Saturday, 10 May 2025
TheStatesTimes

‘อีลอน มัสก์’ ปิ๊งไอเดีย จ่อคิดค่าบริการ X ทุกบัญชี อ้าง!! เพื่อยืนยันตัวตนผู้ใช้งาน-แก้ปัญหากองทัพบอต

(19 ก.ย. 66) สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า ‘นายอีลอน มัสก์’ อภิมหาเศรษฐีเจ้าของบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าเทสลาและ ‘X’ แพลตฟอร์มออนไลน์ชื่อดังที่เคยรู้จักในชื่อ ‘ทวิตเตอร์’ ได้เปิดเผยแนวคิดกับนายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เมื่อวันที่ 18 ก.ย.ที่ผ่านมา ว่า ผู้ใช้งาน X ทุกคนอาจต้องชำระค่าบริการรายเดือน เพื่อใช้งานแพลตฟอร์มออนไลน์ดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่า การคิดค่าบริการคือหนทางเดียวที่จะแก้ปัญหาเรื่องบอต

นับตั้งแต่ที่มัสก์เข้าซื้อกิจการของทวิตเตอร์เมื่อปีที่แล้ว เขาได้พยายามกระตุ้นให้ผู้ใช้งานทวิตเตอร์ชำระเงินค่าบริการ ‘Twitter Blue’ หรือที่ตอนนี้มีชื่อว่า ‘X Premium’ เพื่อแลกกับฟีเจอร์ที่ดีขึ้นกว่าที่ผู้ใช้งานคนอื่นๆ ที่ใช้งานแบบฟรีจะได้รับ โดยมัสก์พูดมาโดยตลอดว่า วิธีการที่เขาจะใช้กำจัดบอต และบัญชีผู้ใช้งานปลอมออกจากแพลตฟอร์ม X คือการเก็บเงินเพื่อยืนยันตัวตน โดยวิธีนี้จะทำให้จุดคุ้มทุนในการสร้างบอตขึ้นมานั้นสูงขึ้นมาก

มัสก์กล่าวกับนายกรัฐมนตรีเนทันยาฮูของอิสราเอล ระหว่างการหารือกันที่โรงงานของเทสลา ที่เมืองฟรีมอนต์ รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ที่ถ่ายทอดสดผ่านทาง X ว่า “เรากำลังเดินหน้าให้มีการชำระค่าบริการรายเดือนเป็นจำนวนเงินเล็กน้อยเพื่อเข้าใช้งาน”

ขณะนี้ ค่าบริการรายเดือนของ X Premium ในประเทศสหรัฐฯ อยู่ที่ 8 ดอลลาร์ หรือราว 287 บาท แต่มัสก์กล่าวว่า เขาเล็งที่จะให้มีตัวเลือกค่าบริการรายเดือนที่ราคาลดหลั่นลงมา “เราจะมีการเสนอค่าบริการที่ถูกลงมาเป็นขั้นๆ เพราะฉะนั้นแล้ว เราแค่อยากให้มีการเก็บค่าบริการเป็นเงินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เรื่องนี้จำเป็นต้องมีการหารือกันนานกว่านี้ แต่ในความคิดของผม นี่คือวิธีเดียวที่จะจัดการกับกองทัพบอตจำนวนมหาศาล” มัสก์กล่าว

อย่างไรก็ดี ทางสำนักข่าวบีบีซียังไม่ได้รับแถลงการณ์จากทาง X ถึงรายละเอียดเพิ่มเติมในเรื่องดังกล่าว และในการหารือนั้น มัสก์ไม่ได้กล่าวว่าจะคิดค่าบริการรายเดือนเป็นเงินเท่าใด รวมถึงยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า ความเห็นดังกล่าวของมัสก์เป็นการพูดขึ้นมาอย่างนั้นหรือเป็นสัญญาณของแผนการที่ยังไม่ได้ประกาศออกมา

