเป็นเงินสดออกมานั้น ยอมรับว่าอาจเกิดขึ้นได้ แต่กระทรวงการคลังจะพยายามหาทางป้องกันให้มากที่สุด โดยมองว่าระบบการดำเนินงานผ่านบล็อกเชนจะสามารถตรวจสอบได้ ซึ่งพร้อมรับฟังทุกข้อเสนอแนะและหาทางแก้ไขต่อไป

รู้จัก 'พี่อ้อย-จงรักษ์ อมรเพชรสถาพร' สาวพันปีแห่งปากน้ำโพ สลัดบ่วงแห่งความยึดติด แล้วใช้สิทธิเสิร์ฟ 'สุข' ภาพให้ตัวเอง

จากรายการ BABY BOOM พาไปรู้จักกับ 'พี่อ้อย-จงรักษ์ อมรเพชรสถาพร' เซเลปสาวสายสุขภาพแห่งปากน้ำโพ จ.นครสวรรค์ บุคคลที่ชาวบ้านย่านปากน้ำโพ มักจะรู้จักเธอเป็นอย่างดี ในฐานะสาวเอวคอดสุดสมาร์ตที่ออกกำลังกายหนักได้หลากหลายรูปแบบ ยิ้มแย้ม และให้มุมมองความคิดดี ๆ แก่คนรอบข้างที่มีโอกาสได้พบเจอกับเธอยังสถานที่เสริมสุขภาพทั้งหลาย

แน่นอนว่า ด้วยวัยที่เรียกว่าใกล้จะได้เบี้ยสูงอายุในอีกไม่นาน (อุ๊บ!!) ทาง THE STATES TIMES เลยขอล้วงความลับและแรงบันดาลใจในการดูแลสุขภาพกาย รวมถึงสภาพจิต พร้อมทั้งมุมมองการใช้ชีวิตกับคนต่างวัยในยุคต่างความคิด ที่ทำให้เธอดูดีแบบทุกวันนี้กัน...

>>แรงบันดาลใจสู่การลุกขึ้นมา ‘ดูแลตัวเอง’ ปล่อยวางจากลูก พร้อมหากิจกรรมเพื่อสุขภาพ

พี่อ้อย จงรักษ์ กล่าวว่า พี่ก็โตมาในยุคที่น้ำไม่ไหล ไฟฟ้าไม่มี เรียนหนังสือปกติ โตมาก็ทำงาน แต่งงานเป็นแม่บ้าน และก็เลี้ยงลูก ชีวิตก็มีแต่ลูก เพราะไม่ได้ทำงาน เลี้ยงลูกอย่างเดียว ไม่มีสังคมอื่นใดเลย จนกระทั่งลูกเรียนจบ เลยทำให้พี่รู้สึกเวิ้งว้าง เพราะสิ่งที่ทำมาตลอดมันสิ้นสุดแล้ว และก็ไม่รู้จะไปทำอะไรต่อ เมื่อตอนที่ลูกสาวคนเล็กเข้ามหาวิทยาลัยได้ เขาก็บอกกับพี่ว่าอยากไปเที่ยวต่างประเทศ ซึ่งพี่ก็ยินดี ลูกก็จัดแจงเรื่องต่าง ๆ และก็ไปเที่ยวฝรั่งเศสกัน พอไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้นคือพี่โดนล้วงกระเป๋า ตอนนั้นพี่สติแตกมาก ๆ แต่กลับกัน ลูกสาวพี่จัดการทุกอย่างเลย แจ้งตำรวจ อายัดบัตร ดำเนินการทุกอย่าง พอกลับมาไทยพี่ก็รู้สึกเลยว่าลูกเราโตแล้ว เขาใช้ชีวิตเองได้แล้ว พี่ก็เริ่มปล่อยวางกับลูกและหันมาดูแลตัวเอง เข้ายิม เข้าฟิตเนส

>>ทัศนคติในการออกกำลังกายแบบฉบับ ‘พี่อ้อย จงรักษ์’

