Saturday, 10 May 2025
TheStatesTimes

‘ชัยวุฒิ’ สุดแฮปปี้พาลูกนั่งรถไฟฟ้า - ดูหนัง ชี้ กิจกรรมนอกบ้านช่วยสอนเด็กเรียนรู้วิถีสังคม

เมื่อวันที่ 16 ก.ย. 66 นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ใช้เวลาวันหยุดทำหน้าที่พาลูกเที่ยว โดยเมื่อวันเสาร์ที่ 16 กันยายน 2566 ได้พาลูก ๆ ทั้ง 3 คน ขึ้นรถไฟฟ้าไปดูหนัง พร้อมโพสต์ภาพและข้อความ ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า “นั่งรถไฟฟ้าไปดูหนังกันครับ”

ทั้งนี้ นายชัยวุฒิ ย้ำว่า หากมีเวลาว่างในวันหยุด จะใช้เวลาที่มีอยู่กับลูก ๆ เสมอ พร้อมกับจะพาเด็ก ๆ ออกไปเที่ยวหาประสบการณ์นอกบ้านเป็นประจำ เพราะมองว่า ประสบการณ์นอกบ้านนั้น คือส่วนสำคัญที่จะสอนให้เด็ก ๆ รู้จักการเข้าสังคมและเห็นวิถีชีวิตของคนส่วนใหญ่ในสังคม

‘กองสลาก’ เปิดขาย ‘สลาก L6’ งวดแรก ผ่านแอปฯ เป๋าตัง หนุนคนไทยซื้อเข้าถึงสลากฯ ในราคาที่เป็นธรรม

(17 ก.ย. 66) พันโทหนุน ศันสนาคม ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่สำนักงานสลากฯ ดำเนินโครงการสลากดิจิทัล โดยทำการเปิดขายครั้งแรกในงวดวันที่ 16 มิ.ย. 65 ที่จำนวน 5 ล้านใบ ได้รับความสนใจจากประชาชนผู้ซื้อสลากฯ รวมทั้งตัวแทนรายย่อยผู้ค้าสลากเป็นจำนวนมาก มาอย่างต่อเนื่อง จนถึงขณะนี้ มีปริมาณสลากดิจิทัลทั้งสิ้นกว่า 20 ล้านใบ และยังคงสามารถจำหน่ายได้หมดทุกงวด สะท้อนให้เห็นถึงความชัดเจนของแนวทางการแก้ปัญหาสลากเกินราคาฯ ที่ดำเนินการเป็นขั้นเป็นตอน เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่า “สลาก 80 บาทมีอยู่จริง” และภายในปี 2566 สำนักงานสลากฯ ยังคงตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มจำนวนสลากดิจิทัล เพื่อให้ประชาชนผู้ซื้อสามารถเข้าถึงสลากฯ ราคา 80 บาท

ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวต่อไปว่า สำหรับสลากงวดวันที่ 1 ตุลาคม 2566 ที่จะเริ่มขายในวันที่ 17 กันยายน 2566 นี้ เป็นงวดแรกที่จะจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลหกหลัก (Lottery 6 : L6) ทั้งสลากใบ และสลากดิจิทัล รวม 101 ล้านฉบับ แบ่งเป็น สลากใบ 80 ล้านฉบับ และสลากดิจิทัล 21 ล้านฉบับ ทั้งนี้ สลากใบจะมีลักษณะเหมือนกับสลากที่ขายอยู่ในปัจจุบันทุกประการ คือ มีการพิมพ์บนกระดาษป้องกันการปลอมแปลง มีลายน้ำ และเส้นไหมสอดแทรกอยู่ในเนื้อกระดาษ มีการพิมพ์สัญลักษณ์ป้องกันการปลอมแปลงต่าง ๆ รวมถึงพิมพ์ข้อความ L6 แบบใบ ลงบนสลากด้วย ในขณะที่ สลากดิจิทัล ไม่ได้มีการพิมพ์ขึ้นมาเป็นใบ แต่เป็นข้อมูลที่อยู่ในระบบดิจิทัล มีการพิมพ์ข้อความ L6 แบบดิจิทัล บนสลาก และทำการซื้อขายผ่านแอปเป๋าตัง

ส่วนการขึ้นเงินรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลหกหลัก (Lottery 6 : L6) แบบใบ สามารถขึ้นเงินรางวัลได้ที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล หรือที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารกรุงไทย และธนาคารออมสินทุกสาขา โดยนำสลากใบที่ถูกรางวัลพร้อมด้วยบัตรประจำตัวประชาชนเพื่อแสดงต่อเจ้าหน้าที่ ส่วนสลากกินแบ่งรัฐบาลหกหลัก (Lottery 6 : L6) แบบดิจิทัล ระบบจะตรวจสอบการถูกรางวัลให้อัตโนมัติ โดยผู้ซื้อสามารถเลือกรับเงินรางวัลโดยการโอนเข้า บัญชีธนาคารกรุงไทย หรือเข้า G-Wallet ของผู้ซื้อได้ภายในไม่เกิน 2 ชั่วโมง

ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวว่า สำนักงานสลากฯ ยังคงตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มจำนวนสลากดิจิทัล เพื่อให้ประชาชนผู้ซื้อ สามารถเข้าถึงสลากฯ ราคา 80 บาท ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มจำนวนสลากดิจิทัล เป็น 30 ล้านใบ หรือเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 2 ล้านใบต่องวด ตามภาวะตลาดในแต่ละงวด และไม่กระทบสลากแบบใบในระบบที่มีอยู่ 80 ล้านใบ โดยจะทยอยเชิญรายย่อยที่ลงทะเบียนเป็นตัวแทนจำหน่ายสลากดิจิทัลมาทำสัญญา

รวมทั้งยังมีการเปิดให้ตัวแทนประเภทบุคคลรายย่อยทั่วไป คนพิการ สมาคม องค์กร มูลนิธิ และผู้มีสิทธิ์ทำรายการซื้อ-จองล่วงหน้าสลากกินแบ่งรัฐบาล แจ้งความประสงค์โดยสมัครใจเข้าร่วมเป็น ตัวแทนจำหน่ายสลากดิจิทัล (Lottery 6 หรือ L6) ตั้งแต่วันที่ 28 ส.ค.2566 – 28 ต.ค.2566 ผ่านเว็บไซต์ www.glo.or.th อีกด้วย

‘สภาอุตฯภาคเหนือ’ ชี้ ฝุ่นควันเชียงใหม่ทำสูญ 3 หมื่นลบ. หวังโครงการ ‘หยุดเผาเรารับซื้อ’ แก้ปัญหา PM2.5 อย่างยั่งยืน

อย่างที่ทราบกันดีว่า ในช่วงหน้าแล้งของทุกปี จังหวัดเชียงใหม่และภาคเหนือตอนบน ต้องเผชิญกับสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควันแทบจะกลายเป็นเรื่องปกติ เมื่อเวลาพูดถึงเชียงใหม่ คนส่วนใหญ่พูดถึงหมอกควัน ไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือคนต่างประเทศ ต่างมุ่งไปที่จุดเดียวกันว่า เชียงใหม่ในวันนี้ มาพร้อมกับคําว่า “ฝุ่นควัน” แน่นอนว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น ได้ส่งผลกระทบทั้งเรื่องด้านสุขภาพ และด้านเศรษฐกิจ

นายอนุชา มีเกียรติชัยกุล รองประธานสภาอุตสาหกรรมภาคเหนือ ได้ให้ข้อมูลถึงผลกระทบจากไฟป่าและหมอกควัน PM2.5 ว่า จากผลการวิจัยและเก็บข้อมูล พบว่า เศรษฐกิจของจังหวัดเชียงใหม่เสียหายประมาณ 30,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเรื่องแรกที่ได้รับผลกระทบ เป็นเรื่องของทรัพยากรมนุษย์ เกิดการเจ็บป่วย มีค่าใช้จ่ายในการรักษาตลอดในช่วงเวลาสามเดือนที่เกิดฝุ่นควัน และยังเกิดความเสียหายต่อประสิทธิภาพในการทำงานของบุคลากรในพื้นที่ด้วย ทั้งนี้ หากภาคแรงงานในช่วงนั้น เกิดการเจ็บป่วย แน่นอนว่า ย่อมทำให้ภาคการผลิตต้องชะลอตัวลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ขณะที่ความเสียหายส่วนที่สอง เป็นเรื่องของทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งระบบนิเวศเชิงเศรษฐกิจและเชิงเกษตร เนื่องจากภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ มีอุตสาหกรรมที่สําคัญ นั่นก็คืออุตสาหกรรมอาหารแปรรูป เมื่อระบบนิเวศเปลี่ยน ย่อมส่งผลให้หลาย ๆ อย่างเปลี่ยนไปมากเช่นกัน ดังจะเห็นได้จากผลผลิตภาคการเกษตรที่ลดลง จากผลกระทบในเรื่องของโลกร้อน

และไม่เพียงแต่ความเสียหายจากผลผลิตที่ลดลงเท่านั้น ในด้านสิ่งแวดล้อมยังต้องมีค่าใช้จ่ายจำนวนมากในการที่จะฟื้นฟูให้กลับมาเป็นเช่นเดิม

และแน่นอนว่า เรื่องที่ได้รับผลกระทบที่ชัดเจนที่สุด ก็คือเรื่องการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงใหม่ โดยในช่วงปกตินั้นจังหวัด เชียงใหม่จะมีรายได้จากการท่องเที่ยวกว่า 10,000 หมื่นล้านบาทต่อเดือนนะครับ แต่ทว่าในช่วงสามเดือนที่เกิดวิกฤตฝุ่นควันนั้น ไม่ว่าคนไทยหรือชาวต่างชาติ แทบจะไม่มาเยือนเชียงใหม่เลย ทำให้รายได้หายไปราว 30%

นอกจากนี้ วิกฤตฝุ่นควันที่เกิดขึ้น ยังลามไปถึงภาคการค้าการลงทุนด้วย โดยพบว่านักลงทุนต่างชาติที่จะเข้ามาดำเนินธุรกิจโรงแรม และโรงเรียนหลายโครงการได้ชะลอการลงทุน เนื่องจากมองว่า จะเกิดความเสียหายต่อธุรกิจหากสถานการณ์ฝุ่นควันยังเกิดขึ้นทุกปี