ทั้งนี้ การเรียกเก็บเงินค่าบริการเพื่อเข้าใช้งาน X อาจส่งผลให้ผู้ใช้งานจำนวนมากเลิกใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ดังกล่าวได้ รวมถึงอาจทำให้รายได้จากการโฆษณา ซึ่งคิดเป็นรายได้หลักของทางบริษัทตอนนี้ลดลงอีกด้วย

‘พีระพันธุ์’ ถก ‘กรมศุลฯ’ ถอดสูตรต้นทุนนำเข้าน้ำมัน เร่งหาช่องทางลดราคา หวังช่วยเกษตรกร-ภาคขนส่ง

(19 ก.ย. 66) ที่กรมศุลกากร นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวภายหลังเดินทางเข้าหารือกับ นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร เกี่ยวกับข้อมูลการนำเข้าน้ำมันของไทย ว่า ที่มาเข้าพบกรมศุลกากรเพราะต้องการข้อมูลการนำเข้าน้ำมันที่แท้จริงทั้งหมด ตั้งแต่ต้นทาง ซึ่งกรมศุลฯ จะมีรายละเอียดข้อมูลการนำเข้าน้ำมันดิบ และน้ำมันสำเร็จรูป เพื่อทำความเข้าใจรายละเอียดโครงสร้างราคาพลังงานไปจัดทำมาตรการดูแลราคาพลังงานให้เหมาะสม

อย่างไรก็ตาม แม้ครั้งนี้ยังไม่ได้รายละเอียดทั้งหมด แต่ได้ข้อมูลระดับหนึ่ง เพราะกระทรวงพลังงานแม้เป็นผู้กำหนดนโยบายแต่กลับไม่มีข้อมูล จึงจำเป็นต้องมาดูต้นทุนผู้ประกอบการว่าต้นทุนจริงอยู่ส่วนใด ถือเป็นการทำงานระหว่างหน่วยงานราชการแบบสอดประสานกัน

นายพีรพันธุ์ กล่าวว่า “หากได้ข้อมูลทั้งหมดแล้วจะจัดทำมาตรการลดราคาน้ำมันพิเศษให้เฉพาะกลุ่ม อาทิ เกษตรกร ภาคขนส่ง เช่นเดียวกับกลุ่มประมงที่มีน้ำมันเขียวที่ราคาน้ำมันถูกกว่าน้ำมันทั่วไป โดยจะเร่งสรุปมาตรการให้เร็วที่สุด รวมทั้งจะนำไปปรับโครงสร้างราคาพลังงานระยะยาว เพื่อให้ราคาพลังงานเหมาะสมและเป็นธรรมกับประชาชน ยืนยันว่าจะไม่เป็นภาระของประชาชนในอนาคตตามข้อกังวลของนักวิชาการ”

อีกทั้งยังกล่าวว่า สำหรับนโยบายการเปิดนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปเสรี ยืนยันไม่ได้ทำในเชิงการค้า แต่เป็นการเปิดโอกาสให้บางกลุ่มนำเข้านำน้ำมันสำเร็จรูปได้เอง อาทิ ภาคขนส่ง หากรวมตัวกันหาแหล่งซื้อน้ำมันสำเร็จรูปที่มีราคาถูกกว่าจะช่วยลดต้นทุนขนส่งถูกลง

นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า สำหรับความคืบหน้าการลดค่าไฟฟ้างวดสุดท้ายของปี (กันยายน-ธันวาคม2566) ให้เหลืออัตรา 3.99 บาทต่อหน่วย ขณะนี้ได้ให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ไปพิจารณาด้วยการยืดหนี้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ออกไปอีกจากเดิมจะชำระคืนหนี้ 5 งวด ซึ่ง กกพ.มีแนวทางการทำตามความเหมาะสม ส่วนจะยืดหนี้ได้เท่าไหรขึ้นอยู่กับแนวทางของ กกพ. แต่เมื่อคำนวณรวมกับค่าไฟฟ้าฐานแล้วจะต้องอยู่ที่ 3.99 บาทต่อหน่วย

นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวว่า ได้รายงานข้อมูลโครงสร้างต้นทุนการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูป น้ำมันดิบ ดีเซล และเบนซิน โดยปัจจุบันกรมศุลฯ ไม่มีการเก็บอากรนำเข้าน้ำมันดิบแล้ว ส่วนน้ำมันสำเร็จรูปก็เก็บเพียงน้อยมากเพียง 0.001 บาทต่อลิตรเท่านั้น ทำให้แต่ละปีกรมศุลฯ จัดเก็บรายได้จากอากรน้ำมันสำเร็จรูปได้กว่า 20 ล้านบาทเท่านั้น ปัจจุบันไทยนำเข้าน้ำมันจากประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เป็นหลัก ณ สิ้นเดือนสิงหาคม ปี 2566 มีการนำเข้าน้ำมันดิบ 5 หมื่นล้านลิตร มูลค่า 78,000 ล้านบาท นำเข้าน้ำมันสำเร็จรูป 7 ล้านลิตร มูลค่า 5,593 ล้านบาท และน้ำมันดีเซล 500 ล้านลิตร มูลค่า 1,700 ล้านบาท

สำหรับส่วนแนวทางการเปิดเสรีนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูป ปัจจุบันกฎหมายเปิดให้นำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปได้อยู่แล้ว โดยขั้นตอนจะต้องยื่นจดทะเบียนกับกระทรวงพาณิชย์ จึงมองว่าหากรัฐบาลจะทำนโยบายดังกล่าวก็สามารถดำเนินการได้เลย

‘วัยรุ่นดูไบเกาะสมุย’ รุมทึ้งมังคุด 10 กิโลฯ ภายใน 10 นาที หลังแกะกินเองไม่เป็น จนแม่ค้าผลไม้ว้าวุ่นต้องเข้ามาแกะให้

(19 ก.ย.66) จากกรณีผู้ใช้ชื่อ นัทธิชา เด๊กใต้ แม่ค้าผลไม้ ได้โพสต์โซเชียล เป็นภาพนักท่องเที่ยวชาวตะวันออกกลาง ประมาณ 9 คน เช่ารถจักรยานยนต์ตระเวนเที่ยวรอบเกาะสมุย ล้อมวงรุมกินมังคุด ผลไม้ไทยอย่างเอร็ดอร่อย บริเวณริมเขื่อนชายทะเลหน้าทอน พร้อมข้อความ “แบบนี้สนุกพี่เขาล่ะ…แกะไม่เป็นต้องแกะให้ดู…10 นาที 10 กิโลฯ ไอ้เราก็ว้าวุ่นเลยทีนี้ #วัยรุ่นดูไบ”

ทั้งนี้ มีผู้เข้ามาคอมเมนต์แสดงความเห็นกันหลากหลาย อาทิ

- เซอร์วิสดีเริ่ด ได้ขายของด้วย เจ๋งมากเลยค่ะ
- ขับรถผ่านอยู่ค่ะว่าเขาสุมหัวมุงอะไรกันหลังรถเต็มเลย นึกว่าวัยรุ่นนักท่องเที่ยวตีกัน พอดูใกล้ๆ แต่ละคนถือมังคุดในมือกินกันแบบหน้าเขาดูอเมซิ่งมากกันทุกคนเลย เรานี่แอบยิ้ม
- ผลไม้บ้านเราราคาถูก รสชาติก็ดีที่สุด ต่างชาติเลิฟมากๆ เขาบอก
- แขกบอกมันสุดยอดไปเลยนั่งกินมังคุดสดๆ 4 โล 100 ริมทะเลหาได้ที่นี่ที่เดียวสมุย
- ใช่ค่ะ เพราะที่ดูไบผลไม้ของไทยแพงมาก มังคุด 8 ลูกราคาเกือบ 500 บาท
- อยากจะบอกว่าที่ออสเตรีย ขายแพ็คละ 350 บาท ได้ 4 ลูก

