Sunday, 11 May 2025
TheStatesTimes

'บิ๊กก้อง' มั่นใจหลักฐานมัดแน่น 'กำนันนก' สั่งฆ่า ‘สารวัตรสิว' ไม่หวั่นแม้กล้องวงจรปิดกู้ไม่ครบ หลักฐานตอนนี้แน่นหนาพอ

(16 ก.ย.66) ภายหลัง พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. เดินทางกลับถึงประเทศไทยเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ได้เปิดเผยความคืบหน้าคดีนายประวีณ จันทร์คล้าย หรือกำนันนก ว่า แม้ตัวนายประวีณจะถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ แต่แนวทางสืบสวนก็ยังคงดำเนินต่อไป เพื่อสืบหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมเอาผิดนายประวีณให้ได้มากที่สุด เพราะเป็นการกระทำที่อุกอาจ ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง

พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีกล้องวงจรปิดที่ยังกู้ได้ไม่ครบนั้น ยืนยันว่าไม่ได้หนักใจแต่อย่างใด เพราะจากพยานหลักฐานที่มีอยู่ในขณะนี้ก็ถือว่าแน่นหนาพอที่จะบ่งชี้ได้ว่า นายประวีณ คือผู้สั่งการให้ นายธนัญชัย หมั่นมาก หรือ หน่อง ก่อเหตุยิง พ.ต.ต.ศิวกร สายบัว สว.กก.2 บก.ทล.ได้ โดยเฉพาะคำให้การของพยานผู้เห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ พยานแวดล้อม ที่ไปที่มาของอาวุธปืน พฤติกรรมการทำลายหลักฐาน หรือเจตนาของผู้ก่อเหตุ รวมไปถึงมูลเหตุแรงจูงใจ และพยานอื่นๆอีกมากมาย ล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญทางคดี ที่สามารถทำให้นายประวีณ ต้องได้รับโทษสูงสุด คือ ‘ประหารชีวิต’ ได้ 

นอกจากนี้ตนยังได้สั่งการให้ชุดคลี่คลายคดีเร่งขยายผลตรวจสอบเครือข่ายธุรกิจของนายประวีณอย่างละเอียด ทุกกิจการ ว่า เกี่ยวข้องกับการฮั้วประมูลโครงการก่อสร้างต่างๆ หรือ เสียภาษีถูกต้องตามขั้นตอนกฎหมายหรือไม่ รวมไปถึงตรวจสอบทรัพย์สินเงินทองทั้งหมดว่ามีที่ไปที่มาอย่างไร ซึ่งขณะนี้พอมีข้อมูลพยานหลักฐานบ้างแล้ว คงต้องใช้เวลาตรวจสอบหรือขยายผลอีกระยะข้อเท็จจริงก็จะกระจ่างชัด 

ลูกสาว 'สมบัติ ทองย้อย' เล่าเบื้องหลังขอให้ 'สส.ก้าวไกล' ช่วยพ่อ แต่ถูกปฏิเสธกลับมา ทั้งที่ชู 112 รับ!! เจอแบบนี้แล้วหมดศรัทธา

เมื่อวานนี้ (15 ก.ย.66) ลูกสาวของ สมบัติ ทองย้อย อดีตการ์ดเสื้อแดง และผู้ต้องหาคดีมาตรา 112 ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก สมบัติ ทองย้อย โดยระบุว่า ไม่เป็นความจริงที่บอกว่า ”ก้าวไกลช่วยประกันตัว” ถ้าไม่อยากอ่านเยอะข้ามไปข้อ 3 ได้เลยค่ะ

ตรงนี้อยากขอคำอธิบายเพิ่มเติมจากคนที่พิมพ์ข้อความในเชิงนี้นะคะ เพราะในฐานะที่ณัฏเป็นลูกสาวณัฏคิดว่าประโยคนี้ไม่เป็นความจริงค่ะ ตอนที่คุณพ่อโดนคดีเมื่อปีที่แล้วณัฏขอความช่วยเหลือจากหลายฝ่ายมากโดยเฉพาะเรื่องการหานายประกันหรือผู้กำกับดูแล

1. ณัฏเข้าใจดีกว่าพรรคเพื่อไทยจะไม่ยุ่งเรื่อง 112 แต่ตอนนั้นได้โทรคุยกับทางพรรคเรื่องการช่วยเหลือคุณพ่อซึ่งทางพรรคเองขอไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่!! ทางพรรคให้การช่วยเหลือในเรื่องของทนายโดยหากครอบครัวต้องการทนายหรือเปลี่ยนทนายสามารถแจ้งทางพรรคได้ แต่อย่างไรก็ตามทางพรรคเสนอว่าให้เชื่อใจทนายสิทธิ์ในการดำเนินเรื่องซึ่งคุณพ่อเองก็มั่นใจในทนายสิทธิ์จนสุดท้ายสามารถทำให้คุณพ่อออกมาได้

2. ณัฏขอให้คุณหมอทศพรเป็นผู้กำกับดูแลให้คุณพ่อซึ่ง ณ เวลาขณะนั้นเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยอยู่และคุณหมอให้ความร่วมมือและเต็มใจในการให้เอกสารและเป็นผู้กำกับดูแลคุณพ่อแต่สุดท้ายศาลปฏิเสธ

3. มีคนเสนอให้ลองติดต่อพรรคก้าวไกลไปเพราะทางพรรคชูเรื่อง 112 ซึ่งตอนนั้นณัฏติดต่อไปให้มาเป็นผู้กำกับดูแลคุณพ่อในการประกันตัว และใช่ค่ะ ทางพรรคติดต่อกลับมาว่าคนที่สามารถเป็นนายประกันให้ได้ต้องเป็นสส.เขตในบ้านณัฏ ตอนนั้นณัฏรอการตอบกลับจากสส.พรรคก้าวไกลเป็นอาทิตย์ซึ่งเมื่อเทียบกับคุณหมอทศพรณัฏได้เอกสารจากคุณหมอทันทีที่ณัฏขอคุณหมอไป สุดท้ายณัฏได้รับการตอบกลับจากสส.ท่านนั้นซึ่งเป็นคำแจ้งมาจากทนายว่าอะไรรู้ไหมคะ “ส.ส…..ไม่สามารถเป็นผู้กำกับดูแลให้คุณสมบัติ ทองย้อย ได้นะคะ”ตอนนั้นณัฏสงสัยและถามกลับไปว่าทำไม และคำตอบคือ “เนื่องจากภรรยาไม่อยากให้ข้องเกี่ยวกับเรื่อง 112 ค่ะ”

ณัฏเข้าใจพรรคเพื่อไทยได้ว่าที่พรรคไม่สามารถเป็นผู้กำกับดูแลช่วยเหลือกรณี 112 ได้เพราะทางพรรคชัดเจนแล้วว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยว แต่ณัฏพูดตรงๆ ว่าณัฏไม่เข้าใจว่าจริงๆ แล้วหลักการของพรรคก้าวไกลคืออะไร เพราะพรรคคุณชูเรื่อง 112 แต่พอขอความช่วยเหลือคุณกลับปฏิเสธและเหตุผลที่คุณปฏิเสธการช่วยเหลือมันยิ่งทำให้ณัฏไม่เข้าใจและหมดศรัทธาในพรรคก้าวไกลค่ะ พ่อณัฏเป็นคนหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนใจจากพรรคเพื่อไทย แต่บอกเลยว่าณัฏคือคนนึงที่คายส้มจนหมดเปลือก คนที่ช่วยให้คุณพ่อณัฏและครอบครัวได้จริงๆ ณัฏขอบอกเลยว่าคนกลุ่มนั้นคือทนายสิทธิ์ที่ช่วยดำเนินเรื่องคดี กองทุนราษฎรประสงค์และกองทุนต่างๆ ที่ช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายรายวัน รายเดือน และเงินประกัน คนรอบตัวของคุณพ่อเองที่คอยให้กำลังใจหรือโอนเงินช่วยเหลือ คนเหล่านี้แหละค่ะคือคนที่ช่วยคุณพ่อให้ได้ออกมาและทำให้พ่อมีกำลังใจระหว่างอยู่ในนั้น ถ้าหากบอกก้าวไกลช่วยเหลือจนคุณพ่อได้ออกมา ณัฏขอบอกเลยว่าไม่เป็นความจริงค่ะ