“ความไม่แน่นอนเป็นเรื่องสําคัญมากในการที่นักลงทุนจะเข้ามาดำเนินธุรกิจ ทำให้ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา การลงทุนธุรกิจโรงเรียนและโรงแรม ได้หยุดชะงักไปหลายโครงการมาก และบางส่วนเปลี่ยนไปลงทุนที่อื่น ซึ่งภาคการลงทุนถือว่าสำคัญมาก และเราต้องสูญเสียเม็ดเงินส่วนนี้ไป 3-4 หมื่นล้านทุกปี เป็นระยะเวลานับ 10 ปีแล้ว ซึ่งเราต้องหันมาแก้ปัญหาอย่างจริงจัง และเชื่อว่าโครงการที่เป็นความร่วมมือของภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชน ที่เปิดโครงการหยุดเผาเรารับซื้อ เพื่อนำเศษตอซังข้าวโพดและเศษใบไม้ ไปต่อยอดเป็นพลังงานชีวมวล ซึ่งเป็นโครงการที่ดีที่ได้ภาคเอกชนมาเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไขปัญหา ซึ่งจะนำไปสู่การฟื้นฟูสภาพอากาศของเชียงใหม่ได้อย่างยั่งยืน”

5 อันดับ เมืองจุดหมายปลายทางยอดนิยม สำหรับเที่ยวบินระหว่างประเทศ (ม.ค.-มิ.ย. 66)

(15 ก.ย. 66) ออมรี มอร์เกนสเติร์น ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร อโกด้า (Agoda)แพลตฟอร์มดิจิทัลด้านการท่องเที่ยว กล่าวว่า อโกด้าได้เปิดเผยจุดหมายปลายทางสำหรับการจองเที่ยวบินระหว่างประเทศที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 (ม.ค.-มิ.ย.) ปรากฏว่าประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครอง 5 อันดับแรก มีกรุงเทพฯ (ประเทศไทย) คว้าอันดับ 1 ตามมาด้วย สิงคโปร์, โซล (ประเทศเกาหลีใต้), โฮจิมินห์ ซิตี้ (ประเทศเวียดนาม) และกัวลาลัมเปอร์ (ประเทศมาเลเซีย)

เมื่อพิจารณาถึง 5 เมืองยอดนิยมที่นักท่องเที่ยวชาวไทยตัดสินใจเลือกเดินทาง พบว่าประเทศเวียดนามกำลังได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเมืองดานัง ฮานอย หรือโฮจิมินห์ ซิตี้ เมืองเหล่านี้ถือเป็นจุดหมายปลายทางในฝันของนักท่องเที่ยวจากประเทศไทยตามลำดับ โดยมีฮ่องกงและกัวลาลัมเปอร์ตามมา ซึ่งจุดหมายสำหรับการท่องเที่ยวภายในประเทศยอดนิยม 3 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ และภูเก็ต

ออมรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ อโกด้า ได้จัดอิมเมอร์ซีฟอีเวนต์ครั้งแรกของแบรนด์เพื่อเปิดตัวบริการจองตั๋วเครื่องบิน ‘Agoda Flights’ อย่างเป็นทางการ โดยงาน ‘Fly for Less'’ คืออีเวนต์ที่อโกด้าจัดขึ้นเพื่อพาผู้ใช้งานแพลตฟอร์มเดินทางท่องเที่ยวแบบเสมือนจริง สู่จุดหมายปลายทางยอดนิยมที่นักท่องเที่ยวเลือกบินไปเที่ยวพักผ่อน งานจัดขึ้นระหว่างวันที่ 14 - 16 ก.ย. 66 ตั้งแต่เวลา 10.00 น. - 22.00 น. ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์

งาน Fly for Less เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าร่วมงานโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งผู้ร่วมงานจะได้เดินทางแบบเสมือนจริง ผ่านการรับชมวีดีโอที่ฉาย 360 องศาในโดม นอกจากนี้ ภายในงานยังมีบูธถ่ายภาพให้ผู้เข้าร่วมงานได้เก็บภาพทริปเดินทางในฝันของตนเอง ส่วนลดสำหรับจองตั๋วเครื่องบินสูงสุด 350 บาท และสิทธิ์ลุ้นรับรางวัลตั๋วเครื่องบิน 1 ใบ จากทั้งหมด 100 ใบ ‘ฟรี’ เมื่อร่วมเล่นเกมชิงรางวัล