‘โรงเรียนนานาชาติรีเจ้นท์กรุงเทพฯ’ จัดพิธีไหว้ครูประจำปี 66 แม้สอนโดยครูชาวต่างชาติ แต่ไม่ละทิ้งวัฒนธรรมอันดีของไทย

โรงเรียนนานาชาติรีเจ้นท์กรุงเทพฯ ได้จัดพิธีไหว้ครูประจำปีการศึกษาในวันที่ 14 กันยายน 2566 ภายใต้ธีม ปลูกฝังจิตสำนึกความกตัญญูในการศึกษาแบบโรงเรียนนานาชาติที่สอนโดยครูชาวต่างชาติ

การจัดงานวันไหว้ครู ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณครูและนักเรียนทุกคนให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมไทยซึ่งได้มีการจัดขึ้นในทุกๆ ปี

โดย มร.แอนดี้ เอ็ดมอนด์ ครูใหญ่ ให้เกียรติกล่าวต้อนรับคุณครู นักเรียนที่เข้าร่วมงานครั้งนี้ ตลอดจนกล่าวถึงความสำคัญของพิธีไหว้ครู เนื่องจากรีเจ้นท์เป็นโรงเรียนนานาชาติ ที่มีนักเรียนชาวต่างชาติจำนวนมากที่เดินทางมาจากทั่วโลกเพื่อศึกษาจนจบระดับชั้น Year 13 นอกจากชาวไทยแล้วเรายังมีนักเรียนชาวอังกฤษ อเมริกัน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อาร์มีเนีย จีน เกาหลี ญี่ปุ่น และชาติอื่นๆ

ปัจจุบันผู้ปกครองไทยนิยมส่งลูกเรียนโรงเรียนนานาชาติมากขึ้น คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ เด็กๆ จะยังคงธำรงวัฒนธรรมไทยอันดีงามอยู่หรือไม่ โดยเฉพาะความเคารพและกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ

วันนี้จะพาไปดูโรงเรียนนานาชาติรีเจ้นท์ที่มีความห่วงใยถึงเรื่องการอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย ความกตัญญู ซึ่งนักเรียนจะได้เรียนรู้ถึงขนบธรรมเนียมประเพณีไทยที่งดงาม จากการจัดพิธีไหว้ครู มอบพานดอกไม้ พวงมาลัย เพื่อแสดงถึงความเคารพนอบน้อมด้วยความรักที่มีต่อคุณครูทุกท่าน

ชมภาพบรรยากาศภายในงานที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น เเละความซาบซึ้งใจต่อพระคุณครู ได้ที่ >>> https://youtu.be/nU9hMfZBAKU?si=w1hwlK6m6ONLs1rI

'ดร.สุวินัย' เชื่อ!! หาก 'ชัยธวัช' นั่งหัวหน้า ก็เพื่อรอการกลับมาของ 'ธนาธร' เตรียมคืนชีพ 'อนาคตใหม่' ดันแก้ ม.112 เพื่อ 'ปฏิรูปสถาบัน' เต็มสูบ

(19 ก.ย.66) ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Suvinai Pornavalai' ถึงกรณีหากพรรคก้าวไกลเลือก 'ชัยธวัช ตุลาธน’ นั่งหัวหน้าพรรคคนใหม่ ว่า...

อันที่จริงนี่คือ การตระเตรียมคืนชีพ 'พรรคอนาคตใหม่' แบบเต็มตัวด้วยการยืนกรานผลักดันการแก้ ม.112 เพื่อ 'ปฏิรูปสถาบัน' โดยถือเป็นยุทธศาสตร์ของพรรคที่สำคัญที่สุด

การผลักดัน ชัยธวัช เป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกล ต่อจากพิธา จึงสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ก้าวไกลที่ยอมสละโอกาสเป็นรัฐบาลและพิธาเป็นนายกฯ เพราะไม่ยอมถอยการแก้ ม.112 ออกจากนโยบายหลักของพรรค