พี่อ้อย จงรักษ์ กล่าวว่า พี่ออกกำลังกายจนกลายเป็นเรื่องในชีวิตประจำวันไปแล้ว ไม่ว่าพี่ไปที่ไหน อยู่ที่ไหน พี่ก็จะมองหาทางที่จะไปออกกำลังกาย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดเลยคืออย่าไปอิงคนอื่น ลองหากิจกรรมที่ทำคนเดียวได้ อีกอย่างคือพี่ไม่ควบคุมอาหารนะ อาจจะเพราะร่างกายเผาผลาญได้ดีด้วย เลยทำให้หุ่นออกมาเป็นแบบนี้ แต่กินมื้อหนัก ๆ ได้แค่มื้อเดียวนะ

>>ช่องว่างระหว่างวัย ‘คนรุ่นใหม่-เก่า’ ในมุมของ ‘พี่อ้อย จงรักษ์’

พี่อ้อย จงรักษ์ กล่าวว่า พี่ว่ามีความต่างนะ และต่างกันเยอะมาก แต่ว่าสิ่งที่ต้องยอมรับเลยคือเด็กรุ่นใหม่ ฉลาด กล้าคิด กล้าเอ๊ะ (สงสัย) คือคนรุ่นพี่เขาไม่กล้าเอ๊ะนะ จะโตมาในกรอบของสังคมเลย ถ้าผู้ใหญ่บอกว่าดี เราก็จะเชื่อว่ามันดี จะไม่มีคำถามเลย แต่สำหรับเด็กรุ่นใหม่จะมีคำถามเยอะมาก แต่ก่อนพี่ก็รู้สึกนะว่าทำไมลูกไม่ฟัง ทำไมไม่เคารพผู้ใหญ่ แต่พอพี่เปิดใจในมองมุมที่เขาคิด เขาพูด เราก็จะเข้าใจ แต่ถ้าเราไม่เปิดใจฟัง ก็จะทำให้เราห่างเหินกับลูก

>>‘เวลา’ เป็นของคนรุ่นใหม่ 
พี่อ้อย จงรักษ์ กล่าวว่า นี่เป็นยุคของเขา เราก็ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า เวลาเป็นของพวกเขา พี่ยกตัวอย่างนะ บางครอบครัวจะมีปัญหาความเห็นต่างทางการเมือง ทำให้เขาเลือกที่จะไม่ออกไปเลือกตั้ง เพราะเขามองว่าถ้าไปเลือกแล้วจะเกิดความขัดแย้งในบ้านของเขา พี่ก็จะแนะนำว่า อย่าไปคิดแบบนั้น ให้ออกไปใช้สิทธิ์เลย ชอบใครก็เลือกคนนั้น แต่…หากไม่รู้จะเลือกใคร ลองดูลูกเรา และเลือกตามลูก เลือกให้ลูก เพราะนั่นคืออนาคตเขา

>>จุดกึ่งกลางที่คนรุ่นใหม่-เก่า ต้อง ‘ปรับเข้าหากัน’
พี่อ้อย จงรักษ์ กล่าวว่า บางครั้งสิ่งที่เรา ‘ต้องการให้เขาทำ’ จริง ๆ แล้วมันทำให้เกิดขึ้นจริงไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็ต้องประนีประนอมกัน ปรับเข้าหากัน หลักการมีได้ แต่ในทางปฏิบัติมันก็ต้องมีการพลิกแพลงบ้าง ก็ต้องฟังกัน ไม่ใช่ว่าพอใครไม่เห็นด้วยก็ใช้วิธีต่อว่าด้วยคำรุนแรง พี่เชื่อว่าถ้าคนเราฟังกัน ยังไงก็คุยกันได้

‘โฆษกรัฐบาล’ แย้ม!! ทิศทาง ‘พรก.ฉุกเฉิน’ 3 จว.ชายแดนใต้ มีแนวโน้มผ่อนคลาย และเอื้อต่อสิทธิเสรีภาพปชช.มากขึ้น

(18 ก.ย. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงการพิจารณาขยายเวลาบังคับใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (พรก.ฉุกเฉิน) ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ว่า เรื่อง พรก.ฉุกเฉินเป็นเรื่องที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน ตนไม่อยากแถลงอะไรมาก เพราะฝ่ายความมั่นคงจะแถลงเองภายใน 1-2 วันนี้ ส่วนตนนั้นสามารถพูดได้ตอนนี้เพียงว่า ทิศทางของเรื่องนี้ จะดำเนินไปในทิศทางที่มีการผ่อนคลายมากขึ้น เอื้อต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนมากขึ้น ส่วนคำว่าดีกว่าเดิม แล้วจะดีขนาดไหน ไม่สามารถตอบที่นี่ได้ตอบได้แค่ว่าอยู่ในทิศทางที่ดีขึ้น ขอให้รอฟังจากฝ่ายความมั่นคงเป็นผู้แถลง