“เราต้องการเป็นแพลตฟอร์มท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวเลือกใช้และนึกถึงเป็นอันดับ 1 ซึ่งนักท่องเที่ยวจะได้จองตั๋วเครื่องบิน และหรือกิจกรรมต่าง ๆ ในราคาที่คุ้มค่าพอ ๆ กับราคาที่พักที่พวกเขาจองที่พักกับอโกด้า และนี่เป็นเหตุผลว่าทำไมอโกด้าจึงเปิดตัวฟีเจอร์จองเที่ยวบิน Agoda Flights บนแพลตฟอร์มของเราเมื่อปี 2019 โดยใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยให้นักท่องเที่ยวหาดีลเดินทางที่ดีที่สุดได้อย่างสะดวกที่สุด เรารู้สึกยินดีมากที่จะเฉลิมฉลองการเปิดตัว Agoda Flights อย่างเป็นทางการ ด้วยการจัดงาน Fly For Less ที่ใจกลางกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมที่นักท่องเที่ยวเลือกบินมาเที่ยวมากที่สุด” ออมรี กล่าวทิ้งท้าย

เปิดวิธีการ ‘ทุนจีนเทา’ ฟอกเงินในสิงคโปร์ ‘ซื้อสัญชาติ-ถือครองทรัพย์หรู-ซื้อหุ้นหลากบริษัท’

(17 ก.ย. 66) เพจ ‘World Forum ข่าวสารต่างประเทศ’ ได้เผยผลสอบสวนคดีฟอกเงินจากประเทศสิงคโปร์ โดยเมื่อ 17 ส.ค.ที่ผ่านมา (***ลิงก์ต้นข่าวสิงคโปร์ เมื่อวันที่จับกุม 17 ส.ค. 66 >> https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=843361127352891&id=100050370353740&mibextid=Nif5oz) ได้มีการจับกุม 10 ผู้ต้องหาสัญชาติจีน พร้อมตรวจค้น และยึดทรัพย์สินได้กว่า 46,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นสถิติมากสุดในประวัติศาสตร์

โดย 10 คนสัญชาติจีนนี้ ส่วนใหญ่มาจากฟูเจี้ยน ถือพาสปอร์ต กัมพูชา 3 ราย และวานาอูตู, ไซปรัส, ตุรกี ตามลำดับ ซึ่งผลสอบสวนล่าสุด พบว่า มีการซื้อขายสัญชาติเฉพาะกัมพูชา อยู่ที่ราคาประมาณ 4.6 ล้านบาท

ทั้งนี้ การซื้อขายสัญชาติ เป็นสวรรค์ของแก๊งมิจฉาชีพ และผู้หนีคดี อาทิ แก๊งคอลเซ็นเตอร์  หลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต, การพนันออนไลน์, การซื้อขายสินทรัพย์เสมือน (เงินดิจิทัล) และการขนเงินออกจากจีน เพื่อมาซื้อสินทรัพย์ต่างประเทศ หรือเงินทุจริตยักยอกออกนอกประเทศ ที่เรียกว่า ‘ธนาคารใต้ดิน’

ในส่วนของประเด็นการฟอกเงินในสิงคโปร์ สามารถสรุปวิธีการได้ ดังนี้...
1.) ขายสินค้าออนไลน์ แบรนด์เนม กระเป๋านาฬิกา ไวน์ รถยนต์ อสังหาฯ
2.) ครอบครองอสังหาฯ หรู รถยนต์ บ้าน คอนโด
3.) ซื้อหุ้น บริษัทต่างๆ
4.) รับเงินโอน แทน แรงงานต่างด้าว (อาทิ แรงงานจะโอนเงินออกจากสิงคโปร์ แล้วแก๊งจะเป็นตัวแทนโอนแทน โดยมีเครือข่ายในประเทศต้น-ปลายทาง ได้ฟอก และกำไรจากเรทเงิน)

‘นายกฯ เศรษฐา’ หนุนสร้าง ‘สนามบินเชียงใหม่’ 7 หมื่นล้าน เล็งเพิ่มเที่ยวบินรอบดึก รองรับ นทท.-ลดความแออัดสนามบิน

(17 ก.ย. 66) ที่ท่าอากาศยานเชียงใหม่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พบปะผู้บริหารการท่าอากาศยานเชียงใหม่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) เพื่อร่วมพูดคุยประเด็นการเพิ่มเที่ยวบินหลังเที่ยงคืน เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น โดยมีนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เข้าร่วม

นายกรัฐมนตรี รับฟังการดำเนินการเตรียมการรองรับการเพิ่มเที่ยวบินหลังเที่ยงคืน เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น การพัฒนาปรับปรุงท่าอากาศยานเชียงใหม่ เช่น การพัฒนาปรับอาคารผู้โดยสารเดิม การก่อสร้างอาคารผู้โดยสารใหม่ (แต่อยู่ในพื้นที่เดิม) รวมถึงการก่อสร้างสนามบินแห่งที่ 2 ในการแก้ปัญหา capacity หรือความแออัดของผู้โดยสารของสนามบินเชียงใหม่ปัจจุบันที่แม้จะมีการพัฒนาปรับปรุงสนามบินเพื่อรองรับผู้โดยสารแล้ว แต่เพื่อให้มีประสิทธิภาพรองรับผู้โดยสารได้มากขึ้นตามเป้าหมายคือ 20 ล้านคนต่อปี จึงต้องมีการก่อสร้างสนามบินแห่งที่ 2 ขึ้น ส่วนการเพิ่มเที่ยวบินหลังเที่ยงคืนนั้น ก็สามารถดำเนินการได้โดยไม่ขัดต่อกฎหมายที่มีอยู่

นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำว่า  AOT นอกจากดูแลเรื่อง EIA และผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ แล้วก็ให้ดูแลเยียวยาประชาชน ลดผลกระทบด้านเสียงให้เป็นไปอย่างเหมาะสม รวมถึงเยียวยาจิตใจด้วย พร้อมสอบถามถึงการก่อสร้างสนามบินแห่งใหม่ที่ใช้เงินลงทุนประมาณ 7 หมื่นล้านบาท ระยะเวลา 7 ปี จะเกิดความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์ต่อประชาชนมากน้อยเพียงใด เมื่อเทียบกับสนามบินปัจจุบันที่ผลกำไรอยู่ที่ 2 พันล้านบาทต่อปี ซึ่ง AOT รายงานว่าเมื่อก่อสร้างสนามบินแห่งใหม่แล้วเสร็จจะสามารถมีกำไรอยู่ที่ประมาณ 3 พันล้านบาทต่อปี และสามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 20 ล้านคนต่อปี ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

ทั้งนี้ ในส่วนของระยะเวลาดำเนินการ 7 ปีนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าเป็นระยะเวลาที่เหมาะสม และขอเร่งดำเนินการให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ เพื่อรองรับผู้โดยสารได้ตามเป้าหมาย และเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจตามนโยบายรัฐบาล

นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงนโยบายฟรีวีซ่าของรัฐบาล ซึ่งจะทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีนนั้น ขอให้ AOT และ ตม. รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาเกิดความประทับใจและมีความปลอดภัย ขณะเดียวกันหากมีประเด็นการนำเสนอข้อที่เป็นไปในทิศทางอ่อนไหวและไม่ถูกต้อง ขอให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งชี้แจง ทำความเข้าใจกับสังคมผ่านช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ โดยเฉพาะสื่อสังคมออนไลน์ ในรูปแบบที่น่าสนใจและเข้าใจง่าย หรือการใช้ Influencer ต่าง ๆ เข้ามาช่วยอีกทางหนึ่งก็ได้ ซึ่งจะสามารถสร้างความเข้าใจได้มากขึ้น

‘บิ๊กโจ๊ก’ จ่อแจ้งข้อหา 14 ตร. ร่วมงานเลี้ยงบ้านกำนันนก ผิด 157-ให้การเท็จ ไร้ความละอายใจต่อเกียรติภูมิตำรวจ

(17 ก.ย. 66) พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) เปิดเผยทางโทรศัพท์ถึงความคืบหน้าการดำเนินคดีกับตำรวจที่ร่วมงานเลี้ยงบ้านของ นายประวีณ จันทร์คล้าย หรือ กำนันนก ว่า จากการประชุมสรุปผลการตรวจสอบภาพกล้องวงจรปิดประกอบสำนวนคำให้การของตำรวจทุกนายที่เข้าร่วมงานเลี้ยงและประจักษ์พยานในที่เกิดเหตุ

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวต่อว่า ทำให้สามารถสรุปได้ว่ามีข้าราชการตำรวจที่เข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 และให้การเท็จต่อพนักงานสอบสวน โดยไม่ละอายใจต่อเกียรติภูมิความเป็นตำรวจ จึงต้องดำเนินคดีกับตำรวจทุกนายที่มีพฤติกรรมกระทำผิด ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่ามีตำรวจที่เข้าข่ายกระทำความผิดรวม 14 นาย

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า เป็นกลุ่มตำรวจที่ไม่ให้การช่วยเหลือ พ.ต.ต.ศิวกร สายบัว หรือ สารวัตรแบงก์ และ พ.ต.ท.วศิน พันปี รอง ผกก.2 บก.ทล. อาทิ พ.ต.อ.กฤษฎาพร จงอักษร ผกก.สน.พญาไท ถูกดำเนินคดีในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 ส่วนข้อหาแจ้งความเท็จหรือให้การเท็จนั้น อยู่ระหว่างการพิจารณา

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า รวมถึง พ.ต.อ.วชิรา ยาวไทยสงค์ หรือ ผกก.เบิ้ม ก็ถูกดำเนินคดีในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ด้วยเช่นกัน แต่เนื่องจากเสียชีวิตไปแล้ว พนักงานสอบสวนจะระบุท้ายสำนวนว่าเสียชีวิตแล้ว ส่วนพ.ต.ท.วศิน ซึ่งก่อนหน้านี้มีรายงานว่า เป็นหนึ่งในผู้ที่จะถูกแจ้งข้อกล่าวหาฐานแจ้งความเท็จ แต่ล่าสุดจากการตรวจสอบสำนวนคำให้การและภาพประกอบวงจรปิด พบว่าคำให้การนั้นตรงกันและอยู่ในฐานะผู้เสียหายจึงรอดไม่ถูกดำเนินคดี