ขอชี้แจงเพิ่มเติมเกี่ยวกับ กองทุนราษฎรประสงค์นะคะ เนื่องจากมีการเข้าใจผิดว่าทางกองทุนปฏิเสธช่วยเหลือคุณพ่อ แต่ความจริงทางกองทุนยังคงให้การช่วยเหลือคุณพ่อเหมือนเดิมค่ะ ขอขอบคุณที่ทางกองทุนยังยึดมั่นในหลักการณ์ของตัวเองโดยไม่เลือกปฏิบัติค่ะ

ขอบคุณค่ะ
ณัฏ

'นักวิทยาศาสตร์' โต้!! ร่างมัมมี่จากสิ่งมีชีวิตประหลาดที่เปรู ไม่ใช่ศพของสิ่งมีชีวิตจากต่างดาว หรือ 'เอเลียน' แต่อย่างใด

เมื่อวานนี้ (15 ก.ย.66) ร่างมัมมี่ของสิ่งมีชีวิตประหลาดจากประเทศเปรู ซึ่งมีผู้นำมาแสดงต่อรัฐสภาเม็กซิโกเมื่อวันที่ 12 ก.ย. ที่ผ่านมา โดยอ้างว่าเป็นซากของสิ่งที่ ‘ไม่ใช่มนุษย์’ และมีอายุเก่าแก่นับพันปี ทำให้บรรดานักวิทยาศาสตร์ต้องออกมาโต้แย้งว่า มันไม่ใช่ศพของสิ่งมีชีวิตจากต่างดาว หรือ ‘เอเลียน’ แต่อย่างใด

ในการไต่สวนสาธารณะของรัฐสภาเม็กซิโก ว่าด้วยเรื่องของปรากฏการณ์ทางอากาศที่ยังไม่สามารถอธิบายได้ (Unidentified Aerial Phenomena - UAP) ซึ่งรวมถึงประเด็นเกี่ยวกับอากาศยานลึกลับอย่างยูเอฟโอและมนุษย์ต่างดาวด้วยนั้น นายไฮเม เมาซาน ผู้สื่อข่าวชาวเม็กซิกัน และนายโฮเซ เด เฮซุส ซัลเซ เบนิเตซ แพทย์ทหารสัญชาติเดียวกัน ได้นำร่างมัมมี่ของสิ่งมีชีวิตประหลาด 2 ร่าง มาแสดงต่อหน้าบรรดาสมาชิกรัฐสภาและประชาชนผู้เข้ารับฟังการไต่สวน

ซากศพของสิ่งมีชีวิตประหลาดดังกล่าว มีความสูงไม่ถึง 1 เมตร รูปร่างผอม ผิวสีเทา ศีรษะใหญ่ มีนิ้วมือเพียงข้างละ 3 นิ้ว และในท้องยังมีไข่ที่อาจใช้ในการสืบพันธุ์

นายเมาซานและนายเบนิเตซอ้างว่า ผลตรวจดีเอ็นเอบ่งชี้ชัดเจนว่าพวกมันไม่ใช่มนุษย์ นอกจากนี้ผลการตรวจหาอายุด้วยคาร์บอนกัมมันตรังสียังชี้ว่า ร่างดังกล่าวมีอายุเก่าแก่ถึง 1,000 ปีด้วย

อย่างไรก็ตาม ร่างมัมมี่ของสิ่งมีชีวิตที่อาจเป็นเอเลียนนี้ เคยตกเป็นข่าวเกรียวกราวมาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อช่วงปี 2017-2018 โดยนายเมาซานบอกกับเว็บไซต์ Live Science ว่า เขายังไม่ได้กล่าวฟันธงว่ามันคือร่างของเอเลียนอย่างแน่นอน เพียงแต่ยืนยันว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์

นอกจากนี้ เขายังได้ค้นพบเพิ่มเติมว่ามีอวัยวะเทียมทำจากธาตุออสเมียม (Os) และแคดเมียม (Cd) อยู่ในร่างของมัมมี่ทั้งสองด้วย ซึ่งอวัยวะเทียมทำจากโลหะนี้ ถือเป็นเทคโนโลยีที่มนุษย์ยังไม่รู้จักเมื่อราวหนึ่งพันปีก่อน

ดร.ราฟาเอล โบฮาลิล-ปาร์รา ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมงานวิจัยของมหาวิทยาลัย UAD ในกรุงเม็กซิโกซิตี บอกกับเว็บไซต์ Live Science ว่า ทางมหาวิทยาลัยไม่เคยมีโอกาสได้ตรวจสอบร่างมัมมี่ทั้งสองอย่างที่มีการกล่าวอ้างกัน ส่วนผลวิเคราะห์ดีเอ็นเอนั้นมาจากทางมหาวิทยาลัยจริง แต่ก็ไม่อาจจะเปิดเผยให้สาธารณชนทราบอย่างละเอียดได้ เพราะติดข้อสัญญาการว่าจ้างในเชิงพาณิชย์

อย่างไรก็ตาม ดร.โบฮาลิล-ปาร์รา กล่าวประณามว่า “การที่รัฐสภาของเราให้พื้นที่และโอกาส แก่พวกที่อ้างตนว่าเป็นนักล่ายูเอฟโอนั้น เท่ากับสะท้อนให้เห็นถึงกระแสต่อต้านวิทยาศาสตร์ ซึ่งปัจจุบันกำลังมาแรงในประเทศของเรา”

ผศ.ดร.เดวิด แอนเดอร์สัน ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการปลอมแปลงทางโบราณคดี (pseudoarchaeology) จากมหาวิทยาลัยแรดฟอร์ดของสหรัฐฯ กล่าวชี้แจงว่า “หากร่างมัมมี่ทั้งสองเป็นเอเลียนจริง ผลการตรวจหาอายุด้วยคาร์บอนกัมมันตรังสีที่บ่งชี้ว่ามีอายุเก่าแก่ถึงพันปีนั้น จะเป็นข้อมูลที่ไม่มีความหมายอะไรเลย”

“การตรวจหาอายุทางโบราณคดีนั้น ใช้อะตอมของคาร์บอน 14 ที่เกิดขึ้น เมื่อรังสีจากดวงอาทิตย์ชนเข้ากับบรรยากาศชั้นบนของโลก ดังนั้นในการตรวจหาอายุของร่างเอเลียน เราจะต้องทราบถึงอัตราการผลิตอะตอมคาร์บอน 14 ในชั้นบรรยากาศของดาวที่เป็นบ้านเกิดของพวกเขา ไม่ใช่ในบรรยากาศโลก” ผศ.ดร.แอนเดอร์สัน กล่าว

ดร.แอนดรูว์ เนลสัน หัวหน้าภาควิชามานุษยวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยเวสเทิร์นของแคนาดา กล่าววิจารณ์ว่า “เป็นเรื่องน่าเศร้าที่นิทานลวงโลกของนายเมาซาน ซึ่งถูกเปิดโปงด้วยข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ไปหมดแล้วเมื่อหลายปีก่อน ได้กลับมาปรากฏอยู่ในโลกออนไลน์อีกครั้ง”