อนึ่ง ชัยธวัช คือผู้ร่วมก่อตั้งนิตยสารฟ้าเดียวกัน ร่วมกับธนาธร ชัยธวัชเป็นมือขวาของธนาธร และเป็นร่างทรงของธนาธรด้วย

ทุก move ของก้าวไกลที่ผ่านมา ล้วนอิงกับยุทธศาสตร์ล้มเจ้าของพรรคอนาคตใหม่ทั้งสิ้น

ถ้าก้าวไกลจะเอาความนิยม ควรต้องเลือกโรมเป็นหัวหน้าพรรค แต่นี่กลับเลือกชัยธวัช ที่ไร้เสน่ห์ดึงดูดสาวกสาว ๆ มันชัดเจนว่า ขัดตาทัพเพื่อรอธนาธรกลับมานำพรรคเท่านั้น

คุณแม่ ‘ลิซ่า BLACKPINK’ เปิดวาร์ปละครเรื่องแรกที่ลูกสาวเล่น โซเชียลเอ็นดู พร้อมยกนิ้วให้!! ‘การแสดงสีหน้า-แอ็กติ้ง’ เลิศตั้งแต่เด็ก

(19 ก.ย. 66) ปิดฉากการเดินทางอันยาวนานกับคอนเสิร์ต World Tour สาวๆ BLACKPINK ซึ่งยังไม่ได้ออกมายืนยันหรือแถลงการณ์ว่า จะต่อหรือไม่ต่อสัญญากับค่ายวายจีเอ็นเตอร์เทนเมนต์จนเกิดเสียงลือแว่วไปทั่วโลกว่า อาจมีการไม่ต่อสัญญามากกว่า 1 คน หากเป็นข่าวลือเป็นจริงจะมีผลกระทบใหญ่กับอุตสาหกรรมบันเทิงอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ล่าสุด มีกระแสไวรัลในโลกออนไลน์เลยทีเดียวที่ชาวทวิตเตอร์ต่างแชร์คลิปวิดีโอพรีเดบิวต์ของสาวลิซ่า ลลิษา มโนบาล ศิลปินเกิร์ลกรุ๊ประดับโลก BLACKPINK ซึ่งเคยมีผลงานด้านการแสดงละครมาก่อน

โดยการแชร์ครั้งนี้เกิดจาก คุณแม่ของลิซ่าได้โพสต์คลิปวิดีโอ ‘ผลงานละครเรื่องแรก’ ผ่านทางไอจีสตอรี่ เผยวินาทีหญิงตัวน้อยช้อนตามองกล้องให้ดูน่าสงสารพร้อมพูดว่า หนูหิว ซึ่งเรื่องราวของละครเรื่อง เจ้าหญิงขอทาน ที่ออกอากาศทางช่อง 3 ในปี 2550

งานนี้ ทำหลายๆ คนสงสัยว่า เอ้ะ นี่จะเป็นละครเรื่องแรกของสาวลิซ่าหรือเปล่านะ ทำให้บลิ๊งค์แต่ละคนพร้อมใจกันย้อนกลับไปชมและตัดคลิปช่วงที่เด็กหญิงที่ลักษณะคล้ายลิซ่าแสดงละครทั้งเต้น แอ็กติ้ง และการแสดงสีหน้า เรียกได้ว่าปังตั้งแต่เด็กเลยทีเดียว เป็นเหตุให้หลายๆ คนอยากให้สาวลิซ่าลองงานแสดงดูบ้าง

‘ปูติน’ เตรียมเดินทางเยือนกรุงปักกิ่ง พบ ‘สี จิ้นผิง’ ตุลาฯ นี้ นับเป็นทริปนอกประเทศครั้งแรก หลังถูก ‘ไอซีซี’ ออกหมายจับ