‘รามซาน คาดีรอฟ’ ผู้นำเชเชน คนสนิทของปูติน  ปล่อยคลิปสยบข่าวลือ ‘ยืนยัน’ ยังไม่ตาย!!

หลังจากมีข่าวลือสะพัดในโลกออนไลน์อย่างหนักในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ‘รามซาน คาดีรอฟ’ ผู้มีฉายา ‘คนแกร่งแห่งเชเชน’ โดยปัจจุบันเขาเป็นผู้นำสาธารณรัฐเชเชน ที่ได้รับการหนุนหลังจากวลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ได้มีอาการป่วยหนักถึงขั้นโคม่า หนำซ้ำยังลือไปไกลว่า เขาได้เสียชีวิตแล้วด้วยอาการไตวาย

โดยชาวเน็ตตั้งข้อสงสัยว่า รามซาน คาดีรอฟ อาจถูกวางยาพิษ ซึ่งเป็นวิธีที่สายลับรัสเซียนิยมใช้กำจัดศัตรูทางการเมือง หรือ คนทรยศหักหลัง

สำหรับ รามซาน คาดีรอฟ เป็นทั้งผู้นำในเขตปกครองตนเองเชเชน และยังมีตำแหน่งในกองทัพรัสเซีย คุมกองกำลังพลในสาธารณรัฐเชเชน ที่ขึ้นชื่อในเรื่องสไตล์การรบที่โหดเหี้ยม ดุดัน นับเป็นกองกำลังเสริมทัพที่สำคัญของปูติน ในสงครามยูเครน รองจากกองกำลัง Wagner ของ เยฟเกนี พริโกซิน ที่เพิ่งเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกเมื่อวันที่ 23 สิงหาคมที่ผ่านมา

ฉะนั้น หากข่าวลือเป็นจริง เท่ากับว่าปูตินเสียขุนศึกคนสนิท ที่เป็นมือซ้าย-ขวา ทั้งสองคนในเวลาไล่เรี่ยกัน ที่ล้วนแต่เสียชีวิตด้วยสาเหตุเป็นปริศนาแทบทั้งสิ้น

แต่ล่าสุดเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา รามซาน คาดีรอฟ ได้โพสต์คลิปวิดีโอ 2 คลิป ผ่านช่องทาง Telegram เพื่อเป็นการยืนยันว่าเขายังสบายดี ไม่ได้สิ้นชื่อ หรือ ถูกเก็บ อย่างที่ลือกันสนั่นในโลกออนไลน์

โดยคลิปแรก คาดีรอฟ ใส่เสื้อกันฝันออกมาเดินเล่นในถนนแห่งหนึ่ง ที่ไม่ระบุสถานที่ แม้จะยิ้มให้กล้อง แต่ใบหน้าดูบวมอย่างผิดสังเกต ส่วนคลิปที่สอง เขาออกมากล่าวถึงชาวเน็ตว่า หากใครที่ไม่สามารถแยกข่าวจริง กับข่าวปลอมไม่ได้ แนะนำให้ออกมาเดินออกกำลังกาย สูดอากาศดี ๆ และลองจัดลำดับความคิดตัวเองเสียใหม่ เติมความสดชื่นในชีวิตด้วยสายฝนดูบ้าง

แต่ถึงอย่างไรก็ดี การปล่อยคลิปของคาดีรอฟ ก็ไม่ได้เป็นหลักฐานยืนยันว่าตัวเขาจะยังอยู่ดีตามที่พูดไว้ในคลิป เนื่องจากไม่สามารถระบุ วัน เวลา และ สถานที่ ที่มีการถ่ายคลิปวิดีโอเอาไว้ และไม่มีใครรู้แน่ชัดว่า รามซาน คาดีรอฟ อยู่ที่ไหนในปัจจุบัน

และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ รามซาน คาดีรอฟ มีข่าวลือว่าเสียชีวิต เมื่อต้นปีที่ผ่านมา เคยมีกระแสข่าวความขัดแย้งระหว่าง คาดีรอฟ และกลุ่มนายพลระดับสูงในฝ่ายกลาโหมรัสเซีย จนมีข่าวว่าเขาถูกลอบวางยาพิษ จากศัตรูทางการเมืองของเขาในรัสเซีย แต่สุดท้ายข่าวก็เงียบหายไปช่วงหนึ่ง ก่อนข่าวลือจะกลับมาอีกครั้งในวันนี้

ข่าวแบบนี้ ไม่แปลกใจเท่าไหร่!! เพราะในแวดวงการเมืองรัสเซีย ที่ล้วนมีแต่ข่าวลือ ข่าวลวง ออกมาอย่างสม่ำเสมอ ไม่เว้นแม้แต่ ประธานาธิบดี ปูติน ก็มักมีกระแสข่าวเรื่องปัญหาสุขภาพ โรคอัลไซเมอร์ พาคินสัน หรือ ข่าวเรื่องการลอบสังหารแพร่กระจายในโซเชียลอยู่บ่อยครั้งเช่นกัน

ในโลกที่ข้อมูลข่าวสารล้นทะลัก จนงงไปหมดว่าข่าวไหนจริงหรือเท็จ อาจต้องพักหน้าจอ มาออกกำลังกาย สูดอากาศสดชื่นภายนอกบ้าง อย่างที่ รามซาน คาดีรอฟ แนะนำไว้ ก็เป็นความคิดที่ไม่เลวทีเดียว

‘ท่องเที่ยวฯ’ เล่นใหญ่!! ปี 67 ดึง นทท.เข้าไทย 40 ล้านคน เล็งผนึกกำลังทำงานรอบทิศ พร้อมชูวัฒนธรรมถิ่นเป็นจุดขาย 

(18 ก.ย. 66) จากการประเมินแนวโน้มรายได้รวมจากการท่องเที่ยวต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ในช่วง 5 ปีนับจากนี้ ตั้งแต่ปี 2566-2570 ตามที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดการณ์ไว้เมื่อกลางเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา พบว่าในปี 2570 ประเทศไทยจะมีรายได้รวมจากการท่องเที่ยว 5,599,377 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 25% ของจีดีพี โดยแบ่งเป็นรายได้จากตลาดต่างประเทศ 4,479,502 ล้านบาท และรายได้จากตลาดในประเทศ 1,119,875 ล้านบาท

นอกจากนี้ เมื่อดูเฉพาะเทรนด์การเติบโตของรายได้การท่องเที่ยวจากตลาดต่างประเทศ จะพบว่า...
- ในปี 2566 คาดอยู่ที่ระดับ 1,620,000 ล้านบาท
- ในปี 2567 คาดอยู่ที่ระดับ 2,292,968 ล้านบาท
- ในปี 2568 คาดอยู่ที่ระดับ 2,930,723 ล้านบาท
- ในปี 2569 คาดอยู่ที่ระดับ 3,656,910 ล้านบาท
- ในปี 2570 คาดอยู่ที่ระดับ 4,479,502 ล้านบาท

จากข้อมูลดังกล่าว นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จึงได้เตรียมตั้งเป้าหมายเชิงท้าทาย เพื่อสร้างรายได้รวมการท่องเที่ยวจากทั้งตลาดในและต่างประเทศ 4 ล้านล้านบาทให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ โดยแบ่งเป็นรายได้การท่องเที่ยวเฉพาะตลาดต่างประเทศ 3 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 57.8% จากปี 2562 ก่อนโควิด-19 ระบาดซึ่งมีสร้างรายได้ 1.9 ล้านล้านบาท ส่วนรายได้ตลาดในประเทศวางเป้าไว้ที่ 1 ล้านล้านบาท

“นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลัง และคณะรัฐมนตรี ต่างเห็นตรงกันว่ากระทรวงการท่องเที่ยวฯ เป็นกระทรวงสร้างรายได้เข้าประเทศได้รวดเร็ว เป็นควิกวินของเศรษฐกิจไทย โดยนายกฯ เศรษฐา เป็นประธานนั่งหัวโต๊ะ บูรณาการความร่วมมือกับทุกกระทรวง เห็นได้จากนโยบายยกเว้นวีซ่า (วีซ่า-ฟรี) เป็นการชั่วคราวนานประมาณ 5 เดือนแก่นักท่องเที่ยวจีนและคาซัคสถาน ตั้งแต่วันที่ 25 ก.ย. 2566 - 29 ก.พ. 2567 ตามที่ ครม.เพิ่งมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 13 ก.ย. สามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว”

รมว.ท่องเที่ยวฯ กล่าวอีกว่า สำหรับเหตุผลที่นำร่องมาตรการวีซ่า-ฟรีเป็นการชั่วคราวกับตลาดจีนก่อน เนื่องจากในยุคก่อนโควิด-19 ระบาดเมื่อปี 2562 ตลาดจีนถือเป็นฐานลูกค้าหลัก เดินทางเข้าประเทศไทยมากเป็นอันดับ 1 จำนวนกว่า 11 ล้านคน แต่พอเข้าสู่ยุคหลังโควิด-19 พบว่าตั้งแต่ต้นปี 2566 เดินทางเข้ามาน้อยกว่าที่คาดไว้ จากข้อจำกัดเรื่องกระบวนการขอวีซ่า และกระแสข่าวในโซเชียลมีเดียที่มีการเผยแพร่ข่าวลือเชิงลบของประเทศไทย ทำให้หน่วยงานรัฐต้องเร่งกระตุ้นและทำตลาด สร้างความเชื่อมั่นในการดึงนักท่องเที่ยวจีนกลับมาท่องเที่ยวไทยอีกครั้ง

“เบื้องต้นกระทรวงการท่องเที่ยวฯ คาดการณ์ว่าช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปี 2566 ตั้งแต่เดือน ต.ค.-ธ.ค. จะมีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาเที่ยวไทยเพิ่มขึ้นเป็น 7 แสนคนต่อเดือน จากนั้นจะประเมินผลการดำเนินมาตรการและอาจพิจารณาเพิ่มประเทศเป้าหมายในการออกมาตรการวีซ่า-ฟรี”

รมว.ท่องเที่ยวฯ เผยอีกว่า ในปีหน้ามีเป้าหมายที่จะสร้างรายได้รวมการท่องเที่ยวปี 2567 ของกระทรวงการท่องเที่ยวฯ อยู่ที่ 3 ล้านล้านบาท ฟื้นตัว 100% เทียบกับรายได้รวมปี 2562 จากเป้าหมายดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามา 40 ล้านคน ปรับเพิ่มจากเป้าเดิมที่ ททท. ตั้งไว้ว่าจะดึงเข้ามาไม่น้อยกว่า 35 ล้านคน

ขณะที่เป้าหมายรายได้รวมการท่องเที่ยวปี 2566 ตั้งเป้าไว้ที่ 2.38 ล้านล้านบาท ฟื้นตัว 80% ของปี 2562 โดยจากแนวโน้มตลอดปีนี้คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทย 28 ล้านคน โดยหนึ่งในเป้าหมายใหญ่ของรัฐบาลที่ต้องการขับเคลื่อนประเทศไทยเป็นฮับบันเทิงแห่งเอเชีย (Entertainment Hub of Asia) แนวทางส่งเสริมการจัดอีเวนต์ที่เกี่ยวข้องกับความบันเทิงและกีฬาในประเทศไทย จะต้องเป็นงานที่แปลก ใหญ่ ต่อเนื่อง สร้างสรรค์ และใช้พลังของซอฟต์เพาเวอร์ เพื่อแข่งขันกับประเทศสิงคโปร์ ในการชิงเจ้าฮับบันเทิงของเอเชีย ซึ่งต้องบูรณาการความร่วมมือกับกระทรวงที่เกี่ยวข้องในการยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน เพิ่มความสะดวกด้านการเดินทางไปยังสถานที่จัดงาน

ด้าน นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ปรับเพิ่มเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2567 เป็น 40 ล้านคน จากเป้าเดิมที่ ททท.ตั้งไว้อย่างน้อย 35 ล้านคน มองว่าเป้าหมายดังกล่าวเป็นไปได้ เพราะทั้งนายกฯ เศรษฐา รวมถึงทุกกระทรวงพร้อมสนับสนุนภาคการท่องเที่ยว ททท.จึงพร้อมพุ่งเป้าการทำงานเพื่อบรรลุเป้าหมาย 40 ล้านคน