ดร.เนลสัน อ้างถึงงานวิจัยเมื่อปี 2017 ของ ดร.โรดอลโฟ ซาลาส-กิสมอนดี นักบรรพชีวินวิทยาสัตว์มีกระดูกสันหลัง จากพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาในกรุงลิมาของเปรู ซึ่งอธิบายว่ากายวิภาคของร่างมัมมี่ที่ดูคล้ายเอเลียนนั้น เกิดจากการดัดแปลงร่างมัมมี่ของมนุษย์ โดยมีการตัดนิ้วมือรวมทั้งหนังและเนื้อเยื่ออ่อนหลังนิ้วหัวแม่เท้า เพื่อให้ดูเหมือนว่ามีนิ้วหัวแม่เท้าที่ยาวผิดปกติ

หากมัมมี่ดังกล่าวเป็นร่างของมนุษย์จริง นายเมาซานจะมีความผิดตามกฎหมายฐานลักขโมยและทำลายศพ รวมทั้งความผิดฐานลักลอบนำวัตถุโบราณออกจากแหล่งต้นกำเนิด

ผู้เชี่ยวชาญจำนวนไม่น้อยยังมองว่า เหตุที่นายเมาซานนำร่างมัมมี่ทั้งสองมาแสดงต่อสาธารณชนอีกครั้งในรัฐสภาของเม็กซิโกนั้น เป็นเพราะต้องการหาผลประโยชน์จากกระแสความตื่นตัวเรื่องยูเอพี (UAP) ซึ่งเม็กซิโกได้รับอิทธิพลจากสหรัฐฯ โดยในช่วงสองปีที่ผ่านมา สภาคองเกรสของสหรัฐฯ ได้จัดการไต่สวนสาธารณะในประเด็นดังกล่าวหลายครั้ง ซึ่งแสดงถึงความนิยมและความเชื่อถือในเรื่องทฤษฎีสมคบคิด ที่กำลังเพิ่มสูงขึ้นในหมู่ชาวอเมริกันและผู้คนทั่วโลก

จับจังหวะเศรษฐกิจ ‘อีสานใต้’ หลังดัชนีความเชื่อมั่น ศก.เพิ่มสูง

รากฐานทางเศรษฐกิจ ชาวอีสานใต้ ศักยภาพคนตัวเล็ก ที่ขับเคลื่อนภาคการเกษตร อุตสาหกรรม การบริการ ในพื้นที่นี้ เป็นอย่างไร มาร่วมเปิดมุมมองใหม่ ๆ ในหลาย ๆ ด้าน กันครับ

ก่อนอื่น คงต้องแนะนำตัวก่อน กับ บทความแรก ของคอลัมน์ ‘คนตัวเล็ก’ ที่เราจะนำพาท่าน ไปลองดูมุมมองต่าง ๆ ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง หรือ อีสานใต้ ว่าการใช้ชีวิต ขนบธรรมเนียม ประเพณีของท้องถิ่น กับ กลไกทางเศรษฐกิจ ที่ขับเคลื่อนจังหวัดต่าง ๆ การสร้างงาน สร้างอาชีพ หลังสภาวะการระบาดอย่างรุนแรงของเชื้อไวรัสโคโรน่า (COVID-19) กลับมาพลิกฟื้นในด้านไหนบ้าง หรือยังมีกลุ่มธุรกิจอะไร ที่ยังคงได้รับผลกระทบอยู่ 

คงต้องเริ่มต้นกับภาพใหญ่ก่อน ในส่วนของ ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค ซึ่งสำนักงานเศรษฐกิจกระทรวงการคลัง ได้ให้ความเห็นไว้ว่า ‘ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาคประจำเดือนสิงหาคม 2566 สะท้อนความเชื่อมั่นเศรษฐกิจใน 6 เดือนข้างหน้าที่มีแนวโน้มดีขึ้น โดยเฉพาะภาคตะวันออก, ภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จากปัจจัยสนับสนุนในภาคบริการเป็นสำคัญ’

- ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันออก อยู่ที่ระดับ 80.2 
- ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของภาคใต้ อยู่ที่ระดับ 77.2 
- ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ที่ระดับ 77.0 
- ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตของภาคตะวันตก อยู่ที่ระดับ 73.0
- ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจ กทม. และปริมณฑล อยู่ที่ระดับ 72.3
- ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคเหนือ อยู่ที่ระดับ 70.4
- ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของภาคกลาง อยู่ที่ระดับ 69.1

สำหรับภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้น ความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจที่ดีขึ้น โดยมีสาเหตุสำคัญมาจาก
ความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในภาคบริการ เนื่องจากมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนในหลายจังหวัดของพื้นที่อย่างต่อเนื่อง และความเชื่อมั่นเศรษฐกิจภาคเกษตรในอนาคตที่ดีขึ้น เนื่องจากคาดว่าราคาผลผลิตทางการเกษตรจะปรับตัวขึ้น ประกอบกับการมีปริมาณน้ำที่เพียงพอ 

ซึ่งแน่นอนว่า ทั้งด้วยพื้นที่ขนาดใหญ่ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระบบโครงสร้างพื้นฐานที่มีการพัฒนาเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก หลายพื้นที่ จึงมีความน่าสนใจจากกลุ่มผู้ประกอบการที่จะเริ่มการลงทุนในธุรกิจใหม่ ๆ ในอนาคตอันใกล้นี้

บทความต่อไป เราจะค่อย ๆ ย่อยลงมาในกลุ่มภาคธุรกิจต่าง ๆ ว่าภาคธุรกิจใด มีดัชนีความเชื่อมั่นในระดับใด ทิศทางการเติบโตมีความน่าสนใจมากน้อยแค่ไหน รอติดตามกันนะครับ

เรื่อง: The PALM

ผบ.ตร.ลงพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 4 เปิดอาคาร สภ.หนองแสง ใหม่ พร้อมอำลาราชการ ตรวจเยี่ยม ให้โอวาท มอบหลวงพ่อโสธรรุ่น “ตร.108 ปี” ชมเชยการทำงานตามนโยบาย ตร. โครงการนาคาพิทักษ์ ต้นแบบแก้ปัญหาผู้ป่วยจิตเวช เน้นย้ำทำงานเชิงรุก ทัศนคติเชิงบวก แก้ปัญหายาเสพติด

วานนี้ (15 ก.ย. 66)  เวลาประมาณ 09.30 น. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. เดินทางไปเป็นประธานเปิดอาคารที่ทำการสถานีตำรวจภูธรหนองแสง จว.อุดรธานี โดยมี พล.ต.ท.ยรรยง เวชโอสถ ผบช.ภ.4 , พล.ต.ต.พิษณุ อุณหเสรี ผบก.ภ.จว.อุดรธานี , พ.ต.อ.จักรทิพย์ กูลพฤกษี ผกก.สภ.หนองแสง พร้อมแขกผู้เกียรติเข้าร่วม

ผบ.ตร. ขึ้นแท่นรับความเคารพและตรวจแถวกองเกียรติยศ มอบสิ่งของบำรุงขวัญ แก่ตำรวจ สภ.หนองแสง และหน่วยตำรวจในพื้นที่ มอบใบประกาศเกียรติคุณผู้สนับสนุนกิจการงานตำรวจ และทำพิธีเปิดอาคาร กดปุ่มเปิดผ้าแพรคลุมป้ายชื่ออาคารที่ทำการ สภ.หนองแสง ตรวจเยี่ยมภายในอาคาร