(19 ก.ย. 66) ทางการรัสเซียประกาศแล้วว่าประธานาธิบดี ‘วลาดิมีร์ ปูติน’ ของรัสเซีย จะเดินทางเยือนกรุงปักกิ่ง ในเดือนตุลาคมนี้ เพื่อพบปะพูดคุยกับประธานาธิบดี ‘สี จิ้นผิง’ ของจีน ซึ่งจะนับเป็นการเดินทางออกนอกประเทศเป็นครั้งแรกเท่าที่รับรู้ของปูติน หลังจากที่เขาถูกศาลอาญาระหว่างประเทศ (ไอซีซี) ออกหมายจับในข้อกล่าวหา ‘ก่ออาชญากรรมสงคราม’ จากการเนรเทศเด็กๆ ชาวยูเครนไปรัสเซีย

“ในเดือนตุลาคม เราตั้งตารอการเจรจาทวิภาคีระหว่างประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ในกรุงปักกิ่ง” นายนิโคไล ปาทรูเชฟ เลขาธิการสภาความมั่นคงของรัสเซีย กล่าวถึงแผนการเยือนดังกล่าว หลังการหารือกับนายหวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศของจีน ที่กรุงมอสโก

นายปาทรูเชฟ กล่าวอีกว่า รัสเซียต้องการพัฒนาความสัมพันธ์กับจีน “รัสเซียมุ่งมั่นที่จะพัฒนาและกระชับความสัมพันธ์รัสเซีย-จีนให้ก้าวหน้า” พร้อมเสริมว่ามหาอำนาจทั้งสองเป็นหุ้นส่วนและมีความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมระหว่างกัน

ทั้งนี้ ประธานาธิบดีปูตินจะมาร่วมการประชุมความริเริ่มแถบและเส้นทางครั้งที่ 3 ที่กรุงปักกิ่ง ตามคำเชิญของประธานาธิบดีสี ที่มีขึ้นในระหว่างที่ผู้นำจีนเดินทางเยือนกรุงมอสโก เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

โดยก่อนหน้าที่นายสีจะเดินทางเยือนมอสโกในครั้งนั้นเพียงไม่กี่วัน ศาลไอซีซี ได้ออกหมายจับปูติน กรณีการเนรเทศเด็กชาวยูเครนจำนวนหลายร้อยคนจากยูเครนไปรัสเซียอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่รัสเซียปฏิเสธ

'ดร.เสรี' เปิดไทม์ไลน์ 'เมืองโบราณศรีเทพ' หลังได้ขึ้นบัญชีมรดกโลก ถูกเสนอไว้ตั้งแต่ปี 62 ภายใต้การดำเนินงานของรัฐบาลประยุทธ์

(20 ก.ย.66) ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสาร ได้เผยถึงจุดเริ่มต้นสำคัญที่ทำให้เมืองโบราณศรีเทพได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นแหล่งมรดกโลก ไว้ว่า...

เกี่ยวกับ 'เมืองโบราณศรีเทพ' มรดกโลกแห่งใหม่ของไทย อยากให้พวกเราได้ข้อมูลที่ถูกต้องนะคะ

รัฐบาลไทย (รัฐบาลลุงตู่) ได้เสนอเมืองโบราณศรีเทพขึ้นบัญชีรายชื่อเบื้องต้น (Tentative List) เพื่อพิจารณาให้ขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกในอนาคต เมื่อวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2562

หลังจากนั้น ได้ทำข้อมูลที่สมบูรณ์ส่งให้คณะกรรมการของ UNESCO เมื่อ 28 กุมภา 2565

คณะกรรมการมาตรวจสอบ กันยายน 2565 เพื่อพิจารณาพื้นที่และองค์ประกอบว่าสอดคล้องกับเอกสารหรือไม่ มีคุณค่าสำหรับชาวโลกหรือไม่ มากน้อยเพียงใด สมควรที่ชาวโลกจะช่วยกันอนุรักษ์หรือไม่

หลังจากนั้น มาถึงวันนี้ การทำงานของรัฐบาลลุงตู่ก็ประสบความสำเร็จ นั่นคือ UNESCO ได้ขึ้นทะเบียน อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ เป็นแหล่งมรดกโลกภายใต้ชื่อ เมืองโบราณศรีเทพและโบราณสถานทวารวดีที่เกี่ยวเนื่อง (The Ancient Town of Si Thep and its Associated Dvaravati Monuments) 