โดยได้วางยุทธศาสตร์ ‘PASS’ ขับเคลื่อนภาคท่องเที่ยวซึ่งกำลังถูกจับจ้องในฐานะ ‘ควิกวินเศรษฐกิจ’ ไทยตอนนี้ ประกอบด้วย…

1. Partnership 360 ผนึกความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในและนอกอุตสาหกรรมท่องเที่ยว

2. Accelerate Access to Digital Worldพัฒนาองค์กรบนพื้นฐานการตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและเทคโนโลยีดิจิทัล

3. Sub-Culture Movementการลงลึกถึงระดับความเคลื่อนไหวของกลุ่มวัฒนธรรมย่อย แม้ประเทศไทยจะเป็นมหาอำนาจการท่องเที่ยว แต่การแข่งขันช่วงชิงนักท่องเที่ยวเกิดขึ้นทั่วโลก ดังนั้นสิ่งที่เคยทำอย่างการทำตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มกระแสหลักและกลุ่มความสนใจเฉพาะยังต้องเดินหน้า แต่ต้องเจาะกลุ่มความเคลื่อนไหวของวัฒนธรรมย่อยด้วย เพื่อสร้างความแตกต่างแก่ทั้งองคาพยพท่องเที่ยวไทย จำเป็นต้องลงลึกถึงระดับดีเอ็นเอความชอบของนักท่องเที่ยวที่มีเหมือน ๆ กัน

4. Sustainably NOWมุ่งสู่ความยั่งยืนแบบทันที เพราะความยั่งยืนไม่ใช่เทรนด์ แต่ต้องเดินเข้าหา ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถยืนอยู่บนโลกธุรกิจได้ เช่น ทรัพยากรธรรมชาติของประเทศไทย นับเป็นต้นทุนที่มีเหนือกว่าประเทศอื่นๆ ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เดินทางมาสัมผัส แต่เมื่อเกิดภาวะโลกร้อน อย่างภาวะไฟป่าใน จ.เชียงใหม่ ทำให้ไม่สามารถท่องเที่ยวได้หลายเดือน นี่คือสิ่งที่กระทบชัดเจนต่อภาคการท่องเที่ยว

พร้อมกันนี้ ยังได้ดำเนินกลยุทธ์ ‘The LINK : Local to Global’ เชื่อมการทำงานแบบบูรณาการของสำนักงาน ททท.ทั้งตลาดในและต่างประเทศ ด้วยแนวคิดLocal Experience, Innovation, Networking และ Keep Character อีกด้วย

“เทรนด์ของนักท่องเที่ยวทั่วโลกในตอนนี้ ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจในแง่ความยั่งยืนอย่างมาก ทำให้ ททท.วางเป้าหมายปี 2567 มุ่งเปลี่ยนกรอบความคิด (Mindset) ของนักท่องเที่ยวที่มีต่อประเทศไทย สู่การเป็นจุดหมายปลายทางที่มีคุณค่าสูงและความยั่งยืน (High Value and Sustainable Tourism Destination) เพื่อยืนยันว่าภาคท่องเที่ยวไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการทำลายโลก” นางสาวฐาปนีย์ กล่าว

OR ส่งเสริมเกษตรกรปลูกกาแฟอย่างยั่งยืน เพิ่มผลผลิตที่สม่ำเสมอ ควบคู่รักษ์สิ่งแวดล้อม

OR มุ่งส่งเสริมการปลูกกาแฟควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ธรรมชาติในพื้นที่อำเภอแม่แจ่ม พร้อมสนับสนุนโซลาร์เซลล์และพลาสติกคลุมโรงเรือนแก่เกษตรกรอำเภอแม่วางและอำเภอสะเมิงในการปลูกผักอินทรีย์