สำหรับ สภ.หนองแสง แห่งใหม่ ตร.ได้จัดสรรงบประมาณเพื่อสร้างทดแทนอาคารเก่าซึ่งสร้างมาแล้วกว่า 42 ปี รองรับภารกิจดูแลพี่น้องประชาชนในพื้นที่ 4 ตำบล 38 หมู่บ้าน ประชากร 27,176 คน มีตำรวจทั้งสิ้น 60 นาย ทั้งนี้ สถานีตำรวจแห่งใหม่จะรองรับการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจยุคใหม่ ทั้งการอำนวยความยุติธรรม ให้บริการประชาชน ป้องกันปราบปรามอาชญากรรม มีความทันสมัย สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันทุกมิติ

ต่อมาเวลา ประมาณ 11.00 น. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ และคณะ เดินทางมาตำรวจภูธรจังหวัดหนองคาย เพื่ออำลาหน่วย และให้โอวาทตำรวจ โดยมี พล.ต.ท.ยรรยง เวชโอสถ ผบช.ภ.4 , รอง ผบช. , ผบก.ในสังกัด ภ.4 เข้าร่วม ส่วนระดับสถานีตำรวจมีการถ่ายทอดการประชุมทางระบบวีดีโอคอนเฟอร์เร้นท์

ผบ.ตร. ได้กล่าวขอบคุณและชมเชยการปฏิบัติงานของตำรวจ ภ.4 ในห้วงที่ผ่านมา ที่ได้ปฏิบัติตามนโยบาย  ร่วมกันดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนในพื้นที่เป็นอย่างดี มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะ โครงการนาคาพิทักษ์ ที่ค้นหาและแก้ไขปัญหาผู้ป่วยจิตเวช ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถเป็นต้นแบบแนวทางแก่พื้นที่อื่นๆทั่วประเทศ  มีผลการประเมินตามโครงการประเมินผลความพึงพอใจของประชาชนที่ดี โดย ภ.4 ได้ลำดับคะแนนเป็นต้นๆในภาพรวมของประเทศ  งานจราจร ภ.4 มีการปฏิบัติที่ดีทั้งในเรื่องการอำนวยความสะดวกการจราจรในเทศกาล การป้องกันและลดอุบัติเหตุในพื้นที่ ซึ่ง ภ.4 ได้อันดับสองของประเทศ ขอให้รักษามาตรฐานการทำงาน เพื่อดูแลพี่น้องประชาชน
    
การป้องกันยาเสพติด ให้มุ่งแก้ไขปัญยาเสพติดทุกมิติ โดยเฉพาะการสร้างชุมชนยั่งยืน ทำชุมชนเข้มแข็ง เข้าไปในชุมชน ค้นหาผู้ป่วยผู้ติดยาเสพติดเข้าสู่กระบวนการบำบัดฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง โดยบูรณาการทุกภาคส่วนในพื้นที่เพื่อร่วมแก้ปัญหา มีอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือสำคัญในงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ต้องแสวงหาความร่วมมือกับภาคประชาชนในพื้นที่  และ ภ.4 ได้มีการใช้อุปกรณ์ไม้ง่าม เพื่อสร้างความปลอดภัยให้ตำรวจในการปฏิบัติหน้าที่ ถือว่าดำเนินการได้ดี 

ขอทุกคนให้ความสำคัญ กับการรับแจ้งความออนไลน์ มุ่งปราบปรามจับกุมบัญชีม้าซิมม้า เมื่อจับกุมให้มีการสืบสวนขยายผลติดตามยึดทรัพย์กลุ่มขบวนการที่ทำผิด โดยหลังจากที่มีการออก พรก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 มาเป็นเครื่องใช้เครื่องมือในการทำงานของเจ้าหน้าที่ คดีก็มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง ขอให้ตำรวจคงความเข้มในการดำเนินการ ทั้งมิติการปราบปราม การป้องกัน สร้างครูไซเบอร์ แสวงหาความร่วมมือทุกภาคส่วน เพื่อร่วมกันแก้ปัญหาคดีออนไลน์ให้ลงลงต่อเนื่อง  

ผบ.ตร.ยังฝากข้อคิดการทำงานให้ตำรวจ ว่า ต้องทำงานเชิงรุก มีทัศนคติที่ดีในการทำงาน มุ่งหมั่นพัฒนาตนเองให้เป็นตำรวจมืออาชีพ ทำงานเชิงรุก โดยศึกษาหาความรู้ใหม่ๆ หมั่นทบทวนยุทธวิธี วางแผนการทำงาน ทบทวน ประเมินการปฏิบัติ  แสวงหาความร่วมมือ สื่อสารทำความเข้าใจ กับพี่น้องประชาชนอยู่เสมอ

สิ่งสำคัญที่สุดที่ตำรวจพึงมี คือ ทัศนคติเชิงบวกมุ่งมั่นปฏิบัติงานโดยมีประชาชนเป็นที่ตั้ง มีความเสียสละ สามัคคี อุทิศให้ส่วนรวม เมื่อเรามีทัศนคติที่ดีแล้ว จะเป็นแรงผลักในการทำงาน ไม่เหน็ดเหนื่อย ไม่คิดว่างานในหน้าที่คือภาระ ไม่บ่น ไม่ย่อท้อ แต่จะเห็นว่าอาชีพตำรวจเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้ช่วยเหลือประชาชน เปรียบเสมือนการทำบุญ ทำความดีในทุกวัน

หลังมอบนโยบาย ผบ.ตร.ได้มอบพระพุทธรูปหลวงพ่อโสธร รุ่น “ตร.108 ปี” ที่ ตร.จัดสร้างขึ้น ให้ ภ.4 พร้อมมอบเหรียญอาร์ม พระพุทธโสธร ให้ข้าราชการตำรวจ ภ.4 ทุกนาย เพื่อความเป็นสิริมงคล หลังจากที่มอบให้ตำรวจ ภ.5,6,7 และได้ส่งมอบให้ตำรวจทั่วประเทศไปส่วนหนึ่งแล้ว 

จากนั้นเวลา 16.30 น พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ ได้เดินทางไปบรรยายพิเศษ การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยีรู้เท่าทันภัยไซเบอร์ ในการประชุมคณะกรรมการบริหารหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยสัญจร ประจำปี 2566 ครั้งที่ 5 จังหวัดนครพนม  มี นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย นำภาคธุกิจ หอการค้าไทยทุกจังหวัด ผู้ประกอบการเข้าร่วมฟัง

ผบ.ตร.ได้กล่าวถึงความสำคัญของเสริมสร้างภูมิคุ้มกันภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยีรู้เท่าทันภัยไซเบอร์ หลังที่ปราบปรามภัยออนไลน์มาต่อเนื่อง แต่ยังไม่สามารถดำเนินการให้หมดไปได้ จึงจำเป็นที่ต้องอาศัยความร่วมมมือทุกภาคส่วน สร้างภูมิคุ้มกัน (วัคซีนไซเบอร์) ให้รู้เท่าทันภัยกลโกงรูปแบบต่างๆ  มีการทำข้อสอบวัคซีนไซเบอร์ และ ประชาสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆ ซึ่ง ตร.ได้ร่วมมือกับภาครัฐ เอกชน ดำเนินการมาต่อเนื่อง ประกอบกับ การผลักดัน พรก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 มาเป็นเครื่องใช้เครื่องมือในการทำงานของเจ้าหน้าที่ ทำให้คดีก็มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง ทั้งนี้ได้ฝากสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย นอกจากสร้างภูมิคุ้มกันให้ตนเอง ให้ช่วยขยายความรู้วัคซีนไซเบอร์ไปสู่ประชาชนให้ทั่วถึงมากที่สุด เพื่อร่วมกันป้องกันภัยออนไลน์ที่จะเกิดขึ้นกับสังคมไทย