>> ผลงานของลุงตู่ ได้รับการประกาศความสำเร็จเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2566 (ในสมัยของรัฐบาลเศรษฐา)

จึงเรียนให้ทุกคนทราบนะคะ ว่ากว่าเมืองโบราณศรีเทพจะได้เป็นแหล่งมรดกโลกใช้เวลา 4 ปีกว่านะคะ ไม่ใช่ 2 เดือนนะคะ

งานนี้เริ่มสมัยลุงตู่ เป็นผลงานของรัฐบาลลุงตู่นะคะ FYI สำหรับคนไทยทุกคนที่ดีใจกับการที่ประเทศไทยมีแหล่งมรดกเพิ่มอีก 1 แหล่งนะคะ

‘สกุลธร’ น้องชายธนาธร ให้การปฏิเสธทุกข้อหา ยัน!! ขอสู้คดี ปมติดสินบน 20 ล้าน-เช่าที่ดินทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์

เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 66 ที่ศาลอาญาคดีทุจริต และประพฤติมิชอบกลาง ถนนเลียบทางรถไฟ ย่านตลิ่งชัน ศาลนัดสอบคำให้การจำเลย คดีที่พนักงานอัยการปราบปรามการทุจริต 3 เป็นโจทก์ฟ้องนายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานบริหาร บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จํากัด เป็นจำเลยซึ่งเป็นน้องชายของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ในความผิดฐานเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่น ให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด เพื่อจูงใจให้กระทำการ และประวิงการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่” และ “เป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่น ให้ขอให้ หรือรับว่าจะให้ ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อจูงใจให้กระทำการ หรือประวิงการกระทำอันมิชอบ ด้วยหน้าที่ และได้กระทำไปในฐานะเป็นผู้แทนนิติบุคคล และเพื่อประโยชน์ของนิติบุคคล

กรณีนายสกุลธร มีพฤติการณ์กระทำผิดติดสินบนเจ้าพนักงาน และนายหน้าเป็นเงินจำนวน 20 ล้านบาท เพื่อเช่าที่ดินของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ 2 แปลงในซอยร่วมฤดี และย่านชิดลม

โดยเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 66 นายสกุลธร พร้อมทนายความ เดินทางมาศาล

ภายหลังเสร็จสิ้นการพิจารณา ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง นายสกุลธรได้ออกจากห้องพิจารณา และเดินทางกลับขึ้นรถยนต์ออกจากศาลทันที โดยไม่ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนแต่อย่างใด

ด้านนายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ศาลได้อ่านและอธิบายฟ้องให้นายสกุลธร จำเลยฟัง และได้สอบถาม ว่าจะให้การรับสารภาพหรือปฏิเสธ ปรากฏว่า นายสกุลธร แถลงให้การปฏิเสธ ต่อสู้คดีทุกข้อหา โดยศาลนัดคู่ความตรวจสอบพยานเบื้องต้นกับเจ้าพนักงานศาลก่อน ในวันที่ 16 พ.ย.นี้ และนัดตรวจคู่ความทั้ง 2 ฝ่าย มาตรวจพยานหลักฐานกับศาลวันที่ 13 ธ.ค.นี้ เวลา 09.00 น.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีนี้ พนักงานอัยการปราบปรามการทุจริต 3 ได้เป็นโจทก์ฟ้องนาย สกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานบริหาร บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จํากัด เป็นจำเลย กรณีนายสกุลธรติดสินบนเงินจำนวน 20 ล้านบาทเจ้าหน้าที่และนายหน้าในการเช่าที่ดิน จากทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ รวม 2 แปลง ในซอยร่วมฤดี และย่านชิดลม โดยยื่นฟ้องนายสกุลธร ต่อศาลอาญาคดีทุจริตฯ เมื่อวันที่ 31 ส.ค.ที่ผ่านมา และได้รับการประกันตัวระหว่างพิจารณาคดี