รองผบ.ตร. กล่าวด้วยว่า อย่างไรก็ตาม สำหรับการแจ้งข้อกล่าวหาตำรวจทั้ง 14 นาย เป็นอำนาจหน้าที่ของตำรวจสอบสวนกลาง ซึ่งพล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ได้มอบหมายให้พนักงานสอบสวนกองปราบปราม นำโดย พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ เป็นหัวหน้าชุดในการดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาในครั้งนี้ โดยจะเรียกตำรวจทั้ง 14 นาย มารับทราบข้อกล่าวหาภายในวันนี้

‘ชลน่าน’ เปิดศูนย์ทันตกรรม-ไตเทียม รพ.วัดสมานรัตนาราม ตั้งเป้าขยายศูนย์บริการ ชู รพ.แพทย์แผนไทย รองรับอีอีซี

(17 ก.ย. 66) ที่โรงพยาบาลวัดสมานรัตนาราม (พุทธโสธร 2) จังหวัดฉะเชิงเทรา นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวภายหลังเปิดศูนย์ทันตกรรม ศูนย์ไตเทียม โรงพยาบาลวัดสมานรัตนาราม (พุทธโสธร 2) พร้อมตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก สาขาเขตสุขภาพที่ 6 ว่า…

จังหวัดฉะเชิงเทรา มีการก่อสร้างโรงพยาบาลวัดสมานรัตนาราม (พุทธโสธร 2) เพื่อดูแลประชาชนในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียง ให้ได้รับบริการสาธารณสุขที่ได้มาตรฐาน เท่าเทียม มีความเสมอภาค รวมถึงรองรับแผนพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก และยังมีโรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ที่จะช่วยในมิติการให้บริการประชาชนสมบูรณ์มากขึ้น โดยนำภูมิปัญญาไทยมาสร้างเสริมสุขภาพ

นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัด สธ. กล่าวว่า รพ.วัดสมานรัตนาราม เป็น รพ.ขนาด 150 เตียง ได้รับการสนับสนุนจาก ท่านเจ้าคุณพระประชาธรรมนาถ เจ้าอาวาสวัดสมานรัตนาราม รวบรวมงบประมาณจากผู้มีจิตศรัทธากว่า 1 พันล้านบาท ก่อสร้างบนพื้นที่ 4 ไร่เศษ มีพื้นที่ใช้สอย 38,000 ตารางเมตร อยู่ห่างจาก รพ.พุทธโสธร 15 กิโลเมตร เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันที่ 4 ธ.ค 2563

ประกอบด้วย แผนกผู้ป่วยนอกทั่วไป ทันตกรรม การแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ห้องปฏิบัติการ เอกซเรย์ เภสัชกรรม เวชระเบียน และงานประชาสัมพันธ์ ปัจจุบันได้เพิ่มบริการศูนย์ไตเทียม จำนวน 5 เตียง ตั้งเป้าขยายบริการเป็น 24 เตียง

โดยมี รพ.พุทธโสธร สนับสนุนบุคลากรแพทย์ พยาบาลและสาธารณสุข มูลนิธิ รพ.วัดสมานรัตนาราม สนับสนุนเครื่องมือ วัสดุและอุปกรณ์การแพทย์ รวมถึงได้รับงบประมาณสนับสนุนบางส่วนจากสำนักงานเขตสุขภาพที่ 6

สำหรับ รพ.การแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสาน สาขาเขตสุขภาพที่ 6 อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา เป็นหน่วยงานภายใต้สังกัดกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ให้บริการตรวจวินิจฉัย รักษา ฟื้นฟู ส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค ด้วยศาสตร์การแพทย์แผนไทย และการแพทย์ทางเลือกที่ได้มาตรฐาน

รวมทั้งศึกษา วิเคราะห์ วิจัย สร้างนวัตกรรม และพัฒนางานวิชาการในจังหวัดรับผิดชอบและพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งจากการเปิดให้บริการมาพบว่า ผู้ป่วยและประชาชนสนใจเข้ารับบริการเป็นจำนวนมากและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จึงมีแนวคิดที่จะเปิดบริการเพิ่มให้ครบทุกเขตสุขภาพ

‘นักวิชาการนิด้า’ แนะ ควรวางเงื่อนไขแจกเงินดิจิทัลให้คุ้มค่า ต้องเพิ่มทักษะอาชีพ-เน้น ศก.ฐานรากให้การหมุนเวียนเม็ดเงิน

‘นักวิชาการนิด้า’ แนะแนวทางแจกเงินดิจิทัลคนละ1 หมื่นบาท ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ชี้ควรวางเงื่อนไขให้พัฒนาทักษะอาชีพรับทักษะใหม่ๆ เพื่อให้เกิดผลดีต่อเศรษฐกิจ แนะวางเงื่อนไขให้เกิดการทยอยใช้จ่ายในเศรษฐกิจชุมชน เน้นเศรษฐกิจฐานรากให้เกิดการหมุนเวียนเม็ดเงินหลายรอบ

รัฐบาล ‘เศรษฐา1’ ได้มีการบรรจุนโยบายแจกเงินดิจิทัลคนละ 10,000 บาทผ่านดิจิทัล วอลเล็ต (Digital Wallet) เพื่อทำหน้าที่เป็นตัวจุดชนวนที่จะกระตุกเศรษฐกิจประเทศให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง โดยมีเป้าหมายให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้ถึงระดับฐานราก