กระบี่ ผบ.ทร.ถกบอร์ดบริหารศรชล.รีวิวผลงานรอบปี 2566 พหุภาคีซิมลีย์-ดีลMOUเวียดนาม-ชงตั้งทีมอนุฯ

ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล โดย พลเรือเอก เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหาร ศรชล. ครั้งที่ 3/2566 พร้อมด้วย พลเรือเอก ชลธิศ นาวานุเคราะห์ เสนาธิการทหารเรือ/เลขาธิการ ศรชล. คณะกรรมการบริหาร ศรชล. และผู้แทนหน่วยงานหลัก 7 ศรใน ศรชล. ประกอบด้วย กองทัพเรือ กรมเจ้าท่า กรมประมง กรมศุลกากร กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กองบังคับการตำรวจน้ำ และกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ร่วมประชุม ณ โรงแรมโซฟิเทล กระบี่ โภคีธรา กอล์ฟ แอนด์ สปา รีสอร์ท จังหวัดกระบี่

การประชุม ศรชล. สัญจรครั้งที่ 3 ถือเป็นนัดสุดท้ายของปีงบประมาณ 2566 จัดขึ้นในพื้นที่ทะเลอันดามัน ศรชล.ภาค 3 ปรากฎสาระสำคัญที่น่าสนใจ ซึ่งเป็นการรายงานผลการปฏิบัติตามนโยบายการปฏิบัติงานของ รอง ผอ.ศรชล./ผบ.ทร. ในรอบปี พ.ศ.2566 มีเครื่องแบบปฏิบัติงาน ศรชล. การพัฒนาความสัมพันธ์กับหน่วยงานความมั่นคงและบังคับใช้กฎหมายทางทะเลและระหว่างประเทศ การพัฒนาแนวทางการประชาสัมพันธ์และการสร้างความตระหนักรู้ ให้สำนักงานศูนย์ควบคุมความมั่นคงท่าเรือ (ศคท.) จังหวัดมีรูปแบบอาคารปฏิบัติงานที่เป็นมาตรฐาน การยกระดับการปฏิบัติงานให้มีมาตรฐานสากล การยกระดับการปฏิบัติในด้านการค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยในทะเล (SAR) เตรียมความพร้อม การวางแผนรองรับการขจัดคราบน้ำมันและมลพิษทางน้ำ 

ทั้งนี้ นโยบายด้านธุรการ การกำลังพล และการส่งกำลังบำรุง นโยบายด้านแผนและนโยบาย และนโยบายด้านการปฏิบัติ การฝึก และการบังคับใช้กฎหมายในภาพรวมเป็นไปตามแผนงาน ตัวชี้วัด และเป้าหมายที่กำหนด  ผลงานระดับภูมิภาคที่สำคัญคือ ศรชล. เป็นเจ้าภาพร่วมกับหน่วยยามชายฝั่งสหรัฐอเมริกา จัดการประชุมระดับผู้บังคับบัญชาตามกรอบความริเริ่มการบังคับใช้กฎหมายทางทะเลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEAMLEI) ครั้งที่ 9 ระหว่าง 11 - 14 กรกฎาคม 2566 ณ โรงแรมอนันตรา ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงและปลอดภัยทางทะเลร่วมกับหน่วยบังคับใช้กฎหมายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีผู้แทนหน่วยงานรักษาความมั่นคงทางทะเลจากมาเลเซีย เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และสหรัฐฯ มีการอภิปรายและหารือเกี่ยวกับประเด็นที่สำคัญในระดับที่สูงขึ้น ได้แก่ การเขียนระเบียบปฏิบัติงาน (SOP) และขั้นตอนการอนุมัติหรือให้ความเห็นชอบการกำหนดข้อมูลด้านขีดความสามารถและการยุทธการ การวางแผนกลไกที่จำเป็นต่อความร่วมมือแบบพหุภาคี การปรึกษาหารือประจำปีโดยเน้นประเด็นหลักที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการกำหนดให้หน่วยยามฝั่งเวียดนามเป็นเจ้าภาพในปี พ.ศ.2567 และ หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายทางทะเลของอินโดนีเซีย เป็นเจ้าภาพในปี พ.ศ.2568 ทั้งนี้ หน่วยยามฝั่งสหรัฐฯ สำรวจความคิดเห็นของผู้เข้าร่วมการประชุมฯ 

โดยรวมอยู่ในเกณฑ์ดีมาก  ที่ประชุมรับทราบคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2566 เห็นชอบให้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่าง ศรชล. สำนักนายกรัฐมนตรี กับ หน่วยยามฝั่งเวียดนาม ในความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมายทางทะเล โดยมอบอำนาจให้ รอง ผอ.ศรชล.เป็นผู้แทนฝ่ายไทย และ ผบ.หน่วยยามฝั่งเวียดนาม เป็นผู้แทนฝ่ายเวียดนาม ในการลงนามในบันทึกความเข้าใจ ที่มีสาระสำคัญเป็นการส่งเสริมความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมายทางทะเล 4 ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการลักลอบขนสินค้าและการหลบหนีเข้าเมือง การดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย การอนุรักษ์ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมทางทะเล และการยกระดับความปลอดภัยในการค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางทะเล 

นอกจากนี้ ศรชล. ยังได้จัดทำ(ร่าง)ระเบียบปฏิบัติงาน (SOP) เรื่องแนวทางประสานงานด้านการแพทย์ฉุกเฉินทางทะเล เพื่อพัฒนาการแพทย์ฉุกเฉินในทะเล โดยผู้เจ็บป่วยฉุกเฉินทางทะเล จะได้รับการช่วยเหลือในเบื้องต้นอย่างทันท่วงทีและเป็นไปตามมาตรฐานทางการแพทย์ที่กฎหมายกำหนด สอดคล้องกับหน้าที่ อำนาจ และความรับผิดชอบของ ศรชล.ข้อพิจารณาสำคัญในการประชุมครั้งนี้ ตามที่ ศรชล. ได้จัดทำแผนการรักษาความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ระยะ 5 ปี (พ.ศ.2566 - 2570) เพื่อให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องใช้เป็นแนวทางในการจัดทำแผนงานและโครงการให้สอดคล้องกับแผนและแนวทางในการรักษาความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติทางทะเล โดยเสนอให้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการฯ เป็นไปตามที่กำหนดในมาตรา 23 ของ พ.ร.บ.การรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล พ.ศ.2562 ที่มี รองเลขาธิการ ศรชล. เป็นประธานอนุกรรมการ ผู้ช่วยเลขาธิการ ศรชล. เป็นรองประธานฯ และมีผู้แทนจากหน่วยงานภายใน ศรชล. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เป็นอนุกรรมการ รวมทั้งหมด 34 คน เป็นกลไกในการบูรณาการขับเคลื่อนแผนการรักษาความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติทางทะเลกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และช่วยเหลือในการพิจารณากลั่นกรองการบริหารงานของ ศรชล. ตามหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการบริหาร ศรชล. โดยเมื่อคณะกรรมการบริหาร ศรชล. ให้ความเห็นชอบจะได้เสนอขออนุมัติต่อไป

‘สุวัจน์’ ขอบคุณ ‘เศรษฐา’ แต่งตั้ง ‘เทวัญ’ นั่งที่ปรึกษานายกฯ ย้ำ!! ชพก.ยินดีที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการทํางานร่วมกับรัฐบาล