'นายกฯ เศรษฐา' ประกาศความมุ่งมั่นการขับเคลื่อน SDGs ที่สหรัฐฯ ชู!! 'ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง-เศรษฐกิจ BCG' ให้สมาชิกยูเอ็นประจักษ์

(20 ก.ย.66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 19 ก.ย. ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐอเมริกา ณ Trusteeship Council Chamber สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถ้อยแถลงในการประชุมระดับผู้นำว่าด้วยเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนประจำปี ค.ศ. 2023 (Sustainable Development Goals (SDG) Summit 2023)

ทั้งนี้นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญ ว่านายกฯ รู้สึกยินดีที่ได้มีโอกาสกล่าวถ้อยแถลงในการประชุมระดับผู้นำว่าด้วยเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 2023 ซึ่งถือเป็นการกล่าวถ้อยแถลงครั้งแรกของนายกฯ ที่องค์การสหประชาชาติ ซึ่งรัฐบาลยังคงเน้นย้ำเจตนารมณ์ในการให้ความสำคัญที่จะดำเนินการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs)

ทั้งนี้ ความร่วมมือของทุกประเทศในการดำเนินการตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน 2030 ของสหประชาชาติ ได้เผชิญกับความท้าทายร่วมกันมาถึงในช่วงครึ่งทางของวาระดังกล่าว และในทศวรรษนี้ ซึ่งสหประชาชาติได้กำหนดให้ทศวรรษนี้เป็นทศวรรษแห่งการลงมือทำ (Decade of Action) นายกรัฐมนตรียังสนับสนุนกรอบความร่วมมือพหุภาคีที่มีประสิทธิภาพ และสถาปัตยกรรมทางการเงินระหว่างประเทศให้มีความเข้มแข็ง รวมทั้งมุ่งหวังให้เกิดความร่วมมือในการขับเคลื่อนการจัดสรรแหล่งทรัพยากรและเงินทุน การลดช่องว่างทางการเงิน รวมถึงสรรหานวัตกรรมเครื่องมือทางการเงิน ซึ่งจะช่วยให้ทุกประเทศสามารถรับมือกับความท้าทาย และการร่วมกันขับเคลื่อน SDGs ได้อย่างเป็นรูปธรรม

ไทยสนับสนุนข้อเรียกร้องของเลขาธิการองค์การสหประชาชาติในการปฏิรูปสถาปัตยกรรมทางการเงินระหว่างประเทศ ผ่านมาตรการกระตุ้นการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG Stimulus) เป็นจำนวนเงิน 500,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี จนถึงปี ค.ศ. 2030 ซึ่งสำหรับการดำเนินการของไทย รัฐบาลได้ออกมาตรการทางการเงิน 12,500 ล้านดอลลาร์ เพื่อลงทุนในเศรษฐกิจสีเขียว และ Thailand Green Taxonomy เพื่อส่งเสริมให้เกิดการลงทุนเพื่อความยั่งยืน ผ่านการกระตุ้นการกำหนดกิจกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากภาคธุรกิจของไทย โดยสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (Global Compact Network Thailand: GCNT) ซึ่งมีบริษัทมากกว่า 100 บริษัททั่วประเทศ ตั้งเป้าขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน และจะลงทุนจำนวน 43,000 ล้านดอลลาร์ ในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ SDGs ภายในปี ค.ศ. 2030

อย่างไรก็ดี นายกรัฐมนตรีมองว่าการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน จำเป็นต้องมีแนวทางที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนผ่าน เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างเป้าหมายเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ซึ่งประเทศไทยได้นำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และนโยบายเศรษฐกิจ BCG มาเป็นแนวทางเพื่อมุ่งสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยประเทศไทยพร้อมประกาศความมุ่งมั่นระดับประเทศเพื่อขับเคลื่อน SDGs รวมถึงยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชน ดังนี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top