เมื่อวันที่ 16 ก.ย. 66 นายมนตรี โสคติยานุรักษ์ ผู้อำนวยการหลักสูตรวิทยาการจัดการสำหรับนักบริหารระดับสูง (วบส.) สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) กล่าวว่าการที่รัฐบาลออกมาตรการแจกเงินผ่านดิจิทัลวอลเล็ตเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจโดยหวังให้เกิดการใช้จ่าย บริโภคของประชาชนเนื่องจากเห็นถึงข้อจำกัดในการใช้จ่ายของครัวเรือนไทยที่มีหนี้ครัวเรือนสูงถึง 91.6% ซึ่งทำให้กำลังใช้จ่ายของคนไทยมีจำกัด

หากจะให้มีการใช้จ่ายเพิ่มรัฐบาลจำเป็นที่ต้องเอาเงินไปใส่มือประชาชนเพื่อให้ประชาชนไปใช้จ่าย แล้วรัฐเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการใช้จ่าย และคาดหวังให้เกิดการลงทุนเพิ่มขึ้น เพื่อให้เศรษฐกิจมีการหมุนเวียนคึกคักซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับเศรษฐกิจในระยะต่อไปด้วย

อย่างไรก็ตาม ที่มาของเงินจำนวนนี้เป็นเงินกู้ซึ่งอาจจะเป็นการกู้เงินจากรัฐวิสาหกิจมาใช้ก่อนแล้วรัฐบาลตั้งงบประมาณใช้คืนภายหลัง การกู้ขาดดุลงบประมาณ รวมทั้งอาจมีการออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เพื่อกู้เงินเพิ่มเติมซึ่งจะทำให้ระดับหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี)เพิ่มขึ้นจากระดับปัจจุบันที่ระดับ 61.7% ต่อจีดีพี ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลต้องคิดคือ “เงินมีต้นทุน” จะทำอย่างไรให้เงินจำนวนนี้มีความคุ้มค่ามากที่สุด สามารถหมุนเวียนและสามารถผลักดันให้เศรษฐกิจขยายตัวได้มากที่สุด

“การกำหนดเทคโนโลยีที่จะมาใช้สำหรับการแจกเงินดิจิทัลไม่ใช่เรื่องน่ากังวลเท่าไหร่สำหรับโครงการนี้เพราะหากจะใช้บล็อกเชน หรือใช้โครงการบาทดิจิทัลของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ได้เริ่มมีการทดลองไปแล้วระยะหนึ่งก็สามารถทำได้ แต่การหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องคิดให้รอบคอบเนื่องจากหากให้มีการใช้เงินในร้านค้าสะดวกซื้อขนาดใหญ่ หรือซื้อของจากโมเดิร์นเทรดก็จะทำให้เงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจช้า เนื่องจากเมื่อผู้ซื้อซื้อสินค้าจากร้านค้ารายใหญ่พวกนี้จะมีอำนาจต่อรองสูง กว่าที่จะเอาเงินที่ได้ไปให้ซัพพายเออร์ก็จะใช้เวลาถึง 3-4 เดือน ต่างจากที่มีการซื้อกันในกลุ่มลูกค้ารายย่อยก็จะทำให้เงินหมุนเวียนได้รวดเร็วกว่า

นอกจากนั้น บางสินค้าก็ไม่ได้มีซัพพายเชนในประเทศไทย แต่เป็นแค่มาประกอบในเมืองไทยทำให้สินค้าบางชนิดไม่ได้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจกับประเทศไทยเท่าที่ควร หากรัฐบาลสามารถกำหนดเงื่อนไขลงไปถึงสินค้าที่มีซัพพายเชนในไทยยาวๆก็จะทำให้เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ และการลงทุนเพิ่มขึ้น”

นายมนตรี กล่าวต่อว่าแนวทางของการแจกเงินดิจิทัลที่จะเกิดประโยชน์คุ้มค่ามากที่สุดก็คือการกำหนดเงื่อนไขว่าผู้ที่รับเงินดิจิทัลจากโครงการนี้ต้องเข้าโครงการฝึกอบรมเพิ่มทักษะ ปรับทักษะ (Upskills – Reskills) การทำงานให้สอดคล้องกับตลาดงานสมัยใหม่ที่ต้องการใช้ความรู้และทักษะใหม่ๆ เช่น ทักษะดิจิทัล และทักษะเรื่องการใช้ข้อมูล หากรัฐบาลกำหนดเงื่อนไขการใช้เงินให้ผู้รับเงินต้อง Upskills – Reskills ไปด้วยก็จะเป็นผลดีต่อนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของรัฐบาลที่ต้องการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทต่อวันภายในปี 2570 และเพิ่มเงินเดือนให้กับแรงงานระดับปริญญาตรี 25,000 บาทต่อเดือนภายในปี 2570 ซึ่งค่าจ้างแรงงานที่เพิ่มขึ้น ต้องมาพร้อมกับความสามารถและทักษะของแรงงานที่เพิ่มขึ้นด้วย