(16 ก.ย.66) นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า (ชพก.) ได้กล่าวขอบคุณนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ขอบคุณพรรคแกนนําพรรคเพื่อไทยที่ได้กรุณาให้เกียรติให้นายเทวัญ ลิปตพัลลภ หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ได้เข้าไปเป็น 1 ใน 9 ของคณะที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี 

“พรรคชาติพัฒนากล้าเข้าร่วมรัฐบาลครั้งนี้ ไม่ได้มีเงื่อนไขอะไร เมื่อบ้านเมืองมีวิกฤตก็ได้ร่วมมือกันทำให้งานที่ยากลําบากผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เป็นความร่วมมือของ 11 พรรคร่วมรัฐบาลในการที่จะสานต่อรวมพลังกันทํางานในการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลให้ประสบความสําเร็จ ฉะนั้น พรรคชาติพัฒนากล้า ยินดีที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการทํางานร่วมกับรัฐบาล” นายสุวัจน์ กล่าว

นายสุวัจน์ กล่าวว่า การทํางานของรัฐบาล ‘เศรษฐา 1’ ทำได้รวดเร็ว อะไรทําได้ทําทันที ถูกใจและตรงกับปัญหาของพี่น้องประชาชน ถ้าสามารถรักษาอัตราความเร็วของการทํางานบวกกับประสิทธิภาพแล้วสามารถจะแก้ไขปัญหาของประเทศได้ ซึ่งรัฐบาลมีนโยบายระยะสั้น ระยะยาวที่เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน คือ เรื่องสินค้าราคาแพง, เรื่องลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ค่าแก๊ส ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมัน, การพักหนี้เกษตรกร, การพักหนี้ SME, การกระตุ้นเศรษฐกิจในเรื่องดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ส่วนระยะยาว คือ การสร้างรายได้ สร้างโอกาส และการรักษาคุณภาพชีวิต โดยการเพิ่มรายได้การส่งออกเป็นหลัก, การสร้างเศรษฐกิจดิจิทัล, การหาตลาดการค้าใหม่, การปรับโครงสร้างการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม แสงแดดทำให้ต้นทุนไฟฟ้าถูกลง, การแสวงหา แก๊ส น้ำมัน ในอ่าวไทย, การกำหนดโครงสร้างค่าการกลั่นน้ำมัน, การสร้างโอกาสให้พี่น้องประชาชนในเรื่องเอกสารสิทธิ์ที่ทำกิน, การหยิบ soft power มาเป็นพลังในการต่อยอดเศรษฐกิจ ต่อยอดอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว มีการแต่งตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์ Soft Power 

“โดยภาพรวมถ้ารัฐบาลสามารถที่จะขับเคลื่อนนโยบายที่ได้แถลงต่อสภาทั้งระยะสั้น ระยะยาวให้เป็นไปตามกรอบ ตามแนวทาง พร้อมรับข้อเสนอของฝ่ายค้านได้จะมีประโยชน์ต่อประเทศชาติ” นายสุวัจน์ กล่าว

อัปเดตความยิ่งใหญ่โครงสร้างพื้นฐานยกระดับเศรษฐกิจไทย 'ถนน-รถไฟ-รถไฟฟ้า-เมกะโปรเจกต์แสนล้าน' ใกล้เป็นจริง

จากรายการ THE TOMORROW ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES เมื่อวันที่ 16 ก.ย.66 ได้พูดคุยเรื่องโครงสร้างพื้นฐานของไทย กับ 'คุณจิรวัฒน์ จังหวัด' เจ้าของเพจโครงสร้างพื้นฐาน ประเทศไทย Thailand Infrastructure ที่ EP นี้ได้มาอัปเดตโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยว่ามีความเคลื่อนไหวอย่างไร พร้อมอัปเดตการก่อสร้าง เส้นทางรถไฟ รถไฟฟ้าเส้นทางไหนเปิดใช้บริการแล้ว เส้นทางไหนกำลังก่อสร้างใกล้เปิดบริการ เปิดแผนการลงทุน โปรเจกต์แสนล้าน! โครงการ Land Bridge เชื่อมอันดามัน-อ่าวไทย ศูนย์กลางเดินเรือภูมิภาค โดยคุณจิรวัฒน์ กล่าวว่า...

ภาพรวมโครงสร้างพื้นฐานในช่วงนี้มีความเคลื่อนไหวหลายๆ ส่วน ตั้งแต่สิ่งที่สร้างไปแล้ว สิ่งที่กำลังก่อสร้าง และสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต 

>> ราง
สิ่งที่เปิดไปแล้วใหญ่ๆ เลยก็คือ สถานีกลางบางซื่อ หรือ สถานีกรุงเทพอภิวัฒน์ ที่ตอนนี้พอมารวมกับรถไฟฟ้าสายสีแดง ก็ส่งผลให้พิกัดนี้กลายเป็น Hub สำคัญแห่งการคมนาคมของอาเซียนไปแล้ว (รถไฟจากลาวจีน สามารถวิ่งตรงมาที่ประเทศไทยได้เลย)

"โดยรถไฟสายสีแดง ถือเป็นรถไฟฟ้าเส้นสำคัญ ที่สามารถช่วยแก้ปัญหารถติดช่วงตั้งแต่ บางซื่อถึงรังสิต ได้ดีอย่างมาก"

นอกจากนี้ อีกส่วนหนึ่งที่เปิดบริการไปแล้วเมื่อเร็วๆ นี้ คือ โมโนเรล (Monorail) สายสีเหลือง ซึ่งเป็นโมโนเรล สายแรก ที่เป็นขนส่งมวลชนในเมืองไทย เส้นทางลาดพร้าว-สำโรง ซึ่งจะแก้ไขปัญหารถติดบนถนนลาดพร้าวได้เป็นอย่างดี 

"สายนี้สำคัญมาก เพราะมาเชื่อมต่อสายสีน้ำเงินที่ลาดพร้าว ขณะที่ในอนาคตจะมาเชื่อมต่อสายสีส้มที่สถานีลำสาลี ซึ่งลำสาลีจะวิ่งอยู่บนถนนรามคำแหง แล้วสุดท้ายจะไปจบที่สถานีสำโรง อีกทั้งสายนี้จะยังมีจุดจอดรถจอดแล้วจร ซึ่งจะช่วยลดความหนาแน่นขนทางจราจรและป้อนคนเข้าออกชานเมืองได้อย่างดี"

ไม่เพียงเท่านี้ รถไฟฟ้าที่กำลังเตรียมตัวเปิดอีกไม่นาน ก็จะมี สายสีชมพู ซึ่งเป็นแบบโมโนเรล เหมือนสายสีเหลือง เริ่มตั้งแต่ศูนย์ราชการ นนทบุรี ไปมีนบุรี ประมาณ 35 กิโลเมตร ซึ่งจะเชื่อมต่อรถไฟฟ้าอีกหลายสายเช่นกัน 

"ความสำคัญของรถไฟฟ้าเส้นนี้คือการเชื่อมต่อไปเมืองทองธานี เป็นสายแรกในเมืองไทยที่ทำรถไฟฟ้าสายแยก โดยเอกชนเป็นผู้ลงทุน ซึ่งสายสีชมพูจะเริ่มเปิดประมาณต้นปี 2567"

อีกส่วนหนึ่งที่สร้างเสร็จแล้ว แต่ยังไม่เปิดบริการ คือสายสีส้ม ศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี ซึ่งสายนี้จะไปเชื่อมกับสายสีชมพูที่มีนบุรี และในอนาคตจะมีการเชื่อมต่อไปถึง ศิริราช และสถานีบางขุนนนท์ได้เลย โดยสายสีส้มจะวิ่งในแนวขวางตัดกรุงเทพมหานคร 