(18 ก.ย. 66) นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR) พร้อมด้วย นายจินตพันธุ์ ทังสุบุตร ประธานกรรมการกำกับดูแลกิจการที่ดีและการพัฒนาอย่างยั่งยืน และคณะผู้บริหาร ร่วมพิธีเปิดโครงการพัฒนาการปลูกกาแฟอย่างยั่งยืน และเยี่ยมชมพื้นที่กลุ่มเกษตรกรปลูกกาแฟ อ.แม่แจ่ม ดอยอินทนนท์ จ.เชียงใหม่ โดยมีนายเกรียงไกร ไชยพิเศษ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ให้การต้อนรับ

นายดิษทัต กล่าวว่า OR ได้พัฒนาโครงการพัฒนาการปลูกกาแฟอย่างยั่งยืน โดยมีเป้าหมายเพื่อขยายผลองค์ความรู้การทำงานพัฒนาการปลูกและการผลิตกาแฟร่วมกับภาคีเครือข่ายในหลายพื้นที่เพื่อให้เกษตรกรในพื้นที่ที่ยังขาดโอกาสในการพัฒนาทักษะความรู้ได้มีองค์ความรู้ในการประกอบอาชีพอย่างยั่งยืน และเป็นการช่วยเพิ่มพื้นที่ป่าผ่านการส่งเสริมและสนับสนุนเกษตรกรให้ปลูกและผลิตกาแฟให้ได้ผลผลิตกาแฟที่มีคุณภาพตามมาตรฐาน ควบคู่การอนุรักษ์ธรรมชาติ โดยนำต้นแบบการปลูกกาแฟภายใต้ไม้ร่มเงา (ไม้เศรษฐกิจ) มาส่งเสริมในพื้นที่ ช่วยลดการเผาป่าทำไร่เลื่อนลอย ลดการใช้สารเคมียาฆ่าแมลง ทำให้ลดมลพิษต่าง ๆ ส่งผลให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น และยังเป็นช่องทางในการจำหน่ายเมล็ดกาแฟด้วยระบบราคาที่เป็นธรรม (Fair Trade) เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้ที่แน่นอน

ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนผ่าน OR SDG ทั้งในด้าน ‘S’ หรือ ‘SMALL’ ที่มุ่งเน้นการให้โอกาสเพื่อคนตัวเล็ก ด้าน ‘D’ หรือ ‘DIVERSIFIED’ ที่มุ่งสร้างโอกาสเพื่อทุกการเติบโตทุกรูปแบบ และด้าน ‘G’ หรือ ‘GREEN’ ที่มุ่งสร้างสิ่งแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์ (Healthy Environment) เพื่อตอบโจทย์เป้าหมายของ OR 2030

ทั้งนี้ OR มีโรงแปรรูปและจัดเก็บเมล็ดกาแฟคาเฟ่ อเมซอน ตั้งอยู่บนถนนเลี่ยงเมืองสันป่าตองหางดง ต.ทุ่งรวงทอง อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นจุดรับซื้อผลผลิตเมล็ดกาแฟกะลาอะราบิกาในพื้นที่ภาคเหนือจากเกษตรกรผู้ในราคาที่เป็นธรรม และเป็นสถานที่แปรรูปเป็นกาแฟที่มีคุณภาพ ก่อนที่จะจัดส่งให้โรงคั่วกาแฟ คาเฟ่ อเมซอน เพื่อคั่วและจำหน่ายไปยังร้าน คาเฟ่ อเมซอน ทั่วประเทศ

ในโอกาสนี้ OR ยังได้มอบโซลาร์เซลล์จากโครงการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา ให้แก่ กลุ่มวิสาหกิจชุมชน ปลูกแปรรูปพืชผัก สมุนไพรอินทรีย์ ฮักแม่วาง และมอบพลาสติกคลุมโรงเรือนแก่เกษตรกรจากอำเภอแม่วางและอำเภอสะเมิง ซึ่งอยู่ในโครงการส่งเสริมการผลิตพืชอินทรีย์ ที่ OR ได้ร่วมกับ บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด ผู้ดำเนินกิจการร้านอาหารเพื่อสุขภาพภายใต้แบรนด์ ‘โอ้กะจู๋’ ได้ร่วมกันจัดตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนและส่งเสริมกลุ่มเกษตรกรไทยให้มีผลผลิตทางการเกษตรที่สม่ำเสมอ มีคุณภาพ รวมทั้งมีรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืน 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top