สำหรับอีกแนวทางที่สำคัญของการกำหนดเงื่อนไขในการใช้เงินดิจิทัลที่รัฐบาลควรกำหนดคือ ควรทำให้การใช้จ่ายเงินนั้นทยอยลงสู่ระบบเศรษฐกิจ คือให้เกิดการใช้ที่ต่อเนื่องแบบค่อยเป็นค่อยไปและเป็นระยะเวลาที่ยาวนานพอสมควร เช่น สมมุติว่ากำหนดให้การจ่ายใช้จ่ายเงิน 10,000 บาทเป็นระยะๆ เช่น ไตรมาสละ 3,000 บาท 2 ไตรมาส และไตรมาสสุดท้ายให้ใช้ 4,000 บาท ก็จะทำให้เงินจำนวนนี้หมุนเวียนใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจได้นานทั้งปี

โดยเงินจำนวนนี้แม้จะเป็นอีกกระเป๋าของรัฐที่ให้ประชาชนใช้จ่ายแต่เป็นเงินกู้ที่กู้มาทำโครงการที่คาดหวังให้เศรษฐกิจโต ดังนั้นความเสี่ยงก็คือหากโครงการออกไปแล้วเศรษฐกิจไม่โต หรือเศรษฐกิจคึกคักแค่สั้นๆ ก็จะทำให้จีดีพีโตได้น้อย และหนี้สาธารณะต่อจีดีพีก็จะเพิ่มสูงขึ้นซึ่งก็เป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจในระยะต่อไปเมื่อหนี้สาธารณะสูงขึ้น

“การแจกเงินดิจิทัลจะเป็นพายุหมุนทางเศรษฐกิจนั้นตนไม่ค่อยเห็นด้วย เพราะพายุหมุนอาจจะเป็นไต้ฝุ่นที่พัดให้บ้านเรือนพังได้ ถ้าหากทำให้เป็นพายุดีเปรสชั่นอาจจะดีกว่าเพราะฝนจะตกแบบเรื่อยๆค่อยๆสม่ำเสมอ เหมือนเงินที่จะลงไปสู่ระบบเศรษฐกิจแบบค่อยเป็นค่อยไปก็จะทำให้เกิดผลดีกับระบบเศรษฐกิจ แล้วหากสามารถทำให้เกิดการหมุนเวียนในระดับฐานรากของปิรามิดของสังคม ก็จะทำให้เกิดผลดีต่อระบบเศรษฐกิจมากขึ้น” นายมนตรี กล่าว

‘ชาวเช็ก’ นับหมื่น รวมตัวประท้วงเต็มถนน กลางกรุงปราก ต่อต้านรัฐบาลฝักใฝ่ชาติตะวันตก-บริหารเศรษฐกิจย่ำแย่

(17 ก.ย. 66) ประชาชนชาวเช็กนับหมื่นที่สนับสนุนพรรคฝ่ายค้าน ออกมารวมตัวกันบนท้องถนนในกรุงปราก สาธารณรัฐเช็ก เมื่อวันที่ 16 ก.ย.ที่ผ่านมา เพื่อแสดงพลังประท้วงต่อต้านนโยบายของรัฐบาลกลางขวา ที่มุ่งเน้นการดำเนินการตามชาติตะวันตก และให้การสนับสนุนทางทหารต่อยูเครน นอกจากนี้ ยังวิพากษ์วิจารณ์การบริหารจัดการเศรษฐกิจของรัฐบาลด้วย

การประท้วงดังกล่าวนำโดยพรรค PRO ซึ่งไม่มีตัวแทนในรัฐสภา และยึดแนวทางชาตินิยม สนับสนุนรัสเซีย และต่อต้านตะวันตก โดยนายจินดริช ไรซิล ผู้นำพรรค PRO กล่าว่า วันนี้เราก้าวไปอีกขึ้นเพื่อขับไล่รัฐบาลของนายปีเตอร์ ฟิอาลา นายกรัฐมนตรี

“พวกเขาเป็นตัวแทนของมหาอำนาจต่างชาติ เป็นแค่ผู้ทำตามคำสั่ง หุ่นเชิดธรรมดา และเราไม่ต้องการรัฐบาลหุ่นเชิดอีกต่อไป” ไรซิลกล่าว และว่า เช็กควรยับยั้งความพยายามใดๆ ก็ตามของยูเครนที่จะเข้าร่วมกับกองกำลังสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต)

รัฐบาลเช็กชุดปัจจุบันเป็นพันธมิตรใกล้ชิดกับยูเครน โดยได้ส่งทั้งรถถัง เครื่องยิงจรวด เฮลิคอปเตอร์ กระสุนปืนใหญ่ และยุทโธปกรณ์อื่นๆ เพื่อช่วยให้ยูเครนต่อสู้กับการรุกรานของรัสเซีย

ด้านสำนักข่าวซีทีเคประเมินว่า ผู้ออกมาร่วมประท้วงในครั้งนี้อยู่ที่ราว 10,000 คน ซึ่งน้อยกว่าเหตุประท้วงในลักษณะเดียวกันที่เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งปีก่อนหน้า ในช่วงที่ราคาพลังงานของยุโรปพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top