ข้ามมาที่ สายสีม่วง ก็จะมีการเชื่อมต่อกับสายสีม่วงเดิม หรือสีม่วงด้านบน ช่วงเตาปูน ไปบางไผ่ ส่วนด้านล่าง เตาปูน ลงมาถึงพระประแดง ก็จะมาตัดสีส้มแถวราชดำเนิน ซึ่งสายสีม่วงส่วนล่างกำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดว่าจะเสร็จปี 2572

คุณจิรวัฒน์ เผยอีกว่า รถไฟฟ้าที่เล่ามายังไม่จบเท่านี้แน่นอน เพราะตอนนี้ สนข. (สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร) และกรมการขนส่งทางราง ได้มีการศึกษาเส้นทางรถไฟฟ้าในกรุงเทพมหานครใหม่ทั้งหมด โดยปัจจุบันมีการวางแผนแม่บทขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (พื้นที่ต่อเนื่อง) ระยะที่ 2 หรือ M-MAP ที่ได้วางกันมานาน โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากประเทศญี่ปุ่นมาร่วมศึกษาเส้นทาง ภายใต้ประเด็นการใช้ตั๋วร่วม ให้เกิดขึ้นจริงบรรจุอยู่ด้วย

ในส่วนของ รถไฟทางคู่ คุณจิรวัฒน์ เล่าว่า "ตอนนี้เรามีประมาณ 5 โครงการทั่วประเทศ โดยเส้นทางหลักๆ ที่คืบหน้าไปมาก คือ มาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ สายอีสาน อีกเส้นหนึ่ง คือ ลพบุรี-ปากน้ำโพ อีกสายหนึ่งที่สำคัญมาก คือ รถไฟสายใต้ นครปฐม-ชุมพร ตรงนี้คือคอขวดของรถไฟสายใต้ ถ้าสร้างช่วงนี้เสร็จไม่ต้องรอสับรางแล้วสามารถวิ่งตามกันได้เลย"

ส่วนรถไฟความเร็วสูง หรือรถไฟที่วิ่งด้วยความเร็ว 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ของเมืองไทยอยู่ระหว่างการก่อสร้าง 2 เส้นทาง คือ กรุงเทพ-โคราช โดยโครงการนี้ไทยเป็นคนก่อสร้างเองในส่วนของงานโยธา และซื้อระบบมาวางบนทางวิ่งที่ก่อสร้างเอง 

"ในอนาคตเราสามารถนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาผลิตรถไฟ ทางการก่อสร้างเส้นทาง การซ่อมบำรุง การประกอบของรถไฟความเร็วสูง โดยนำข้อมูลตัวเดียวกันมาผลิตรถไฟทางคู่ หรือ ราง 1 เมตรได้ คาดว่าจะเสร็จภายในปี 2570" 

ส่วนรถไฟฟ้าเชื่อม 3 สนามบิน ซึ่งเป็นรถไฟความเร็วสูงเช่นกัน แต่จะเป็นรถไฟความเร็วสูงที่วิ่งผ่านมาเมืองนั้น จะมีสถานีระหว่างเมือง 3-4 สถานี ที่อยู่ระหว่างการเจรจารายละเอียดเพิ่มเติม คาดว่าน่าจะแล้วเสร็จประมาณปี 2571-2572 

>> ถนน
ด้าน มอเตอร์เวย์ 2 สายที่กำลังก่อสร้างอยู่ อาทิ บางปะอิน-โคราช มีความคืบหน้าในการก่อสร้างไปเยอะมากแล้ว คาดว่าอีกไม่เกิน 2 ปี น่าจะสร้างเสร็จ (ประมาณ ปี 2568) อีกเส้น คือ สายบางใหญ่-กาญจนบุรี กำลังดำเนินการก่อสร้างเป็นส่วนๆ  ประมาณกลางปี 2567 น่าจะแล้วเสร็จ

>> เมกะโปรเจกต์
สำหรับโครงการในอนาคต กับ โครงการสะพานข้ามเกาะสมุย ขนอม-สมุย ระยะทางการสร้างสะพานประมาณ 8 กิโลเมตร เพื่อเป็นทางเลือกในการรองรับปริมาณนักท่องเที่ยวที่มากขึ้นจากการขึ้นเรือเฟอร์รี่มายังเกาะสมุยนั้น จะสามารถเชื่อมโยงกับโครงการ SEC (Southern Economic Corridor : ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้อย่างยั่งยืน) ได้ 

อีกโครงการที่สำคัญคือ โครงการ Landbridge ซึ่งเป็นการสร้างสะพานเศรษฐกิจข้าม 2 ฝั่งทะเล ซึ่งโครงการนี้จะมีช่วยเรื่องการขนส่งสินค้าข้ามฝั่งทะเลได้โดยง่าย โดย Landbridge จะมีโครงการย่อยๆ เชื่อมโยงกันอยู่ 3 โครงการหลักๆ ได้แก่...

1.ท่าเรือ ซึ่งจะสร้างทั้ง 2 ฝั่งทะเล บริเวณแหลมอ่าวอ่าง จังหวัดระนอง และอีกฝั่งหนึ่งแหลมริ่ว จังหวัดชุมพร ซึ่งการสร้างท่าเรือ จะช่วยในการพัฒนาเมือง พัฒนาเศรษฐกิจในท้องถิ่น อาทิ การแปรรูปผลไม้ เช่น สับปะรด ได้ด้วย

2.การสร้างมอเตอร์เวย์ แบบคู่ขนาน ถนน และรถไฟสายใหม่ 

และ 3.การสร้างทางรถไฟ เชื่อมโยงกับทางรถไฟระบบเดิม ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่อย่างมาก

"สำหรับโครงการนี้สำคัญต่อประเทศอย่างมาก ซึ่งผมอยากฝากให้ประชาชนในพื้นที่ได้ติดตามและเข้าร่วมประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็นของโครงการต่างๆ เพื่อเสนอแนะ และแสดงความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่ในฐานะประชาชนในพื้นที่กันครับ" คุณจิรวัฒน์ ทิ้งท้าย

ทัวร์ราชมรรคาพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เส้นทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ความสัมพันธ์อันแนบแน่น ‘ไทย-กัมพูชา’

📌ห้ามพลาด!!
ทัวร์ราชมรรคาพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 
เส้นทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ความสัมพันธ์อันแนบแน่น ‘ไทย-กัมพูชา’ 

🗓ระหว่างวันที่ 12 - 20 ตุลาคม 2566 (8 คืน 9 วัน)

จัดโดย: คณะอนุกรรมการพลังวัฒนธรรมไทย สภาวัฒนธรรมแห่งประเทศไทย

🎤คณะวิทยากร: อาจารย์เทพมนตรี ลิมปพยอม และอาจารย์กฤษณพงศ์ เกียรติศักดิ์

ประเทศไทยและประเทศกัมพูชามีความสัมพันธ์กันมาตั้งแต่อดีต มีแผ่นดินเดียวกันมาตั้งแต่ยุคสมัยก่อน ประวัติศาสตร์ มีมรดกทางวัฒนธรรมร่วมกันมานานนับพันปี อีกทั้งให้อิทธิพลซึ่งกันและกันในบางยุคสมัยโดยเฉพาะ รัชกาลพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ได้มีการสร้างเส้นทางทางการค้า ศาสนา และการเมืองที่เราเรียกว่า ‘ราชมรรคา’ ซึ่งในปัจจุบันยังปรากฏ เมือง ศาสนสถาน โรงพยาบาล ที่พักสำหรับผู้คนที่เดินทางไปจาริกแสวงบุญ อันเป็นประจักษ์ พยานหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์

ปัจจุบัน ‘ราชมรรคา’ จึงกลายเป็นเส้นทางการท่องเที่ยวที่สำคัญ คณะอนุกรรมการพลังวัฒนธรรมไทย สภาวัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ร่วมกับ ไทย ไท แชนเนล เห็นความสำคัญของเส้นทางราชมรรคา เพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรี ทั้งทางด้านเศรษฐกิจการค้า การท่องเที่ยวและศิลปวัฒนธรรมกับประเทศกัมพูชาให้มีความแนบแน่นมากขึ้น จึงได้จัดทัศนศึกษาขึ้น โดยมีสถานที่ที่น่าสนใจดังนี้ เมืองศรีเทพ-ปราสาทพิมาย-ปราสาทพนมรุ้ง-ปราสาทเมืองต่ำ-อโรคยศาลา-ปราสาทพระวิหาร-นครธม-ตงเลสาป-นครวัด-สมโบร์ไพรกุก-พนมเปญ-พิพิธภัณฑ์-ทำเนียบรัฐบาลกัมพูชา

📌ค่าบริการ : พักคู่ ท่านละ 79,000 บาท 
พักเดี่ยวเพิ่ม ท่านละ 25,000 บาท

📌รายละเอียดกำหนดการในแต่ละวัน อ่านเพิ่มเติมในคอมเมนต์

🟢ค่าบริการดังกล่าว รวม :
✅️ค่าเดินทางรถโค้ชปรับอากาศ พร้อมคนขับ รวมค่าน้ำมัน
✅️ค่าตั๋วเครื่องบิน ขากลับ พนมเปญ-สุวรรณภูมิ ชั้นประหยัด สายการบินบางกอกแอร์เวย์
✅️ค่าอาหารที่ระบุตามรายการ
✅️ค่าที่พัก 8 คืน (พัก 2 ท่านต่อห้อง)
✅️ค่าบัตรเข้าชมสถานที่และพิพิธภัณฑ์
✅️คู่มือนำชม ราชมรรคา
✅️กิจกรรมพิเศษและค่าวิทยากรบรรยาย
✅️หัวหน้าทัวร์ คอยอำนวยความสะดวก จำนวน 1 ท่าน ทั้งในประเทศไทยและกัมพูชา
✅️ประกันการเดินทางเฉพาะอุบัติเหตุ (ไม่รวมสุขภาพ) ตามเงื่อนไขกรมธรรม์

🔴ค่าบริการดังกล่าว ไม่รวม :
❌️ค่าบริการ 30 - 5 กรณีที่ชำระค่าใช้จ่ายตอนต้นด้วยบัตรเครดิต
❌️ค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% และภาษีหัก ณ ที่จ่าย 3% (กรณีนิติบุคคล)
❌️ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่ไม่ได้ระบุในรายการ
❌️ค่าทิปคนขับรถ ผู้ช่วยคนขับ และหัวหน้าทัวร์ไทยและกัมพูชา

📢เงื่อนไขและความรับผิดชอบ

ทางบริษัททัวร์ฯ เป็นเพียงตัวแทนด้านการท่องเที่ยว ซึ่งไม่อาจรับผิดชอบต่อความเสียหาย รวมถึงค่าใช้จ่ายต่าง 1 ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของบริษัทฯ ทั้งก่อนเดินทางและระหว่างการเดินทาง อาทิ การนัดหยุดงาน การประท้วง เหตุจลาจล การก่อการร้าย โรคระบาด การประกาศฉุกเฉิน เหตุจากภัยธรรมชาติ สภาพดินฟ้าอากาศแปรปรวน และเหตุสุดวิสัยอื่น ๆ ที่เป็นเหตุให้มีการเปลี่ยนแปลงหรือการเลื่อน หรือต้องยกเลิกการเดินทาง รวมทั้งค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมหรือการสำรองค่าใช้จ่ายทั้งทางตรงทางอ้อมระหว่างการเดินทาง อาทิ การเจ็บป่วยทางสุขภาพ - โรคประจำตัว อุบัติเหตุ การสูญหายของทรัพย์สินส่วนตัว ความเสียหายที่เกิดจากความล่าช้าในการเดินทาง การถูกทำร้าย การถูกจับหรือกักตัว

'เมียนมา' เล็ง!! เสนอวีซ่าท่องเที่ยว 1 ปี ให้ 'ชาวจีน-อินเดีย' เที่ยวได้ทุกแห่ง เว้นพื้นที่ต้องห้าม หวังดึงเม็ดเงินกลับมา

(16 ก.ย.66) หนังสือพิมพ์ Global New Light of Myanmar ของทางการเมียนมารายงานว่า เร็วๆ นี้รัฐบาลจะประกาศโครงการนำร่องหนึ่งปีให้วีซ่าท่องเที่ยวขอได้ ณ ด่านตรวจคนเข้าเมือง (visa on arrival) แก่นักท่องเที่ยวชาวจีนและอินเดียสามารถท่องเที่ยวในเมียนมาได้ทุกที่ยกเว้นพื้นที่ต้องห้ามด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย เทียบกับปัจจุบันที่นักท่องเที่ยวจีนและอินเดียต้องขอวีซ่าท่องเที่ยวออนไลน์หรือไปที่สถานทูตเมียนมา

ทั้งนี้ หากมองรัฐบาลทหารเมียนมาที่ยังคงจัดการฝ่ายต่อต้านการรัฐประหารเมื่อปี 2564 โดยยอมรับว่า ยังควบคุมพื้นที่ไม่ได้ทั้งหมดนั้น ทำให้หลายประเทศ อาทิ สหรัฐฯ และออสเตรเลีย จึงแนะนำไม่ให้คนของตนมาเมียนมา เนื่องจากความขัดแย้งยังมีอยู่

ต่างจากจีนและอินเดียซึ่งมีพรมแดนติดกับเมียนมา อีกทั้งยังมีสัมพันธ์กับเหล่านายพลนับตั้งแต่ก่อรัฐประหาร

ไม่เพียงเท่านั้น กระทรวงการท่องเที่ยวเมียนมากำลังทำงานเพื่อดึงดูดนักเดินทางจากรัสเซีย พันธมิตรหลักและประเทศผู้จัดหาอาวุธอีกรายด้วย

ไม่กี่วันก่อนสายการบินแห่งชาติเมียนมาเริ่มบนตรงไปยังเมืองโนโวซีบีสค์ของรัสเซีย รัฐบาลทหารเผยว่ากำลังจะอนุญาตให้ใช้บัตร Mir ของรัสเซียชำระเงินได้โดยตรง

เมียนมา หลังจากกองทัพปกครองประเทศมาหลายสิบปี จนกระทั่งเมียนมาได้เปิดประเทศเมื่อปี 2554 และกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม แต่พอเจอช่วงโควิดระบาดก็ต้องปิดประเทศ ซ้ำยังตามด้วยการรัฐประหาร และปราบปรามฝ่ายต่อต้าน จนทำให้นักท่องเที่ยวหายไป

ขณะเดียวกันเศรษฐกิจเมียนมาตกต่ำอย่างหนัก ค่าเงินจ๊าดดิ่งมากเมื่อเทียบกับดอลลาร์ หลายเมืองหลักประสบปัญหาไฟฟ้าดับ เอทีเอ็มและเคาน์เตอร์แลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศหายาก

มาตรการนี้ จึงน่าจะเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลทหารเมียนมาคงต้องเร่งทำ เพื่อดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติและเม็ดเงินกลับมาอีกครั้ง โดยเฉพาะ 'ชาวจีน-อินเดีย' ถือเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top